หนึ่งในรัก (เพลงรักกามเทพ)
เขาคือบุรุษที่เธอไม่อาจเข้าถึงหัวใจอันเย็นเยียบประดุจน้ำแข็งในฤดูหนาว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เธอถึงถลำรักเขาจนหมดหัวใจ
Tags: กรยุพา . ยุพากร . มุกดารา รักโรแมนติก

ตอน: กรยุพา . ยุพากร

3

เรือนเครื่องสับหลังใหญ่ แม้จะผ่านกาลเวลามาหลายชั่วอายุคน ทว่ายังคงความงดงามด้วยการทะนุบำรุงเป็นอย่างดี กลิ่นน้ำตาลมะพร้าวที่เคี่ยวอยู่ในกะทะทองเหลืองบนเตาถ่าน ผสมผสานกับกลิ่นหอมกรุ่นจากน้ำใบเตยซึ่งกำลังเดือดปุดๆ ในเรือนครัว ทำให้เฌอเอมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก


เหนือสิ่งอื่นใด เห็นจะเป็นเสียงเดี่ยวขิมด้วยบทเพลงอันไพเราะจับใจนั่น ในที่สุดเธอก็ถึง ‘บ้าน’ เสียที
“เอ๊า...คุณหนูมาได้ยังไงกันคะ คุณอังคะ คุณอัง คุณหนูมาค่ะ”
แม่พยอมคนสนิทของอังกาบตะโกนลั่นด้วยความดีใจเมื่อเห็นหญิงสาววางข้าวของซึ่งถือติดมือมาด้วยก่อนจะไหว้ผู้สูงอายุพร้อมรอยยิ้ม


“ไหว้พระเถอะค่ะคุณหนู” พยอมอดไม่ได้ที่จะมองคุณหนูด้วยสายตาชื่นชม
“เจ้าขุน ไหว้คุณเฌอเธอหรือยัง” เสียงเขียวใส่หลานชายวัยสิบขวบที่ได้แต่ยิ้มแป้นอยู่ข้างกองฝักบัวที่กำลังแกะเม็ดอย่างขมักเขม้น
“ไงจ๊ะขุน นี่พี่มีขนมมาฝากด้วยนะ” บอกระหว่างทรุดตัวลงนั่งบนตั่งไม้สัก
เด็กชายรีบลุกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมก่อนรับโดนัทกล่องใหญ่มาถือไว้พร้อมยิ้มแป้น


“ฝากพี่ๆ คนละกล่องด้วยนะจ๊ะ ส่วนนี่ก็เสื้อของป้าพยอมจ้ะ ไม่รู้ว่าจะชอบหรือเปล่า”
เฌอเอมนำเสื้อสีชมพูกลีบบัวแบบเรียบๆ เหมาะกับผู้สูงวัยออกมาโชว์
พยอมวางมือจากกะทะน้ำตาลนั่งลงเคียงข้างคุณหนูที่เธอเลี้ยงมากับมืออย่างรักใคร่


“โถ แม่คุณ สิ่งไหนที่คุณหนูซื้อให้ ป้าก็ชอบทั้งนั้นแหละค่ะ” บอกทั้งที่น้ำตารื้นๆ มาเอ่อยังขอบตาด้วยความซาบซึ้งใจ
“แต่คุณหนูไม่น่าจะเสียเงินเลยนี่คะ ของเก่าที่ซื้อมาให้คราวที่แล้วก็ยังใช้ได้ดีอยู่ สู้เก็บเงินเอาไว้ใช้จ่ายที่บริษัท ไม่ดีกว่าหรือคะ”


“โธ่…เล็กน้อยเท่านั้นเองค่ะป้า” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“เท่าที่ป้ามาคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณยาย เฌอก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว” พูดออกมาจากหัวใจ
“อย่าได้คิดว่าเป็นบุญคุณเลยนะคะ คุณหนูก็ทราบดีว่ายังไงเสีย ป้ากับคุณอังก็ต้องดูแลกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่อยู่แล้ว”


วูบหนึ่งที่เฌอเอมรู้สึกเต็มตื้นที่หัวใจ หากเธอมี ‘เพื่อนรัก’ เช่นป้าพยอมคงจะดีไม่น้อย
“เอ๊ะ! คุณอังคงยังไม่รู้ว่าคุณหนูมา” เธอเพิ่งนึกขึ้นได้
“ไปตามคุณอังเธอทีเจ้าขุน เร็วเลย ขนมน่ะวางไว้ที่นี่ก่อน” สั่งเสียงดังฟังชัด
หลานชายก็เชื่อฟังวิ่งตื๋อไปทันที


“จริงสิคะ ไม่เห็นคุณอังบอกว่าคุณหนูจะมา ป้าจะได้ทำของโปรดไว้รอท่า” ชวนคุยระหว่างกลับไปคนน้ำตาลในกะทะ
“ช่วงนี้ยุ่งมากๆ ค่ะ หากไม่มาวันนี้ก็คงต้องรออีกหลายเดือน” บอกเรื่อยๆ ขณะกวาดสายตาไปบนเสื่อทอ ที่ด้านหนึ่งกล้วยน้ำว้ากำลังเชื่อม แช่ในน้ำปูนใสกะละมังใหญ่วางเตรียมอยู่


“เอ๊ะ! คุณหนูเป็นอะไรคะเนี่ย” ร่างตุ้ยนุ้ยไม่พูดเปล่า แต่ก้มสำรวจใกล้ๆ เพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าอีกฝ่ายใช้ไม้เท้าเพื่อช่วยเดิน
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ซุ่มซ่ามตามประสา ตกบันไดที่บริษัทเท่านั้นเอง”

“ตายจริง! ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะนี่” ร้อนใจขึ้นมาทันที
“เมื่อวันก่อนนี่เองค่ะ ว่าแต่วันนี้ลูกมือไปไหนกันหมดล่ะคะ” เปลี่ยนเรื่องเสีย ก่อนที่ป้าแกจะซอกแซกเกินกว่านี้


“หนูเฌองานยุ่งจนลืมวันลืมคืนแล้วนะคะ วันนี้น่ะวันพระต้นเดือน พวกป้าๆ พากันไปทำบุญกันหมดค่ะ”
เธอลืมเสียสนิทว่าเป็นธรรมเนียมของที่นี่ ที่ทุกวันพระต้นเดือนกิจการเล็กๆ ของคุณยายที่มีทั้งทำขนมไทยๆ และเครื่องหอมตำหรับโบราณจะหยุดไปโดยปริยาย
“เฌอเข้าไปดูเองดีกว่า”


ไม่ทันจะลุก ร่างบางในชุดผ้าซิ่นลายขวางสลับสีพื้น พร้อมเสื้อลูกไม้ขาวแขนสามส่วน ที่ขาดไม่ได้คือเข็มขัดนาก และสร้อยพระคุ้นตาก็ปรากฏตัวเสียก่อน
“มาได้ยังไงกันจ๊ะ ทำไมไม่โทรฯ มาบอก” กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หลานสาวไหว้คุณยายอย่างงดงาม ก่อนสวมกอดด้วยความคิดถึง กลิ่นน้ำอบไทยหอมฟุ้งที่อังกาบประพรมเป็นอีกหนึ่งความคุ้นเคยที่ทำให้เฌอเอมสดชื่นอย่างประหลาด


“โทรฯ มาก็ไม่เซอร์ไพรส์สิคะ” พูดพร้อมหัวเราะคิกคัก
“ว่าไปนั่น เป็นยังไงบ้าง เห็นคุณรดีว่าหนูน่ะขาแพลง” ก้มดูหลานรักอย่างพินิจ
“ตกบันไดที่บริษัทค่ะคุณอัง” พยอมบอกให้เสร็จสรรพ
“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ อีกสองสามวันก็หายแล้ว” กล่าวปดตาใส
อังกาบได้แต่พยักหน้ารับ


“เอ๊ะ…แล้วบอดี้การ์ดของหนูล่ะจ๊ะ” ที่ถามเช่นนั้น เพราะไม่เห็นแม้แต่เงาของเตชิด
เจ้าตัวเบ้หน้าอย่างเบื่อหน่าย
“เฌอให้ไปหาที่พักในเมืองค่ะ ขี้เกียจเห็นหน้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” พูดด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ


ผู้สูงอายุทั้งสองอดไม่ได้ที่จะสบตากัน ไม่ว่าเมื่อใด เธอก็ยังคงไม่พอใจในสิ่งที่มี
“คุณหนูจะค้างด้วยหรือคะ ดีจริงค่ะ คุณยายบ่นคิดถึงอยู่ทุกวัน” พยอมบอกตามจริง
“สงสารเขานะลูก บ้านเราก็ออกใหญ่โต ห้องก็มีเหลือเฟือ ที่หลับที่นอนก็พร้อมอยู่ โทรฯ ไปตามกลับมานอนที่นี่เถอะนะจ๊ะ”
“อย่าเลยนะคะคุณยาย ถึงยังไง เขาก็เป็นคนอื่น ที่สำคัญเฌออยากอยู่โดยปราศจากคนติดตามบ้าง” บอกน้ำเสียงเครียด


คำพูดของหลานรัก ทำให้เธอไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้อีก
“งั้นเดี๋ยวป้าจะทำของโปรดคุณหนู ถือว่าเลี้ยงต้อนรับหลังจากไม่ได้กลับมานานดีมั้ยคะ” พยอมเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดนั้นเสีย
“งั้นก็ตามนี้ เดี๋ยวสอนเสร็จฉันจะมาช่วยนะ”


“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอัง เดี๋ยวพี่จะไปตามเด็กๆ ที่บ้านมาช่วยเอง” เธอหมายถึงหลานหญิงชายพี่ของเจ้าขุน
“อุ๊ย อย่าต้องให้เดือดร้อนเลยค่ะ เฌอทานอะไรก็ได้ค่ะคุณป้า”
“ไม่เดือดร้อนหรอกค่ะ เดี๋ยวพอรู้ว่าหนูเฌอมา ขี้คร้านจะวิ่งแจ้นกันมานี่” บอกอย่างอิ่มเอมใจ


“เจ้าขุน” พยอมหันไปยังหลานชายตัวเปี๊ยกอีกครั้ง
“ไปบอกพี่ๆ เราที บอกด้วยว่าคุณเฌอมา”
“ไม่ต้องหรอกค่ะป้า เดี๋ยวเฌอช่วยเองค่ะ” บอกอย่างเกรงใจ


“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ ขาแข้งยิ่งเจ็บอยู่ด้วย คุณหนูน่ะอยู่เฉยๆ เดี๋ยวป้าจัดการเอง ไปเลยเจ้าขุน”
เด็กชายไม่รอช้าวิ่งลงบันไดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมคว้าโดนัทรสช็อกโกแล็ตติดมือไปด้วย


“มาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายก่อนเถอะนะลูก แล้วคืนนี้ค่อยคุยกัน” ที่บอกเช่นนั้น เพราะอีกเดี๋ยวลูกศิษย์เธอก็จะมาเรียนเดี่ยวขิม
ทั้งสามไม่รู้เลยว่า ผู้ที่ถูกเอ่ยถึง...บอดี้การ์ดมืออาชีพผู้นั้น แท้จริงไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงจอดรออยู่หน้าทางเข้า ‘เรือนแก้วกุดั่น’ นั่นเอง


หญิงสาวในชุดผ้าซิ่นทอมือ พร้อมเสื้อผ้าป่านแขนตุ๊กตาขาวสะอ้าน ซึ่งเดินลัดเลาะจากตัวบ้านไปยังศาลาท่าน้ำใต้ต้นหางนกยูงสีเหลืองอมส้มที่กำลังบานสะพรั่งไม่ใช่ใคร แต่เป็นเฌอเอมที่วันนี้เธอราวคนละคนกับที่ใครๆ เคยรู้จัก


ผมยาวที่เพิ่งสระปล่อยไว้จนเต็มแผ่นหลัง พวงแก้มแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด ปราศจากการตกแต่งใดๆ ริมฝีปากเพียงทาด้วยกลอสไร้สีสัน แต่เท่านี้ก็งดงามจนไร้ที่ติแล้ว


‘สายน้ำปากอ่าว’ ไหลเอื่อย ผสานกับเสียงขิมในเพลง ‘ลาวกระแตเล็ก’ จากการบรรเลงจากฝีมือชั้นครู ลอยมาตามลม พร้อมๆ กับกลิ่นดอกพิกุลซึ่งหอมกรุ่น ริมตลิ่งนกกระยางสีขาวสะอ้านเดินทอดน่องคุ้ยเขี่ยหาอาหารอันโอชะ ทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ก็จริง ทว่าใจเธอกลับคิดถึงบุคคลหนึ่งขึ้นมาจนได้…


บุคคลที่เธอช่วยชีวิตเขาไว้ ประธานของอนันต์อุตสาหกรรมผู้นั้น
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาก็ทำให้เธอรีบรับอย่างรวดเร็ว
“เรื่องที่เราคุยกันไว้เรียบร้อยแล้วนะ เฌอจะเอายังไงต่อ ก็บอกผมแล้วกัน”
“จ้ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะจ๊ะ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
ผู้รับฟังกลับหัวเราะเบาๆ


“คำพูดนี้ ควรจะเป็นผม ที่บอกกับเฌอมากกว่ามั้ง ว่าแต่…ค่อยยังชั่วแล้วใช่มั้ย”
“จ้ะ อีกไม่นานก็วิ่งได้แล้วด้วย อย่าห่วงเลยนะจ๊ะ”
“เฌออยู่ไหนครับ” ถามเช่นนั้นเพราะความเงียบที่ปราศจากสุ้มเสียงใดๆ
“กลับมาที่ ‘แก้วกุดั่น’ น่ะจ้ะ” เธอเอ่ยชื่อเรือนไทยซึ่งอาศัยมาแต่เกิด
“งั้นเหรอครับ อืม...งั้นไม่กวนแล้วดีกว่า พักมากๆ นะครับ”


คุ้งน้ำอันกว้างใหญ่ยามพลบค่ำงดงามจนเหนือคำบรรยาย นานเหลือเกินแล้วที่เธอไม่ได้เห็นภาพนี้ ยามที่ดวงอาทิตย์จวนลับขอบฟ้า จักจั่นที่พากันส่งเสียงให้ได้ยินเป็นอีกสิ่งซึ่งเฌอเอมเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง


“อยู่ไหนน่ะลูก ใกล้ค่ำแล้วนะ สำรับก็เตรียมพร้อมแล้วนะจ๊ะ”
เสียงคุณยายทำให้เธอต้องตัดใจจากภาพตรงหน้า ก่อนกลับเรือนอย่างรวดเร็ว

สามพี่น้องเจี้อยแจ้วจากบนเรือนทำให้เฌอเอมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม ความสุขดูจะพร่างพรมไปจนทั่ว ทว่าเมื่อขึ้นมาบนเรือนกลับพบกับบุคคลที่ทำให้เธอต้องชักสีหน้ากะทันหัน


บนเสื่อผืนใหญ่ที่นั่งประกบเจ้าบ้านไม่ใช่ใคร แต่กลับเป็นบอดี้การ์ดของเธอเอง ผิดกับชายหนุ่มที่ได้แต่มองคุณหนู
“ยายเชิญคุณเตมาทานมื้อเย็นกับเรา” อังกาบบอกน้ำเข้ม
มีหรือที่หลานสาวจะไม่รู้ว่าเวลาเช่นนี้ควรทำตัวเช่นใด


“ทานให้อร่อยนะคะ” บอกพร้อมรอยยิ้ม เหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อังกาบได้แต่ค้อนควักหลานรัก ดูเอาเถอะ…นี่ถ้าเป็นเด็กจะจับตีเสียให้เข็ด
“ผมขอไปร่วมวงกับเด็กๆ ดีกว่านะครับ นานๆ ทีคุณยายจะได้เจอกับคุณเฌอ”


เตชิตไม่รอให้ทักท้วงคลานเข่าไปทันที รู้ดีว่าหญิงสาวไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่
“ไงจ๊ะ เขียน ข้าวล่ะเป็นยังไงกันบ้าง” เฌอเอมเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มจะตึงเครียดด้วยการทักเด็กๆ แทน
เด็กชายเขียน และข้าวฟ้างพี่สาวรีบไหว้เฌอเอมอย่างรู้งาน


“ทานเยอะๆ นะคะคุณหนู ป้าทำแต่ของโปรดคุณหนูทั้งนั้น” พยอมเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“ขอบคุณค่ะป้า ว่าแต่…ทำหลายอย่างจังค่ะ”
ที่ตามมากลับเป็นเสียงหัวเราะจากพยอมแทน
“ป้าน่ะ ทำแค่สองอย่างเท่านั้นค่ะ คือปลาอินทรีย์ทอดน้ำปลา กับผัดผัก ส่วนอย่างอื่นน่ะ พอละแวกนี้รู้ข่าวว่าคุณอังมีแขก ก็เลยเอามาสมทบ”


สำรับที่จัดมาในถาดทองเหลืองขนาดใหญ่ เป็นอีกสิ่งซึ่งเธอคุ้นเคยมาแต่เด็ก จานและถ้วยกระเบื้องขาวสะอ้านที่ขอบปรากฏลวดลายไทยประยุกต์สีน้ำเงินอมฟ้าคือเครื่องถ้วยชุดโปรดของคุณยาย

กับข้าวในวันนี้มีทั้งหอยเสียบผัดฉ่า ห่อหมกทะเล ต้มจืดปลาหมึกยัดไส้ สุดท้ายคือผัดผักรวมมิตรกับกุ้งแชบ๊วย ทั้งของหวานที่มีทั้งวุ้นมะพร้าวอ่อน บัวลอยเต้าฮวยน้ำขิงส่งกลิ่นกรุ่นอยู่บนเตา และที่ขาดไม่ได้คือขนมหม้อแกงเผือกของโปรดเฌอเอมอีกเช่นกัน


“เห็นคุณเตว่าหนูจะค้างคืนเดียวเท่านั้น” อังกาบกล่าวเรื่อยๆ ระหว่างตักกับข้าวจากสำรับ
“อย่าโหมงานหนัก จนไม่สบายไปนะลูก”
คำพูดห่วงใยของบุคคลตรงหน้าทำให้หลานสาวตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก
“คุณยายไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ” บอกเสียงอ่อน
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง ก็ในเมื่อเรามีกันเพียงสองคนเท่านั้น”


เป็นอีกครั้งที่คำพูดของผู้สูงอายุทำให้เฌอเอมกลืนข้าวแทบไม่ลงคอ
“ก็เพราะอย่างนี้สิคะ หนูถึงไม่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ”
อังกาบนิ่งอึ้งไปทันทีกับสิ่งที่ได้ยิน
“เพราะเรามีกันเพียงแค่สองคน ข้อนี้ ที่หนูไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด”
น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งทำให้อังกาบอดไม่ได้ที่จะมองใบหน้าของหลานรัก รู้ดีว่าควรยุติการสนทนาลงเพียงเท่านี้


เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาใกล้สามทุ่ม ทุกคนต่างแยกย้าย รวมทั้งเตชิตซึ่งขอตัวกลับแต่ยังอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าหญิงสาวจะชวนค้าง ทว่าเขาได้แต่คิดไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะบุคคลที่เขาหวังว่าเธอจะเอ่ยปากกลับไม่เอ่ยปากใดๆ ทั้งสิ้น


เสียงโทรทัศน์ซึ่งเข้ามาแทนที่ทำให้เรือนหลังใหญ่ไม่เงียบเหงาก็จริง แต่ถึงกระนั้นอังกาบยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายยังมีเรื่องค้างคาใจ


“หนูมีอะไรหรือเปล่าลูก” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
รอยยิ้มจางๆ จากเฌอเอมไม่อาจตอบคำถามใดๆ ได้ก็จริง แต่เธอกลับรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก
“ไม่มีอะไรนี่ค่ะ ทำไมหรือคะคุณยาย”
“ก็…ดูเหมือนหนูเหนื่อยๆ แล้วก็…มีเรื่องในใจ”
เฌอเอมฝืนหัวเราะแม้ไม่นึกขำ
“คุณยายคิดมากไปแล้วล่ะค่ะ”


“ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ยายขอพูดอะไรอย่างนะ กับเรื่องที่เราพูดค้างไว้เมื่อครู่” เธอเริ่มอารัมภบท
“เรื่องที่ยายอยากให้หนูไปเรียนต่อนั่น ไม่ใช่ว่าจะผลักไสไล่ส่ง แต่เพราะเป็นอนาคตของหนู” มองหลานรักด้วยดวงตาไม่กระพริบ


“ยายเองก็มีแต่จะโรยรา หนูก็รู้ว่ายายไม่อาจอยู่กับหนูไปได้จนตลอดชีวิต”
เพียงคำพูดนั้น ทำให้น้ำตาของเฌอเอมเอ่อขึ้นมาในทันใด
“เพราะฉะนั้นถึงยายจะอยากให้หนูอยู่ด้วยมากขนาดไหน แต่ยายก็ไม่อาจเห็นแก่ตัว เก็บหนูไว้ที่นี่” พูดออกมาจากหัวใจ
“เฌอก็รู้ ว่าลำพังยายจะมีปัญญาส่งเสียขนาดนั้นได้ยังไง ในเมื่อโอกาสมาถึงตรงหน้า ลูกก็ควรจะคว้าไว้”


เฌอเอมได้แต่พยักหน้ารับระหว่างฝืนยิ้ม
“เองนี้เราตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ยังไงเสีย สัญญานั่นก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว”
อังกาบไม่อาจพูดสิ่งใดได้อีก ได้แต่สบตาแม่พยอมซึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ก็จริง แต่หูกลับมาอยู่กับบทสนทนาของสองยายหลาน
“เรื่องคนที่เฌอให้ป้าช่วยหาตกลงได้มั้ยคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องเสีย
พยอมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ คุณหนูจะเอายังไง ก็บอกมาได้ทันที”

ทว่าเช้าวันรุ่งขึ้นอังกาบกลับต้องพบกับเหตุพลิกผัน เพราะหลานรักเปลี่ยนใจเลยไปยัง ‘แก้วมุกดา’ เรือนพักร้อนริมทะเลโดยตั้งใจค้างอีกคืน
“คุณยายไม่ไปกับเฌอหรอกหรือคะ” ถามอย่างผิดหวังระหว่างจะขึ้นรถ
“ยายนัดลูกศิษย์มาเรียนแล้วนี่จ๊ะ” ถึงจะเห็นแววตาหม่นแสงของอีกฝ่ายแต่เธอก็ไม่อาจผิดนัดได้


“ไปดีมาดีนะลูก ยายโทรฯ บอกให้นายไหวเก็บกวาดทำความสะอาดให้แล้ว แต่ไม่รู้ว่า จะทำได้มากน้อยแค่ไหน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เฌอแค่จะเข้าไปให้หายคิดถึงเท่านั้นเอง”
“รักษาตัวด้วยนะคะคุณยาย มีโอกาสอีกเมื่อไหร่ เฌอจะมาหาคุณยายทันทีเลยล่ะค่ะ” ไม่พูดเปล่า แต่โอบกอดผู้เป็นที่รักอย่างแนบแน่น


“หนูก็เหมือนกันนะลูก รักษาตัวให้ดี ที่สำคัญ อย่าออกฤทธิ์ออกเดชกับคุณรดีแล้วก็คุณเตเขาให้มากนัก หนูน่ะไม่ใช่เด็กๆ แล้ว” ถึงไม่อยากเอ่ยแต่กลับอดไม่ได้
“การปกครองคน ควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา ที่สำคัญ ทั้งคุณเตและคุณรดี ต่างก็ถูกว่าจ้างมาทั้งคู่ เพราะฉะนั้น อย่าให้เขาต้องลำบากใจเพราะเราเป็นต้นเหตุ” บอกอย่างเอาน้ำเย็นเข้าลูบ


“มีใครมาฟ้องอะไรคุณยายหรือเปล่าคะ” เพิ่งฉุกคิดได้
“เปล่าหรอกจ้ะ อย่าลืมสิ ว่ายายรู้นิสัยของหนูดี” กล่าวระหว่างจับมือบอบบางของหลานรักไว้มั่น
“อย่าให้ใครมาว่าได้ว่ายายเลี้ยงหนูไม่รู้จักโต”
“คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ เฌอทราบดีทุกอย่าง”
เป็นอีกครั้งที่เฌอเอมโอบกอดผู้เป็นยายไว้อย่างแสนรัก ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับแฝงไว้ด้วยเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเอ่ยออกมาให้ผู้ใดรับรู้

รถตู้ที่มุ่งลงใต้ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ หลายครั้งที่เตชิดลอบมองคุณหนูจากกระจกมองหลัง เขาอยากรู้เหลือเกินว่า คุณหนูกำลังคิดสิ่งใดในใจกันแน่ ทว่ายังคงเห็นเธอมองภาพข้างทางเหมือนปราศจากชีวิตจิตใจ


แก้วมุกดาเรือนสไตล์โคโลเนี่ยนสีขาว สลับเขียวอ่อนที่มาถึงยังคงโดดเด่นเป็นสง่า ทนต่อกระแสคลื่นลมมากว่า90ปี คฤหาสน์หลังใหญ่ยังคงงดงามด้วยเชิงชายฉลุ ท่ามกลางดงไม้น้อยใหญ่นั้นเงียบเชียบปราศจากผู้คน มีเพียงเสียงเกลียวคลื่นยามหวนกลับมาซบหาด


“คุณหนู มาได้ยังไงกันครับ ทำไมไม่บอกล่วงหน้า ผมกับแม่เนื่องจะได้จัดเก็บที่นี่ให้เรียบร้อยกว่านี้” บอกอย่าง
“คุณอังเพิ่งโทรฯ มาบอก ผมก็เลยเพิ่งทำความสะอาดห้องนอน ห้องนั่งเล่น แล้วก็ห้องน้ำเท่านั้นเอง”


“นั่นสิคะ คุณหนูน่าจะบอกก่อน ป้าจะได้ไปจองของทะเลสดๆ จากเรือเอาไว้ให้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาหารกลางวันกับเย็นเฌอก็เตรียมมาเรียบร้อยแล้ว ลุงกับป้าอย่ายุ่งยากเลยนะคะเฌอจะมารบกวนแค่วันเดียวเท่านั้น” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“อุ๊ย คุณหนู รบกวนอะไรกันคะ บ้านนี้เป็นของคุณหนูนะคะ เท่าที่ให้ลุงกับป้าอยู่ฟรีๆ ก็เป็นบุญและวาสนาแล้วล่ะค่ะ”


“คุณหนูมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักก่อนเถอะครับ เชิญครับคุณเตชิต” ‘ไสว’ กล่าวเชื้อเชิญ
ชายหนุ่มหิ้วกระเป๋าของคุณหนูตามผู้สูงอายุเข้าบ้านพัก โดยปล่อยให้คุณหนูเดินฝ่าเปลวแดดไปยังชิงช้าที่ผูกไว้ภายใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่
กลิ่นหญ้าเพิ่งตัดใหม่ในสนามอวลไปทั่ว ผสมกับกลิ่นท้องทะเลทำให้เฌอเอมปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก


เสียงโทรศัพท์ซึ่งเรียกเข้ามาทำให้ความคิดของเฌอเอมที่กระเจิดกระเจิงกลับมาสู่ปัจจุบันในทันใด ทว่าเธอกลับตัดสายนั้นทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้พูดสิ่งใดเลยสักคำ
ปลายสายได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น ก็เพราะเมื่อครู่เตชิดบอกเองแท้ๆ ว่าคุณหนูกำลังเดินเล่น แต่เหตุใดถึงไม่ยอมรับสาย


วูบหนึ่งที่ภรดีหวนนึกถึงในวันนั้นที่คุณหนูตั้งใจไปอำลาเรือนแก้วมุกดา ช่างละม้ายกับวันนี้ไม่มีผิด
“พลาสปอร์ตเรียบร้อยแล้วนะคะ”
“คุณรดีคะ เฌอ...คงไปตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
“คุณหนูหมายความว่าอะไรกันคะ” ตกใจจริงๆ กับสิ่งที่ได้ยินมาตามสาย
“เฌอ...ยังไม่พร้อม”


ให้ตายเถอะ คุณหนูจะมาพูดอะไรในตอนนี้ ในเมื่อกำหนดเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี่แล้ว
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู” นาทีนั้นแทบไม่รู้ว่าตัวเองพูดสิ่งใดออกมา
“ขอโทษนะคะ คุณรดีช่วยเรียนท่านด้วย ว่าเฌอขอเวลาเพียงสองปี หลังจากนั้น เฌอจะทำตามที่ท่านต้องการทุกอย่างค่ะ”


ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาค่อนปีแล้ว ทั้งไม่รู้ด้วยว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ คุณหนูก็เอาความคิดที่จะตั้งบริษัทนั่นเข้ามาแทนการไปเรียนต่อ
ภรดีได้แต่ครุ่นคิด จนไม่รู้เลยว่าใครคนหนึ่งได้เข้ามาปรากฏตัวจนถึงเบื้องหลังของเธอแล้ว


“อุ๊ย คุณ...”
ผู้ถูกทักไหว้อีกฝ่ายอย่างฝากเนื้อฝากตัว
“ขอโทษครับ ที่ทำให้คุณพี่ตกใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่...มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ หรือจะมาตามงานคะ” ทำไมเธอจะไม่เห็นดอกไม้ช่อนั้นในมือของชายหนุ่ม แต่ต้องถามไปตามมารยาท


“ผม...แค่ตั้งใจมาเยี่ยมคุณเฌอเท่านั้นเองครับ”
ถึงไม่บอกเธอก็รู้อยู่แล้ว
“น่าเสียดายจังค่ะ พอดีคุณ...เอ่อ...เฌอไม่อยู่น่ะค่ะ” เกือบไปแล้ว เธอเกือบหลุดปากคำว่าคุณหนูออกไปแล้ว


ใบหน้าสลดของอีกฝ่ายทำให้ภรดีอดไม่ได้ที่จะสงสาร
“คุณจะโทรฯ ไปก็ได้นี่คะ ดิฉันให้เขากลับไปบ้านน่ะค่ะ”
มาวินเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ผู้รับฟังได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน


“เปล่าหรอกค่ะ เห็นเขาคร่ำเคร่งกับงานที่ได้จากบริษัทคุณจนไม่ยอมพักผ่อน ก็เลยอยากให้เขาได้พักบ้าง” ภรดีกล่าวเรื่อยๆ
“บ้านที่ว่า...อยู่ถึงไหนกันหรือครับ” ทั้งรู้ว่าไม่สมควรถามแต่กลับไม่อาจเก็บความอยากรู้นั้นไว้ได้
“เมืองเพชรน่ะค่ะ”
สีหน้าชายหนุ่มยังสงสัย
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ เพชรบูรณ์ เพชรบุรี หรือกำแพงเพชรกันครับ”


ครั้งนี้ภรดีกลับหัวเราะออกมาตรงๆ อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูอีกฝ่าย
“เพชรบุรีค่ะ” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“เดินทางคนเดียวคุณพี่ไม่เป็นห่วงหรอกหรือครับ”
ภรดีส่ายหน้า
“พี่ชายเขาไปเป็นเพื่อนน่ะค่ะ”
มาวินได้แต่พยักหน้ารับ


“พรุ่งนี้ก็กลับแล้วล่ะค่ะ เห็นว่าห่วงงานทางนี้ ไปอยู่โน่น แต่ใจอยู่นี่ก็เลยอยู่ไม่ไหว”
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงไม่รบกวนแล้วล่ะครับ” ทั้งในใจมีเรื่องอยากรู้อีกมาก แต่กลับไม่กล้าเอ่ย
“ผมขอฝากช่อดอกไม้นี่ให้เธอด้วยแล้วกันนะครับ ส่วนขนมในถุงนั่นผมเอามาฝากคุณพี่ครับ”


ร่างที่ผลุนผลันจากไปทำให้ภรดีอดคิดไม่ได้ว่า หรือครั้งนี้คุณหนูของเธอจะถึงคราวจะมีแฟน ซึ่งหากเป็นหนุ่มผู้นี้ที่ทั้งสุภาพและเอาใจเก่ง เธอก็เห็นว่าสมควรอย่างที่สุด
ทว่ารอยยิ้มกลับจางหาย เมื่อนึกถึง ‘คุณท่าน’ หากเรื่องนี้ถึงหูเมื่อใด ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เสียงบทเพลงสากลในยุค 60 จากนักร้องสาวผู้มีชื่อเสียงในอดีตดังแผ่วๆ แม้นี่คือเวลาพักผ่อนของใครๆ แต่สำหรับปรมัตถ์กลับยังมีเรื่องมากมายต้องสะสาง
“นายยังไม่กลับอีกหรือ จวนสี่ทุ่มแล้วนะ” มาวินแวะมาทักทาย


“อืม...นายล่ะ วันนี้ผิดสำแดงอะไรหรือเปล่า เห็นปกติกลับแต่หัววัน หรือ...เบื่อ ‘ของเก่า’ แล้วไม่ทราบ” เย้าอย่างอารมณ์ดี เหตุเพราะหลังเลิกงานเพื่อนผู้นี้มักมีปาร์ตี้ต่อกับสาวๆ อยู่เสมอ
“นายหมายความว่ายังไง” ร้อนตัวกะทันหัน
“ก็ได้ข่าวมาว่า นายทำตัวเป็นทูต เจริญสัมพันธไมตรีกับสาวคนหนึ่งอยู่น่ะสิ”


“นายพูดมาตรงๆ เลยดีกว่า ว่าสาวคนไหน”
ดูเหมือนมาวินไม่มีอารมณ์เล่นด้วย
“ก็…คนที่นายไปเป็นธุระให้ฉันไง”
“คุณเฌอเอม” กล่าวระหว่างมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาไม่กระพริบ
ปรมัตถ์พยักหน้ารับ “ใช่”


“ใครมาพูดให้นายฟัง” แวบหนึ่งเขานึกถึงทักษอร
“นายอย่ารู้เลยจะดีกว่า ว่าแต่นายควรระวังไว้บ้าง ปากมีหู ประตูมีช่อง ฉันไม่อยากให้นายต้องเสียภาพพจน์ เพียงเพราะผู้หญิงคนนั้น ที่เพียงผ่านมา แล้วเดี๋ยวก็ผ่านไป”
น่าแปลกที่มาวินกลับรู้สึกไม่พอใจคำพูดนั้นขึ้นมากะทันหัน


“รู้มั้ย ถึงนายไม่เคยแม้แต่จะกล่าวคำว่าขอบคุณ หรือกระทั่งไปเยี่ยมเธอ มันยังไม่ทำให้ฉันเสียความรู้สึกเท่าวันนี้” บอกอย่างเหลืออด
“การที่นายกลัวว่าฉันจะเสียภาพพจน์เพราะเธอคนนั้น ฉันคิดว่านายคิดผิดอย่างที่สุด”
ปรมัตถ์รู้ดีว่าเพื่อนไม่พอใจคำพูดของเขาแต่กลับไม่สะทกสะท้าน
“หรือว่า…จริงๆ แล้ว ที่นายไม่ยอมแม้กระทั่งเหยียบไปที่โรงพยาบาลนั่น ก็เพราะเหตุผลเดียวกันนี่ไม่ทราบ” พยายามข่มอารมณ์อย่างที่สุด


“ทำไม หรือไม่จริง ระวังเถอะ หากเจ้าหล่อนรู้ว่านายเป็นเป็นใคร ขี้คร้านจะตาโต ทีนี้ล่ะ นายจะหาทางหนีทีไล่แทบไม่ทัน” คำพูดบอกให้รู้ว่าไม่ยี่หระแม้แต่น้อย
“รู้มั้ย อะไรในตัวนายที่ฉันอยากแก้ไขให้ได้มากที่สุด” มาวินเอ่ยอย่างหมดความอดทน
“การที่นายทั้ง ‘ใจแคบ’ แถมยัง ‘แล้งน้ำใจ’ อย่างที่สุดนี่ไงล่ะ” กล่าวตรงๆ อย่างไม่กลัวเพื่อนโกรธ


ปรมัตถ์กลับหัวเราะอย่างขบขัน ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดเผ็ดร้อนของเพื่อนรัก
“แต่ฉันก็ยังเชื่อนะ ว่าหากนายได้รู้จักกับคุณเฌอ นายจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่”
“ฮึ...ท่านายจะโดนเสน่ห์ของแม่นั่นมาแน่ๆ ไม่ทันไร ก็ปกป้องเขาจนออกนอกหน้า”
มาวินถึงกับพูดไม่ออก


“เอาเถอะ ฉันก็...ขอให้นายโชคดีแล้วกัน” ปรมัตถ์ปิดการสนทนาลงฉัยพลัน
“ฉันจะบอกอะไรนายอย่างหนึ่งนะ คุณเฌอไม่เคยเอ่ยถามถึงนายเลยสักคำ”
ไม่รู้เพราะเหตุใดมาวินถึงกล่าวเรื่องนี้ออกมา


“เพราะอะไรน่ะหรือ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควรพูดน่ะสิ” ครั้งนี้เขาตั้งใจตำหนิเพื่อนกลายๆ
“แต่ในใจ เธอต้องคิดแน่ๆ ว่านายเป็นคนประเภทไหน ถึงได้ไม่เคยไปดูดำดูดเลยสักครั้ง”


“เอาเป็นว่า นายจะเลิกพูดเรื่องนี้ใช่มั้ย หากฉันไปเอ่ยปากขอบคุณผู้หญิงคนนั้น” ครั้งนี้กลับถามอย่างหมดความอดทน
“มันไม่จำเป็นแล้วล่ะ นายไม่รู้สึกหรอกหรือ ว่ามันนานเกินไปแล้วที่จะพูดถึงคำนั้น” จ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาไม่กระพริบ
ตาต่อตาที่ประสานกันบอกให้รู้ว่าไม่มีใครยอมจำนนง่ายๆ


“ฉันขอพูดอะไรอย่างหนึ่งนะ ว่าถึงจะขอโทษสักพันคำ ก็คงช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่ากับ ‘เช็คทำขวัญ’ ใบนั้นที่สั่งจ่ายให้กับหล่อนหรอกจริงมั้ย” บอกอย่างเลือดเย็น
“ทีนี้ นายก็น่าจะคิดได้แล้วสินะ ว่าเพราะอะไร เธอถึงไม่เคยเอ่ยปากอะไรเกี่ยวกับฉันเลยสักคำ”


ทั้งที่อยากเถียงว่ามันไม่ใช่ ทว่ามาวินกลับพูดไม่ออกเสียเฉยๆ
แม้เพื่อนรักจะจากไปร่วมชั่วโมง และแม้ปรมัตถ์จะพยายามเอาใจมาอยู่กับงานขนาดไหน ทว่ายามนี้คำพูดเหล่านั้นกลับยังเข้ามาก่อกวนจิตใจ


เพราะเหตุใดผู้หญิงเพียงคนเดียวถึงเข้ามามีอิธิพลกับเพื่อนได้ถึงเพียงนั้น คำถามผุดขึ้นในใจเขาก็จริงทว่ากลับไม่ต้องการคำตอบแม้แต่น้อย
นาทีนั้นปรมัตถ์ไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดตัวเองถึงนำภาพถ่ายที่วันก่อนทักษอรนำมาให้ออกมาดูอีกครั้ง


หญิงสาวซึ่งงดงาม หมดจดทั้งรูปร่างและหน้าตาผู้นี้ แท้จริงแล้ว เธอจะ ‘ดี’ สมราคุยของเพื่อนหรือไม่รอยยิ้มหยันของปรมัตถ์ปรากฏขึ้นยังริมฝีปาก ก่อนจางหายอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับเหวี่ยงรูปใส่ลิ้นชักหมดความสนใจอีกต่อไป


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สวัสดีค่ะ
มาพบกันในวันฟ้ามืดมัว เพราะฝนกระหน่ำมาตั้งแต่เช้านะคะ เพื่อนๆ รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ

แล้วพบกันในตอนต่อไปค่ะ

ด้วยรักจากใจค่ะ
กรยุพา



กรยุพา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2555, 13:42:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ย. 2555, 09:30:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1757





<< 2 กรยุพา . ยุพากร   4 กรยุพา . ยุพากร >>
น้ำแอปเปิ้ล 10 ก.ค. 2555, 02:39:36 น.
แวะมาให้กำลังใจค่ะ...


กรยุพา 10 ก.ค. 2555, 08:45:24 น.
ขอบคุณ คุณน้ำแอปเปิ้ลมากมายค่ะ


น้ำแอปเปิ้ล 10 ก.ค. 2555, 12:09:21 น.
ส่งหลังไมค์ไป ได้รับไหมคะ


ยุพากร 10 ก.ค. 2555, 14:23:15 น.
ตอบคุณน้ำแอปเปิ้ลหลังไมค์แล้วนะคะ ยินดีด้วยจากใจจริงค่ะ


Amarilys 29 พ.ค. 2556, 18:46:30 น.
มาให้กำลังใจ (ย้อนหลังละกัน) สู้ๆ ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account