เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่๒๒ บทเรียนราคาแพง ๒/๒
มุกดานั่งทำความสงบอยู่พักใหญ่ พระพุทธรูปสีขาวบนโต๊ะหมู่บูชาในห้องพระมีสายพระเนตรทอดต่ำ หล่อนเงยหน้าสัมผัสกระแสเมตตานั้นด้วยความแน่วนิ่ง หลังจากที่ได้รับรู้ความจริงบางอย่างหลังหน้ากากแสนหวานของพี่สาวนอกไส้ หล่อนก็ขอร้องให้เพทายกับไพลินรีบกลับมาพร้อมกันที่เรือนกุหลาบ ทั้งที่ยังไม่ได้บอกลากวินเลยสักนิด
จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อเจ้านายของหล่อนกำลังมีชั่วโมงสุดพิเศษอยู่กับแพรวาสองต่อสอง เขาคงไม่มีแก่ใจจะนึกถึงหล่อน หรือใครๆนอกจากหญิงผู้เป็นที่รัก มุกดากลับมาถึงบ้านตั้งแต่สองทุ่ม หล่อนเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้อง ไม่ยอมให้ไพลินและเพทายเข้ามาปลอบโยน ขณะที่พี่สาวทั้งสองยืนเคาะประตูส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงนานพอสมควร
พอกันที..สำหรับภาพพจน์เด็กขี้แย เจอปัญหาทีไรก็เอาแต่จมปลักอยู่กับความเศร้า ไม่มีสติเผชิญหน้าความจริงสักครั้ง หล่อนสัญญากับตัวเองแล้ว ว่าต่อไปนี้จะเข้มแข็ง และลุกขึ้นยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่เป็นภาระให้ใครต่อใครต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหาชีวิตให้เหมือนที่ผ่านมา
มุกดาถอนหายใจอีกครั้ง พยายามสลัดความรู้สึกน้อยใจ เศร้าหมอง และอิจฉาแพรวาอยู่ลึกๆ หล่อนข่มตาให้หลับไม่ได้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววว่าดีไซเนอร์สาวจะกลับมา ส่วนเพทายกับไพลินนั้นไม่ต้องพูดถึง หล่อนเพิ่งเดินผ่านห้องพี่สาวทั้งสองซึ่งดับไฟสนิท แสดงว่าเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้คงหลับเป็นตาย โดยเฉพาะเพทาย..พี่สาวผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเหนื่อยล้าเพื่อให้หล่อนได้รู้ความจริงอันแสนเจ็บปวดมาเกือบทั้งวัน
มุกดากระพริบตาถี่ๆไล่ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหลายออกไปจากใจพร้อมหยาดน้ำตา ความเงียบสงบในห้องพระ ความบริสุทธิ์ของดอกบัวขาวในแจกัน และกลิ่นอายแห่งสะอาด สว่าง ทำให้เรื่องฟุ้งซ่านต่างๆในหัวเริ่มคลายลง นึกอีกทีก็ดีเหมือนกัน ที่แพรวายังไม่กลับมาให้หล่อนเห็นหน้าในตอนนี้ มุกดานึกไม่ออกเลย ว่าจะเผชิญหน้ากับพี่สาวด้วยสีหน้าท่าทาง และคำพูดที่เป็นปกติได้อย่างไร..
ชั่วเวลาหนึ่ง จิตใจของหล่อนเริ่มสงบพอ หญิงสาวเปลี่ยนจากนั่งพับเพียบเป็นนั่งทับส้นเท้าอย่างท่าเทพธิดา ความรู้สึกอิ่มเอม ปีติผุดขึ้นกลางอกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อทอดสายตานิ่งนานอยู่ที่พระพุทธรูปองค์นั้น มุกดาประนมมือยกขึ้นจรดหว่างคิ้ว แล้วก้มลงกราบจนศีรษะแนบผืนพรม วินาทีนั้นทิฐิมานะ และอารมณ์อกุศลแผ่วเบาลงจนเกือบไม่มีเหลือ หล่อนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาเมื่อน้อมกายลงกราบครบสามครั้ง เอ่ยเสียงแผ่วเบา มองพระปฏิมาราวกับจะขอความเห็นใจ
“ทำไมพี่แพรต้องทำร้ายไข่มุกขนาดนี้..หนูเคยทำอะไรให้เขา”
ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำถาม ราตรีแสนสั้นนั้นกลับยาวนานที่สุดตั้งแต่มุกดาเคยประสบ ความฝันทั้งมวลเฉลยคำตอบในตัวมันเอง ภาพในอดีตฉายเรียงเข้ามาสู่ห้วงนิทรารมย์ ..ชัดเจน และประจักษ์แจ้ง ยิ่งกว่าคืนใด
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มชายฉกรรจ์บริเวณใต้ถุนหน้าบ้าน ทำให้พัลลภรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด ชายหนุ่มรีบผลักประตูรั้วเข้าไป กึ่งวิ่งกึ่งเดินจนมาหยุดอยู่ตรงบันไดเรือนไม้หลังใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นเรือนพักของมารดาและตัวเขาเอง คุณนายทองทิพย์ยืนกอดอก เหยียดยิ้มอยู่ริมระเบียง มีเสื้อผ้ากองโตวางสุมขนาบข้าง กล่องลังขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันเป็นตั้งๆ รวมถึงตู้หนังสือประกอบด้วยไม้ราคาแพงของเขาก็กำลังถูกชายฉกรรจ์สองคนแบกมันออกมา เสียงร่ำไห้ของมารดาดังขึ้นเป็นระยะ
“แม่แกมีหนี้สินล้นพ้นตัว จนถึงชาติหน้าก็ไม่มีปัญญาหามาจ่ายคืนดอก”
คุณนายทองทิพย์บอกเขาด้วยน้ำเสียงและแววตากราดเกรี้ยว
“คุณแม่ใหญ่กำลังจะทำอะไรครับ..ขนของผมออกมาทำไม”
พัลลภพยายามกัดฟันเอ่ยถามอย่างสุภาพที่สุด
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ใหญ่..แกมันเป็นมารหัวขน แย่งคุณหลวงไปจากฉัน ฉันเกลียดแก แล้วก็แม่ของแกเข้าไส้ รู้เอาไว้ด้วย”
พัลลภมองหน้าคุณนายด้วยแววตาแข็งกร้าว เขาเอ่ยเสียงเครียด
“ผมรู้มาตั้งแต่จำความได้..ไม่ต้องย้ำดอกครับ”
คุณนายทองทิพย์เชิดหน้าใส่ กลอกตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“แกไม่มีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้อีกแล้ว แม่แกเป็นหนี้ฉัน แล้วไม่มีปัญญาใช้ ต่อให้ยึดข้าวของกองพะเนินรวมทั้งที่ดิน ก็ยังคืนไม่หมดแม้แต่ดอกเบี้ย ฉันไว้ชีวิตพวกแกก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
เสียงคุณนายประกาศกร้าวทิ้งท้าย ราวกับประกาศิตมัจจุราช
“ถ้าแกยังรักตัวกลัวตาย..พรุ่งนี้เช้าอย่าให้ฉันเห็นหน้าอีกทั้งแม่ทั้งลูก..”
คุณนายทองทิพย์สั่งคนเหล่านั้นให้ขนของขึ้นรถกระบะออกไปหมดแล้ว พัลลภทรุดตัวลงคุกเข่าข้างมารดาอย่างหมดเรี่ยวแรง..ทั้งกายและใจ
“ไม่เป็นไรนะลูก..เราไปอยู่บ้านคุณยาย ที่นั่นยังพอมีกินมีใช้”
คำปลอบโยนของมารดาไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นเลยแม้สักน้อย คำว่า “พอมีกินมีใช้” ที่บ้านคุณยาย คือพอมีข้าวกินครบสามมื้อ นอกเหนือจากนั้นต้องดิ้นรนเอาเอง หาเช้ากินค่ำให้พ้นไปวันต่อวัน
ไม่มีอีกแล้วความเป็นอยู่สุขสบาย..ฐานะบุตรชายคุณหลวงไผท!
ค่ำวันนั้น..ปรัชยังคงแอบแวะเวียนมาหา มะลิ ตรงที่เก่าเวลาเดิม หลังจากทำตัวเป็นว่าที่คู่หมั้นผู้แสนดี พาพุดซ้อนไปเที่ยวจนทั่วพระนครทุกวันหยุด เทียวรับเทียวส่งจากที่ทำงานมาถึงเรือนกุหลาบในวันราชการ หลังจากรับประทานมื้อเย็นกับพี่สาวคนโตเสร็จเรียบร้อย ปรัชก็แอบมาหามะลิตรงศาลาริมน้ำ เพราะเขารู้ว่าหล่อนจะมานั่งเล่นที่นี่ทุกเย็น ไม่เช่นนั้นก็เอาอาหารมาโปรยให้ปลากิน หรืออีกทีก็เห็นหล่อนจัดน่องไก่ใส่จานอย่างดีมาให้เจ้าด่าง ลูกสุนัขพันธุ์ไทยสีดำสนิทที่หล่อนเลี้ยงดูอยู่
บริเวณนี้มีแปลงกุหลาบสีขาวรายล้อม บางครั้งชายหนุ่มก็เห็นหญิงสาวนั่งเหม่อลอย เอาเท้าจุ่มน้ำ มองกลีบกุหลาบในมือไปพลาง เขาก็จะแอบย่องมาทางด้านหลัง เอามือปิดตาสองข้าง กระซิบแผ่วเบาที่หู
“คิดถึงพี่หรือกระไร..ยอดรัก”
มะลิสะดุ้งน้อยๆ หันมาทำตาเขียวใส่เขาเหมือนเช่นทุกวัน
“มาทำไมอีกคะ..ใครเห็นเข้าจะไม่งาม”
ใบหน้าของหล่อนมีรอยยิ้มเปี่ยมสุขซ่อนตรงมุมปาก ทว่าแววตาเจือความเศร้าสลด ทุกครั้งที่พบเขา
“พี่ปรัชไม่ละอายบ้างหรืออย่างไร..กำลังจะหมั้นกับพี่สาวมะลิเดือนหน้านี้แล้ว เราไม่ควรพบกันอีก”
ปรัชเชยคางมะลิขึ้นมาประสานสายตากับเขา เย้าหล่อนด้วยเสียงทุ้มนุ่ม
“บอกพี่ซิว่าไม่อยากพบหน้า..บอกพี่ซิว่าไม่เคยคิดถึง”
มะลิแก้มแดงปลั่ง หล่อนสะบัดหน้าออกจากมือของเขา เสมองไปทางอื่น
เสียงสวบสาบที่ดังมาจากหลังพุ่มไม้ ทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน แม้หันซ้ายหันขวาแล้วไม่เจอใครอยู่บริเวณนั้น หล่อนก็รีบบอกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ปรัชกลับไปเถิดค่ะ ถ้ายังเห็นแก่ชื่อเสียงของมะลิ”
ปรัชยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนระยิบระยับเมื่อมองหญิงผู้เป็นที่รัก
“พี่จะหาทางให้ได้แต่งงานกับหนูลิ..ขอเวลาพี่อีกสักหน่อยนะจ๊ะ”
มะลิหันหลังให้เขา เป็นเชิงตัดบทแทนคำบอกลา ชายหนุ่มยืนอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเลียบออกไปตามแนวต้นไม้ใหญ่อย่างระแวดระวัง
บริเวณนั้นเงียบเชียบ เสมือนไม่มีใครแอบแฝงอยู่เลย ทว่าความเป็นจริง..ที่หนุ่มสาวสองคนไม่เคยรู้ “จำเนียร” เด็กต้นห้องคนสนิทของพุดซ้อน แอบสะกดรอยตามชายหนุ่มมาเกือบทุกครั้ง..เพื่อนำความทุกอย่างไปบอกนายสาวโดยไม่มีตกหล่น..
มะลิกำลังจะเดินกลับเข้าเรือน แต่หล่อนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเจ้าด่างไว้ข้างแปลงกุหลาบ ป่านนี้มันคงจัดการน่องไก่ที่หล่อนเก็บใส่จานไว้ให้จนหมดเกลี้ยง
เมื่อหญิงสาวหันหลังย้อนกลับมาถึงที่หมาย หล่อนกลับพบเพียงจานว่างเปล่า..ไม่มีเจ้าด่าง คอยอยู่อย่างทุกครั้ง มะลิวนเวียนกลับไปกลับมาบริเวณศาลาริมน้ำอยู่เป็นนาน ทว่าไม่มีวี่แววของสุนัขตัวโปรดวิ่งเล่นซุกซนให้หล่อนเห็นอีกเลย หญิงสาวตัดสินใจกลับมาเก็บจาน แล้วเดินตามรอยเท้าที่เจ้าด่างฝากทิ้งไว้บนดินออกมา
หล่อนตามมาจนพ้นเขตแมกไม้ ไม่มีร่องรอยของเจ้าด่างให้ติดตามอีกแล้ว หญิงสาวรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาฉับพลันว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้นกับมัน เวลานั้นชายสูงวัยผู้มีหน้าที่ดูแลต้นไม้ในสวนเดินผ่านมาพอดี มะลิจึงถามเขาด้วยความร้อนใจ
“ลุงเอิบ..เห็นไอ้ด่างไหม?”
“เพิ่งเห็นมันวิ่งไปทางประตูรั้วขอรับคุณหนู..สงสัยออกไปซนข้างนอกแล้วกระมัง”
“หรือจ๊ะ..ขอบใจจ้ะลุง”
มะลิรีบวิ่งไปยังรั้วหน้าเรือนตามคำบอกกล่าวของชายสูงวัย แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของสุนัขตัวโปรดอยู่ดี หล่อนออกตามหาถึงริมถนนในซอยนั้น เจอเด็กวัยรุ่นสองสามคนเดินผ่านมา บอกว่าเห็นมันวิ่งหนีสุนัขใหญ่ตัวหนึ่งเข้าไปทางป่าละเมาะ
หญิงสาวเริ่มมีเหงื่อเม็ดเกาะพราวไปทั้งเนื้อตัว หล่อนวิ่งกระหืดกระหอบตามทางที่เด็กพวกนั้นบอก ทั้งตกใจ ทั้งกระสับกระส่าย กลัวเจ้าด่างจะถูกสุนัขใหญ่กัดตาย หรือแม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บ หล่อนลืมไปเลยว่าตนเป็นผู้หญิงคนเดียว ออกมาเดินในที่ซึ่งเริ่มเปลี่ยว ปราศจากผู้คน ผืนฟ้าเบื้องบนก็เริ่มมีความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมเส้นทางทั้งสองฟากฝั่ง..ความเป็นห่วงเจ้าด่าง ทำให้หล่อนลืมห่วงตัวเอง ไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาเพชฌฆาตคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ในเงามืด
“ข้ามีเรื่องสนุกๆให้เอ็งทำแล้วว่ะ ไอ้ยักษ์ เราเลิกตกปลากันเถิด”
พัลลภสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ริมตลิ่ง ให้หันไปมองหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมาย หล่อนกำลังมุ่งตรงเข้ามาในเขตป่าละเมาะ ท่าทางเหมือนคนกำลังจะเสียสติ
“เลิกทำไมวะไอ้ลภ ข้ากำลังจะตกได้ปลาตัวใหญ่”
พัลลภบอกเสียงเยียบเย็น สายตาไม่ละไปจากเหยื่อรายนั้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“ข้าอยากรู้จริงๆ..อีทองทิพย์จะทำหน้ายังไง..ถ้าเห็นลูกสาวกลายเป็นศพ!”
จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อเจ้านายของหล่อนกำลังมีชั่วโมงสุดพิเศษอยู่กับแพรวาสองต่อสอง เขาคงไม่มีแก่ใจจะนึกถึงหล่อน หรือใครๆนอกจากหญิงผู้เป็นที่รัก มุกดากลับมาถึงบ้านตั้งแต่สองทุ่ม หล่อนเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้อง ไม่ยอมให้ไพลินและเพทายเข้ามาปลอบโยน ขณะที่พี่สาวทั้งสองยืนเคาะประตูส่งเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงนานพอสมควร
พอกันที..สำหรับภาพพจน์เด็กขี้แย เจอปัญหาทีไรก็เอาแต่จมปลักอยู่กับความเศร้า ไม่มีสติเผชิญหน้าความจริงสักครั้ง หล่อนสัญญากับตัวเองแล้ว ว่าต่อไปนี้จะเข้มแข็ง และลุกขึ้นยืนให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่เป็นภาระให้ใครต่อใครต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหาชีวิตให้เหมือนที่ผ่านมา
มุกดาถอนหายใจอีกครั้ง พยายามสลัดความรู้สึกน้อยใจ เศร้าหมอง และอิจฉาแพรวาอยู่ลึกๆ หล่อนข่มตาให้หลับไม่ได้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววว่าดีไซเนอร์สาวจะกลับมา ส่วนเพทายกับไพลินนั้นไม่ต้องพูดถึง หล่อนเพิ่งเดินผ่านห้องพี่สาวทั้งสองซึ่งดับไฟสนิท แสดงว่าเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้คงหลับเป็นตาย โดยเฉพาะเพทาย..พี่สาวผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเหนื่อยล้าเพื่อให้หล่อนได้รู้ความจริงอันแสนเจ็บปวดมาเกือบทั้งวัน
มุกดากระพริบตาถี่ๆไล่ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหลายออกไปจากใจพร้อมหยาดน้ำตา ความเงียบสงบในห้องพระ ความบริสุทธิ์ของดอกบัวขาวในแจกัน และกลิ่นอายแห่งสะอาด สว่าง ทำให้เรื่องฟุ้งซ่านต่างๆในหัวเริ่มคลายลง นึกอีกทีก็ดีเหมือนกัน ที่แพรวายังไม่กลับมาให้หล่อนเห็นหน้าในตอนนี้ มุกดานึกไม่ออกเลย ว่าจะเผชิญหน้ากับพี่สาวด้วยสีหน้าท่าทาง และคำพูดที่เป็นปกติได้อย่างไร..
ชั่วเวลาหนึ่ง จิตใจของหล่อนเริ่มสงบพอ หญิงสาวเปลี่ยนจากนั่งพับเพียบเป็นนั่งทับส้นเท้าอย่างท่าเทพธิดา ความรู้สึกอิ่มเอม ปีติผุดขึ้นกลางอกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อทอดสายตานิ่งนานอยู่ที่พระพุทธรูปองค์นั้น มุกดาประนมมือยกขึ้นจรดหว่างคิ้ว แล้วก้มลงกราบจนศีรษะแนบผืนพรม วินาทีนั้นทิฐิมานะ และอารมณ์อกุศลแผ่วเบาลงจนเกือบไม่มีเหลือ หล่อนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาเมื่อน้อมกายลงกราบครบสามครั้ง เอ่ยเสียงแผ่วเบา มองพระปฏิมาราวกับจะขอความเห็นใจ
“ทำไมพี่แพรต้องทำร้ายไข่มุกขนาดนี้..หนูเคยทำอะไรให้เขา”
ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำถาม ราตรีแสนสั้นนั้นกลับยาวนานที่สุดตั้งแต่มุกดาเคยประสบ ความฝันทั้งมวลเฉลยคำตอบในตัวมันเอง ภาพในอดีตฉายเรียงเข้ามาสู่ห้วงนิทรารมย์ ..ชัดเจน และประจักษ์แจ้ง ยิ่งกว่าคืนใด
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มชายฉกรรจ์บริเวณใต้ถุนหน้าบ้าน ทำให้พัลลภรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด ชายหนุ่มรีบผลักประตูรั้วเข้าไป กึ่งวิ่งกึ่งเดินจนมาหยุดอยู่ตรงบันไดเรือนไม้หลังใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นเรือนพักของมารดาและตัวเขาเอง คุณนายทองทิพย์ยืนกอดอก เหยียดยิ้มอยู่ริมระเบียง มีเสื้อผ้ากองโตวางสุมขนาบข้าง กล่องลังขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันเป็นตั้งๆ รวมถึงตู้หนังสือประกอบด้วยไม้ราคาแพงของเขาก็กำลังถูกชายฉกรรจ์สองคนแบกมันออกมา เสียงร่ำไห้ของมารดาดังขึ้นเป็นระยะ
“แม่แกมีหนี้สินล้นพ้นตัว จนถึงชาติหน้าก็ไม่มีปัญญาหามาจ่ายคืนดอก”
คุณนายทองทิพย์บอกเขาด้วยน้ำเสียงและแววตากราดเกรี้ยว
“คุณแม่ใหญ่กำลังจะทำอะไรครับ..ขนของผมออกมาทำไม”
พัลลภพยายามกัดฟันเอ่ยถามอย่างสุภาพที่สุด
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ใหญ่..แกมันเป็นมารหัวขน แย่งคุณหลวงไปจากฉัน ฉันเกลียดแก แล้วก็แม่ของแกเข้าไส้ รู้เอาไว้ด้วย”
พัลลภมองหน้าคุณนายด้วยแววตาแข็งกร้าว เขาเอ่ยเสียงเครียด
“ผมรู้มาตั้งแต่จำความได้..ไม่ต้องย้ำดอกครับ”
คุณนายทองทิพย์เชิดหน้าใส่ กลอกตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“แกไม่มีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้อีกแล้ว แม่แกเป็นหนี้ฉัน แล้วไม่มีปัญญาใช้ ต่อให้ยึดข้าวของกองพะเนินรวมทั้งที่ดิน ก็ยังคืนไม่หมดแม้แต่ดอกเบี้ย ฉันไว้ชีวิตพวกแกก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
เสียงคุณนายประกาศกร้าวทิ้งท้าย ราวกับประกาศิตมัจจุราช
“ถ้าแกยังรักตัวกลัวตาย..พรุ่งนี้เช้าอย่าให้ฉันเห็นหน้าอีกทั้งแม่ทั้งลูก..”
คุณนายทองทิพย์สั่งคนเหล่านั้นให้ขนของขึ้นรถกระบะออกไปหมดแล้ว พัลลภทรุดตัวลงคุกเข่าข้างมารดาอย่างหมดเรี่ยวแรง..ทั้งกายและใจ
“ไม่เป็นไรนะลูก..เราไปอยู่บ้านคุณยาย ที่นั่นยังพอมีกินมีใช้”
คำปลอบโยนของมารดาไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นเลยแม้สักน้อย คำว่า “พอมีกินมีใช้” ที่บ้านคุณยาย คือพอมีข้าวกินครบสามมื้อ นอกเหนือจากนั้นต้องดิ้นรนเอาเอง หาเช้ากินค่ำให้พ้นไปวันต่อวัน
ไม่มีอีกแล้วความเป็นอยู่สุขสบาย..ฐานะบุตรชายคุณหลวงไผท!
ค่ำวันนั้น..ปรัชยังคงแอบแวะเวียนมาหา มะลิ ตรงที่เก่าเวลาเดิม หลังจากทำตัวเป็นว่าที่คู่หมั้นผู้แสนดี พาพุดซ้อนไปเที่ยวจนทั่วพระนครทุกวันหยุด เทียวรับเทียวส่งจากที่ทำงานมาถึงเรือนกุหลาบในวันราชการ หลังจากรับประทานมื้อเย็นกับพี่สาวคนโตเสร็จเรียบร้อย ปรัชก็แอบมาหามะลิตรงศาลาริมน้ำ เพราะเขารู้ว่าหล่อนจะมานั่งเล่นที่นี่ทุกเย็น ไม่เช่นนั้นก็เอาอาหารมาโปรยให้ปลากิน หรืออีกทีก็เห็นหล่อนจัดน่องไก่ใส่จานอย่างดีมาให้เจ้าด่าง ลูกสุนัขพันธุ์ไทยสีดำสนิทที่หล่อนเลี้ยงดูอยู่
บริเวณนี้มีแปลงกุหลาบสีขาวรายล้อม บางครั้งชายหนุ่มก็เห็นหญิงสาวนั่งเหม่อลอย เอาเท้าจุ่มน้ำ มองกลีบกุหลาบในมือไปพลาง เขาก็จะแอบย่องมาทางด้านหลัง เอามือปิดตาสองข้าง กระซิบแผ่วเบาที่หู
“คิดถึงพี่หรือกระไร..ยอดรัก”
มะลิสะดุ้งน้อยๆ หันมาทำตาเขียวใส่เขาเหมือนเช่นทุกวัน
“มาทำไมอีกคะ..ใครเห็นเข้าจะไม่งาม”
ใบหน้าของหล่อนมีรอยยิ้มเปี่ยมสุขซ่อนตรงมุมปาก ทว่าแววตาเจือความเศร้าสลด ทุกครั้งที่พบเขา
“พี่ปรัชไม่ละอายบ้างหรืออย่างไร..กำลังจะหมั้นกับพี่สาวมะลิเดือนหน้านี้แล้ว เราไม่ควรพบกันอีก”
ปรัชเชยคางมะลิขึ้นมาประสานสายตากับเขา เย้าหล่อนด้วยเสียงทุ้มนุ่ม
“บอกพี่ซิว่าไม่อยากพบหน้า..บอกพี่ซิว่าไม่เคยคิดถึง”
มะลิแก้มแดงปลั่ง หล่อนสะบัดหน้าออกจากมือของเขา เสมองไปทางอื่น
เสียงสวบสาบที่ดังมาจากหลังพุ่มไม้ ทำให้หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน แม้หันซ้ายหันขวาแล้วไม่เจอใครอยู่บริเวณนั้น หล่อนก็รีบบอกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ปรัชกลับไปเถิดค่ะ ถ้ายังเห็นแก่ชื่อเสียงของมะลิ”
ปรัชยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนระยิบระยับเมื่อมองหญิงผู้เป็นที่รัก
“พี่จะหาทางให้ได้แต่งงานกับหนูลิ..ขอเวลาพี่อีกสักหน่อยนะจ๊ะ”
มะลิหันหลังให้เขา เป็นเชิงตัดบทแทนคำบอกลา ชายหนุ่มยืนอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเลียบออกไปตามแนวต้นไม้ใหญ่อย่างระแวดระวัง
บริเวณนั้นเงียบเชียบ เสมือนไม่มีใครแอบแฝงอยู่เลย ทว่าความเป็นจริง..ที่หนุ่มสาวสองคนไม่เคยรู้ “จำเนียร” เด็กต้นห้องคนสนิทของพุดซ้อน แอบสะกดรอยตามชายหนุ่มมาเกือบทุกครั้ง..เพื่อนำความทุกอย่างไปบอกนายสาวโดยไม่มีตกหล่น..
มะลิกำลังจะเดินกลับเข้าเรือน แต่หล่อนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเจ้าด่างไว้ข้างแปลงกุหลาบ ป่านนี้มันคงจัดการน่องไก่ที่หล่อนเก็บใส่จานไว้ให้จนหมดเกลี้ยง
เมื่อหญิงสาวหันหลังย้อนกลับมาถึงที่หมาย หล่อนกลับพบเพียงจานว่างเปล่า..ไม่มีเจ้าด่าง คอยอยู่อย่างทุกครั้ง มะลิวนเวียนกลับไปกลับมาบริเวณศาลาริมน้ำอยู่เป็นนาน ทว่าไม่มีวี่แววของสุนัขตัวโปรดวิ่งเล่นซุกซนให้หล่อนเห็นอีกเลย หญิงสาวตัดสินใจกลับมาเก็บจาน แล้วเดินตามรอยเท้าที่เจ้าด่างฝากทิ้งไว้บนดินออกมา
หล่อนตามมาจนพ้นเขตแมกไม้ ไม่มีร่องรอยของเจ้าด่างให้ติดตามอีกแล้ว หญิงสาวรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาฉับพลันว่าอาจมีอันตรายเกิดขึ้นกับมัน เวลานั้นชายสูงวัยผู้มีหน้าที่ดูแลต้นไม้ในสวนเดินผ่านมาพอดี มะลิจึงถามเขาด้วยความร้อนใจ
“ลุงเอิบ..เห็นไอ้ด่างไหม?”
“เพิ่งเห็นมันวิ่งไปทางประตูรั้วขอรับคุณหนู..สงสัยออกไปซนข้างนอกแล้วกระมัง”
“หรือจ๊ะ..ขอบใจจ้ะลุง”
มะลิรีบวิ่งไปยังรั้วหน้าเรือนตามคำบอกกล่าวของชายสูงวัย แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของสุนัขตัวโปรดอยู่ดี หล่อนออกตามหาถึงริมถนนในซอยนั้น เจอเด็กวัยรุ่นสองสามคนเดินผ่านมา บอกว่าเห็นมันวิ่งหนีสุนัขใหญ่ตัวหนึ่งเข้าไปทางป่าละเมาะ
หญิงสาวเริ่มมีเหงื่อเม็ดเกาะพราวไปทั้งเนื้อตัว หล่อนวิ่งกระหืดกระหอบตามทางที่เด็กพวกนั้นบอก ทั้งตกใจ ทั้งกระสับกระส่าย กลัวเจ้าด่างจะถูกสุนัขใหญ่กัดตาย หรือแม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บ หล่อนลืมไปเลยว่าตนเป็นผู้หญิงคนเดียว ออกมาเดินในที่ซึ่งเริ่มเปลี่ยว ปราศจากผู้คน ผืนฟ้าเบื้องบนก็เริ่มมีความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมเส้นทางทั้งสองฟากฝั่ง..ความเป็นห่วงเจ้าด่าง ทำให้หล่อนลืมห่วงตัวเอง ไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาเพชฌฆาตคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอยู่ในเงามืด
“ข้ามีเรื่องสนุกๆให้เอ็งทำแล้วว่ะ ไอ้ยักษ์ เราเลิกตกปลากันเถิด”
พัลลภสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ริมตลิ่ง ให้หันไปมองหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมาย หล่อนกำลังมุ่งตรงเข้ามาในเขตป่าละเมาะ ท่าทางเหมือนคนกำลังจะเสียสติ
“เลิกทำไมวะไอ้ลภ ข้ากำลังจะตกได้ปลาตัวใหญ่”
พัลลภบอกเสียงเยียบเย็น สายตาไม่ละไปจากเหยื่อรายนั้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“ข้าอยากรู้จริงๆ..อีทองทิพย์จะทำหน้ายังไง..ถ้าเห็นลูกสาวกลายเป็นศพ!”
ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2555, 23:17:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2555, 23:17:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 1842
<< บทที่๒๒ บทเรียนราคาแพง ๑/๒ | บทที่๒๓ วิวาห์จำนน ๑/๒ >> |
jink 9 ก.ค. 2555, 23:27:40 น.
wane 11 ก.ค. 2555, 11:34:11 น.
น่ากลัวอ่ะ
น่ากลัวอ่ะ