ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 5.2 “เสียดายชีวิตคนโสดค่ะ แล้วอีกอย่างดู ๆ กันไปก่อน”

ตอนที่ 5.2

รู้ทั้งรู้ว่าพี่ชายจะพามาเข้าร้านเสริมหล่อ แต่เดชาพงษ์ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กระทั่งการคาดเดาเป็นไปตามนั้น จิรวัติพาไปร้านตัดผมแนวแฮร์คัทในห้างสรรพสินค้าแทนร้านบาร์เบอร์ที่เขาเคยตัดเป็นประจำ เขาสั่งให้ชั่งออกแบบทรงผมให้เข้ากับใบหน้าน้องชาย และเมื่อตัดผมเสร็จแล้ว ช่วงที่รอเมขลาเดินทางมาถึงเขาก็พาเดชาพงษ์เข้าร้านขัดหน้า นวดหน้า บำรุงผิวพรรณ เดชาพงษ์อิดออด แต่พอพี่ชายอ้างว่า น้องชายเจ้าบ่าวต้องหล่อสู่สีกับเจ้าบ่าว เขาจำต้องยอมคล้อยตาม

และพอเมขลามาถึง หญิงสาวก็ถึงกับจับหลังเดชาพงษ์หมุนซ้ายหมุนขวาแล้วก็เอามือจับที่แก้มพี่ชายคนรองก่อนจะหยิกเบา ๆ ไปสองสามที

“โอ้ว ทำไมหล่อขึ้นขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้น” อันที่จริง ตอนที่เดชาพงษ์ตัดผม จิรวัติออกไปคุยโทรศัพท์กับเมขลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพอรู้ว่าคำทำนายของตัวเองเข้าเค้า เมขลาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่พอรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นที่เธอคิดว่า ‘ใช่’ หาได้เป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ แบบพี่แพรวพรรณ ความหนักใจจึงหวนกลับมาหาสองพี่น้อง ด้วยรู้ว่า ฝ่ายของตัวเองนั้นก็ไม่ได้ประสีประสากับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก แต่เมขลาก็ให้ความมั่นใจกับพี่ชายคนโตว่า เมื่อเขาทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกันแล้ว อย่างเสียมันก็ต้องลงท้ายด้วยคำว่า ‘ลงเอย’

----------------------------------

ในระหว่างที่นั่งกินสุกี้อยู่ด้วยกันสามพี่น้องโดยที่เดชาพงษ์นั่งหันหน้าไปยังประตูทางเข้าร้านนั้น เมขลาก็เล่าเรื่องของกฤษณะตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาทำงานหลักของตัวเองและทำงานเสริมขายสบู่จันทร์เจ้าฉายช่วยพ่อแม่จนกระทั่งเร่งเร้าจะแต่งงานกับเธอให้ได้ในเร็ววันนี้

“ดู ๆ กันไปก่อนอายุยังน้อย ยังไม่ต้องรีบ” จิรวัติค้านขึ้นมาทันที ส่วนเดชาพงษ์ได้แต่ยิ้ม ๆ เพราะบทหวงน้องสาวนั้นเขาไม่เคยเล่น และเขาเองก็เคยเห็นหน้ากฤษณะมาแล้ว แล้วตอนที่กฤษณะประสบอุบัติเหตุช่วงพักรักษาตัว เมขลาก็โทรคุยกับเขาอยู่เนือง ๆ เขารู้ว่าน้องสาวนั้นโตพอที่จะดูแลตัวเองและคิดวางแผนชีวิตตัวเองได้แล้ว...เขาจึงนั่งจัดการอาหารมื้อพิเศษเงียบ ๆตามนิสัย

“หนูนาก็อ้างไปว่ารอพี่กล้วยแต่งก่อน ตามลำดับไหล่ พี่กล้วย มีเค้าอะไรบ้างหรือเปล่า หยุดกินแล้วเล่าให้ละเอียด...”

“กินไป ไม่ต้องมาถาม” เดชาพงษ์ขึงตาวาวๆ ให้น้องสาว

“หล่อขึ้นจมไปเลย...แต่จะหล่อแบบนี้ได้อีกกี่วันเนี่ย อยากเห็นหน้าว่าที่พี่สะใภ้หนูนาจังเลย มีรูปเปล่า แอบถ่ายรูปไว้มั่งเปล่าเอามาดูหน่อยสิ”

เดชาพงษ์คีบลูกชิ้นปลากรายเข้าปากทำเหมือนกับว่าคำถามของน้องสาวนั้นเป็นเพลงที่ทางร้านเปิดทิ้งไว้

“กำลังวางแผนจีบหญิงอยู่มั้ง” จิรวัติมองหน้าน้องชายแล้วอมยิ้ม...และเมื่อเดชาพงษ์ยังเงียบเขาก็เลยพูดต่อ “มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ รับรอง รายไหนรายนั้นไม่มีพลาด”

“หยุดที่พี่แพรวได้แน่นะ” เดชาพงษ์จี้ใจดำ

“ได้ซิโว้ย...ถามได้”

“กลัวเสือไม่ทิ้งลายนะซิ” เมขลาเข้าข้างเดชาพงษ์

“จะกินแบบมีเสี่ยเลี้ยงหรือจะให้หารสาม”

“อย่าหวัง” เมขลายักไหล่พลางยักคิ้วข้างเดียวให้พี่ชายคนรองที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ประมาณว่าถ้าเราสองคนเข้าพวกกันสองเสียงย่อมชนะเสียงเดียวแน่นอน...

“หน้าตาหนูนามันสดชื่นขึ้นกว่าแต่ก่อนเนอะ” มองหน้าน้องสาวเดชาพงษ์ก็เปลี่ยน
เรื่องคุย

“ก็คนกำลังมีความรักนี่” เมขลายอมรับอย่างไม่ปิดบัง

“พ่อแม่เขาเป็นอย่างไรบ้าง” จิรวัติได้ทีรับซักไซ้

“พ่อแม่เขาดีกับหนูมาก มีลูกคนเดียว บ้านเขาอบอุ่นดี อยากให้หนูแต่งกับลูกชายเค้าจะแย่แล้ว”

“แล้วเราละ อยากแต่งหรือยัง” เดชาพงษ์ถามตรง ๆ และเมขลาก็สั่นหัวดิกเช่นกัน

“ทำไมละ”

“เสียดายชีวิตคนโสดค่ะ แล้วอีกอย่างดู ๆ กันไปก่อน หนทางพิสูจน์ม้าและกาล
เวลาก็พิสูจน์คน”

“เค้าก็เนื้อคู่ของตัวเองไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ก่อนหน้านั้นหนูก็ไม่สามารถรู้อนาคตของตัวเองได้นี่นา...แต่ของพี่กล้วยลูกสาวคนจีนแน่นอน” เมขลายังจำคำทำนายครั้งที่มียังมีญาณหยั่งรู้อนาคตของคนอื่น ๆ ได้ แม้ครั้งนั้นพี่ชายคนรองจะไม่ได้เต็มใจจะให้เธอทำนายแต่ว่า เมื่อรู้เห็นทำนายไปแล้ว...ผังชีวิตพี่ชายก็คงไม่เปลี่ยนอย่างแน่นอน

“ไม่ต้องวกกลับมาที่เรื่องนี้เลย” เดชาพงษ์ขวางขึ้นมาทันที เมขลานั้นยิ้ม ๆ กะพริบตาทำเหมือนว่าจะไร้สำนึก และระหว่างที่ใช้สายตาปรามน้องสาวไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องเนื้อคู่ของตัวเอง สายตาของเดชาพงษ์ก็มองเห็นว่าที่ประตูทางเข้าร้านสุกี้นั้น มีร่างของจรินนาเดินเคียงมากับวิษณุจักร...

วิษณุจักรนั้นคุยกับน้องพนักงาน แต่ว่าสายตาของจรินนานั้นมองมาเห็นเขาเข้าพอดี ตาสองคู่ประสานกันอย่างยากจะหลบ แต่ว่าจรินนาก็กลอกตาไปทางอื่นทำเหมือนกับว่า เมื่อเช้าเจ้าหล่อนนั้นไม่ได้เป็นคนโทรไปหาคนชื่อเดชาพงษ์ สุกปลั่งที่นั่งลอบถอนหายใจเบา ๆ...

----------------------------------------

เมื่อทำงานบ้านตามหน้าที่เสร็จสิ้น นางสำเนียงก็ขี่รถมอเตอร์ไซด์มาหาลูกสาวคนเดียวที่ร้านดอกไม้ ซึ่งเป็นตึกแถวสองชั้นอยู่ใกล้ ๆ กับวัดที่มีฌาปนกิจสถาน ดังนั้นร้านดอกไม้ของสุนันทาจึงมีลูกค้าแวะเวียนมาสั่งดอกไม้ประเภทพวงหรีดอยู่ไม่ได้ขาด สุนันทานั้นมีลูกน้องทั้งชายและหญิง ลูกน้องหญิงนั้นมีหน้าที่จัดดอกไม้ ส่วนลูกน้องชายก็มีหน้าที่นำดอกไม้ไปส่งที่ศาลาตั้งศพ สุนันทานั้นได้พบกับ เดชาพงษ์ที่บ้านของคุณบรรจงและเมื่อเห็นหน้าเขาครั้งแรกแม่หม้ายเรือพ่วงก็รู้สึกต้องชะตาขึ้นมาทันที ดังนั้น เมื่อปีก่อนสุนันทาจึงต้องหาเวลาไปเรียนเขียนรูปกับเขาเพื่อสานความสัมพันธ์ โดยช่วงเวลา 800 ชั่วโมง หรือราว ๆ 8 เดือนตลอดหลักสูตรนั้น สุนันทาให้แม่มาอยู่โยงดูแลร้านให้

อันที่จริงตั้งแต่ที่สามีเสียชีวิตสุนันทาก็อยากให้แม่ลาออกจากงานบ้านคุณบรรจงมาอยู่ด้วยกัน แต่ว่านางสำเนียงไม่ยอมมา โดยอ้างว่า อยู่บ้านคุณบรรจงมานาน ถ้าทิ้งมาอยู่กับลูกสาว บ้านหลังนั้นก็จะไม่เป็นบ้าน..แต่สุนันทาก็ค่อนขอดว่า แม่นั้นเป็นห่วงคุณหนูจรินนาว่าจะไม่มีคนใช้ที่รู้ใจเสียมากกว่า

แต่ว่านางสำเนียงก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะอย่างไรแล้วนางเอกก็รักลูกสาวของตัวเองมากกว่าจรินนาอยู่แล้ว แต่ว่านางนั้นกลับเป็นห่วงจรินนามากกว่าสุนันทา เพราะว่าสุนันทานั้นเอาตัวเองรอดได้อย่างแน่นอน แต่จรินนานั้นด้วยถูกเอาใจจนเคยตัวทั้งจากผู้เป็นพ่อและตนเอง ทำให้หญิงสาวทำงานบ้านทำอาหารไม่เป็น แต่สุนันทาก็อ้างว่า ไม่เป็นเฉพาะตอนที่มีแม่อยู่ด้วยนี่แหละ ตอนที่อยู่เมืองนอกนั้น ถ้าดูแลตัวเองไม่ได้ ก็คงจะอดตายไปเสียแล้ว...ปัญหาระหองระแหงระหว่างสุนันทากับจรินนามีมานานแล้ว แต่ว่านางสำเนียงไม่ได้คิดว่าในวันหน้านั้นจะสุนันทากับจรินนาจะมีปัญหาเรื่องชอบผู้ชายคนเดียวกัน...

และวันนี้พอเท้าก้าวเข้ามาในร้านของสุนันทาลูกสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อนชายร่วมรุ่นที่ได้ร่วมงานกับอาจารย์เดชาพงษ์ก็รีบขออนุญาตวางสายแล้วทักทายผู้เป็นแม่ทันที

“แม่ มาก็ดีแล้ว มีเรื่องจะรบกวนหน่อย”

“เรื่องอะไร” ผู้เป็นแม่เดินไปทรุดตัวลงนั่งที่หน้าโต๊ะบัญชีของลูกสาว ซึ่งนับวัน นางสำเนียงก็เห็นว่า สุนันทานั้นแต่งเนื้อแต่งตัวจัดจ้านขึ้น

“คือ แม่มาช่วยเฝ้าร้านให้ฉันหน่อยได้ไหม”

“ทำไมละ จะไปไหนอีก ไปกี่วัน”

“ก็ สองสามเดือน”

“ฮะ จะไปไหนตั้งสองสามเดือน”

“ก็ ฉันจะไปร่วมทีมวาดภาพกับอาจารย์กล้วย โรงแรมของลุงไงแม่”

“มีงานมีการทำอยู่แล้ว จะไปวุ่นวายทำไม”

“แม่ก็รู้นี่” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดนั้นส่งสัญญาณให้แม่รู้ว่า แม่ควรจะรู้ใจลูกสาวคนนี้ดีว่า งานนี้เธอต้องการอะไรแน่

“ตอนนี้แม่ไปไหนมาไหนไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คุณหนู”

“ไม่ต้องมาอ้างเขาเลยนะ”

“เอ๊ะ นังนี่”

“แม่เป็นแม่ฉันนะ ไม่ใช่แม่เค้า เค้าเองก็โตจนป่านนั้นแล้ว มือเท้ามีพร้อม...นะแม่นะ มาเฝ้าร้านให้ฉันหน่อย ฉันอยากไปโชว์ฝีมือไว้ในโรงแรมนี้น่ะ โอกาสดี ๆ แบบนี้หาได้ง่าย ๆ ที่ไหน งานเร่ง ๆ แบบนี้อาจารย์กล้วยรับฉันร่วมทีมด้วยแน่นอน”

“สุนันทา แม่ดูแล้ว เค้า...” นางสำเนียงจะเอ่ยปากปรามว่าไม่มีประโยชน์เพราะดูแล้วฝ่ายชายดูจะไม่ได้สนใจตัวเองในทางชู้สาวสักนิด... แต่ว่าผู้เป็นลูกสาวก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“นะแม่นะ สองสามเดือนเท่านั้นนะ นะแม่ช่วยฉันหน่อย...นะ ๆ ฉันไหว้หละ นะจ๊ะ...”

------------------------------------

“ป๊าอยู่ไหนคะ” ขณะที่นั่งกินสุกี้พลางคุยเรื่องทั่ว ๆ ไปอยู่กับวิษณุจักรโทรศัพท์ของจรินนาก็ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นเบอร์ของพ่อ หญิงสาวจึงรีบดึงมารับสายทันที

“คืนนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า”

“ป๊ามีอะไรหรือคะ”

“ป๊าเพิ่งนึกได้ว่ามีงานเลี้ยงงานแต่งนะ ลูกเจ้าของร้าน...แต่พอดีป๊าไปไม่ได้”

“อ้าว แล้วป๊าจะไปไหน”

“วันนี้วันพระ ป๊าอยู่วัด...”

“วัด..ทำไมต้องอยู่วัด”

“ถือศีลอุโบสถน่ะ หนูไปแทนป๊าหน่อยได้ไหม การ์ดเชิญอยู่ในตะกร้า ไปกับเอกเขาก็ได้ เขาไปเหมือนกันป๊าถามเขาแล้ว"

“แต่จินไม่รู้จักใครเลยนะคะ”

“ต่อไปหนูต้องหมั่นออกงาน ธุรกิจมันต้องพึ่งพากันนะลูก” ผู้เป็นพ่อยังอธิบายเหตุผลอีกยืดยาว สุดท้ายผู้เป็นลูกสาวจึงต้องจำใจตามใจ แต่ว่าจรินนานั้นก็ยังข้องใจอยู่ว่า วันพระทำไมพ่อจะต้องไปอยู่วัด บ้านก็มีอยู่ทำไมพ่อไม่อยู่บ้าน แต่ว่าหญิงสาวก็ยังไม่ทันซักไซ้ให้ละเอียดก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะขอตัววางสาย และขณะที่ลดโทรศัพท์ลงจากใบหู สายตาของจรินนาก็แลเหลือบไปเห็นว่าเดชาพงษ์นั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเกาะแขนเดินออกจากร้าน สุกี้ไป...

“อ้าว นั่นอาจารย์เดชาพงษ์นี่ มากับใครละหว่า น่ารักดี” เสียงร้องบอกของวิษณุจักรทำให้จรินนาต้องแลเหลืบตามไป...พร้อมกับคำถามผุดขึ้นในใจ

เขามากับใคร? เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้อารมณ์ของจรินนาขุ่น เช่นเดียวกับที่เขาทำไมต้องบอกกับเธอว่าวันนี้เขาไม่สะดวกให้เธอพบเพราะอยู่บ้านพ่อแม่ที่กระดานป้าย...เขามีเหตุผลอะไรทำไมต้องหลอกเธอด้วย?


-----------------------------

“ยิ้มหน่อยสิ” แม้จะเข้ามาในงานแต่งอันหรูหราแล้วใบหน้าของจรินนาก็ยังบึ้งตึงอย่างเปิดเผยความรู้สึกของจรินนาคือสลัดอารมณ์คับข้องใจเรื่องเดชาพงษ์กับเด็กสาวคนนั้นออกไปไม่หมด แต่ว่าพอเอกรินทร์ร้องเตือนสติ จรินนาก็รีบเกลื่อนสีหน้าให้เป็นปกติพลางก้าวเท้าเคียงคู่ไปกับเอกรินทร์ และพอจะใกล้ถึงโต๊ะลงทะเบียน เอกรินทร์ก็กระซิบบอกกับจรินนาเบา ๆ ว่า

“เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักกันคนสำคัญไว้นะ”

เอกรินทร์พูดไม่ทันจบ ทั้งเขาและเธอก็เดินถึงโต๊ะลงทะเบียน ที่หน้าโต๊ะนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ชุดแซคสีขาวกระโปรงลูกไม้ดูเรียบร้อยปล่อยผมยาวสยายหญิงสาวยิ้มให้เอกรินทร์พร้อมกับที่เอกรินทร์ร้องทัก...“ดีครับน้องแพรว...”

“สวัสดีค่ะพี่เอกรินทร์” ด้วยถือกระเป๋าใบเล็กแพรวพรรณจึงไม่ได้ยกมือไหว้เขาอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนคุณนายวันเพ็ญที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนร่วมสมาคมนั้น พอได้ยินเสียงทักลูกสาว นางก็หันมาหาต้นเสียงทันที เอกรินทร์และจรินนาจำต้องยกมือขึ้นไหว้ผู้มีอาวุโสกว่าอย่างรู้ธรรมเนียม

“จรินนา ลูกสาวอาเจ็กครับ” เอกรินทร์จำต้องแนะนำให้จรินนารู้จักกับคุณนายวันเพ็ญ และพอเท้าความถามไถ่ที่มาที่ไปกันแล้ว คุณนายวันเพ็ญก็ขอตัวพาลูกสาวไปถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ส่วน เอกรินทร์กับจรินนานั้นก็ลงชื่ออวยพรให้คู่บ่าวสาว และเมื่อผ่านขั้นตอนการเข้าสู่งานวิวาห์นั่งโต๊ะจัดเลี้ยงเรียบร้อย เอกรินทร์ก็บอกกับจรินนาว่า

“แพรวพรรณ ว่าที่พี่สะใภ้จารย์กล้วยที่เคยบอกไว้น่ะ”

“คุ้น ๆ หน้า...อยู่นะ”

“อีกไม่กี่วันเค้าก็จะแต่งกับนายทหารเรือ เตรียมชุดไว้รอได้เลย ไปดูบารมีเศรษฐีบ้านนอกด้วยกัน”

“เค้าไม่ได้เชิญ....”

“ไม่พลาดหรอก พ่อน้องแพรวกับอาเจ็กเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่สมาคมเดียวกัน ดีไม่ดีได้การ์ดมาก่อนพี่อีกมั้ง”

“ขอตัวไม่ไปแล้วกัน” ไม่ไปเพราะยังเสียความรู้สึกกับอีตาอาจารย์กล้วยนั่นไม่หาย...คนอะไร ปากก็ว่าเข้าวัดเข้าวาหากินกับวัดแต่ว่าโกหกน่าตาเฉย...

“แล้วนี่หน้าตาไม่ยังไม่ยอมเหยียด หงุดหงิดใครมารึ”

“ไม่มีอะไรหรอก หงุดหงิดหิวน่ะ...” ตัดบทไปแล้วจรินนาก็มองไปบนเวทีที่มีชื่อเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวเคียงกัน และภวังค์นั้นหญิงสาวก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าจะมีงานแต่งงานของตนกับใครบ้างไหมหนอ?

----------------------------
หาที่จอดรถได้แล้วอนงค์นางก็รีบสาวเท้าเดินมายังห้องจัดเลี้ยงที่จัดอยู่ในโรงแรมใหญ่และพอจะก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองสายตาของอนงค์นางก็ไปสะดุดกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเธอเห็นเขาเมื่อวันที่ไปช่วยอาจารย์เดชาพงษ์จัดการนำน้ำขี้เหล็กไปลดค่าความเป็นด่างของปูน และเขาก็เหมือนจะจำเธอได้...เขายิ้มบาง ๆ ให้ อนงค์นางที่อยู่ในชุดกางเกงยีนรองเท้าสวมมีส้นเสื้อสีชมพูแขนกรุยกรายจำต้องยิ้มเปิดเผยให้เขา และตามมารยาทหญิงสาวก็ควรที่จะเป็นฝ่ายทักเขาก่อน เพราะเขานั้นน่าจะอายุมากกว่าและที่สำคัญฐานะการงานก็คงสำคัญอยู่มาก ไม่เช่นนั้นเจ้าของโรงแรมคงไม่ออกไปกินข้าวกลางวันด้วยอย่างแน่นอน...

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”

ทั้งสองก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกันเพราะมั่นใจว่า จุดหมายของอีกฝ่ายก็คืองานเลี้ยงที่อยู่ชั้นสอง

“มางานนี้เหมือนกันหรือครับ”

“พอดี แม่ปวดท้องเลยให้มาแทนค่ะ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าต้องมางานนี้ก็แทบจะหมดเวลาแล้ว”

“ผมเป็นเพื่อนกับเจ้าสาว” เขาชวนคุย

“ค่ะ”

ทั้งสองเดินไปจนถึงชั้นสองแล้วก็หยุดชะงักเพราะต่างคิดว่าจะเดินเข้าไปในงานพร้อมกันดีหรือไม่ อนงค์นางนั้นไม่มีปัญหาอะไรเพราะมาคนเดียวก็อยากได้เพื่อนเพื่อกันความเก้อเขิน แต่วิษณุจักรนั้นคิดมากเกรงว่าถ้าหญิงสาวเดินเคียงไปกับเขาจะเป็นการทำให้คนอื่นเข้าใจเขาผิด ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องชะลอฝีเท้าเพื่อให้หญิงสาวที่เขายังไม่รู้จักชื่อแซ่ก้าวนำไปก่อน

“เชิญเลยครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปห้องน้ำก่อนดีกว่า”

อนงค์นางไม่ได้คิดลึกซึ้ง หญิงสาวจึงยิ้มให้เขาก่อนจะสาวเท้าเข้าไปยังหน้างาน เขาเองเมื่อหลบเลี่ยงจากอนงค์นางได้แล้วก็ดึงโทรศัพท์มาโทรหาจรินนาที่ได้นัดหมายกันไว้ว่าจะมาเจอกันในงาน แต่ว่าเขาก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อหญิงสาวที่เขารู้สึกมีค่าคู่ควรกันไม่ยอมรับสายของเขา




จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2555, 21:13:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2555, 21:41:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2499





<< 5.1“ผมยังเห็นว่าเค้าจะสนใจอะไรผม”   6.1“ยังค่ะ ไม่สวย ผู้ชายที่ไหนจะมอง” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 7 ก.ค. 2555, 21:23:51 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังจะครับ..จุ๊บ ๆ...


Orathai 7 ก.ค. 2555, 21:44:15 น.
อ้าว..คราวนี้ต่างคนต่างเคืองกันแฮะ...


ฟิน 7 ก.ค. 2555, 21:47:56 น.
โอ๊ะ สบู่คุ้นๆ นะเนี่ย


รอให้เป็นเล่ม 7 ก.ค. 2555, 21:53:37 น.
กรี้ดดดดดดดดดด
กำลังจะไปนอนแต่เห็นตอนใหม่มา คืนนี้ต้องนอนหลับฝันดีแน่ๆ


คิมหันตุ์ 8 ก.ค. 2555, 00:10:18 น.
แอบงอนกันด้วยวุ้ย คิคิ


แว่นใส 8 ก.ค. 2555, 09:42:40 น.
เข้าใจผิดนะเนี่ย


Zephyr 8 ก.ค. 2555, 12:01:16 น.
โอ๊ะ หนูนา ดูสิ ทำว่าที่พี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว
มีเคลียร์ตอนหลังคุณหนูจรินนาหน้าแตกแน่ อิอิ
แหม เชียรืข้างใครดีเนี่ย จารย์กล้วยหรือหนูจินดี อืมมมม....


nutcha 8 ก.ค. 2555, 14:31:49 น.
จรินนาเคืองอาจารย์กล้วยอีกแล้ว


หนอนฮับ 8 ก.ค. 2555, 15:01:39 น.
แหม่...ทำเชิดจริงๆ คุณหนู


anOO 8 ก.ค. 2555, 19:22:35 น.
เดี๋ยวคุณหนูจรินนาคงไปรู้ความจริงตอนงานวันแต่ง


jink 10 ก.ค. 2555, 09:30:59 น.


lookAme 20 ก.ค. 2555, 18:03:27 น.
เข้าใจผิดแล้วหนู


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account