ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: ดื้อ



“เราจะหย่ากันเมื่อไหร่คะ” ฉันแสร้งทำท่าร่าเริงมากๆในขณะเรานั่งรถจะไปทำงาน

คุณนรินทร์ยังคงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ยี่หระต่ออะไร

ฉันว่ามันค่อนข้างผิดปกติ ตั้งแต่กลับมา เขาไม่ยอมเอ่ยเรื่องเลวร้ายที่ภูเก็ตเลย

“อย่าใจร้อนไปเลยน่า”

อืม…ไม่ให้ฉันใจร้อนอย่างนั้นหรือ เราใกล้ชิดกันจนเกิดความรัก(ข้างเดียว) แล้วอยู่ๆ เขาก็หักอกฉันไปซบคนรักเก่า มิหนำซ้ำยังปล่อยให้ฉันเผชิญหน้าเขาต่อไปอย่างนี้

แล้วจะไม่ให้ฉันใจร้อนเหรอยะ!!!!!

ความจริง วันนี้ ฉันไม่มีกำลังใจจะไปทำงานด้วยซ้ำ

การทำงานทั้งๆที่อกหักนี่ทรมานพิลึก ฉันพึ่งเข้าใจรสชาติของคนหักอกก็ครั้งนี้เอง เมื่อก่อนเอาแต่ว่าหนูเล็ก แต่ตอนนี้เป็นฉันเองต่างหากที่น่าสมเพช

อยากจะบ้าตาย เดี๋ยวฉันก็ต้องเดินตามก้นเขาไปเข้าประชุมอีกแล้ว เมื่อไหร่ฉันจะได้อยู่ห่างเขาสักทีนะ อ้อ…ไม่แน่เย็นนี้เขาอาจจะไปเยี่ยมยัยถวิกาที่โรงพยาบาลก็เป็นได้ เพื่อดูว่าข้อมือที่ถูกเฉือนไปหายดีหรือยัง แล้วฉันจะได้แว่บกลับไปหาแม่

โถ่เอ๊ย! อยากร้องไห้จริงๆ

นั่นไงล่ะ เขาออกมาแล้ว พร้อมแฟ้มการประชุมงี่เง่า

“ไปประชุมกันได้แล้ว” เขาสั่งฉันเหมือนเมื่อก่อน…เมื่อก่อนที่เราเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง ยังไม่ได้มีพันธะในการแต่งงาน

ที่สำคัญกว่านั้น…มันแปลว่า ฉันจะได้กลับมาอยู่ในสถานะเดิม แค่เลขา ไม่ใช่ภรรยาของเขา

“ขอแฟ้มให้ผมด้วยสิดี” เขาสั่งเสียงดังในที่ประชุม ขณะฉันนั่งข้างๆ และพยายามยิ้มให้กรรมการบริหารเหมือนทุกที

ฉันมองเขางงๆ

เขาพูดเสียงดังอีกครั้ง “ขอแฟ้มให้ผมด้วย แฟ้มการประชุมน่ะ”

สงสัย…การกลับไปคืนดีกับคุณรองนางงามคงทำให้เขาตาบอดด้วยมงกุฎพร้อมสายสะพานอันโต

ฉันยังคงยิ้มให้กรรมการบริหารต่อไป พร้อมๆกับที่ชี้นิ้วไปที่แฟ้มซึ่งเขาถืออยู่

เขามองมันอย่างเสียหน้าและแสร้งกระแอมกลบเกลื่อน

“สวัสดีครับทุกท่าน เรื่องการสร้างโรงแรมของสิทรา ผมและที่ปรึกษาทางกฏหมายได้ส่งหลักฐานทุกอย่างไปทางหน่วยงานในจังหวัดภูเก็ตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่นานนักคิดว่าเราคงจะได้รู้ผลกัน”

“แต่บริษัทสิทรามีความแน่นแฟ้นกับข้าราชการระดับสูงในภูเก็ตมากนะครับ” หนึ่งในผู้ประชุมแย้ง

ใช่ค่ะ และใครบางคนในที่นี้ก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับแฟนเก่า

หาอะไรนะ!!!! แปลว่าถ้าเกิดคุณจิทัศน์ผิดจริง คือสร้างรุกล้ำชายหาด แปลว่าโรงแรมของเขาต้องถูกรื้อ และตัวเขาต้องเสียผลประโยชน์นับล้านเลยสิ

คือ…ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงสะใจ แต่อันที่จริงแล้ว เขาก็เป็นคนดี และช่วยฉันเอาไว้

“ข้อนั้นผมทราบดีครับ และคุณไม่คิดบ้างหรือว่านราธรจะไม่รู้จักกับข้าราชการระดับสูงกว่า” คุณนรินทร์พูดนิ่งๆ

มีเสียงฮือฮาแสดงความพอใจดังขึ้นในที่ประชุม

คุณนรินทร์ร้ายชะมัด เขากัดคุณจิทัศน์ไม่ปล่อยเลย

“พักเรื่องนี้ไว้ก่อนครับ ผมอยากดูความเคลื่อนไหวของโรงแรมทุกสาขาในกรุงเทพฯ ช่วงที่ผมไม่อยู่”

แล้วการประชุมก็ดำเนินต่อไปด้วยความเอาจริงเอาจังในการทำงานของเขา และความชอกช้ำของฉัน

เราออกมาจากที่ประชุมพร้อมกัน แล้วตรงดิ่งกลับห้องทำงาน

ฉันรวบรวมความกล้า และทิ้งความเจ็บปวดไปขณะหนึ่ง

“คุณไม่ต้องเอาเรื่องสิทราให้ถึงที่สุดก็ได้นี่คะ แค่ลงโทษให้รู้สึกก็พอ”

เขายังคงก้าวฉับๆ ไม่สนใจฉันเหมือนเดิม

“อืม…นั่นเจ้ารันมาแล้ว”

ผิดคาด…เขาทำหน้าเฉยๆแล้วเดินผ่านฉันไป

เดี๋ยวใครมานะ….คุณรัน?????

“ไงพี่ริน จะให้ผมเริ่มอย่างไรก่อน อ้าวสวัสดีครับคุณสิดี”

ฉันมองสองศรีพี่น้องคุยกันด้วยความสงสัย ที่สำคัญวันนี้คุณรันมาที่บริษัท แถมใส่สูทมาด้วย

“สิดี ตารันจะเริ่มมาเรียนรู้งานของประธานบริษัท ผมอยากให้คุณแนะนำเขาด้วย คงเข้าใจใช่ไหม”

คุณนรินทร์พูดขณะสบตาฉันแน่วแน่

คุณรันมาเรียนรู้งานของประธานบริษัท!!!! ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม นี่คุณนรินทร์ทำจริงเหรอ…เขาอยากเขี่ยฉันไปให้พ้นไวไวสินะ

ฉันกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น และพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติ

“มาเริ่มกันเลยดีไหมคะคุณรัน”

ฉันแอบเห็นเขายักคิ้วให้พี่ชาย แล้วเดิมตามหลังฉันเข้าไปในห้องประธานบริษัท

“ฝากน้องชายด้วยนะ ผมคงต้องออกไปทำธุระข้างนอก”

ธุระข้างนอกของเขาคงไม่ใช่การไปประชุม พบลูกค้า หรือซื้อกาแฟที่สตาร์บั๊ก แต่คงเป็นการไปเยี่ยมใครคนหนึ่งที่โรงพยาบาล

ฉันสูดหายใจลึกๆ แล้วพาคุณรันไปดูตู้เก็บเอกสารของทางโรงแรม

“นี่คือข้อมูลด้านการบริการ แถบขวาจะเป็นด้านการบัญชี ส่วนแถวนั้นข้อมูลแยกของแต่ละสาขา และ…”

คุณรันมองฉันอย่างตั้งใจ ฉันลืมสงสัยอะไรไปหรือเปล่า

“นี่คุณมาเพื่อรับช่วงต่อแทนพี่ชายอย่างนั้นเหรอ”

เขายิ้มอย่างใจเย็น คุณรัน หรือ นรันทร์ นราธร รูปร่างหน้าตาคล้ายพี่ชายเกือบทุกกระเบียดนิ้ว จะผิดกันก็แต่แววตาที่ขี้เล่น และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นเท่านั้น

“ครับ”

“แต่…แต่ฉันไม่เข้าใจ วันนั้นคุณยังเถียงหัวชนฝาอยู่เลยว่าไม่เชื่อที่ฉันเป็นหมัน”

เขาส่ายหัว

“ก็ไม่เชื่อน่ะสิครับ แต่พี่รินบอกผมทุกอย่างแล้ว”

หา??????? ว่าอะไรนะ เขารู้แล้วอย่างนั้นหรือ?????

ฉันอ้าปากค้าง

“เรื่องการแต่งงานหลอกๆของคุณกับพี่ผม ผมรู้แล้วครับ ถ้าผมไม่รับช่วงต่อ นราธรก็จะตกไปถึงมือสิทรา ตามข้อตกลงของคุณทวด”

คุณทวด...ทวดใครกันอีกล่ะ ฉันทำหน้างงสุดขีด

“ผมไม่ได้เล่าให้หมด แต่ตอนนี้ผมยอมรับในความจริงข้อนั้นได้แล้วครับ ถ้าลูกชายคนโตไม่สามารถแต่งงานหรือมีทายาทที่สมควร ลูกชายคนรองจะรับช่วงต่อ และถ้าหากไม่มีลูกชายคนรอง บริษัทของเราจะต้องไปรวมกับสิทรา ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งโดยคุณทวดน้อย น้องสาวแท้ๆ ของคุณทวดผมเอง…เรากับสิทราเป็นลูกพี่ลูกน้องที่แสนห่างเหิน แต่เราสืบเชื้อสายเดียวกันครับ”

บ้าไปแล้ว….

“ถ้าอย่างนั้นคุณจิทัศน์กับคุณนรินทร์….”

คุณรันยักไหล่ “ก็ตามนั้นแหละครับ ลูกพี่ลูกน้องที่แสนห่างเหิน แต่ผมไม่สามารถมองนราธรเปลี่ยนเป็นคำว่า สิทราได้อีกแล้ว”

โอ้ว....เกิดมาสำนึกดีอะไรตอนนี้

คุณนรินทร์…คุณอยากให้ฉันไปให้พ้นจริงๆใช่ไหมคะ ถึงต้องยอมเสียหน้าบอกน้องชายเรื่องนั้น…ฉันเข้าใจแล้ว

เอาอย่างนี้เลยแล้วกัน ฉันจะย้ายข้าวของออกจากบ้านเขาวันนี้

“แล้วคุณพ่อ คุณแม่ทราบเรื่องนี้หรือยังคะ”

“ยังบอกไม่ได้หรอกครับ คงทำใจกันลำบาก ผมตกใจเล็กน้อยนะครับ และมองไม่ออกเลยว่าชีวิตของคุณกับพี่ผมหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร”

แววตาขี้เล่นของคุณรันกลับกลายเป็นจริงจัง

ฉันแสร้งมองเอกสารบนชั้นที่วางเรียงกันเป็นตับ

“เขาก็คงแต่งงานกับคุณถวิกา แล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศกันเงียบๆมั้งคะ เหมือนลี้ภัยการเมือง” แล้วก็แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน

คุณรันขยับเข้ามาใกล้ฉัน

“นี่คุณ….” เขากระซิบแผ่วเบา

“ยังไม่ได้รักพี่ผมใช่ไหมครับ”

คราวนี้ฉันเลยทำเป็นมองหาแฟ้มสำคัญ แล้วทำท่าจะดึงออกมา เพื่อบังหยาดน้ำตาที่กำลังไหลริน

“เปล่านี่คะ” โครม!!!

แฟ้มเอกสารทั้งชั้น ล้มลงมาทับตัวฉัน ฉันก้มหน้าเปียกชุ่มหลบทั้งเขาและเอกสารแนบไปกับพื้น

“คุณสิดี!” นี่คงเป็นหนึ่งในหลายๆครั้งที่เขาเห็นฉันถูกชั้นหนังสือล้มทับ คงไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกตินอกจากน้ำตา

“คุณร้องไห้!!!!” เขาโวยวาย

ฉันรีบเช็ดหน้ากับแขนเสื้อ

“คือมันเจ็บมากเลยน่ะค่ะ” ฉันแก้ตัวข้างๆคูๆอีกครั้ง

เขาจ้องฉันไม่วางตา โถ่…อย่ารู้เลยนะคะว่าฉันร้องเพราะอะไร มันไม่สำคัญอีกแล้ว น้ำตาของฉันไม่สามารถแลกคืนวันเก่าๆกลับมาได้หรอก

“ผมก็ว่ามันน่าจะเจ็บอยู่หรอก คุณไปนั่งพักก่อนเดียวผมเก็บให้”

ฉันขอบคุณ และเลยได้โอกาสหนีไปซับตาแดงๆที่ห้องน้ำ

ตายแล้ว…นลินกำลังทาปากอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ

“อ้าวสิดี ตั้งแต่เธอกลับมาจากฮันนีมูนเรายังไม่ได้คุยกันเลยนะ”

สงสัยแสงในห้องน้ำไม่สว่างพอ เธอเลยไม่เห็นว่าฉันหน้าตาเหมือนคนร้องไห้

“คือ…งานมันยุ่งน่ะจ้ะ”

“นั่นสิเนอะ ฉันนี่เกือบลืมทานอาหารกลางวันไปเลย เออเธอรู้อะไรหรือเปล่า ยัยทับทิมถูกไล่ออกไปแล้วนะ”

ฉันสูดน้ำมูกดังซี้ด

“ไล่ออก?”

“ก็ใช่น่ะสิ คุณนรินทร์มีคำสั่งเมื่อสองสามวันที่แล้ว”

สองสามวันที่แล้ว…ก็พอดีกับวันเกิดเหตุหรือเปล่า

แล้วนลินก็ตบไหล่ฉันเชิงให้กำลังใจ

“คราวนี้ไม่มีใครคาบข่าวส่งให้ยัยถวิกามาทำป่วนอีกแล้วละ”

แล้วเธอก็บอกว่าอยากทานข้าวเย็นกับฉันสักวัน ก่อนจะกลับไปทำงานตามเดิม

แต่ฉันว่า…คุณนรินทร์อาจไม่ได้ไล่เพราะเหตุผลนั่นก็ได้นะ

จากนั้นตลอดบ่ายฉันก็แนะนำเรื่องเอกสารและระบบการทำงานให้คุณรันอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะในหัวฉันคิดวนเวียนถึงภาพในอนาคตที่จะไม่มีเรา ไม่มีคุณนรินทร์ในฐานะประธานและไม่มีฉันในตำแหน่งเลขาของเขาอีกต่อไป

คุณรันก้มมองเอกสารต่างๆอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะเงยหน้าสูดอากาศ

“เอ๋…”

“เปล่าค่ะ ฉันชื่อสิดี”

คุณรันมองขำๆ

“ผมหมายถึงรูปภาพนี่ต่างหาก”

ฉันเงยหน้ามองตาม…ภาพทุ่งดอกทิวลิป วาดที่เนเธอร์แลนด์ปี 92 ยังคงงดงามอยู่จริงๆ ของแจ๊กกี้นี่
นา

ไม่สิ…คุณรันเป็นคนวาดต่างหาก

“ไอ้แจ๊กกี้มันไม่เคยขออนุญาตผมเลยสักครั้ง หึ มันน่านัก”

“คือ…เขาให้ฉันตอนฉันขอเลิกเรียนน่ะค่ะ ฉันเลยให้พี่คุณต่อเป็นของขวัญวันเกิด”

“อู้วว์” เขาทำเสียงล้อเลียนแล้วทำเจ้าเล่ห์มองฉัน

“คือ…อย่าเข้าใจผิดนะคะ ฉันคิดว่าห้องทำงานพี่คุณน่ะ ไม่มีความสดชื่นเลย มีแต่กองเอกสาร ฉันเลยคิดว่าภาพวาดสวยๆนี่คงช่วยอะไรได้”
คุณรันบรรจงหยิบเอกสารขึ้นมาพิจารณาต่อ

“ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ ร้อนตัวจัง แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะอย่างไรเสียห้องนี้ก็ตกเป็นของผม รูปของผมก็ได้กลับมาหาเจ้าของเสียที”

“ไม่ได้นะคะ!!!!” ฉันโพล่งออกไปไม่ทันยั้งคิด

“คือ…คือ…นั่นเป็นของขวัญที่ฉันให้พี่คุณ คุณ…คุณต้องให้เขาค่ะ”

เขายังคงพลิกเอกสารต่อไป

“ยังไงก็ได้ครับ นี่พี่ชายผมต้องอยู่กับอะไรอย่างนี้ทั้งวันเลยเหรอ น่าสงสารชะมัด แล้วนี่เขาหายไปไหนเสียแล้วล่ะ”

ฉันก้มมองพื้น ไม่อยากพูดออกไป เพราะมันปวดใจเหลือเกิน

“….คงไปเยี่ยม…คุณถวิกามั้งคะ…”

ฉันรู้สึกว่าเขาหันมามองฉันแล้วจ้องเป็นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เย็นนี้ไปทานข้าวกับผมนะครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง”

ฉันมองเขาด้วยความสงสัย แล้วฉันส่ายหัว

“คุณรันคะ ฉันหมดหน้าที่ต่อครอบครัวคุณแล้ว อย่ามาสัมพันธ์อะไรกับฉันอีกเลยค่ะ เย็นนี้ฉันจะกลับไปเก็บของเตรียมย้ายน่ะค่ะ”

เขาถอนหายใจยาว
“เสียงคุณดูเศร้านะฮะ ไปกันเถอะ เลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว ผมหิว”

เขาพูด ก่อนจะฉุดแขนโดยไม่ฟังเสียงค้านพาฉันนั่งมินิออสตินคันเล็กขับออกไป

เขาขับปาดหน้าคันแล้วคันเล่าอย่างชำนาญ ก่อนจะหยุดรถที่ร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่ง

ฉันนั่งตรงข้ามกับเขาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาเลี้ยงข้าวฉันทำไม

“ผมกับพี่ถูกส่งตัวมาเรียนไฮสคูลที่อเมริกา เราเรียนที่เดียวกัน และเป็นที่เดียวกันกับของคุณพ่อ คุณปู่และคุณทวด จนกระทั่งเข้าระดับมหาวิทยาลัย คุณพ่อสั่งให้ผมเรียนวิศวกรเหมือนพี่ และต้องเขาสถาบันของ ไอวี่ลีก เหมือนกัน แต่ผมรู้ตัวตั้งแต่เรียนไฮสคูลแล้ว ว่าผมไม่จำเป็นต้องเป็นเงาของใคร”

เขาจ้องฉันหนักแน่น นี่เขาจะเล่าตำนานอะไรอีกเหรอ ฉันไม่ได้อยากฟังหรอกนะ ตอนนี้ฉันอยากออกไปจากชีวิตของเขา พี่ชายคุณรันนั่นล่ะ

“พี่รินสนับสนุนผม เขาบอกว่า ตัวเขาคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่ไม่สามารถลิขิตชีวิตตัวเองได้ ผมควรเป็นตัวแทนของเขา ตัวแทนที่จะได้ทำอะไรต่อมิอะไรที่ตัวเองชอบ เขาให้ผมหนีไปเรียนวาดรูปที่ผมถนัด”

“และตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ทำไม…พี่ชายของผม เราเกิดจากพ่อแม่คนเดียวกัน เรามีทุกอย่างเหมือนกัน แต่เรา…มีชีวิตที่แตกต่างกัน ผมหนีพ่อแม่มาเรียนศิลปะที่ยุโรปก็จริง แต่ผมก็เรียนบริหารไปด้วยเผื่อสักวันผมจะได้ช่วยเหลืออะไรพี่ชายบ้าง”

“ถึงว่า ตอนนั้นคุณนรินทร์เคยพูดกับฉันว่า คุณพึ่งพาได้ ไม่ได้เหลวไหลอย่างที่คุณแม่คิด” ฉันนึกเรื่องเก่าๆออก

เขายิ้ม “มีครั้งหนึ่ง ผมโทรมาหาเขา บอกว่าถ้าอยากให้ผมกลับมาช่วยอะไรก็บอกได้ ผมเรียนบริหารจบแล้ว แต่อย่าบอกคุณแม่ เพราะถ้ารู้คงต้องเรียกตัวผมกลับเป็นแน่ แต่พี่รินกลับบอกว่า ให้ผมใช้ชีวิตตัวเองให้เต็มที่ ตอนนี้ถึงแม้เขาได้เลยช่วงเวลาแห่งการเลือกทางเดินของตัวเองมาแล้ว แต่ยังมีสิ่งสุดท้ายที่เขายังสามารถลิขิตมันด้วยตัวเอง นั่นคือความรัก…”

ฉันกำลังดื่มน้ำ เลยต้องอมมันไว้ทั้งปากด้วยความชะงัก

เราสองคนมองตากัน เหมือนเขาต้องการสื่ออะไรกับฉันสักอย่าง

“…ตอนนั้นพี่รินเริ่มคบกับคุณถวิกา…”

พรวด!!!!! ฉันสำลักน้ำด้วยความตกใจ เลยพ่นใส่หน้าคุณรันเต็มๆ

คนทั้งร้านมองฉันเหมือนเป็นคนไร้ซึ่งสมบัติผู้ดี

“ฉัน…ฉันขอโทษนะคะ” เป็นสิ่งงี่เง่าสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ ก่อนจะรีบกุลีกุจอ หยิบทิชชู่เช็ดหน้าให้เขา

เขาขำอย่างอารมณ์ดี ไม่ขี้โมโหเหมือนพี่ชายสักนิด

“ผมไม่เป็นไรครับ ฟังต่อเถอะ”

ฉัน…ฉันทนไม่ไหวแล้ว ยังจะเล่าต่อไปอีกถึงเมื่อไรกัน

“แล้วในที่สุดพี่รินก็แจ้งข่าวว่าเขาเลิกกับคุณวิ ที่แย่กว่านั้นคือ คุณแม่ยัดเยียดสาวๆให้ และเขาไม่ต้องการใครเลย เขาอยากเป็นโสด เพราะอย่างนี้นี่เอง ผมถึงกลับมา กลับมาช่วยพี่…”

ฉันลุกขึ้นและคิดว่าหมดความอดทนสุดๆ

“พอเถอะค่ะ”

คุณรันไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน เขามองฉันเหมือนเข้าใจ…เข้าใจอะไรกัน

“คือ…ฉันแค่อยากกลับแล้วน่ะค่ะ”





ระหว่างทางกลับบ้านเราไม่ได้พูดอะไรกันเลย ฉันยังคงโศกเศร้าและช้ำใจ นี่คุณรันรู้เลยแกล้งฉัน เพื่อให้ฉันออกจากบ้านของเขาโดยไว หรือเขาแค่อยากเล่าอัตชีวประวัติของตัวเอง

เรากลับเข้ามาในบ้านและรับทราบว่าคุณพ่อคุณแม่ไปสวีทดูหนังกันสองคน ส่วนคุณนรินทร์ยังไม่กลับ เดาว่าเขาคงอยู่ให้กำลังใจข้อมือยัยกุ้งแห้งนั่นเอง

ฉันเดินหนีคุณรันกลับขึ้นห้องตัวเอง เดี๋ยวฉันจะเริ่มเก็บของและย้ายออกพรุ่งนี้ ออกอุบายหลอกคุณพ่อคุณแม่ว่าขนของไม่จำเป็นกลับบ้าน คงทำได้ไม่ยาก

“คุณสิดีครับ” เสียงคุณรันพูดแผ่วเบาอยู่ข้างหลังฉัน

“คะ?”

เขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วหยุดยืนไม่ห่างจากตัวฉัน

“ตอนนี้ผมต้องแบกรับหน้าที่แทนพี่รินแล้ว ผมไม่สามารถวาดอนาคตของตัวเองได้อีก ผมต้องทิ้งแกลเลอรี่ของผม แต่ผม…ผมก็เหมือนพี่รินครับที่ยังลิขิตชีวิตความรักของตัวเองได้”

แล้ว…แล้วไงคะ ก็ดีแล้วนี่คะ ฉันไม่สามารถลิขิตอะไรได้อีกแล้ว ฉันอยากให้พี่คุณกลับมา กลับมากวนประสาทฉันและอยู่ใกล้ชิดฉันเช่นเดิม แต่ฉันก็ลิขิตมันไม่ได้

“คุณ…คุณเคยบอกให้ผมหาผู้หญิงดีดีมาผลิตทายาทใช่ไหมครับ”

ฉันยังคงมองเขาต่อไป จริงๆแล้วเรื่องเมื่อวาน ฉันไม่ได้อยากพูดอย่างนั้นเลย

คราวนี้คุณรันขยับตัวเข้ามาประชิดมากกว่าเดิม
“ผมอยากให้คุณมาเป็นเลขาของผม”

“คุณว่าอะไรนะคะ”

นี่เขาเสียสติไปแล้วเหรอ!!!!

“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้!!!” เสียงของฉันดังและหนักแน่น

คุณรันทำหน้าเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

“ทำไม! ก็แค่ทำงานของคุณต่อ ไม่ได้เสียหายอะไรเลย รังเกียจผมหรือไง” เขาพูดแล้วเข้ามาบีบต้นแขนฉัน

ฉันเริ่มร้องไห้ คุณรันเห็นฉันเป็นตัวอะไร ตุ๊กตาที่จะจับฉันวางตำแหน่งไหนก็ได้หรือ ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ฉันทนเห็นคุณนรินทร์อีกไม่ได้แล้ว

“คุณ…คุณร้องไห้ทำไม…คุณเสียใจอะไรหรือคุณสิดี”

“มีอะไรก็พูดออกมาสิ คุณเสียใจเรื่องอะไรกัน” เขายังคะยั้นคะยอไม่หยุด

ฉันผลักเขาออกไป “อย่ามายุ่งกับฉัน!!!! ฉันรักพี่ชายคุณ เข้าใจไหม แล้วเรื่องมันกลับเป็นอย่างนี้!!! ฉันทนอยู่ต่อไปไม่ได้หรอก”

ฉันพูด…ในที่สุด…ฉันก็พูดออกไป ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว

คุณรันใช้แขนเสื้อเขาปาดน้ำตาให้ฉันอย่างอ่อนโยน เขานิ่งให้ฉันสะอึกสะอื้นอีกพัักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ผมยังบอกไม่หมด หลังจากเขาแต่งงานกับคุณ เขาบอกผมว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิขิตชีวิตตัวเองและมั่นใจในอนาคตที่เขาจะสร้างมันขึ้น…”

เขาพูดเสียงดังกลบเสียงร้องไห้ของฉัน “…กับคุณ…”

ฉันเงยหน้าที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพูดอะไรวกวนเหลือเกิน

“พอเถอะรัน”

ฉันแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นใครเดินขึ้นบันใดมา

คุณนรินทร์ในชุดทำงานตอนเช้า องอาจ เคร่งขรึม และจริงจัง

คุณรันปล่อยมือจากฉันอย่างง่ายดาย มองฉันพักหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปเข้าห้องตัวเอง

ฉันพยายามไม่สบตาคุณนรินทร์และเช็ดน้ำตาไปด้วยพลางนึกแต่งเรื่องโกหกมาหลอกเขาอีก ว่าร้องไห้เพราะอะไร

คุณนรินทร์ไม่พูดอะไรเลย เขาฉุดฉันลุกขึ้นอย่างรุนแรง พาฉันเข้าห้อง แล้วผลักฉันลงบนเตียง ก่อนจะเริ่มถอดสูทออก แล้วกดฉันนอนลงที่เตียงแล้วพร้อมโถมตัวเข้าใส่!

ฉันพยายามต่อสู้ ทั้งดิ้น ทั้งถีบ

“คุณทำบ้าอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”

“คุณเห็นผมเป็นอะไร!!!…พระอิฐพระปูนหรือ? อยู่ร่วมห้องกันมาตั้งนานโดยไม่เกิดอะไรขึ้น คุณดูถูกผมเกินไป”

“ฉัน…ฉันไม่ได้ต้องการอย่างนี้ ปล่อย!!!!” ฉันตะโกนสุดเสียง และร้องไห้หนักขึ้น…เขาทำอย่างนี้เพื่ออะไร

คุณนรินทร์ยังคงมองฉันดิ้นต่อไปและกดตัวฉันไว้อย่างนั้น เขายังทำร้ายฉันไม่พอใช่ไหม ผู้ชายบ้า

“และคุณคิดว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรกับคุณบ้างหรือ ทั้งๆที่เราใกล้ชิดกันมากขนากนี้” เสียงเขาเกรี้ยวกราดน้อยลง

ฉันค่อยๆหยุดดิ้นและมองเขาด้วยน้ำตานองหน้าอย่างค้างคาใจ

“ทำไม…คุณทำให้ผมโมโห เพราะคุณไม่ยอมพูด ไม่แสดงออก และไม่ให้โอกาสผมบ้างเลย”

ฉันหยุดร้อง…นี่เขาจะพูดอะไร

“ถ้าผมไม่ให้รันทำอย่างนั้น คุณคงไม่ยอมบอกสักทีใช่ไหม แกล้งผมต่อไปให้ทรมานเรื่อยๆ”

ฉันชักไม่มั่นใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อะไรนะคะ?”

เขาค่อยๆคลายมือที่แขนของฉัน และพูด ในสิ่งที่ฉันอยากฟังมากที่สุดในโลก

“ให้ตายสิ…ผมรักคุณ”

ฉันไม่ทันตั้งตัวเลย เมื่อเขาก้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วค่อยๆบรรจงจูบบนริมฝีปากสั่นระริกของฉัน



นี่ไม่ใช่จูบแรก…แต่ก็เป็นที่จูบแรกที่หนักหน่วง และอบอุ่น

เขาค่อยๆคลายริมฝีปากออกอย่างอ่อนโยน ขณะที่ฉันสะอื้นไม่หยุด

“คุณเข้าใจแล้วใช่ไหม อย่าคิดเป็นอย่างอื่นอีก”

มันเหมือน…ไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริง

“กว่าผมจะรู้ตัว และลุ้นให้คุณเข้าใจผมและเข้าใจตัวเองได้ ผมทรมานแค่ไหน คุณรู้ไหม”

ฉันร้องไห้ แต่นี่ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจอีกแล้ว

แล้วแทบจะไม่ต้องคิดเลย ไม่ต้องตัดสินใจอะไรทั้งนั้น โอกาสลอยมาแล้ว และฉันคงจะได้เห็นความงามอย่างที่แจ๊กกี้พูดจริงๆ

ฉันพูดออกไปอย่างแผ่วเบา “ฉัน…ฉันก็รักคุณค่ะ”

เขายิ้ม…เป็นยิ้มที่ไม่คิดว่าคนอย่างนรินทร์ นราธรจะยิ้มออกมา และที่สำคัญกว่านั้น เขายิ้มให้ฉันคนเดียว

“ผมอยากให้คุณพูดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“เมื่อวานฉันพูดว่าไม่ได้รักคุณใช่ไหมคะ”

เขาเช็ดน้ำตาให้ฉัน

“นั่นล่ะผมเลยรู้ว่าคุณคงดื้อแพ่งไม่ยอมรับความจริงเช่นเคย ผมเลยบอกรันทั้งหมด แล้วให้แกล้งหลอกว่าจะเข้ามารับหน้าที่ต่อจากผม จากนั้นรันมันก็แต่งเรื่องเองไปเลยว่ามันแอบรักคุณ ตอนแรกผมก็ไม่ยอมหรอก ผู้หญิงของผม…ผมไม่ให้เปลืองตัว แต่มันบอก ทำอย่างนี้ได้ผลเร็ว”

ฉันทั้งขำทั้งโกรธคุณรันแต่ก็หัวเราะออกมา นี่ฉันไม่ได้ขำมากี่วันแล้ว

“ก็จริงค่ะ ฉันตกใจมาก”

คุณนรินทร์เสยผมฉัน

“ผมได้ยินแล้วล่ะ คุณบอกว่ารักพี่ชายเขา” แล้วคุณนรินทร์ก็จูบฉันอีกครั้ง

“ผมขอโทษที่ให้รันแกล้งเกินไป อืม…แต่คุณดื้อเหลือเกิน”

ฉันค้อน “ก็ดูคุณสิคะ ไปจูบกับถวิกา จะไม่ให้ฉันคิดมากได้ยังไง”

เขาทำหน้าสำนึกผิดก่อนจะโอบฉันไว้

“ผมขอโทษ ผมรู้ว่าคุณต้องเสียใจมากแน่ๆ แต่คุณก็ยังเก็บความรู้สึกไว้อยู่ได้ วันนั้นถวิกาจู่โจมเอง พอผมบอกว่าผมไม่ได้รักเธอแล้ว ผมรักคุณ เรากลับไปเป็นอย่างเดิมไม่ได้ เธอก็กรีดข้อมือเลย”

ฉันเอาศีรษะซุกหน้าอกอุ่นๆของเขา

“คุณจิทัศน์ก็บอกฉันอย่างนั้นค่ะ แต่ฉันไม่เชื่อ แล้วนี่คุณถวิกาเป็นอย่างไรบ้าง”

“เธอจะไม่ยุ่งกับเราอีกแล้ว ผมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เธอ แล้วลาจากมา บอกเธอว่า ต่อไปนี้ถึงเธอจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับผม”

เขากอดฉันแน่นขึ้น ฉันว่าตัวเขาเริ่มเหม็นๆแล้วนะ

“แล้วถ้าเธอฆ่าตัวตายล่ะคะ”

คุณนรินทร์เงียบไปพักหนึ่ง

“เธอไม่ทำหรอก เพราะเธอรักตัวเองมากกว่าอะไร เลิกพูดถึงผู้หญิงคนนี้เสียที ว่าแต่…คุณได้กลิ่นอะไรเหม็นๆไหม”

ฉันทำจมูกฟุดฟิด

“กลิ่นตัวคุณรึเปล่าคะ”

เขาคลายอ้อมกอด พลางทำจมูกฟุดฟิดดมตัวฉัน

“ผมว่า…กลิ่นตดคุณหรือเปล่า”

ฉันมองเขาอย่างเคืองๆ ถึงแม้จะรู้สึกว่าใช่ก็ตาม ฉันอาจตดตอนเขาจูบ ก็ฉันตกใจนี่นา!!!!

คุณนรินทร์หัวเราะเบาๆ

“เอาเถอะ…จะกลิ่นอะไรก็ช่าง…แต่วันนี้…” เขาโอบตัวฉันมาชิดกัน

แล้วเราก็จูบกันอีกครั้ง…เนิ่นนาน

“อืม…เรารักกันก็พอ”

ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจทุกคนเลย ทั้งคุณจิทัศน์ หนูเล็ก คุณรัน แม่ และที่สำคัญ แจ๊กกี้….ที่ไม่เคยเข็ดกับความรัก และพยายามผลักดันให้ฉันเปิดเผยมันออกมา นั่นก็เพราะพวกเขารู้นั่นเอง…ว่าแท้จริงแล้ว ความรัก…งดงามเพียงใด




ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2555, 12:26:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2555, 12:26:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1970





<< ทายาท   เคลียร์ >>
agentaja 8 ก.ค. 2555, 15:59:05 น.
เย้ๆ ในที่สุดก็ยอมรับกันซักที เฮ้อ จะวางแผนอะไรกันเยอะแยะ กะแค่พูดแค่เนี้ย


Pat 8 ก.ค. 2555, 20:06:09 น.
กว่าจะเข้าใจกันได้เนอะ


goldensun 8 ก.ค. 2555, 20:44:32 น.
เข้าใจกันจนได้ สิดีน้ำตาท่วมซะ แผนคุณนรินทร์กับรันกว่าจะบีบสิดียอมรับได้
ก็เล่นเข้าใจเอาเองซะเตลิดเปิดเปิงเ


ใบบัวน่ารัก 8 ก.ค. 2555, 22:19:22 น.
อ่านไป งง กับ ครอบครัวนี้ เหมือนสืบทอด
ทายาทอรูส แปลก
สิดี แหกกฏ ดิ จัดไปเต็มที่


เคสิยาห์ 8 ก.ค. 2555, 23:09:17 น.
เฮ้อ ช่างเป็นนิยายที่เข้าถึงชีวิตจริงของมนุษย์และระบบร่างกายซะจริง กำลังหวานซึ้งปนขำขัน ปล่อยลมกันซะอย่างนั้น ไม่มีนิยายเรื่องไหนจะเข้าถึงระบบร่างกายของมนุษย์เท่าเรื่องนี้จริงๆ ชอบคุ่ะ ดิฉันให้ผ่าน


ลายเส้น 9 ก.ค. 2555, 00:45:53 น.
เออะ...คุณเคสิยาห์ พูดจริงเปล่าคะ มีอะไรม่เหมาะสม แนะนำได้เลยนะค้า ถ้าชอบก็ขอบคุณมากๆเลยค่า


คิมหันตุ์ 9 ก.ค. 2555, 01:02:12 น.
..ตอนท้าย ยายสิดี ไม่น่าเป็นนางเอกเลยจริงๆ ชอบทำให้ หญิงไทยแบบดิชั้น อายไปด้วยเลย ฮ่าฮ่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account