ลำนำรักสายลม
และสายลม,
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล
ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า
ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)
(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล
ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า
ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)
(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
Tags: รักโรแมนติก วัยรุ่น ผู้ใหญ่
ตอน: ลำนำรักสายลม ตอนที่ 1.1
ตอนที่ 1
หรีดหริ่งเรไรดังระงมจากพงไม้รอบเรือนไทยใต้ถุนสูง เสียงของมันช่างวังเวงน่ากลัวเหลือเกินสำหรับเด็กหญิงอายุราวสิบขวบผู้ต้องนอนคนเดียว ฟูกหนาไม่กี่นิ้วบัดนี้เย็นเฉียบเพราะเจ้าของลุกไปนั่งอิงหน้าต่าง เลิกม่านผ้าสีพื้นตัดเย็บด้วยมือออกกว้างเพื่อมองท้องฟ้ามืดด้วยความจดจ่อ
สายลมหนาวพัดมาเป็นระลอกจนทั้งม่านทั้งลูกผมปลิวสะบัด เงาไม้พลอยกระพือไหวเกรียวกราวดุจดั่งเสียงปรบมือกระทืบบาทของเหล่าปีศาจ หากใจของเด็กหญิงลอยผ่านภาพน่ากลัวนั้นไปแสนไกล
ถ้าแม่อยู่ คงไล่ให้หล่อนไปนอนห่มผ้าจนอุ่น ไม่ปล่อยให้นั่งตากน้ำค้างจนเนื้อตัวเย็นเยียบ
คืนพรุ่งนี้แล้วสิ ที่หล่อนไม่ต้องนอนคนเดียว!
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตของอัจจิมาวุ่นวายไปกับความโกลาหลในโรงเรียน การเตรียมงานประจำปีกำลังดำเนินอย่างเร่งรีบ โดยปกติแล้ว งานโรงเรียนจะมีอย่างเรียบง่ายทุกปีในวันแม่ ทว่าปีนี้เป็นปีครบรอบการก่อตั้งสำคัญ อาจารย์ใหญ่จึงมีมติให้เตรียมงานฉลองใหญ่ มีการแสดง นิทรรศการ และการเปิดร้านเป็นที่คึกคัก ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันต่างร่วมมือช่วยกันออกร้านจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าสารพัน ความโกลาหลที่ว่า ไม่ได้เกิดเพราะเนื้องานซึ่งมีการเตรียมการล่วงหน้า แต่เป็นเพราะจะมีคนสำคัญมาร่วมงานกะทันหัน เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่จากกระทรวงอะไรสักอย่างและคงใหญ่โตมาก ผู้ว่าฯ จึงเปลี่ยนใจมางานด้วยทั้งที่ส่งจดหมายปฏิเสธมาแล้ว ครูแต่ละท่านจึงแทบไม่เป็นอันสอน เพราะงานก่อนหน้าทั้งปวงดูไม่เป็นการสมเกียรติพอ ทั้งสถานที่ งานออกร้าน งานแสดง ถูกขยายจำนวนหรือเพิ่มปริมาณงานเพื่อรับรอง ‘ท่าน’
ความโกลาหลดังว่า จึงพลอยลุกลามมายังนักเรียนด้วย
เดิมที อัจจิมาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนห้องรำอวยพรร่วมกับเพื่อน แต่เมื่อมีผู้ใหญ่มากยศเข้าร่วมงาน ครูใหญ่จึงกังวลว่าการแสดงต่างๆ จะธรรมดาไป จึงสั่งให้ครูแสงนวลผู้ฝึกสอนปรับเปลี่ยนการแสดงรำอวยพรด้วยการตัดอัจจิมาออกให้มารำเดี่ยวเปิดงานแทน อีกทั้งยังเพิ่มการแสดงอีกหลายรายการ
ด้วยเหตุนี้ ชุดรำไทยของอัจจึงต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดเหมือนกับการแสดงอื่นๆ เมื่อความโกลาหลต่างๆ เริ่มเข้าที่ เรื่องวุ่นวายใหม่ก็มาถึง
ลำดับการแสดงถูกปรับเอาสามวันสุดท้าย!
“น่าเกลียดจริง จะเอาการแสดงฝรั่งเปิดงาน รำอวยพรน่ะเหมาะแล้ว” ครูแสงนวลบ่นกับเพื่อนครูด้วยกันในห้องซ้อม เด็กได้ยินทั่วหน้าจึงมองหน้ากันเลิกลั่ก
“ใคร?” ครูผู้เข้ามาสังเกตุการซ้อมคนหนึ่งถาม
“พวกนั้นแหละ” ครูแสงนวลสั่งให้ชุดรำอวยพรซ้อมต่อกันเองแล้วลดเสียงคุยกับครูคนเดิม อัจจิมาซึ่งนั่งรอการซ้อมอยู่ใกล้ๆ ได้ยินบทสนทนาต่อไปแจ่มชัด
“ตายจริง น่าเกลียดจริงๆ ด้วย ทำอย่างนี้เหมือนไม่ไว้หน้าเจ้าภาพ แล้วครูใหญ่ไม่ว่าอะไรหรือ”
“ก็ไม่เห็นว่าอะไร คล้อยตามเสียด้วยซ้ำ แล้วที่สำคัญนะ การแสดงชุดนี้เป็นของนักเรียนโรงเรียนอื่น ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ”
“อ้าว! มีอย่างที่ไหน งานโรงเรียนเราแท้ๆ ถ้าล่มขึ้นมาหรือไม่สวยจะว่ายังไงกัน งานมิกร่อยตายรึ”
“คงไม่กร่อยหรอกเพราะหนึ่งในนักแสดงเป็นลูกสาวท่าน คงหาเวทีให้ลูกได้แสดงออกน่ะ เฮ้อ การแสดงของเราออกสวย กลับต้องเป็นนางรองไปเสียแล้ว”
“อ้อ” คู่สนทนาอึ้งไป
อัจจิมาพลอยกังวลไปด้วย หล่อนอยากให้แม่ภูมิใจในความสามารถของลูกสาวคนเดียวบ้าง ถ้าเป็นกำหนดการเดิม อัจจิมาจะรำฉุยฉายเปิดงาน แม่คงดีใจไม่น้อย แต่การแสดงถูกเลื่อนไปเป็นช่วงปิดงานเสียแล้ว
ยิ่งใกล้วันงาน ความตื่นเต้นในหมู่นักเรียนและครูกลับกลายเป็นความจดจ่ออยากรู้รายละเอียดการแสดงชุดแรก จนกลายเป็นหัวข้อสนทนายอดนิยมอันดับต้นๆ
“อัจแย่หน่อยนะ อุตส่าห์ลงทุนค่าชุดตั้งหลายร้อย เห็นจะแพ้เขา” หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเรียนเอ่ยปากหลังจากขอกินข้าวเที่ยงด้วย นับเป็นการร่วมกินข้าวด้วยกันครั้งแรกตั้งแต่อัจจิมารู้จักอ้อยทิพย์
“นั่นสิ” ลูกคู่ตามติดระยะสองเมตรของอ้อยทิพย์เสริม
ลูกคู่ของอ้อยทิพย์เป็นเด็กหญิงหุ่นผอมเป็นกุ้งแห้ง ทั้งสองมีเชื้อสายจีนเหมือนแพรวตา เพื่อนสนิทของอัจจิมา แต่แพรวตาผิวคล้ำ จึงมักถูกอ้อยทิพย์ค่อนขอดว่าไม่เคยเห็นคนจีนมีสีผิวช้ำเลือดช้ำหนองแบบนี้ ความเป็นคนสนิทของอ้อยทิพย์ทำให้เด็กหญิงได้รับสิทธิประโยชน์สำคัญ คืออ้อยทิพย์ติวหนังสือให้อย่างเข้มข้น ขณะที่คนเรียนอ่อนอย่างแพรวตาหรืออัจจิมาไม่มีโอกาส แค่ปรายตาขอให้ช่วย ผู้ครองคะแนนสอบอันดับหนึ่งของห้องจะรีบออกตัวละล่ำละลักว่า “ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน” หรือ “ทำไม่เป็นเลย”
“รู้ได้ไง เธอเคยเห็นการแสดงนั่นแล้วเหรอ” เพื่อนสนิทของอัจจิมาอดเถียงแทนไม่ได้
“รู้สิ” แม่ลูกคู่ค้านเสียงยวบเหมือนกริยา “อ้อยไปกรุงเทพฯ บ่อย ทุกอย่างในกรุงเทพฯ ดีกว่าบ้านเรา รถราดีกว่า ตึกรามบ้านช่องดีกว่า โรงเรียนดีกว่า การแสดงก็ต้องดีกว่า ดูอย่างในทีวีปะไร”
อัจจิมาสะกิดแพรวตาไม่ให้ต่อปากต่อคำ ตั้งแต่ครูใหญ่สั่งให้อัจจิมารำฉุยฉายเปิดงาน ครูแสงนวลก็ดูจะมีเมตตากับอัจจิมาขึ้นมาบ้าง เลิกดุว่าเรื่องคะแนนสอบคาบเส้นสม่ำเสมอของเด็กหญิง หล่อนจึงไม่อยากมีเรื่องทะเลาะวิวาทให้ครูแสงนวลลดเมตตา
ที่สำคัญ แม่จะลางานเพื่อมาชมการแสดงครั้งนี้ อัจจิมาจึงตั้งใจซ้อมเต็มที่
*******************************
มารดาของเด็กหญิงชื่อบอบบางสมตัวว่าอร เป็นบุตรสาวคนโตของยายอิ่มและเป็นพี่สาวคนเดียวของลูกหลงอย่างอินทิรา อรถือว่าเป็นคนมีความรู้ในชุมชน คือเรียนถึงระดับอนุปริญญาแต่ไม่จบเนื่องจากทางบ้านขัดสนจนต้องออกจากวิทยาลัยเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว อรทำงานมาแล้วหลายอย่าง ตั้งแต่เป็นครูผู้ช่วยโรงเรียนอนุบาล หน่วยการดีทำให้มีผู้ใหญ่แนะนำฝากให้เป็นเสมียนตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ยายอิ่มดีใจมากเพราะคิดว่าลูกสาวโชคดี ได้ทำงานมั่นคง แต่จะด้วยเหตุผลกลใดมิทราบ อรลาออกจากงานกระทันหัน กลับมาอยู่บ้านพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตไปเป็นสาวโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างจังหวัดท่ามกลางเสียงคัดค้านหนักหน่วงของทางบ้าน งานโรงงานเป็นงานหนัก ยายอิ่มไม่เชื่อว่าลูกสาวคนโตจะผ่านงานได้ แต่แล้ว อรก็ได้บรรจุเป็นคนงานประจำ มีเงินเดือนก้อนเล็กบวกกับค่าจ้างล่วงเวลาเป็นกอบกำ รวมๆ แล้วมากกว่าเงินเดือนเก่าเกือบเท่าตัว ทำให้ยายอิ่มเลิกตื้อให้บุตรสาวลาออก
เพราะต้องทำงานไกลถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านที การกลับบ้านแต่ละครั้งของมารดาจึงมีความหมายต่อเด็กหญิงอัจจิมามากนัก หนูน้อยนอนกระสับกระส่ายอยู่หลายคืน เก็บความตื่นเต้นประหม่าไว้ไม่กล้าบอกใคร บ้านหลังเล็กของหล่อนมีสมาชิกน้อยก็จริง คือมีแค่ยายอิ่ม น้าอิน และตัวเด็กหญิงเอง แต่เวลาของทุกคนในบ้านพันธนาการเข้ากับภาระหาเงินเพื่อปากท้องจนแทบไม่มีเวลาพูดจาเล่นหัว ยายรับจ้างทั่วไปตั้งแต่ร้อยพวงมาลัยขาย ทำขนม และรับจ้างตัดเย็บชุดรำละคร ส่วนน้าสาวของเด็กหญิงกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ทำงานตัวเป็นเกลียวเหมือนกัน ทุกวันหลังเลิกเรียน อินทิราจะไปเสิร์ฟอาหารให้กับร้านอาหารป่าตรงปากทางเข้าน้ำตก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลายสิบกิโลเมตร และจะไปเสิร์ฟเต็มวันในวันเสาร์และอาทิตย์
มารดาเป็นคนไม่ค่อยพูด นานๆ จะโทร.กลับบ้านเสียที แต่ละครั้ง แม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไม่กี่ประโยคและมักจบการสนทนาเป็นทำนองว่า
“เรียนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จะได้มีอาชีพมั่นคง”
และถ้าอัจถามทุกข์สุขของแม่ ก็มักได้คำตอบว่า
“งานเร่งมาก ล่วงเวลาจนถึงสี่ทุ่มเกือบทุกวัน”
“อยากให้แม่กลับบ้านบ่อยๆ จัง” หล่อนอ้อน และมักได้คำตอบว่า
“แม่ลาหยุดบ่อยๆ ไม่ได้”
“อัจต้องอดทน” อินทิราปลอบเมื่อหล่อนบ่นคิดถึงแม่ให้ฟัง “ งานโรงงานเหมือนสายพานเครื่องจักรที่หมุนไปไม่หยุดหย่อน”
“ยายบอกว่าแม่ทำงานหนักเกินไป ก่อนอัจเกิด แม่ทำงานสบายกว่านี้”
“โธ่ ขึ้นชื่อว่างาน ไม่มีคำว่าสบายหรอก” น้าสาวหน้ามุ่ย “ อยู่ไหนก็หนักเท่ากัน ไม่มีใครให้เงินเราฟรีๆ เขาเอาเงินแลกงาน แลกหยาดเหงื่อแรงกาย แรงใจเราทั้งนั้น บางงานดูเหมือนสบาย มีเกียรติ แต่เบื้องหลังกลับมีแต่เรื่องเหนื่อยใจสารพัน ถ้าเลือกได้ น้าขอเลือกงานหนักกายดีกว่าเพราะถ้าเราขยันมาก ค่าแรงจะเพิ่มขึ้น พี่อรเป็นคนอดทน พยายามเรียนรู้งานให้เชี่ยวชาญ ไม่เห็นแก่ความยากลำบากกาย ความอดทนข้อนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยเข้าใจ มักเบื่อและเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น” อินทิราทั้งบ่นทั้งสอน ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงแม่ อัจจิมาคงหัวเราะพรวดออกมา
‘เด็กรุ่นใหม่’ โถ คนพูดอายุสักเท่าไหร่กันเชียว
“อย่างเด็กสาวที่เพิ่งมาสมัครงานกับเจ๊เพ็ญ เปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ยังไม่ทันชำนาญอะไรเลย อายุเท่านี้ ย้ายมาประมาณสี่ห้าโรงงานละมัง บ่นว่า ค่าแรงน้อย หัวหน้างานดุ เจ้าระเบียบ ออกกฎเอารัดเอาเปรียบเช่น ห้ามพูดคุยระหว่างทำงาน เข้าห้องน้ำได้แค่หนึ่งครั้งในสี่ชั่วโมง และยังต้องเซ็นชื่อขออนุญาตขอเข้าห้องน้ำก่อน ซ้ำโรงงานยังยึดเงินประกันจำนวนสองเดือนไว้อีกด้วย จะคืนให้เมื่อพนักงานทำงานครบหนึ่งปี งานเร่งและหนัก ค่าแรงล่วงหน้าเบิกได้ช้า สารพัดจะบ่นก่อนลาออกไปไม่บอกกล่าวใคร ทิ้งเงินประกันสองเดือนไปอย่างน่าเสียดาย
คนไม่มีความรู้ ไม่มีทางเลือกเดินมากนักหรอกนะ เจ้าอัจ ถ้าไม่อดทนเสียอย่าง ความรู้ความสามารถมันจะพอกพูนได้ด้วยวิธีไหนนอกจากการทำงานผ่านสองมือ พวกจบปริญญาน่ะดีหน่อย ถ้าอัจคิดถึงแม่ก็จงอดทน บากบั่นมุมานะ เรียนเก่งๆ ให้แม่ชื่นใจนะ”
หรีดหริ่งเรไรดังระงมจากพงไม้รอบเรือนไทยใต้ถุนสูง เสียงของมันช่างวังเวงน่ากลัวเหลือเกินสำหรับเด็กหญิงอายุราวสิบขวบผู้ต้องนอนคนเดียว ฟูกหนาไม่กี่นิ้วบัดนี้เย็นเฉียบเพราะเจ้าของลุกไปนั่งอิงหน้าต่าง เลิกม่านผ้าสีพื้นตัดเย็บด้วยมือออกกว้างเพื่อมองท้องฟ้ามืดด้วยความจดจ่อ
สายลมหนาวพัดมาเป็นระลอกจนทั้งม่านทั้งลูกผมปลิวสะบัด เงาไม้พลอยกระพือไหวเกรียวกราวดุจดั่งเสียงปรบมือกระทืบบาทของเหล่าปีศาจ หากใจของเด็กหญิงลอยผ่านภาพน่ากลัวนั้นไปแสนไกล
ถ้าแม่อยู่ คงไล่ให้หล่อนไปนอนห่มผ้าจนอุ่น ไม่ปล่อยให้นั่งตากน้ำค้างจนเนื้อตัวเย็นเยียบ
คืนพรุ่งนี้แล้วสิ ที่หล่อนไม่ต้องนอนคนเดียว!
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ชีวิตของอัจจิมาวุ่นวายไปกับความโกลาหลในโรงเรียน การเตรียมงานประจำปีกำลังดำเนินอย่างเร่งรีบ โดยปกติแล้ว งานโรงเรียนจะมีอย่างเรียบง่ายทุกปีในวันแม่ ทว่าปีนี้เป็นปีครบรอบการก่อตั้งสำคัญ อาจารย์ใหญ่จึงมีมติให้เตรียมงานฉลองใหญ่ มีการแสดง นิทรรศการ และการเปิดร้านเป็นที่คึกคัก ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันต่างร่วมมือช่วยกันออกร้านจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าสารพัน ความโกลาหลที่ว่า ไม่ได้เกิดเพราะเนื้องานซึ่งมีการเตรียมการล่วงหน้า แต่เป็นเพราะจะมีคนสำคัญมาร่วมงานกะทันหัน เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่จากกระทรวงอะไรสักอย่างและคงใหญ่โตมาก ผู้ว่าฯ จึงเปลี่ยนใจมางานด้วยทั้งที่ส่งจดหมายปฏิเสธมาแล้ว ครูแต่ละท่านจึงแทบไม่เป็นอันสอน เพราะงานก่อนหน้าทั้งปวงดูไม่เป็นการสมเกียรติพอ ทั้งสถานที่ งานออกร้าน งานแสดง ถูกขยายจำนวนหรือเพิ่มปริมาณงานเพื่อรับรอง ‘ท่าน’
ความโกลาหลดังว่า จึงพลอยลุกลามมายังนักเรียนด้วย
เดิมที อัจจิมาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนห้องรำอวยพรร่วมกับเพื่อน แต่เมื่อมีผู้ใหญ่มากยศเข้าร่วมงาน ครูใหญ่จึงกังวลว่าการแสดงต่างๆ จะธรรมดาไป จึงสั่งให้ครูแสงนวลผู้ฝึกสอนปรับเปลี่ยนการแสดงรำอวยพรด้วยการตัดอัจจิมาออกให้มารำเดี่ยวเปิดงานแทน อีกทั้งยังเพิ่มการแสดงอีกหลายรายการ
ด้วยเหตุนี้ ชุดรำไทยของอัจจึงต้องถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดเหมือนกับการแสดงอื่นๆ เมื่อความโกลาหลต่างๆ เริ่มเข้าที่ เรื่องวุ่นวายใหม่ก็มาถึง
ลำดับการแสดงถูกปรับเอาสามวันสุดท้าย!
“น่าเกลียดจริง จะเอาการแสดงฝรั่งเปิดงาน รำอวยพรน่ะเหมาะแล้ว” ครูแสงนวลบ่นกับเพื่อนครูด้วยกันในห้องซ้อม เด็กได้ยินทั่วหน้าจึงมองหน้ากันเลิกลั่ก
“ใคร?” ครูผู้เข้ามาสังเกตุการซ้อมคนหนึ่งถาม
“พวกนั้นแหละ” ครูแสงนวลสั่งให้ชุดรำอวยพรซ้อมต่อกันเองแล้วลดเสียงคุยกับครูคนเดิม อัจจิมาซึ่งนั่งรอการซ้อมอยู่ใกล้ๆ ได้ยินบทสนทนาต่อไปแจ่มชัด
“ตายจริง น่าเกลียดจริงๆ ด้วย ทำอย่างนี้เหมือนไม่ไว้หน้าเจ้าภาพ แล้วครูใหญ่ไม่ว่าอะไรหรือ”
“ก็ไม่เห็นว่าอะไร คล้อยตามเสียด้วยซ้ำ แล้วที่สำคัญนะ การแสดงชุดนี้เป็นของนักเรียนโรงเรียนอื่น ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ”
“อ้าว! มีอย่างที่ไหน งานโรงเรียนเราแท้ๆ ถ้าล่มขึ้นมาหรือไม่สวยจะว่ายังไงกัน งานมิกร่อยตายรึ”
“คงไม่กร่อยหรอกเพราะหนึ่งในนักแสดงเป็นลูกสาวท่าน คงหาเวทีให้ลูกได้แสดงออกน่ะ เฮ้อ การแสดงของเราออกสวย กลับต้องเป็นนางรองไปเสียแล้ว”
“อ้อ” คู่สนทนาอึ้งไป
อัจจิมาพลอยกังวลไปด้วย หล่อนอยากให้แม่ภูมิใจในความสามารถของลูกสาวคนเดียวบ้าง ถ้าเป็นกำหนดการเดิม อัจจิมาจะรำฉุยฉายเปิดงาน แม่คงดีใจไม่น้อย แต่การแสดงถูกเลื่อนไปเป็นช่วงปิดงานเสียแล้ว
ยิ่งใกล้วันงาน ความตื่นเต้นในหมู่นักเรียนและครูกลับกลายเป็นความจดจ่ออยากรู้รายละเอียดการแสดงชุดแรก จนกลายเป็นหัวข้อสนทนายอดนิยมอันดับต้นๆ
“อัจแย่หน่อยนะ อุตส่าห์ลงทุนค่าชุดตั้งหลายร้อย เห็นจะแพ้เขา” หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเรียนเอ่ยปากหลังจากขอกินข้าวเที่ยงด้วย นับเป็นการร่วมกินข้าวด้วยกันครั้งแรกตั้งแต่อัจจิมารู้จักอ้อยทิพย์
“นั่นสิ” ลูกคู่ตามติดระยะสองเมตรของอ้อยทิพย์เสริม
ลูกคู่ของอ้อยทิพย์เป็นเด็กหญิงหุ่นผอมเป็นกุ้งแห้ง ทั้งสองมีเชื้อสายจีนเหมือนแพรวตา เพื่อนสนิทของอัจจิมา แต่แพรวตาผิวคล้ำ จึงมักถูกอ้อยทิพย์ค่อนขอดว่าไม่เคยเห็นคนจีนมีสีผิวช้ำเลือดช้ำหนองแบบนี้ ความเป็นคนสนิทของอ้อยทิพย์ทำให้เด็กหญิงได้รับสิทธิประโยชน์สำคัญ คืออ้อยทิพย์ติวหนังสือให้อย่างเข้มข้น ขณะที่คนเรียนอ่อนอย่างแพรวตาหรืออัจจิมาไม่มีโอกาส แค่ปรายตาขอให้ช่วย ผู้ครองคะแนนสอบอันดับหนึ่งของห้องจะรีบออกตัวละล่ำละลักว่า “ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน” หรือ “ทำไม่เป็นเลย”
“รู้ได้ไง เธอเคยเห็นการแสดงนั่นแล้วเหรอ” เพื่อนสนิทของอัจจิมาอดเถียงแทนไม่ได้
“รู้สิ” แม่ลูกคู่ค้านเสียงยวบเหมือนกริยา “อ้อยไปกรุงเทพฯ บ่อย ทุกอย่างในกรุงเทพฯ ดีกว่าบ้านเรา รถราดีกว่า ตึกรามบ้านช่องดีกว่า โรงเรียนดีกว่า การแสดงก็ต้องดีกว่า ดูอย่างในทีวีปะไร”
อัจจิมาสะกิดแพรวตาไม่ให้ต่อปากต่อคำ ตั้งแต่ครูใหญ่สั่งให้อัจจิมารำฉุยฉายเปิดงาน ครูแสงนวลก็ดูจะมีเมตตากับอัจจิมาขึ้นมาบ้าง เลิกดุว่าเรื่องคะแนนสอบคาบเส้นสม่ำเสมอของเด็กหญิง หล่อนจึงไม่อยากมีเรื่องทะเลาะวิวาทให้ครูแสงนวลลดเมตตา
ที่สำคัญ แม่จะลางานเพื่อมาชมการแสดงครั้งนี้ อัจจิมาจึงตั้งใจซ้อมเต็มที่
*******************************
มารดาของเด็กหญิงชื่อบอบบางสมตัวว่าอร เป็นบุตรสาวคนโตของยายอิ่มและเป็นพี่สาวคนเดียวของลูกหลงอย่างอินทิรา อรถือว่าเป็นคนมีความรู้ในชุมชน คือเรียนถึงระดับอนุปริญญาแต่ไม่จบเนื่องจากทางบ้านขัดสนจนต้องออกจากวิทยาลัยเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว อรทำงานมาแล้วหลายอย่าง ตั้งแต่เป็นครูผู้ช่วยโรงเรียนอนุบาล หน่วยการดีทำให้มีผู้ใหญ่แนะนำฝากให้เป็นเสมียนตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ยายอิ่มดีใจมากเพราะคิดว่าลูกสาวโชคดี ได้ทำงานมั่นคง แต่จะด้วยเหตุผลกลใดมิทราบ อรลาออกจากงานกระทันหัน กลับมาอยู่บ้านพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตไปเป็นสาวโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างจังหวัดท่ามกลางเสียงคัดค้านหนักหน่วงของทางบ้าน งานโรงงานเป็นงานหนัก ยายอิ่มไม่เชื่อว่าลูกสาวคนโตจะผ่านงานได้ แต่แล้ว อรก็ได้บรรจุเป็นคนงานประจำ มีเงินเดือนก้อนเล็กบวกกับค่าจ้างล่วงเวลาเป็นกอบกำ รวมๆ แล้วมากกว่าเงินเดือนเก่าเกือบเท่าตัว ทำให้ยายอิ่มเลิกตื้อให้บุตรสาวลาออก
เพราะต้องทำงานไกลถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านที การกลับบ้านแต่ละครั้งของมารดาจึงมีความหมายต่อเด็กหญิงอัจจิมามากนัก หนูน้อยนอนกระสับกระส่ายอยู่หลายคืน เก็บความตื่นเต้นประหม่าไว้ไม่กล้าบอกใคร บ้านหลังเล็กของหล่อนมีสมาชิกน้อยก็จริง คือมีแค่ยายอิ่ม น้าอิน และตัวเด็กหญิงเอง แต่เวลาของทุกคนในบ้านพันธนาการเข้ากับภาระหาเงินเพื่อปากท้องจนแทบไม่มีเวลาพูดจาเล่นหัว ยายรับจ้างทั่วไปตั้งแต่ร้อยพวงมาลัยขาย ทำขนม และรับจ้างตัดเย็บชุดรำละคร ส่วนน้าสาวของเด็กหญิงกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ทำงานตัวเป็นเกลียวเหมือนกัน ทุกวันหลังเลิกเรียน อินทิราจะไปเสิร์ฟอาหารให้กับร้านอาหารป่าตรงปากทางเข้าน้ำตก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านหลายสิบกิโลเมตร และจะไปเสิร์ฟเต็มวันในวันเสาร์และอาทิตย์
มารดาเป็นคนไม่ค่อยพูด นานๆ จะโทร.กลับบ้านเสียที แต่ละครั้ง แม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไม่กี่ประโยคและมักจบการสนทนาเป็นทำนองว่า
“เรียนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จะได้มีอาชีพมั่นคง”
และถ้าอัจถามทุกข์สุขของแม่ ก็มักได้คำตอบว่า
“งานเร่งมาก ล่วงเวลาจนถึงสี่ทุ่มเกือบทุกวัน”
“อยากให้แม่กลับบ้านบ่อยๆ จัง” หล่อนอ้อน และมักได้คำตอบว่า
“แม่ลาหยุดบ่อยๆ ไม่ได้”
“อัจต้องอดทน” อินทิราปลอบเมื่อหล่อนบ่นคิดถึงแม่ให้ฟัง “ งานโรงงานเหมือนสายพานเครื่องจักรที่หมุนไปไม่หยุดหย่อน”
“ยายบอกว่าแม่ทำงานหนักเกินไป ก่อนอัจเกิด แม่ทำงานสบายกว่านี้”
“โธ่ ขึ้นชื่อว่างาน ไม่มีคำว่าสบายหรอก” น้าสาวหน้ามุ่ย “ อยู่ไหนก็หนักเท่ากัน ไม่มีใครให้เงินเราฟรีๆ เขาเอาเงินแลกงาน แลกหยาดเหงื่อแรงกาย แรงใจเราทั้งนั้น บางงานดูเหมือนสบาย มีเกียรติ แต่เบื้องหลังกลับมีแต่เรื่องเหนื่อยใจสารพัน ถ้าเลือกได้ น้าขอเลือกงานหนักกายดีกว่าเพราะถ้าเราขยันมาก ค่าแรงจะเพิ่มขึ้น พี่อรเป็นคนอดทน พยายามเรียนรู้งานให้เชี่ยวชาญ ไม่เห็นแก่ความยากลำบากกาย ความอดทนข้อนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยเข้าใจ มักเบื่อและเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น” อินทิราทั้งบ่นทั้งสอน ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงแม่ อัจจิมาคงหัวเราะพรวดออกมา
‘เด็กรุ่นใหม่’ โถ คนพูดอายุสักเท่าไหร่กันเชียว
“อย่างเด็กสาวที่เพิ่งมาสมัครงานกับเจ๊เพ็ญ เปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ยังไม่ทันชำนาญอะไรเลย อายุเท่านี้ ย้ายมาประมาณสี่ห้าโรงงานละมัง บ่นว่า ค่าแรงน้อย หัวหน้างานดุ เจ้าระเบียบ ออกกฎเอารัดเอาเปรียบเช่น ห้ามพูดคุยระหว่างทำงาน เข้าห้องน้ำได้แค่หนึ่งครั้งในสี่ชั่วโมง และยังต้องเซ็นชื่อขออนุญาตขอเข้าห้องน้ำก่อน ซ้ำโรงงานยังยึดเงินประกันจำนวนสองเดือนไว้อีกด้วย จะคืนให้เมื่อพนักงานทำงานครบหนึ่งปี งานเร่งและหนัก ค่าแรงล่วงหน้าเบิกได้ช้า สารพัดจะบ่นก่อนลาออกไปไม่บอกกล่าวใคร ทิ้งเงินประกันสองเดือนไปอย่างน่าเสียดาย
คนไม่มีความรู้ ไม่มีทางเลือกเดินมากนักหรอกนะ เจ้าอัจ ถ้าไม่อดทนเสียอย่าง ความรู้ความสามารถมันจะพอกพูนได้ด้วยวิธีไหนนอกจากการทำงานผ่านสองมือ พวกจบปริญญาน่ะดีหน่อย ถ้าอัจคิดถึงแม่ก็จงอดทน บากบั่นมุมานะ เรียนเก่งๆ ให้แม่ชื่นใจนะ”
อลินน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ค. 2555, 10:01:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ค. 2555, 10:01:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 1360
<< บทนำ.3 | ตอนที่ 1.2 >> |
Edelweiss 14 ก.ค. 2555, 13:49:38 น.
แม่สอนอัจดีจริง ๆ ค่ะ ขึ้นชื่อว่างาน..
แม่สอนอัจดีจริง ๆ ค่ะ ขึ้นชื่อว่างาน..
อลินน์ 21 ก.ค. 2555, 00:05:14 น.
ขอบคุณค่ะ คุณ Edelweiss (Hope that every morning you will greet me na ka : ) )
ว่าแล้ว คนเขียนก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปค่ะ แหะ แหะ
ขอบคุณค่ะ คุณ Edelweiss (Hope that every morning you will greet me na ka : ) )
ว่าแล้ว คนเขียนก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปค่ะ แหะ แหะ