หนึ่งในรัก (เพลงรักกามเทพ)
เขาคือบุรุษที่เธอไม่อาจเข้าถึงหัวใจอันเย็นเยียบประดุจน้ำแข็งในฤดูหนาว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เธอถึงถลำรักเขาจนหมดหัวใจ
Tags: กรยุพา . ยุพากร . มุกดารา รักโรแมนติก

ตอน: 4 กรยุพา . ยุพากร

4

สองเดือนมาแล้วที่เฌอเอมต้องขึ้นล่องระหว่างกล้าประดับและแก้วกุดั่น เพราะเธอใช้วิธีกระจายชิ้นงานสู่ชุมชนให้แม่บ้านสมองไวมีรายได้เสริมไปด้วย
วันนี้ก็เช่นกันที่เธอตั้งใจมาตามงาน โดยถือโอกาสเลยมายังโรงแรมห้าดาวใกล้ๆ กับแก้วมุกดาเพื่อเสนองานตัวใหม่


หญิงสาวซึ่งมีชายหนุ่มมาดเข้มติดตามทุกฝีก้าว จึงเป็นที่จับตาของใครๆ ในห้องอาหารของโรงแรมแทบจะทันทีที่ก้าวย่างไปถึง
“เอ๊ะ นั่นมัน…เด็กคนนั้นนี่คะ”
ผู้พูดอยู่ในชุดเกาะอกสีแดงเพลิงโชว์เนินขาวอวบไปเกือบครึ่ง ทว่าคู่สนทนากลับสายตาไปอยู่ยังท้องทะเลเบื้องหน้า ไม่แสดงทีท่าใส่ใจเจ้าหล่อนเลยสักนิด


“คุณจำไม่ได้หรอกหรือคะ เด็กคนนั้น ที่ทำของพรีเมี่ยมให้เราไงคะ แหม...โลกจะกลมอะไรขนาดนี้”
เพราะคำพูดนั้นทำให้ปรมัตถ์ถอนสายตาไปยังโต๊ะของผู้เข้ามาใหม่
วูบหนึ่งที่เขานึกถึงวันที่เกิดเหตุร้ายที่บริษัทของเขาเอง เธอช่างแตกต่างกับวันนั้นราวคนละคน หากไม่ใช่เพราะทักษอรบอกเขาย่อมจำเธอไม่ได้


กระโปรงผ้าเนื้อบางเบาสีเขียวน้ำทะเลตัวยาว เสื้อผ้าป่านแขนสามส่วนขาวสะอ้านก็งดงามไร้ที่ติ เข้ากันดีกับรองเท้าสานและกระเป๋าสีธรรมชาติจากผักตบชวา
แล้วภาพที่ชายหนุ่มท่าทางงามสง่าเลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายนั่งทำให้เขาต้องเมินไปอีกทาง เพราะกระทั่งบุคคลที่เคียงคู่นี้ เขายังไม่เคยแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นเลยสักครั้ง


“ท่าทางวันนี้จะมีหนุ่มกระเป๋าหนักพามาแน่ๆ” ทักษอรยังสอดส่ายสายตาอย่างใคร่รู้
“ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม จัดเต็ม ขนาดนั้น เรื่องนี้คุณต้องบอกกับมาวินนะคะ”
“คุณหมายความว่ายังไง” ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจแต่ยังหลุดปากถามจนได้
“ก็หมายความว่า วินกำลังตามจีบแม่นั่นน่ะสิคะ แล้วจู่ๆ เจ้าหล่อนก็มาปรากฏตัวกับหนุ่มคนนั้น ในที่รโหฐานเช่นนี้น่ะสิคะ” ส่งสายตาเหยียดหยามพร้อมยิ้มหยัน
“จากกินข้าวแล้วจะต่อด้วยอะไรกันล่ะคะ”


ผู้รับฟังกลับหัวเราะในลำคอ
“เขาถึงว่า ผู้หญิงมีรูปเป็นทรัพย์” ทักษอรยังสนุกกับการกล่าวเสียดสี
เป็นอีกครั้งที่ปรมัตถ์อดไม่ได้ที่จะลอบมองชายหนุ่มผู้นั้นซึ่งเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสื้อยืดเข้ารูปสีดำสนิทแต่กลับเผยให้เห็นมัดกล้ามบ่งบอกว่าเป็นผู้ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี


“เป็นยังไงล่ะคะ เห็นอย่างนี้แล้ว มาวินของเราคงสู้ไม่ได้แน่ ชักอยากรู้แล้วสิคะ ว่า ‘ค่าตัว’ เจ้าหล่อน ต้องจ่ายเท่าไหร่”
ครั้งนี้ผู้รับฟังกลับยิ้มอย่างเยือกเย็น
“คุณเชื่อผมมั้ยว่าใครๆ ที่นี่ก็คง ‘นึกกับเรา’ ไม่ต่างกับที่คุณพูดมานั่นเหมือนกัน”
เจ้าหล่อนถึงกับเชิดหน้าขึ้นก่อนแค่นหัวเราะ


“จะเหมือนได้ยังไงกันล่ะคะ คุณอย่าลืมสิคะ ว่าเราเป็นอะไรกัน” เอ่ยอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะพูดยังไง มันก็ไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น”
นาทีนั้นปรมัตถ์ถึงกับต้องนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ ‘ผมขอ’ คุณไม่ต้องไปพูดให้มาวินฟังเด็ดขาด” สรุปเอาดื้อๆ
“ทำไมล่ะคะ คุณก็เห็นแล้วว่าแม่นั่นกำลังสวมเขาให้มาวิน”


ครั้งนี้ปรมัตถ์ได้แต่ยิ้มในหน้า
“คุณรู้มั้ย ผมอดถามตัวเองไม่ได้สักที ว่าคุณเคยมองคนอื่นในแง่ดีบ้างหรือเปล่า”
ดวงตาลุกโพลงของอีกฝ่ายไม่ส่งผลใดๆ กับปรมัตถ์แม้แต่น้อย
“ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณ หรือของผม ที่สำคัญผู้หญิงคนนั้นก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคุณหรือผมเลยสักนิด”


ทักษอรถึงกับพูดไม่ออก
“เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ที่คุณหรือผมจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“แต่...มาวิน เป็นเพื่อนของเรานะคะ” สวนกลับอย่างมีอารมณ์
“คุณนับเขาเป็นเพื่อนด้วยอย่างนั้นหรือ ผมนึกว่าคุณเห็นเขาเป็นเป็นเพียงผู้ร่วมธุรกิจเท่านั้นเสียอีก”


เป็นอีกครั้งที่ทักษอรแทบกระอักกับคำพูดเชือดเฉือนนั่น
“สำหรับผม ‘บทเรียน’ หากไม่ได้เจอกับตัว ก็ไม่ลึกซึ้งควรคู่กับการจดจำหรอกจริงมั้ย”
ผู้รับฟังรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างประหลาด บางครั้งเธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า รู้จักผู้ที่เคียงข้างนี่หรือไม่ รัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากเขาผู้นี้หากไม่เรียกว่า ‘อำมหิต’ เธอยังคิดไม่ออกว่าคำใดถึงเหมาะสม

เป็นช่วงเช้า ณ โรงอาหารของโรงงานอนันต์อุตสาหกรรมซึ่งร้างผู้คน เพราะเลยเวลาเข้างานนานแล้ว แม้ทักษอรจะไม่อยากเข้ามาเหยียบเพราะเกรงกลิ่นไม่พึงประสงค์ติดตัว แต่เพราะเป้าหมายอยู่ที่นี่เธอจึงไม่อยากพลาด


“ได้ข่าวว่า...เด็กของคุณ ยังส่งงานให้ทางเราไม่ครบเลยนะคะ” กล่าวทั้งที่ยืนอยู่
ชายหนุ่มปรายตามองผู้อยู่ในชุดสูทเข้ารูปสีครีมเพียงแวบเดียวก็จริง แต่กลับรู้สึกว่าไข่พะโล้ที่กำลังกลืนฝืดคออย่างที่สุด
“คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่” มาวินหันไปจิบน้ำ อิ่มขึ้นมากะทันหัน
“จะบอกว่า หากแม่คนนั้น ส่งงานให้เราไม่ทันตามกำหนด หล่อนก็จะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายน่ะสิคะ” ลอยหน้าตอบอย่างสะใจที่สุด


มาวินฝืนยิ้มอย่างเสียไม่ได้
“ก็ในเมื่อยังไม่ถึงเวลานั้น คุณจะคิดให้เปลืองสมองทำไมไม่ทราบ ในเมื่อทางฝ่ายการตลาด เขายังไม่ว่าอะไรเลยสักคำ” กล่าวระหว่างมองเจ้าหล่อนตรงๆ
“ก็แล้วใครจะกล้าพูดกันล่ะคะ ในเมื่อเขาลือกันให้แซด ว่าหล่อนเป็นเด็กของผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานองค์กร”


ครั้งนี้มาวินทะลึ่งตัวขึ้นอย่างไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป
“แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ คุณยังจะต้องการอะไรอีกไม่ทราบ” พูดน้ำเสียงรอดไรฟัน
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่า คุณจะจงเกลียดจงชังอะไรนักหนากับแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เมื่อเขาส่งงานให้เราเสร็จ ทุกอย่างก็เป็นอันเลิกรากันไป” พูดอย่างมีเหตุผล
“หรือจริงๆ แล้ว คุณกลัวกันแน่ ว่าเหตุการณ์ที่เธอได้รับอุบัติเหตุครั้งนั้น จะทำให้ปรมัตถ์หันไปสนใจ”


ลำคอระหงตั้งตรงเชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ทั้งที่อยากพูดสิ่งที่เห็นยังโรงแรมนั่นใจจะขาด แต่คำพูดของปรมัตถ์ในวันนั้น ทำให้เธอยั้งใจไว้ได้ทัน
“หงส์จะคอยดู ว่าผู้หญิงคนนั้นกับคุณ จะไปกันได้สักกี่น้ำ” กล่าวอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“คุณเคยได้ยินมั้ยคะ ว่าหัวเราะทีหลังน่ะดังกว่า”
“ขอโทษนะ ผมเหนื่อยกับงานก็พอแล้ว อย่าให้ผมต้องเหนื่อยกับคำพูดของคุณอีกด้วยเลย” บอกอย่างอ่อนใจ


“อีกอย่าง ผมไม่ใช่ปรมัตถ์ที่ต้องอยู่ภายใต้คอนโทรลของคุณ เพราะฉะนั้น หากเป็นไปได้ก็อย่ามาก้าวก่ายเรื่องของผมอีกเลย”
ทักษอรได้แต่กำหมัดแน่นเคืองแค้นอย่างที่สุดระหว่างที่อีกฝ่ายเดินเฉียดเธอไปอย่างไม่ใยดี

ตัวอย่างของพรีเมี่ยม ‘กล่องอเนกประสงค์’ ซึ่งตั้งบนโต๊ะงดงามไร้ที่ติ บ่งบอกถึงตัวตนของผู้ออกแบบได้เป็นอย่างดี
กล่องทรงเหลี่ยมหุ้มกระดาษสาสีคลาสสิค ไล่ขนาดแม่ลูกสามใบซ้อนกัน ทั้งสี่ด้านตกแต่งด้วยพระจันทร์ พระอาทิตย์ ดวงดาวและก้อนเมฆ โดยทั้งหมดเคลือบสีทองเข้ากับมุกเม็ดเขื่องซึ่งประดับอยู่ริมกล่อง


ส่วนอีกชุดรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน แตกต่างเพียงเป็นโทนสีเงินเท่านั้น
“ฉันไปเอามาจากกล้าประดับ ตั้งใจเอามาให้นายดูโดยเฉพาะ” น้ำเสียงมาวินเป็นทางการ
“เผื่อว่าจะมีพวกปากไม่เป็นมงคลแถวๆ นี้ มาพูดอะไรให้นายไม่สบายใจ”
มาวินไม่อยากเชื่อเลยว่าถึงกระนั้นเพื่อนรักยังไม่คิดจะปรายตามอง ในเมื่องานพรีเมี่ยมตรงหน้างดงามถึงเพียงนั้น
“นายคิดว่ายังไงล่ะ” มาวินอดรนทนไม่ได้จึงถามออกมา


“นายอยากจะฟังอะไรล่ะ เผอิญฉันกับของแบบนี้ บอกตรงๆ ว่า ดูไม่เป็น”
มาวินเหมือนโดนตีแสกหน้า เขาน่าจะรู้ว่าต้องได้รับคำตอบเช่นนี้ตั้งแต่แรก
“งั้น...ฉันไม่กวนนายแล้วดีกว่า” ลุกขึ้นเก็บของทันที
“อ้าว แล้วนายจะเอาไปไหน”
“เอาไปคืนเจ้าของเขาน่ะสิ” บอกอย่างเบื่อๆ
“เอาทิ้งไว้ที่นี่ล่ะ เดี๋ยวมิสเตอร์โมริจะเข้ามา เขาจะกลับญี่ปุ่นแล้ว ฉันจะให้เป็นของขวัญ”


มาวินถึงกับปรับอารมณ์ไม่ถูก ได้แต่กลับออกมาอย่างมึนงง แต่ถึงกระนั้นยังมีแก่ใจโทรฯ ไปรายงานผลให้กับกล้าประดับได้รับรู้
“คุณวินโทรฯ มาบอกว่าท่านประธานชมงานคุณหนูใหญ่เลยล่ะค่ะ ว่าถูกใจมากๆ” ภรดีกล่าวอย่างยินดี


“เห็นว่าจะเอางานตัวอย่างนั่นให้เป็นของขวัญแขกชาวญี่ปุ่นวันนี้ด้วยนะคะ”
ผู้รับฟังมีเพียงรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากเท่านั้น ไม่ได้แสดงความตื่นเต้นแม้แต่น้อย ทั้งมือยังสาละวนกับงานออกแบบชิ้นใหม่ ทว่าใจกลับอดไม่ได้ที่จะคิดถึงใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น….ประธานของเค พี เอ กรุ๊ป ซึ่งในวันนี้กลับเลือนลางเต็มทน

ทว่าดูเหมือนเหตุร้ายๆ ยังไม่จางหายเมื่อจู่ๆ กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาเยือนกล้าประดับยามวิกาล ถึงไม่สามารถเอาสิ่งใดไปได้เพราะเตชิดตื่นขึ้นมาประสบเหตุพอดี แต่นั่นก็สร้างความอกสั่นขวัญหายให้กับเจ้าของบริษัทอยู่ไม่น้อย


และผู้ซึ่งแสดงอาการเป็นห่วงจนออกนอกหน้าไม่ใช่ใคร แต่เป็นผู้บริหารหนุ่มคนเดิมที่เมื่อทราบข่าวก็มาปรากฏตัวอย่างทันท่วงที
“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” มาวินที่เพิ่งมาถึงถามหน้าตาตื่น
“คุณทราบได้ยังไงกันคะ” เฌอเอมแปลกใจจริงๆ เพราะเวลาตีสองกว่าที่แม้แต่คนสนิทยังต้องคิดกันอีกที


“พี่บอกเองล่ะจ้ะ” ภรดีรับสารภาพหน้าเจื่อนๆ
ไม่เพียงเฌอเอมที่ไม่พอใจ เตชิตก็เช่นกัน
มาวินถึงจะรู้สึกถึงบรรยากาศอันคลุมเคลือแต่เขายังใจสู้
“แจ้งตำรวจหรือยังครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องเสีย
“เรียบร้อยแล้วแล้วล่ะค่ะ แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับถาม ว่าทางเรามีอะไรหาย หรือมีใครบาดเจ็บบ้างหรือเปล่า พอรู้ว่าปลอดภัยดีก็เงียบหายไปเลยค่ะ” ยังคงเป็นภรดีที่ไขข้อข้องใจ


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน” มาวินยังคงบอกอย่างเป็นห่วง
“เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้มั้งคะ” เฌอเอมกล่าวในที่สุด
“นั่นสิครับ นี่ก็จวนเช้าแล้ว แยกย้ายไปพักผ่อนดีมั้ยครับ ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวนคุณ” ครั้งนี้เตชิตบอกกับมาวินตรงๆ


“ไม่ถือเป็นการรบกวนหรอกครับ มีอะไรก็เรียกผมได้ทุกเวลา” มาวินจำใจกลับทั้งที่ใจยังห่วงหญิงสาวที่สุด
ทั้งสามได้แต่มองตามรถของผู้บริหารหนุ่มจนลับตา
“คุณรินคิดยังไงคะ ถึงโทรฯ ไปบอกคุณวินดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้” เฌอเอมเปิดฉากทั้งที่ยังไม่ได้เข้าด้านในออฟฟิสด้วยซ้ำ


น้ำเสียงเข้มของคุณหนูทำให้เตชิตอดไม่ได้ที่จะสงสารภรดี
“ก็เพราะพี่เห็นว่าคุณมาวินพึ่งพาได้น่ะสิคะ” ตอบอย่างที่ใจคิด
“ผมว่า มีอะไร ไปคุยกันข้างในดีมั้ยครับ”
ความเงียบที่เข้ามาแทรก ทำให้เฌอเอมเพิ่งได้คิด ทั้งถนนปราศจากผู้คน ไฟส่องทางก็หรุบหรู่ กระทั่งเสียงสุนัขเห่าสักตัวยังไม่ปรากฏ พาให้ทุกสรรพสิ่งเงียบงันอย่างประหลาด


“ไปนอนเถอะนะคะคุณรดี คุณเต พรุ่งนี้เรายังมีงานต้องทำกันอีกมาก”
นั่นเป็นคำพูดที่ภรดีและเตชิดคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย หรือว่าคุณหนูจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วกันแน่

และแล้วของล็อตสุดท้ายก็ถูกจัดส่งไปยังโกดังของอนันต์อุตสาหกรรมด้วยช่วงเวลาเฉียดฉิวอย่างที่สุด ท่ามกลางความโล่งอกของเตชิดและภรดีนั้น ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยที่สุดกลับเหมือนยังมีเรื่องค้างคาใจ


ครัวขนาดเล็กที่เครื่องครัวทันสมัย ทั่วทั้งห้องหอมกรุ่นด้วยกลิ่นเนยในกะทะ เป็นช่วงเช้าวันหยุดที่เฌอเอมลงมือทำแพนเค้กให้กับภรดีและเตชิดอย่างตั้งใจ
“คุณรดีคิดยังไงคะ หากเฌอจะไปหางานประจำทำ” จู่ๆ เธอก็เอ่ยออกมา ทั้งที่ยังอยู่หน้าเตา
นับเป็นคำพูดที่ทำให้ภรดีคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“เกิดอะไรขึ้นคะ คุณหนู” ภรดีแทบไม่รู้ว่าตัวเองเอ่ยสิ่งใดออกมา
“หลังจากงานของอนันต์ เราก็ยังมีงานที่โรงแรมอีกตั้งสองแห่ง แล้วยังงานแพ็คเกจของบริษัทเครื่องสำอางค์นั่นอีกล่ะคะ…”


“คุณรดีก็ทราบว่ามันยังไม่พอ” กล่าวตามจริงทั้งที่มือยังกลับแพนเค้กในกะทะ
“หากเฌอไม่อยากปลดพนักงานออก ก็ต้องหาทางรอดให้กับบริษัทเราเพื่อให้ผ่านปีนี้ไปให้ได้”
“หากคุณหนูต้องลำบากขนาดนั้น พี่ก็ยินดีช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายของบริษัทนะคะ” ภรดีเอ่ยมาจากใจ
“เงินเดือนที่พี่ได้จากท่านเพื่อดูแลคุณหนู มันมากเกินอยู่แล้ว เพราะพี่แทบไม่ได้ทำอะไร”


“นั่นสิครับ ผมเองก็...ยินดีช่วยเช่นกัน” เตชิตรีบบอกอีกคน
ไม่น่าเชื่อว่านาทีนั้นน้ำตาจะมาเอ่อยังขอบตาของผู้รับฟังจนได้
“ขอบคุณกับความหวังดีนะคะ คุณรดี คุณเต แต่อย่าให้เฌอต้องรู้สึกผิดไปมากกว่านี้เลยนะคะ” กล่าวอย่างตื้นตันใจ


“ถึงยังไงเงินนั่นก็คือน้ำพักน้ำแรงของคุณรดีและคุณเต เฌอรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ความเงียบที่เข้ามาครอบงำชั่วครู่ ทำให้ต่างฝ่ายต่างคิดกันไปคนละทาง
“คุณหนูคิดถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่านบ้างหรือเปล่าคะ”
คำพูดนั้นทำให้เตชิตอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองผู้ที่ยืนหันหลังด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ว่ายังไง คุณหนูก็ไม่อาจเก็บกล้าประดับนี้ไว้ได้ เมื่อวันนั้นมาถึง ทุกอย่างก็จะเหลือเพียงความทรงจำเท่านั้น”


ดูเหมือนคำพูดนี้ยังเกินที่เฌอเอมจะยอมรับ
“อย่าคิดมากเลยนะคะ คนงานหากต้องปลด เราก็ต้องทำ”
ครั้งนี้เฌอเอมถึงกับชะงักมือจากแพนเค้กในกะทะทันที
“คุณรดีไม่ใช่เฌอ ถึงไม่มีวันรู้ว่า เฌอรักกล้าประดับขนาดไหน” บอกน้ำเสียงพริ้วไหว ทั้งที่ยังหันหลังให้ทั้งสอง


“เรื่องสัญญานั่น เฌอไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด แต่ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลานั้น เฌอก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะรักษาบริษัทนี่เอาไว้” กล่าวจบกลับผลุนผลันออกจากครัวอย่างไม่อาจกลั้นอารมณ์ได้อีกต่อไป
เตชิตสงสารคุณหนูจับใจ เขาอยากจะโทษภรดีที่ทำให้คุณหนูขุ่นเคือง แต่ความจริงย่อมหนีไม่พ้น ซ้ำสิ่งที่ภรดีพูดมานั่นก็ถูกต้องที่สุดแล้ว


ภรดีได้แต่นั่งอมทุกข์ จะทำเช่นใดถึงจะสามารถช่วยคุณหนูได้บ้าง วูบหนึ่งที่เธอนึกบางอย่างขึ้นมาในใจ
บางที...หนทางนี้ อาจช่วยหยุดวิกฤติของคุณหนูก็อาจเป็นได้


เช้าวันใหม่ ณ โรงงานอนันต์อุตสาหกรรม…
ผู้มานั่งในห้องท่านประธานไม่ใช่ใคร แต่เป็นมาวินที่เอ้เตอย่างสบายอารมณ์ยังโซฟาตัวนุ่ม
“ไง...ได้ข่าวว่านายไปฮันนีมูนมาไม่ใช่หรือ สนุกหรือเปล่าล่ะ” ถามอย่างอารมณ์ดี
“พูดบ้าๆ” สบถอย่างขุ่นมัวในอารมณ์


“อ้าว ถามดีๆ แท้ๆ ไปกินรังแตนมาจากไหนแต่เช้าวะ” มาวินทำไขสือ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนพา
ทักษอรไปทะเลตามหน้าที่เท่านั้น


“นายมีอะไรก็ว่ามา” ปรมัตถ์ตัดบท แต่ดวงตายังจับจ้องยังแฟ้มเอกสาร
“ฉันมีเรื่องมาขอร้อง”
น้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่ายทำให้ปรมัตถ์เงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
“บอกตรงๆ นะ ฉันกลัวใจนายจริงๆ กับคำพูดนี้ของนาย” ไม่พูดเปล่าแต่ส่ายหน้าอย่างระอาอีกด้วย
“โธ่ ยังไม่รู้เลยว่าฉันจะขออะไร นายก็รับฟังฉันก่อนไม่ได้หรือ” บอกอย่างหมดอารมณ์


“ก็ว่ามาสิ” ปรมัตถ์กลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าอีกครั้ง
“ฉันอยากให้นายเซ็นอณุมัติ คน คนหนึ่ง เข้ามาเป็นพนักงานที่บริษัทเรา” ไม่พูดเปล่า แต่วางแฟ้มเอกสารที่นำมาด้วยเสนอเพื่อนรักทันที
ครั้งนี้ปรมัตถ์มองหน้าผู้พูดตรงๆ เพราะนี่นับเป็นครั้งแรก ที่เพื่อนเอ่ยถึงเรื่องแบบนี้
“ได้สิ”
เป็นคำตอบที่ทำให้มาวินถึงกับยิ้มร่า


“แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
ครั้งนี้เจ้าตัวถึงกับหุบยิ้มกะทันหัน
“นายหมายความว่ายังไง” น้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
“ฉันเองก็จะฝากเด็กใหม่ให้ไปอยู่แผนกนายด้วยเหมือนกัน”
“ใครกัน” ถามอย่างแปลกใจ


ปรมัตถ์เลื่อนแฟ้มให้อีกฝ่าย
“คุณหนูไฮโซอย่างนั้นหรือ” ถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อเห็นนามสกุลของเจ้าหล่อน
“เส้นใครวะ แล้วทำไมต้องเป็นฉันที่ต้องรับภาระนี่ด้วย” กล่าวด้วยใบหน้าเหยเก
“ขอร้องเถอะวะ เอาไปไว้กับทักษอรเถอะนะ”
ปรมัตถ์ส่ายหน้าทันที


“นายก็รู้ว่าเขาใหญ่ซะเคย ฉันไม่อยากให้เสียเรื่อง”
“หมายความว่ายังไง” จากน้ำเสียงเพื่อนรัก ทำให้สนใจขึ้นมาฉับพลัน
“ก็เพราะว่า เราอาจได้งานใหญ่จากพ่อของเธอน่ะสิ”
มาวินคิดอยู่แล้ว ว่าสุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องนี้


“หากเธอไม่พอใจอะไรขึ้นมา แล้วไปฟ้องพ่อ เราก็อาจจะชวดงานนี้ไปด้วย”
มาวินได้แต่อึดอัด เขาน่าจะรู้ ว่าเพียงเพราะผลประโยชน์ เพื่อนเขาคนนี้ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
“แล้วตกลงนายจะฝากใคร” ปรมัตถ์เปลี่ยนเรื่องเสีย ระหว่างหยิบแฟ้มที่มาวินนำมาให้เปิดออกดู


ภาพของหญิงสาว อีกทั้งชื่อที่ปรากฏ ทำให้เขานึกไม่ถึงแม้แต่น้อย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ถามระหว่างจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาไม่กระพริบ
“ฉันนึกว่านาย เล่นๆ เหมือน…ทุกครั้งที่ผ่านมานั่นเสียอีก”
“นายอย่าเข้าใจผิด ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกัน” ปฏิเสธทันควัน
“หึ…แต่มันก็ไม่แน่หรอกนะ นายเคยได้ยินมั้ย ว่าบางครั้งความรักก็เกิดได้ เพราะความสงสาร”


ปรมัตถ์ได้แต่หัวเราะอย่างเสียไม่ได้
“ยิ่งมีคนดูถูก เหยียดหยาม หรือยิ่งมีคำครหามากเท่าไหร่ ก็นำมาซึ่งความรักได้มากเท่านั้น”
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของเพื่อนรักจะทำให้เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มาวินจริงจังขนาดนี้กันแน่


“เอาเถอะ…นายลองบอกเหตุผลดีๆ มาสักข้อซิ ที่ทำไมฉันถึงต้องเซ็นอณุมัติให้นายด้วย”
“เพราะเธอต้องการรักษาบริษัทนั่นไว้ ที่สำคัญเธอไม่ต้องการปลดพนักงาน เห็นแก่อกเขาอกเราเถอะวะ คิดเสียว่าทำบุญสักครั้ง” มาวินพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า


“ยังไงแผนกนั้นก็กำลังหาคนอยู่แล้ว นายตกลงแล้วห้ามคืนคำเด็ดขาด ยื่นหมูยื่นแมวโว้ย ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่รับคุณหนูไฮโซคนนี้ไปไว้ที่แผนกหมือนกัน”
แม้มาวินจะจากไปนานแล้ว แต่ปรมัตถ์กลับยังคิดถึงคำพูดของเพื่อนเมื่อครู่
สิ่งที่เขาหวั่นใจที่สุดยามนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรับเธอคนนั้นเข้าทำงาน แต่เพราะหากทักษอรรู้เรื่องนี้อะไรจะเกิดขึ้นต่างหาก


ซึ่งไม่ต่างกับมาวิน ที่แม้เขาจะกลับมายังห้องทำงาน แต่กลับยังจมอยู่กับคำพูดของเพื่อนก่อนจาก
“ฉันขอบอกนายอย่างหนึ่งนะ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะช่วยผู้หญิงคนนี้ เพราะฉันคิดว่าฉันได้ ‘จ่าย’ หนี้ชีวิตของฉัน หมดสิ้นด้วยเช็คใบนั้นไปแล้ว” กล่าวอย่างเลือดเย็น
“และระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น นั่นคือปัญหาของนาย ไม่ใช้ปัญหาของฉันอย่างเด็ดขาด”


จนบัดนี้ เขายังนึกไม่ออกแม้แต่น้อย ว่าจะมีหนทางใดบ้างที่จะทำให้เพื่อน ‘เปลี่ยน’ ความคิดแย่ๆ นั่นได้บ้าง หรือว่าเขาควรจะปล่อยเลยตามเลย จากเหตุผลที่ว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยากกันแน่

ข่าวดีจากมาวินมาถึงกล้าประดับในเวลาอันรวดเร็ว ภรดีไม่รู้เลยว่าตัวเองทำถูกหรือผิด ที่เป็นคนฝากฝังงานนี้ให้เฌอเอม แต่จากสีหน้าอันเบิกบานของคุณหนูทำให้โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“หวังว่าเรื่องนี้ คุณเต กับคุณรดีจะไม่ไปเรียนท่านหรอกนะคะ” เฌอเอมเอ่ยเบาๆ ระหว่างร่วมโต๊ะอาหารเย็น


“แต่…บริษัทนั่นไกลจากที่นี่มากนะครับ” เตชิตกังวลเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะการเดินทาง แต่เพราะเกรงเธอจะเหนื่อย
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ คิดไว้แล้วว่าจะไปหาหอพักอยู่ทางนั้น หากอาทิตย์ไหนที่งานทางเราไม่เร่งเฌอก็จะไม่กลับ”


นาทีนี้ถึงเตชิตไม่เห็นด้วยแต่ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้
“จะดีหรือคะคุณหนู พี่ไม่คิดว่าจะต้องไปอยู่ที่โน่น พี่เป็นห่วงน่ะค่ะ และหากคุณยายท่านรู้เข้า…”
“เฌอไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ จะต่างกับที่เฌอต้องไปเรียนเมืองนอกตรงไหนกันล่ะคะ” พยายามให้เหตุผล


“เมื่อถึงเวลานั้น เราก็ต้องต่างคนต่างไปอยู่ดี คำนี้คุณรดีเพิ่งพูดกับเฌอเองนะคะ”
คำพูดนั้นทำให้ผู้รับฟังถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรืองานนี้เธอหาเรื่องใส่ตัวกันแน่
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ คิดเสียว่าเป็นการชิมลางก่อนไปนอกก็ไม่เลวหรอกนะคะ” ครั้งนี้กลับบอกน้ำเสียงสดใส


“ต้องขอบคุณ คุณรดีอย่างมากนะคะ เพราะหากให้เฌอเอ่ยปากของานกับคุณมาวิน เฌอคงไม่กล้าหรอกค่ะ”
ภรดีได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะนาทีนี้กลับคิดว่าตัวเองคิดผิดอย่างที่สุด ซึ่งไม่ต่างกับเตชิดที่กังวลอย่างบอกไม่ถูก กลัวเหลือเกินว่า…ผู้บริหารหนุ่มคนนั้นจะทำให้หัวใจของคุณหนูแปลเปลี่ยนไป

หญิงสาวที่ร่างสูงสง่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่ใช่ใครแต่เป็นนิลยา ที่แม้เป็นวันหยุดพักผ่อนแต่เจ้าหล่อนยังเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว


ชุดเดรสลำลองเนื้อชีฟองสีงาช้างสวมทับด้วยสูทสีวอลนัท ทว่ากระเป๋าและรองเท้าแบบทันสมัยกลับเป็นสีส้มสด โดยใบหน้าตกแต่งเพียงบางเบา ที่เคียงคู่คือหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณบ่งบอกว่าเป็นผู้มีอันจะกิน


ร้านริมทะเลแต่ความเย็นฉ่ำกลับมาจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้บรรยากาศรื่นรมณ์อย่างที่สุด
“งานเป็นยังไงบ้างคะ” ถามระหว่างตักเค้กมะพร้าวอ่อนลิ้มลองความอร่อย
“ก็โอเคนะครับ ว่าแต่วันนี้ทำไมคุณถึงไม่ต้องตามเจ้านายล่ะครับ” ‘ธันวา’ ถามพร้อมรอยยิ้ม


“จะเกินไปหน่อยล่ะมังคะ จะไม่ให้นิลมีวันหยุดเหมือนคนอื่นๆ บ้างเลยหรือไง”
“ใจผมอยากให้คุณมีวันหยุดทุกวันด้วยซ้ำ” ไม่พูดเปล่าแต่กุมมือหญิงสาวไว้มั่น
ผู้รับฟังได่แต่ค้อนควักอย่างหมั่นไส้คู่สนทนา
“แล้วจะเอาอะไรรับประทานกันไม่ทราบคะ”
“ที่จริงเราน่าจะได้ไปพักผ่อนยาวๆ กันบ้างนะ” ธันวาเปลี่ยนเรื่อง ระหว่างมองฝ่าเปลวแดดไปยังท้องทะเลสีครามที่เบื้องหน้า


“เดือนหน้า น่าจะได้นะคะ เห็นเจ้านายบอกว่าจะไปตีกอล์ฟกับก๊วนเกือบอาทิตย์”
“วันไหน คุณบอกล่วงหน้าด้วยแล้วกัน ผมจะได้จองตั๋วเครื่องบินกับที่พัก”
รอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของฝ่ายหญิง ทำให้ใจของธันวาเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก
“คุณคิดจะไปไหนกันคะ”
“บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ จริงมั้ยครับ เอาเป็นว่าใกล้ๆ วันเมื่อไหร่ผมค่อยบอกคุณแล้วกัน”


“นิลไม่ยอมหรอกนะคะ อย่างน้อยคุณก็ต้องให้นิลได้เตรียมเสื้อผ้าบ้าง”
“ในสายตาผม ไม่ว่าคุณจะใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้น” ยังไม่วายหยอดคำหวาน
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมเองก็ต้องดูก่อนเหมือนกัน ว่าลาได้หรือเปล่า ‘เด็กใหม่’ ทำอะไรก็ต้องเกรงใจหัวหน้า ใครจะสบายอย่างคุณล่ะ”


หญิงสาวได้แต่ขมุบขมิบปากด้วยหมั่นไส้คู่สนทนา ทว่าดวงตากลับหวานฉ่ำ บ่งบอกว่ากำลังอินเลิฟอย่างสุดๆ


หากใครในบริษัทได้เห็นเธอเวลานี้ คงต้องนึกว่าเป็นคนละคนกับที่เคยรู้จัก เพราะหญิงสาวที่คร่ำเคร่งกับงานเคียงข้างผู้บริหารระดับสูง กลับมีชีวิตอีกด้านที่ต่างกันจนสุดขั้ว



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ นักอ่าน พบกันเช่นเคยคะ
หวังว่าเพื่อนๆ นักอ่านที่รักทุกท่านจะสนุกกับ เรื่องราวของ 'หนึ่งในรัก' ในตอนที่ 4 นี้นะคะ
ช่วงนี้ต้องระวังสุขภาพกันให้มากๆ ด้วยนะคะ

ด้วยรักจากใจค่ะ
กรยุพา










กรยุพา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ค. 2555, 14:02:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ย. 2555, 09:31:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1776





<< กรยุพา . ยุพากร   กรยุพา . ยุพากร >>
อัปสรา 20 ก.ค. 2555, 15:00:44 น.
มาเจิมคนแรกเลยค่ะ สุ้ๆ


ยุพากร 20 ก.ค. 2555, 16:53:13 น.
ขอบคุณ คุณอัปสรามากค่ะ


แล่นแต๊ 21 ก.ค. 2555, 00:05:00 น.
พระเอกเย็นชามาก


pattisa 21 ก.ค. 2555, 00:09:06 น.
ยายหงษเจ้ากี้เจ้าการมากอะ 


ยุพากร 21 ก.ค. 2555, 20:29:10 น.
อิอิ ขอบคุณ คุณแล่นแต๊ มากค่ะ ที่ฝากเมนท์ไว้ หวังว่าจะติดตามจนจบนะคะ


ยุพากร 21 ก.ค. 2555, 20:30:21 น.
สวัสดีค่ะ คุณpattisa ขอบคุณมากนะคะ สำหรับเมนท์


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account