ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 6.1“ยังค่ะ ไม่สวย ผู้ชายที่ไหนจะมอง”

บทที่ 6

เสียงเคาะประตูห้องเช่า ทำให้สราวุฒิต้องละงานระบายสีในมือ เขาหันไปหาประตู เสียงเคาะยังกระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะร้องถามออกไปว่า
“ใคร”

“หนิงคะพี่”

“มีอะไรรึ”

“เอ่อ หนิง จะขอยืมเตารีดหน่อยค่ะ”

เขานิ่งไปอึดใจ มองไปยังห้องที่มีอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้เพียงเล็กน้อยของตน พยามระงับอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจก่อนจะถามด้วยเสียงห้วน ๆ ไปว่า

“แล้วทำไมไม่ซื้อใหม่สักที” ถามออกไปแล้วเขาก็เดินไปยังเตารีดที่วางไว้มุมห้อง ก่อนจะเดินไปยังประตูดึงกลอนออกเปิดเปิดประตูเพียงแย้มก็พบว่าหนิงนั้นยังอยู่ในชุดนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ว่าผมเผ้าและหน้าตานั้นบ่งบอกว่าหนิงเพิ่งตื่นนอนจากการหลบไหลในช่วงเย็นแน่ ๆ

“ก็ยังไม่มีมีเวลาไปซื้อ” ตาของหนิงจับอยู่ที่ใบหน้าของเจ้าของเขา สายตานั้นปรอย ๆ ออดอ้อนจนสราวุฒิเบือนหน้าหนี

“หวงเหรอ”

“เสียสมาธิทำงาน” เขาจะทุ่มเทเวลาที่ลืมตาตื่นนี้ให้กับงานวาดภาพทั้งภาพปกของสำนักพิมพ์ดวงใจและภาพจิตรกรรมไทยเพราะต้องการสร้างฐานะให้มั่นคงเพื่ออนาคต การที่ถูกเพื่อนข้างห้องเช่ารบกวนด้วยการคุยกันเสียงดังเปิดเพลงเสียงดัง หรือว่าพอเปิดประตูห้องรับลมทิ้งไว้แล้วมีคนชะโงกหน้ามาดู มาชวนคุย มาขอยืมเข้าของเครื่องใช้แบบนี้ มันทำให้สมาธิของเขาเสีย ดังนั้นเขาจึงต้องบอกหนิงผู้หญิงที่ดูจะมีใจให้กับเขาไปตรง ๆ แต่สีหน้าของหนิงนั้นหาได้สำนึกผิด

“ขอโทษค่ะ”

“อืม...ไม่เป็นไรหรอก” ว่าพลางเขาก็ส่งเตารีดในมือให้หนิง หนิงรับไว้แล้วชวนคุยต่อ

“แล้วพี่วาดรูปอะไรอยู่ วาดรูปคนอยู่เปล่า” หนิงทำท่าชะเง้อชะแง้ไปดู แต่ว่าเขาก็ไม่เปิดห้องให้เห็นว่าเขากำลังวาดรูปอะไร...นั่นก็คือเป็นการไล่หนิงให้กลับห้องของตัวเองไปเร็ว ๆ นั่นเอง

“ขอดูหน่อยก็ไม่ได้” หนิงยังเซ้าซี้

เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วก็เสียมารยาทอีกรอบโดยการดันประตูห้องปิดลงแต่ว่าหนิงก็ผลักไว้...

“ขอบคุณนะคะ”

“อืม..”

“แล้วจะรีบเอามาคืนค่ะ” บอกเขาพร้อมทำตาปรอย ๆ ส่งความรู้สึกว่าชอบเขาให้เขาแล้ว เขาก็ปิดประตูห้องลง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ

เขาไม่ชอบหนิง เพราะหนิงนั้นดูกร้านโลก หนิงเรียนภาคกลางวันและทำงานเชียร์เบียร์ในภาคค่ำจนถึงกลางคืนด้วย หนิงมีเพื่อนหญิงที่สนิทสนมกันพักอยู่ด้วยคือ ชื่อหน่อย หน่อยนั้นมีผู้ชายขับรถมาส่งแทบไม่ซ้ำหน้า เพราะว่าหน่อยสวยกว่าหนิง หนิงกับหน่อยมีมอเตอร์ไซด์รุ่นออเตอร์เมติกที่ยังต้องผ่อนใช้อยู่หนึ่งคัน แต่ว่าบ่อยครั้งที่เขาเห็นหนิงขี่รถกลับมาคนเดียว และก็บ่อยครั้งที่มีหนุ่ม ๆ ขี่รถตามมาส่งหนิง..ดังนั้นเขาจึงไม่อยากยุ่งกับสองสาวที่เขาพอจะดูออกว่า มาวอแวกับเขานั้นต้องการอะไร...

เมื่อกลับถึงห้องแล้วหนิงก็ทิ้งตัวลงกับที่นอนปิกนิคที่ปูนอนไว้บนพื้นห้อง มองเตารีดที่อยู่ในมือแล้วก็นึกถึงหน่อยขึ้นมา ถ้าหน่อยไม่ไปทำงาน หน่อยจะต้องหัวเราะเยาะเธออีกแน่ ๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบพยายามทอดสะพานครั้งแล้วครั้งเล่า

...แต่ว่าตราบใดที่ยังพักอยู่หอเดียวกันแบบนี้ ตราบนั้นเธอก็ยังมีหวัง...ให้กำลังใจตัวเองแล้ว หนิงก็กางผ้าห่มสำหรับรองรีดผ้าเสียบปลั๊กเตารีดเข้ากับเต้าเสียบ และพอนึกได้ว่าเธอควรจะตอบแทนอะไรเขาบ้าง หญิงสาวก็ลุกไปรื้อถุงขนมที่เพื่อนชายของหน่อยซื้อมาฝากก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของสราวุฒิอีกรอบ

“พี่วุฒิคะ พี่วุฒิ” หนิงไปยืนเรียกเขาอยู่หน้าห้อง อึดใจเขาก็ลุกมาเปิดประตู ใบหน้านั้นบ่งบอกให้รู้ว่ารำคาญที่ถูกรบกวนอย่างเห็นได้ชัด...

“พอดีหนิงมีขนม...แบ่งกันกินนะคะ”
สราวุฒิมองขนมปังกรอบในมือของหญิงสาวแล้วก็เอื้อมมือไปรับไว้...

“ขอโทษที่รบกวนนะคะ”

“อือ”

“พักผ่อนบ้างนะคะ ไม่กวนแล้วคะ”

“เตารีดใช้เสร็จแล้ว ยังไม่ต้องเอามาคืนหรอกนะ คืนนี้ต้องการใช้สมาธิทำงาน” เขารีบกันท่าอีกรอบ

“ค่ะ ฝันดีนะคะ...”

---------------------------

“ฝันดีนะคะ” เมื่อนั่งลงกับเก้าอี้พลาสติกหน้าขาตั้งเฟรมแล้วสราวุฒิก็มองภาพจิตรกรรมไทยบนพื้นผ้าใบที่ตัวเองกำลังลงสี...ถ้อยคำหวานหูของหนิงเมื่อครู่ทำให้เขานึกถึงใบหน้าของอนงค์นางขึ้นมาและด้วยอารมณ์คิดถึงหญิงสาว เขาจึงหันไปยังผนังห้องใกล้ ๆ กับหัวนอนที่มีรูปถ่ายของเขากับอนงค์นางถ่ายกันตอนที่อาจารย์ เดชาพงษ์พาไปทัศนศึกษาที่วัดพระแก้ว

วันนั้นถ้าไม่ได้เพื่อน ๆ ช่วยคะยั้นคะยอให้เขาถ่ายรูปคู่กับอนงค์นาง เขาก็คงไม่มีรูปใบนี้ไว้เป็นที่ระลึก...และเมื่อคิดว่าเขาจะต้องเดินหน้าจีบอนงค์นางต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุด นั่นก็คืออนงค์นางมีใครสักคนอย่างจริง ๆ เขาก็ลุกไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางไว้อยู่บนที่นอนมาพิมพ์ข้อความ ว่า “ฝันดีนะครับ” ลงไป แต่ว่า พอจะกดส่ง เขาก็เข้าใจอารมณ์ของคนที่ไม่ได้อยากได้ยินได้เห็นข้อความเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไร..แต่ว่า..อย่างไรเสีย เขาจะต้องสู้กับความรักของเขาในครั้งนี้...

----------------------
อนงค์นางเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงด้วยทีท่าเก้อเขิน สายตาหญิงสาวกวาดมองไปหาโต๊ะที่ยังมีเก้าอี้ว่าง กระทั่งมองไปเห็นโต๊ะของเอกรินทร์ ที่เจ้าหล่อนพอคุ้นหน้าอยู่บ้างและเขาก็มองมาเห็นเจ้าหล่อนที่ยืนอยู่ตรงประตูเช่นกัน..

“ที่ตรงนี้ว่างไหมคะ” อนงค์นางถามคนที่นั่งอยู่ก่อนเมื่อเดินไปถึง

“นั่งได้เลยครับ” เอกรินทร์รีบบอก จรินนาหันไปมองหน้าหญิงสาว อนงค์นางยิ้มบาง ๆ ให้ จรินนาจำต้องยิ้มตอบ

“มาคนเดียวเหรอน้อง” เอกรินทร์นั้นเคยเห็นอนงค์นางที่โรงเรียนครั้งที่ไปธุระกับคุณบรรจง แต่ว่าทั้งคู่ก็ไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว

“มาคนเดียวค่ะพี่ จริง ๆ แล้ว นางไม่ได้รู้จักใครหรอก แต่ว่าแม่ ปวดท้อง ก็เลยให้นางมาแทน” อนงค์นางอธิบายไปตามประสาคนพูดเก่ง และพอนั่งลงข้าง ๆ เอกรินทร์แล้วอนงค์นางก็มองอาหารบนโต๊ะที่มีอยู่สองชนิดออเดิร์ฟกับกระเพราะปลาน้ำแดง ด้วยหิวหญิงสาวจึงหงายถ้วยแบ่งและเตรียมคว้าตะเกียบกับช้อนทันที

“ลูกศิษย์อาจารย์กล้วย” เอกรินทร์บอกกับจรินนา และจรินนาก็เอ่ยว่า

“วันก่อนเห็นน้องเขาที่โรงแรมแล้ว”

“ดีใจค่ะที่ได้โชว์ฝีมือไว้ในโรงแรมใหญ่ ๆ แบบนี้” อนงค์นางหารู้ไม่ว่า เจ้าของโรงแรมที่นั่งเยื้อง ๆ กับตนนั้นหาได้อยากได้ภาพพวกนั้น จึงได้เผยความรู้สึกออกไปยกใหญ่

“คุณบรรจงพ่อของพี่ใจดีจังเลยค่ะ...พวกเราเลยมีพื้นที่แสดงฝีมือ”

“งานนี้มีกี่คนละ” เอกรินทร์ทำทีเป็นซักไซ้เพราะรู้ว่าจรินนานั้นคงจะเริ่มคันปากหรืออยากระบายอะไรออกไปแน่ ๆ

“ก็หลายคนค่ะ แต่ภาพใหญ่ตรงผนังทางขึ้นชั้นสอง อาจารย์ลุยคนเดียวค่ะ นางกับเพื่อน ๆ จะเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่ะ ตามหัวเสากับมุมผนัง แต่ว่าแบบที่จะวาดทั้งหมดนั้นเป็นของอาจารย์”

“แล้วปกติน้องทำงานที่ไหน”

“นางอยู่เกาะค่ะ...”

จรินนานิ่วหน้า...

“เกาะพ่อแม่กินค่ะ...คือจริง ๆ นางเรียนจบคหกรรมฯ แต่ว่า ยังไม่ได้ใช้วุฒิ ป.ตรี ไปทำประโยชน์อะไร นางไม่อยากไปทำงานที่โรงแรมในกรุงเทพฯ หรือตามจังหวัดที่มีโรงแรมเยอะ ๆ อย่างภูเก็ตหรือพัทยา นางอยากอยู่บ้าน ทีนี้พอรู้ข่าว ว่ามีเรียนเขียนภาพแบบนี้ ซึ่งนางก็สนใจเหมือนกัน ก็เลยไปลองดูค่ะ แล้วพอเรียนจบแล้วมีโปรเจคนี้เข้ามา อาจารย์ชวนให้ร่วมทีมด้วย ก็เลยคิดว่า ไม่อยากปล่อยให้โอกาสดี ๆ นี้ผ่านไป"

ระหว่างที่อนงค์นางบอกเล่าเรื่องของตัวเองอย่างยืดยาวนั้น จรินนาก็รู้สึกได้ว่า โทรศัพท์ในกระเป๋าที่ตัวเองถือมาด้วยสั่นเรียก หญิงสาวรีบเปิดกระเป๋าดึงโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ พอเห็นเบอร์ของวิษณุจักร จรินนาก็ทำหน้าเหวอเพราะว่าตัวเองนั้นลืมไปเสียสนิทเลยว่า งานนี้เขาก็จะมาเหมือนกัน เธอจึงได้นัดกับเขาไว้ว่าจะนั่งโต๊ะเดียวกัน...และพอคุยกันจนรู้ว่า วิษณุจักรเดินเข้ามาในงานแล้ว จรินนาก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้วิษณุจักรเห็นว่าเธอนั่งอยู่ตรงไหน

วิษณุจักรเดินผ่านโต๊ะอื่น ๆ พลางยิ้มบ้างเอ่ยคำทักทายบ้างกระทั่งมาหยุดอยู่ที่เก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ นั่นก็คือ ตัวที่อยู่ข้าง ๆ กับอนงค์นางและใครที่เขาก็ไม่รู้จัก เขาทรุดตัวลงนั่ง อนงค์นางหันไปยิ้มให้เขา โดยที่หญิงสาวรู้สึกว่าสายตาของเขานั้นจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มสีสันประหนึ่งว่าจะเป็นเจ้าสาวอีกคนมากกว่ารอยยิ้มของตัวเอง อนงค์นางก็เลยตัดสินใจหยุดพูดและคว้าตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก...

แต่ว่ายังไม่ทันที่จะคีบอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใส่ท้องให้คลายหิว โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ร้องเรียกว่ามีข้อความเข้ามา หญิงสาวรีบขยับตัวดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า และพอเห็นว่าเป็นข้อความจากสราวุฒิ อารมณ์อยากจะเปิดอ่านก็หาได้เกิดขึ้น แต่ว่าอนงค์นางก็จำต้องกดเปิดอ่านข้อความ เพราะจะได้รู้ไว้ว่า จะตั้งรับกับเพื่อนที่เธอไม่อยากให้ล้ำเส้นคำว่าเพื่อนคนนี้อย่างไร


“อาหารที่นี่รสชาติแย่มากเลยนะ” วิษณุจักรเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ปลาทับทิมนึ่งมะนาวแตะที่ลิ้น อนงค์นางหันไปหาเห็นว่า พอเห็นว่า เหมือนเขาจะคุยกับทุก ๆ คนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกัน อนงค์นางจึงคิดว่า เธอน่าจะมีส่วนร่วมตามมารยาทมากกว่านั่งกินอย่างไร้ตัวตน

“ติดจะเค็มไปนิดจริง ๆ”

“แต่น้องก็คีบเอาคีบเอา” เขาหันมากระเซ้า

“นางหิวค่ะ”

“ชื่อนางเหรอ...”

“ค่ะ นาง พี่ละคะ..” ไม่ใช่แค่ถามวิษณุจักร แต่สายตาของอนงค์นางมองไปหาจรินนาและเอกรินทร์ด้วย ซึ่งเธอเองยังไม่รู้เลยว่า คนที่เคยเห็นหน้ากันแล้ว และน่าจะได้เห็นหน้ากันต่อไปจนกว่างานวาดภาพจะเสร็จชื่อว่าอะไรกันบ้าง

“พี่ชื่อจักร” วิษณุจักรแนะนำตัวเอง

“พี่เอก แล้วก็พี่จิน” เอกรินทร์แนะนำตัวเองพร้อมกับคนที่นั่งมองเวทีบ้าง มองโต๊ะอาหารบ้างอยู่ข้าง ๆ

“พี่จินสวยมากค่ะ” อนงค์นางปากเร็วพอที่จะเอ่ยชมเอาใจหญิงสาว

“น้องก็น่ารัก” จรินนาจำต้องผูกมิตรคืนไว้บ้าง

“เก่งนะ กล้ามางานแบบนี้คนเดียวด้วย” เอกรินทร์ดึงเอาเรื่องของอนงค์นางมาคุย
เสีย

“เขินอยู่ค่ะ แต่ว่า ทำอย่างไรได้ เขาแจกการ์ดแล้ว แม่ไม่อยากให้การ์ดตาย”

“เมื่อกี้บอกว่าจบคหกรรม งั้นก็ทำอาหารเก่งละซิ” เอกรินทร์ซักไซ้ ตอนนั้นเองวิษณุจักรก็รู้สึกทึ่งกับหญิงสาวที่ท่าทางจะกระโดกกระเดกข้าง ๆ ตนเช่นกัน

“พอได้ค่ะ เอาประณีตบรรจงละไม่ใช่ทางนางหรอก ต้องบอกว่า พอกินได้ค่ะ แต่คิดว่าอร่อยกว่าของบนโต๊ะนี่อย่างแน่นอน”

“ใครได้ไปเป็นแม่บ้านแม่เรือนคงจะโชคดีมาก” เอกรินทร์กระเซ้ายิ้ม ๆ

“น่าจะ”

“แล้วมีแฟนหรือยัง” วิษณุจักรถามขำ ๆ

“ยังค่ะ ไม่สวย ผู้ชายที่ไหนจะมอง”

“เก๋ออก” จรินนานึกเอ็นดูเด็กสาวขึ้นมาเช่นกันจึงเอ่ยปากชม

“ดูอาร์ต ๆ ดี ครับ มีบุคลิก พี่ชอบ”

ชอบในความหมายของวิษณุจักรนั่นก็คือ เอ็นดู ไม่ใช่ แบบพิศวาสแน่ ๆ และพอวิษณุจักรเอ่ยออกไปแบบนี้ จรินนาก็ไพล่ไปคิดถึง อาจารย์หนุ่มของอนงค์นาง เขาดูอาร์ตเก๋ไก๋ชวนมอง โดยเฉพาะวันนี้ เธอรู้สึกว่า หน้าเขาแปลกตาไป...ทำไมถึงแปลกตาไป...จรินนาครุ่นคิด
แล้วก็ต้องยิ้มนิด ๆ เมื่อนึกได้ว่า เขาเพิ่งตัดผมนั่นเอง...




จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2555, 17:16:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2555, 21:49:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 2366





<< 5.2 “เสียดายชีวิตคนโสดค่ะ แล้วอีกอย่างดู ๆ กันไปก่อน”   6.2 “ถ้าไม่จีบเขา แล้วเขาจะรักเราไหมละพี่” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 9 ก.ค. 2555, 17:19:17 น.
ตัวละครเยอะนี๊ดนึง แต่ภูมิใจนำเสนอยิ่ง หวังว่าคงจะไม่งงกันนะครับ อย่างไรก็ ชอบเรื่องนี้ก็เม้นท์ก็ไลต์ให้กำลังผมด้วยนะครับ ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจนะครับ


imsoul 9 ก.ค. 2555, 17:58:07 น.
มาแล้ว อ่านจบแล้ว รอต่อคะ


anOO 9 ก.ค. 2555, 19:28:56 น.
แอบเก็บรายละเอียด อาจารย์กล้วยเหมือนกันนะ


รอให้เป็นเล่ม 9 ก.ค. 2555, 19:41:48 น.
ตอนใหม่มาแล้วอย่างรวดเร็ว ถูกใจคนรออ่านจริงๆ ค่ะ


nutcha 9 ก.ค. 2555, 20:23:23 น.
มาเม้นท์และกดไลต์ให้กำลังใจค่ะ คุณเฟื่องพิมพ์คำว่า "รสชาติ" เป็น "รถชาติ" นะค่ะ


Orathai 9 ก.ค. 2555, 21:42:02 น.
มาอ่านพร้อมไลค์ค่ะ...


จุฬามณีเฟื่องนคร 9 ก.ค. 2555, 21:44:27 น.
รถชาติ 55555555555555555 เขียนไปได้นะเรา.......


ณจรร 9 ก.ค. 2555, 22:39:32 น.
ไม่สวยต้องใช้เจ้าจันทร์ฉายด้วยป่าววว อิอิอิ


ณจรร 9 ก.ค. 2555, 22:40:39 น.
จริงๆ แล้วคำว่ารสชาด รสชาติ รถชาติ เนี่ยใช้ผิดเยอะเนอะ


คิมหันตุ์ 10 ก.ค. 2555, 01:32:23 น.
เค้าชอบเรื่องนี้ค่ะคุณเฟื่อง comment ให้ตลอด เค้าชอบจารย์กล้วย ง่ะ อาร์ตตตตตมาก คิคิ


แว่นใส 10 ก.ค. 2555, 08:00:23 น.
หล่ออะดิ


jink 10 ก.ค. 2555, 09:36:54 น.


Zephyr 11 ก.ค. 2555, 19:29:20 น.
อืม จินมองนานจังนะ กว่าจะเห็นว่าพี่กล้วยตัดผม แปลว่าพี่กล้วยยังอยู่นอกสายตานะเนี่ย อิอิ


lookAme 20 ก.ค. 2555, 18:04:58 น.
เพิ่งนึกได้เนอะ เราก็ยังหวังว่าจะคิดได้ทันทีที่เห็น=ใส่ใจมาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account