ลำนำรักสายลม
และสายลม,
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล
ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า
ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)
(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล
ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า
ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)
(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
Tags: รักโรแมนติก วัยรุ่น ผู้ใหญ่
ตอน: ตอนที่ 1.2
อัจจิมาพยายามตั้งใจเรียนเพื่อแม่ ถึงอายุแค่นี้ เด็กหญิงก็เข้าใจคำว่า “หยาดเหงื่อแรงงาน” ดียิ่ง หล่อนเติบโตใกล้ตลาดสด ได้เห็นคนใช้แรงงานตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนพระจันทร์เคลื่อนครองฟ้า ได้เห็นคนเข็นผักทำงานแข่งกับเวลา รับสินค้ากลางดึก เร่งขน เร่งล้าง เร่งหั่น และเร่งจัด จนแผงขายผักพร้อมสรรพก่อนแสงธรรมชาติจะจับถึงตลาด หล่อนเห็นแม่ค้าขายโจ๊กสาละวนเคี่ยวกรำน้ำต้มกระดูกจนใสขณะอีกมือต้มจมูกข้าวจนนิ่มแล้วนำมาบดจนละเอียดนวลนุ่ม หล่อนได้เห็นยายตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อไปรับดอกไม้มาคัดแยกประเภท โดยมีอัจจิมาและน้าสาวนั่งงัวเงียร้อยมาลัยจากดอกไม้ชื้นแฉะเหล่านั้น
ขณะที่ใครหลายคนกำลังหลับสบาย อัจจิมาต้องไล่ความง่วงงุนร้อยพวงมะลิ ดอกรัก ดาวเรือง และกุหลาบ หากสัปหงกเมื่อไหร่ เข็มร้อยมาลัยยาวๆ นั่นแหละ จะทำโทษให้ต้องเจ็บปวดจนสะดุ้ง
ยายแบ่งมาลัยเหล่านี้ส่งให้ร้านในตลาดส่วนหนึ่ง และที่แผงศาลเจ้าแม่อีกส่วนหนึ่ง หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์ เด็กหญิงจึงจะได้ตื่นสายหน่อยเพราะสามารถเฝ้าแผงมาลัยและนั่งร้อยไปด้วย
ศาลเจ้าแม่อยู่ห่างจากตลาดพอสมควร ต้องนั่งรถสองแถวคันสีแดงช้ำเลือดช้ำหนองไปเกือบสิบห้านาที ตัวศาลเดิมเป็นเพียงศาลาไม้ย่อส่วน ตั้งอยู่บนเสาไม้สี่ต้นไม่ไกลจากต้นตะเคียนต้นใหญ่ ลำต้นกว้างขนาดสี่คนโอบ ใกล้ๆ กับศาลเป็นโต๊ะหินขัดสี่เหลี่ยม มักเต็มไปด้วยเครื่องเซ่นบูชาและของไหว้แก้บนเสมอ แผงเทียนและกระถางธูปทองเหลืองคับคั่งพอกัน ส่งควันธูปหนาอบอวลคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เจ้าแม่ตะเคียนเป็นที่นับถือของคนในชุมชนและละแวกใกล้เคียง จนภายหลัง ลุกลามไปถึงคนนอก ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ได้รับการบอกเล่าต่อๆกันมา สิ่งยืนยันความเชื่อถือของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น คือศาลาปูนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งห่างจากต้นตะเคียนไม่ถึงยี่สิบเมตร ภายในเป็นที่ตั้งของหุ่นขึ้ผึ้งสตรีนุ่งโจงกระเบน ไว้ผมยาวประบ่า ทำให้เรื่องเล่าของเจ้าแม่ตะเคียนยิ่งขลังขึ้นมาหลายเท่า ประกอบกับลาภและความสมปรารถนาบอกต่อแบบปากต่อปาก ทำให้ลานหน้าศาลาปูนเต็มไปด้วยผู้คนที่สมหวังและวาดหวัง มาคาราวะที่พึ่งของพวกเขา
ลานหน้าศาลปูนนี้เองคือความเพลิดเพลินยิ่งของเด็กหญิง
คณะรำแก้บนยายเตยปักหลักหากิน ณ ศาลเจ้าแม่ตะเคียนนานปีดีดัก จำความได้ เด็กหญิงก็ได้ยินเสียงระนาดพริ้วๆ ของปู่แสง เสียงร้องนองนอยแหบลึกของเจ้าของคณะ และแสงสะท้อนวูบวาบพราวแพรวจากเครื่องแต่งกายของนางรำ
เมื่อเสียงระนาดประโคมขึ้นคราได้ อัจจิมาเป็นต้องเพ่งสมาธิทั้งมวลให้กับท่ารำอ่อนช้อยนานา นั่งมองบ่อยเข้า เด็กหญิงก็ขนถาดสังกะสีเคลือบบรรจุดอกไม้ไปนั่งร้อยมาลัยประชิดคณะยายเตยให้รู้แล้วรู้รอด จนในที่สุด แฟนละครรุ่นเยาว์ก็อาจหาญตามเสียงระนาดของปู่แสงไปถึงบ้านยายเตย และฝากตัวเป็นศิษย์
ทั้งหมดนี้ ยายและแม่ไม่รู้ และจะให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด
***************
การเรียนการสอนนางรำตัวน้อยเป็นไปได้ด้วยดีพักใหญ่ จนเกิดเรื่อง
เหตุเริ่มประมาณสองอาทิตย์ก่อนงานโรงเรียน ยายอิ่มเดินทางค้างที่ร้านรับทำเครื่องละครซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมือง การเดินทางแต่ละครั้งของยายมักกินเวลาสองหรือสามวันขึ้นไป เด็กหญิงจึงถือโอกาสไปบ้านยายเตยหลังเสร็จการซ้อมรำอวยพรกับครูแสงนวลด้วยความลิงโลด
บ้านยายเตยเป็นเรือนไม้โบราณ อยู่เลยศาลเจ้าแม่ตะเคียนไปทางด้านหลัง ใต้ถุนเรือนเป็นลานดินโล่งเพื่อใช้งาน ส่วนบนเรือนนอกจากเป็นส่วนนอนและกินข้าวแล้ว ยังเป็นส่วนเก็บของซึ่งยายเตยหวงหนักหนา
ยายเตยอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่เด็กหญิงจำความได้อีกเหมือนกัน ทุกครั้งที่นึกถึงยายเตย อัจจิมาจะนึกถึงหญิงร่างท้วมหนา อายุประมาณหกสิบปี ผิวคล้ำ หน้าดุ พูดเสียงดังและเอ็ดตะโรตลอดเวลา
“มัวพิรี้พิไรอยู่นั่น อินังพวกนี้ คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดหรือไงวะถึงได้เดินลอยชายชมนกชมไม้อยู่นั่น เร่งเสด็จมาเลยนะ ไปผลัดผ้าผ่อนเดี๋ยวนี้ก่อนกูจะกริ้ว” เสียงยายเตยลั่นรับขวัญเหล่าลูกจ้าง แกหันมารับไหว้ลูกศิษย์น้อยแล้วก็ย้อนกลับไปค้อนวงใหญ่ใส่ดาวเด่นประจำคณะผู้เพิ่งมาถึงเหมือนกัน
นุชเป็นสาวอายุยี่สิบเจ็ด รูปร่างอวบกลมกลึงสมส่วนแบบมีเนื้อหนัง ไม่ผอมแห้งและก็ไม่อ้วนเทอะทะ ใบหน้าคมเข้มเหมือนมีเชื้อแขก คือนัยน์ตาลึก จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่มหนา เมื่อสวมชุดรำและแต่งหน้าเต็มที่ นุชจึงงามเด่นเกินเพื่อนฝูงร่วมคณะอยู่เสมอ ประกอบกับการเป็นศิษย์ก้นกุฏิเก่าแก่ตั้งแต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ตัดจุกตามคารมยายเตย ทำให้นุชรับการถ่ายทอดกลเม็ดแม่บทต่างๆ มามาก ส่งผลให้นุชได้รับบทรำเด่นกว่านางรำคนอื่น ความคมเข้มน่ามองและลีลาอ่อนช้อยนี่เองทำให้ชื่อเสียงของนุชเลื่องลือไปทั้งอำเภอ หลายครั้งที่อัจจิมาเห็นหนุ่มน้อยใหญ่วนเวียนป้วนเปี้ยนแถบศาลเจ้าแม่ในวันที่มีการรำแก้บน ท่ามกลางสายตาจดจ้อง นุชไม่มีท่าประหม่าหรือเขินอายแต่อย่างใด ซ้ำยังรับไมตรีเหล่านั้นด้วยการส่งสายตาให้อย่างคนใจกว้าง ถ้าเป็นหนุ่มใหญ่ นุชมักแอบเบ้ปากแล้วนำเรื่องราวของชายผู้นั้นมาถ่ายทอดล้อเลียนในหมู่เพื่อนฝูงเป็นที่ครื้นเครง แต่ถ้าหากเป็นหนุ่มฉกรรจ์วัยพอเหมาะ ไมตรีของนุชจะขยับขยายเพิ่มพูนในระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติของหนุ่มเป็นสำคัญ
ขณะที่นุชเพลิดเพลินกับการถ่ายทอดปนโอ้อวดความเนื้อหอมของตนให้กับเพื่อนร่วมคณะ ลับหลังดาวเด่น อัจจิมามักได้ยินเรื่องราวทำนองกลับกันถ่ายเทแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนนางรำคนอื่นเสมอในความมากไมตรีเกินงามของนุช ยายเตยรับรู้ด้วยความไม่พอใจและมักตักเตือนเจ้าตัวเนืองๆ และพอนุชทำท่าจะระงับไมตรีทั้งปวงเพื่อมอบให้กับหนุ่มผู้ซึ่งมาแรงกว่าคนอื่น ยายเตยก็ยังไม่มีทีท่าจะสบายใจขึ้น เพราะนุชเริ่มมาซ้อมสายหรือไม่ก็ขาดซ้อมไปเสียดื้อๆ
“โธ่ แม่ ฉันรีบแล้วนะ ไม่ผลัดผ้าได้ไหมเล่า วันนี้ฉันใส่กางเกงหลวม ไม่ติดขัดดอก”
“อีนุช อี...” ยายเตยสบถพรืดเป็นขบวนรถด่วน “ถ้าไม่อยากผลัดผ้าก็เชิญเสด็จนิราศจากคณะไปเลย เรื่องอีแค่นี้ทำเป็นขี้เกียจแก้ ทีไอ้พวกรถสองแถวชายหางเนตรถวายเข้าหน่อย แกแทบระริกระรี้แก้ให้มันแล้วใช่ไหมล่ะ”
ทั้งนางรำและนักดนตรีพากันหัวเราะครืนใหญ่ด้วยยายเตยไม่ประหยัดเสียง นุชหน้าแดงก่ำ ยืนอึ้งก่อนกระแทกส้นขึ้นเรือนไป
ยายเตยเป็นอย่างนี้เอง ปากร้ายช่างกระทบกระเทียบไม่มีใครเกินตามแบบฉบับหญิงชราโกรธง่ายหายเร็ว ยามแกโกรธ แกก็ออกปากไล่ฉับๆ แต่พอลมโกรธซา แกทำตีหน้าตึงรักษาทีท่า ทำเป็นพูดคุยกับคู่กรณีอย่างเสียไม่ได้จนกระทั่งแต่ละคนเลือนๆ กันไปเอง นิสัยเสียแก้ยากอีกอย่างคือแกชอบด่าด้วยภาษาชาวบ้านสลับภาษาลิเกอาชีพเก่า สร้างความอับอายให้กับผู้ถูกรางวัล แม้ว่าคนฟังจะได้หัวร่องอหายก็ตามที วันนี้ใต้ถุนบ้านยายเตยมีนักดนตรีและนางรำรวมตัวกันครบถ้วนเพราะมีคนว่าจ้างให้คณะจัดรำชุดใหญ่แก้บนถวายเจ้าแม่ตะเคียน เรือนไม้หลังย่อมแออัดไปถนัด เสียงระนาด กลองแขกประสานกับฆ้องวงดังจากมุมหนึ่ง มือระนาดของวงคือปู่แสง แกเล่นระนาดให้กับคณะหลายปีแล้ว ข้อมือมั่นคงแข็งแรงจนใครรู้อายุจริงต่างพากันทึ่งเพราะแกรัวได้พริ้วและนิ่งยาว เสียงสูงต่ำคมกริบทุกลูก คนจ้างมักทิปแกด้วยเงินหลายสิบเสมอ
เพลงขึ้นแล้ว แต่นางรำยังผลัดผ้าบ้าง นั่งคุยกันบ้าง ไม่กุลีกุจอมาซ้อม อัจจิมาวางกระเป๋านักเรียน ลอบชำเลืองหน้าบอกบุญไม่รับของยายเตยด้วยใจแป้ว ลองว่าอารมณ์เจ้าของคณะขุ่นเสียแล้ว วันนี้มาเสียเที่ยวแน่
“ยายอิ่มไปไหนล่ะ” ปู่แสงหยุดตีระนาดเมื่อเห็นเด็กหญิงนั่งแปะลงข้างวง เป็นที่รู้กันว่า เห็นอัจจิมาที่คณะยายเตยเมื่อไหร่ แปลว่ายายอิ่มไม่อยู่บ้าน
“ป้าพิไลให้คนมาตาม เห็นว่ามีคนจ้างทำชุดโขน ยายไปตั้งแต่เช้าแล้วจ๊ะ”
“ฝีมือยายแม่อัจก็น่าให้พิไลมาตามอยู่หรอก ก็ยังดีที่ยอมไปไม่ใจแข็งเหมือนเมื่อก่อน เอ็งเลยถือโอกาสเผ่นมานี่ล่ะซิ ระวังอย่าให้รู้ล่ะ”
“ยายไม่รู้หรอกจ๊ะ” อัจจิมายิ้มประจบ
“เออ ดี”
เสียงระนาดดังขึ้นอีกครั้ง เพลงนี้ปู่แสงเล่นคล่องและเล่นบ่อย ขึ้นเพลงได้ครู่เดียว ยายเตยก็เดินปึงมาหา
“อีนุชมันไปแล้ว”
“หา!”
“ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ป่านนี้วิ่งไปซบอกไอ้เรืองแล้ว อี...” ยายเตยสบถอีกชุดใหญ่
“แล้วจะเอาไง” ปู่แสงรีบตัดบท แกบรรจงวางไม้ระนาดบนราง ตวัดมองเด็กหญิงเพื่อเตือนคนแก่ปากร้ายในที
“จะเอาไงได้” หญิงชรากระแทกเสียง “คงต้องเปลี่ยนเป็นรำหมู่ทั้งสองชุด เอารำถวายมือและระบำกฤษดาภินิหารแล้วกัน”
“ไหนว่าคนจ้างเขาอยากได้ฉุยฉาย”
“จะให้รำล่ะพี่แสง นังคนอื่นแขนแมนยังไม่เข้าที่ พรุ่งนี้แล้ว ฝึกทั้งคืนก็ยังไม่ทัน”
“แกเก๊าะรำเองสิวะ”
ไม่ใช่แค่คนแนะที่หัวเราะหึๆ คนตีฆ้องทำเสียงสะอึกในลำคอ กลั้นหัวเราะหน้าแดงก่ำ
"อายุปูนนี้ ถ้ารำเองได้คงไม่บ่นให้แกสบช่องโขกเล่นหรอก คนจ้างเขาด่าตาย ดีไม่ดียกเลิกเสียด้วย”
“มันไม่มีสักคนเลยรื้อ”
“จะใครล่ะ” เสียงยายเตยหงุดหงิด “นังพวกนั้นรำทื่อเหมือนสาก ยังต้องฝึกอีก แต่ฝึกไปก็ง้านแหละ ปากเปียกปากแฉะสอนให้มันเก่งเพื่อจะย้ายไปคณะอื่น หรือไม่ก็ไปรำตามร้านอาหารบ้าง โรงแรมบ้าง ได้ทิปทีละหลายร้อย มีแต่นังนุชเท่านั้นอยู่ทนหน่อยแต่เอาแต่ใจชิบ นึกจะไม่รำขึ้นมาก็เปิดตูดไปเสียดื้อๆ นี่ก็รำแบบซังกะตายไปวันๆ มันสนใจแต่เรื่องพูชาย”
“พูดเหมือนอยากเลิก”
“บ้า! เลิกแล้วจะเอาที่ไหนกิน นอกจากเรื่องรำละครแล้วฉันทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอก ไม่เหมือนยายนังอัจมัน นั่นเขาเก่ง ทั้งร้อยมาลัย เย็บปักเครื่องละคร เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานตัวเป็นเกลียว แต่ก็เลิกรำเด็ดขาดทั้งแม่ลูกเพราะไม่พอยาไส้ ไอ้ฉันโตมากับคณะละคร แก่จนต่อโลงรอแล้ว ไม่มีปัญญาไปทำอย่างอื่นหรอก”
“เจ้าอัจมันรำพอได้แล้วนิ แม่เตย แกสอนมันอยู่เรื่อยๆ มือไม้อ่อนดีอยู่หรอก ไม่ลองให้มันรำล่ะ”
คนถูกพาดพิงเบิกตากว้าง ใจพองโตแล้วก็ยุบแฟบโดยเร็วเมื่อได้ยินเสียงยายเตยบ่นอุบว่า
“ถ้ายายมันรู้ได้ด่าเปิง”
“เก๊าะ...อย่าให้แม่อิ่มเค้ารู้สิ”
ขณะที่ใครหลายคนกำลังหลับสบาย อัจจิมาต้องไล่ความง่วงงุนร้อยพวงมะลิ ดอกรัก ดาวเรือง และกุหลาบ หากสัปหงกเมื่อไหร่ เข็มร้อยมาลัยยาวๆ นั่นแหละ จะทำโทษให้ต้องเจ็บปวดจนสะดุ้ง
ยายแบ่งมาลัยเหล่านี้ส่งให้ร้านในตลาดส่วนหนึ่ง และที่แผงศาลเจ้าแม่อีกส่วนหนึ่ง หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์ เด็กหญิงจึงจะได้ตื่นสายหน่อยเพราะสามารถเฝ้าแผงมาลัยและนั่งร้อยไปด้วย
ศาลเจ้าแม่อยู่ห่างจากตลาดพอสมควร ต้องนั่งรถสองแถวคันสีแดงช้ำเลือดช้ำหนองไปเกือบสิบห้านาที ตัวศาลเดิมเป็นเพียงศาลาไม้ย่อส่วน ตั้งอยู่บนเสาไม้สี่ต้นไม่ไกลจากต้นตะเคียนต้นใหญ่ ลำต้นกว้างขนาดสี่คนโอบ ใกล้ๆ กับศาลเป็นโต๊ะหินขัดสี่เหลี่ยม มักเต็มไปด้วยเครื่องเซ่นบูชาและของไหว้แก้บนเสมอ แผงเทียนและกระถางธูปทองเหลืองคับคั่งพอกัน ส่งควันธูปหนาอบอวลคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เจ้าแม่ตะเคียนเป็นที่นับถือของคนในชุมชนและละแวกใกล้เคียง จนภายหลัง ลุกลามไปถึงคนนอก ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ได้รับการบอกเล่าต่อๆกันมา สิ่งยืนยันความเชื่อถือของผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น คือศาลาปูนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งห่างจากต้นตะเคียนไม่ถึงยี่สิบเมตร ภายในเป็นที่ตั้งของหุ่นขึ้ผึ้งสตรีนุ่งโจงกระเบน ไว้ผมยาวประบ่า ทำให้เรื่องเล่าของเจ้าแม่ตะเคียนยิ่งขลังขึ้นมาหลายเท่า ประกอบกับลาภและความสมปรารถนาบอกต่อแบบปากต่อปาก ทำให้ลานหน้าศาลาปูนเต็มไปด้วยผู้คนที่สมหวังและวาดหวัง มาคาราวะที่พึ่งของพวกเขา
ลานหน้าศาลปูนนี้เองคือความเพลิดเพลินยิ่งของเด็กหญิง
คณะรำแก้บนยายเตยปักหลักหากิน ณ ศาลเจ้าแม่ตะเคียนนานปีดีดัก จำความได้ เด็กหญิงก็ได้ยินเสียงระนาดพริ้วๆ ของปู่แสง เสียงร้องนองนอยแหบลึกของเจ้าของคณะ และแสงสะท้อนวูบวาบพราวแพรวจากเครื่องแต่งกายของนางรำ
เมื่อเสียงระนาดประโคมขึ้นคราได้ อัจจิมาเป็นต้องเพ่งสมาธิทั้งมวลให้กับท่ารำอ่อนช้อยนานา นั่งมองบ่อยเข้า เด็กหญิงก็ขนถาดสังกะสีเคลือบบรรจุดอกไม้ไปนั่งร้อยมาลัยประชิดคณะยายเตยให้รู้แล้วรู้รอด จนในที่สุด แฟนละครรุ่นเยาว์ก็อาจหาญตามเสียงระนาดของปู่แสงไปถึงบ้านยายเตย และฝากตัวเป็นศิษย์
ทั้งหมดนี้ ยายและแม่ไม่รู้ และจะให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด
***************
การเรียนการสอนนางรำตัวน้อยเป็นไปได้ด้วยดีพักใหญ่ จนเกิดเรื่อง
เหตุเริ่มประมาณสองอาทิตย์ก่อนงานโรงเรียน ยายอิ่มเดินทางค้างที่ร้านรับทำเครื่องละครซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมือง การเดินทางแต่ละครั้งของยายมักกินเวลาสองหรือสามวันขึ้นไป เด็กหญิงจึงถือโอกาสไปบ้านยายเตยหลังเสร็จการซ้อมรำอวยพรกับครูแสงนวลด้วยความลิงโลด
บ้านยายเตยเป็นเรือนไม้โบราณ อยู่เลยศาลเจ้าแม่ตะเคียนไปทางด้านหลัง ใต้ถุนเรือนเป็นลานดินโล่งเพื่อใช้งาน ส่วนบนเรือนนอกจากเป็นส่วนนอนและกินข้าวแล้ว ยังเป็นส่วนเก็บของซึ่งยายเตยหวงหนักหนา
ยายเตยอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่เด็กหญิงจำความได้อีกเหมือนกัน ทุกครั้งที่นึกถึงยายเตย อัจจิมาจะนึกถึงหญิงร่างท้วมหนา อายุประมาณหกสิบปี ผิวคล้ำ หน้าดุ พูดเสียงดังและเอ็ดตะโรตลอดเวลา
“มัวพิรี้พิไรอยู่นั่น อินังพวกนี้ คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดหรือไงวะถึงได้เดินลอยชายชมนกชมไม้อยู่นั่น เร่งเสด็จมาเลยนะ ไปผลัดผ้าผ่อนเดี๋ยวนี้ก่อนกูจะกริ้ว” เสียงยายเตยลั่นรับขวัญเหล่าลูกจ้าง แกหันมารับไหว้ลูกศิษย์น้อยแล้วก็ย้อนกลับไปค้อนวงใหญ่ใส่ดาวเด่นประจำคณะผู้เพิ่งมาถึงเหมือนกัน
นุชเป็นสาวอายุยี่สิบเจ็ด รูปร่างอวบกลมกลึงสมส่วนแบบมีเนื้อหนัง ไม่ผอมแห้งและก็ไม่อ้วนเทอะทะ ใบหน้าคมเข้มเหมือนมีเชื้อแขก คือนัยน์ตาลึก จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่มหนา เมื่อสวมชุดรำและแต่งหน้าเต็มที่ นุชจึงงามเด่นเกินเพื่อนฝูงร่วมคณะอยู่เสมอ ประกอบกับการเป็นศิษย์ก้นกุฏิเก่าแก่ตั้งแต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ตัดจุกตามคารมยายเตย ทำให้นุชรับการถ่ายทอดกลเม็ดแม่บทต่างๆ มามาก ส่งผลให้นุชได้รับบทรำเด่นกว่านางรำคนอื่น ความคมเข้มน่ามองและลีลาอ่อนช้อยนี่เองทำให้ชื่อเสียงของนุชเลื่องลือไปทั้งอำเภอ หลายครั้งที่อัจจิมาเห็นหนุ่มน้อยใหญ่วนเวียนป้วนเปี้ยนแถบศาลเจ้าแม่ในวันที่มีการรำแก้บน ท่ามกลางสายตาจดจ้อง นุชไม่มีท่าประหม่าหรือเขินอายแต่อย่างใด ซ้ำยังรับไมตรีเหล่านั้นด้วยการส่งสายตาให้อย่างคนใจกว้าง ถ้าเป็นหนุ่มใหญ่ นุชมักแอบเบ้ปากแล้วนำเรื่องราวของชายผู้นั้นมาถ่ายทอดล้อเลียนในหมู่เพื่อนฝูงเป็นที่ครื้นเครง แต่ถ้าหากเป็นหนุ่มฉกรรจ์วัยพอเหมาะ ไมตรีของนุชจะขยับขยายเพิ่มพูนในระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติของหนุ่มเป็นสำคัญ
ขณะที่นุชเพลิดเพลินกับการถ่ายทอดปนโอ้อวดความเนื้อหอมของตนให้กับเพื่อนร่วมคณะ ลับหลังดาวเด่น อัจจิมามักได้ยินเรื่องราวทำนองกลับกันถ่ายเทแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนนางรำคนอื่นเสมอในความมากไมตรีเกินงามของนุช ยายเตยรับรู้ด้วยความไม่พอใจและมักตักเตือนเจ้าตัวเนืองๆ และพอนุชทำท่าจะระงับไมตรีทั้งปวงเพื่อมอบให้กับหนุ่มผู้ซึ่งมาแรงกว่าคนอื่น ยายเตยก็ยังไม่มีทีท่าจะสบายใจขึ้น เพราะนุชเริ่มมาซ้อมสายหรือไม่ก็ขาดซ้อมไปเสียดื้อๆ
“โธ่ แม่ ฉันรีบแล้วนะ ไม่ผลัดผ้าได้ไหมเล่า วันนี้ฉันใส่กางเกงหลวม ไม่ติดขัดดอก”
“อีนุช อี...” ยายเตยสบถพรืดเป็นขบวนรถด่วน “ถ้าไม่อยากผลัดผ้าก็เชิญเสด็จนิราศจากคณะไปเลย เรื่องอีแค่นี้ทำเป็นขี้เกียจแก้ ทีไอ้พวกรถสองแถวชายหางเนตรถวายเข้าหน่อย แกแทบระริกระรี้แก้ให้มันแล้วใช่ไหมล่ะ”
ทั้งนางรำและนักดนตรีพากันหัวเราะครืนใหญ่ด้วยยายเตยไม่ประหยัดเสียง นุชหน้าแดงก่ำ ยืนอึ้งก่อนกระแทกส้นขึ้นเรือนไป
ยายเตยเป็นอย่างนี้เอง ปากร้ายช่างกระทบกระเทียบไม่มีใครเกินตามแบบฉบับหญิงชราโกรธง่ายหายเร็ว ยามแกโกรธ แกก็ออกปากไล่ฉับๆ แต่พอลมโกรธซา แกทำตีหน้าตึงรักษาทีท่า ทำเป็นพูดคุยกับคู่กรณีอย่างเสียไม่ได้จนกระทั่งแต่ละคนเลือนๆ กันไปเอง นิสัยเสียแก้ยากอีกอย่างคือแกชอบด่าด้วยภาษาชาวบ้านสลับภาษาลิเกอาชีพเก่า สร้างความอับอายให้กับผู้ถูกรางวัล แม้ว่าคนฟังจะได้หัวร่องอหายก็ตามที วันนี้ใต้ถุนบ้านยายเตยมีนักดนตรีและนางรำรวมตัวกันครบถ้วนเพราะมีคนว่าจ้างให้คณะจัดรำชุดใหญ่แก้บนถวายเจ้าแม่ตะเคียน เรือนไม้หลังย่อมแออัดไปถนัด เสียงระนาด กลองแขกประสานกับฆ้องวงดังจากมุมหนึ่ง มือระนาดของวงคือปู่แสง แกเล่นระนาดให้กับคณะหลายปีแล้ว ข้อมือมั่นคงแข็งแรงจนใครรู้อายุจริงต่างพากันทึ่งเพราะแกรัวได้พริ้วและนิ่งยาว เสียงสูงต่ำคมกริบทุกลูก คนจ้างมักทิปแกด้วยเงินหลายสิบเสมอ
เพลงขึ้นแล้ว แต่นางรำยังผลัดผ้าบ้าง นั่งคุยกันบ้าง ไม่กุลีกุจอมาซ้อม อัจจิมาวางกระเป๋านักเรียน ลอบชำเลืองหน้าบอกบุญไม่รับของยายเตยด้วยใจแป้ว ลองว่าอารมณ์เจ้าของคณะขุ่นเสียแล้ว วันนี้มาเสียเที่ยวแน่
“ยายอิ่มไปไหนล่ะ” ปู่แสงหยุดตีระนาดเมื่อเห็นเด็กหญิงนั่งแปะลงข้างวง เป็นที่รู้กันว่า เห็นอัจจิมาที่คณะยายเตยเมื่อไหร่ แปลว่ายายอิ่มไม่อยู่บ้าน
“ป้าพิไลให้คนมาตาม เห็นว่ามีคนจ้างทำชุดโขน ยายไปตั้งแต่เช้าแล้วจ๊ะ”
“ฝีมือยายแม่อัจก็น่าให้พิไลมาตามอยู่หรอก ก็ยังดีที่ยอมไปไม่ใจแข็งเหมือนเมื่อก่อน เอ็งเลยถือโอกาสเผ่นมานี่ล่ะซิ ระวังอย่าให้รู้ล่ะ”
“ยายไม่รู้หรอกจ๊ะ” อัจจิมายิ้มประจบ
“เออ ดี”
เสียงระนาดดังขึ้นอีกครั้ง เพลงนี้ปู่แสงเล่นคล่องและเล่นบ่อย ขึ้นเพลงได้ครู่เดียว ยายเตยก็เดินปึงมาหา
“อีนุชมันไปแล้ว”
“หา!”
“ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ป่านนี้วิ่งไปซบอกไอ้เรืองแล้ว อี...” ยายเตยสบถอีกชุดใหญ่
“แล้วจะเอาไง” ปู่แสงรีบตัดบท แกบรรจงวางไม้ระนาดบนราง ตวัดมองเด็กหญิงเพื่อเตือนคนแก่ปากร้ายในที
“จะเอาไงได้” หญิงชรากระแทกเสียง “คงต้องเปลี่ยนเป็นรำหมู่ทั้งสองชุด เอารำถวายมือและระบำกฤษดาภินิหารแล้วกัน”
“ไหนว่าคนจ้างเขาอยากได้ฉุยฉาย”
“จะให้รำล่ะพี่แสง นังคนอื่นแขนแมนยังไม่เข้าที่ พรุ่งนี้แล้ว ฝึกทั้งคืนก็ยังไม่ทัน”
“แกเก๊าะรำเองสิวะ”
ไม่ใช่แค่คนแนะที่หัวเราะหึๆ คนตีฆ้องทำเสียงสะอึกในลำคอ กลั้นหัวเราะหน้าแดงก่ำ
"อายุปูนนี้ ถ้ารำเองได้คงไม่บ่นให้แกสบช่องโขกเล่นหรอก คนจ้างเขาด่าตาย ดีไม่ดียกเลิกเสียด้วย”
“มันไม่มีสักคนเลยรื้อ”
“จะใครล่ะ” เสียงยายเตยหงุดหงิด “นังพวกนั้นรำทื่อเหมือนสาก ยังต้องฝึกอีก แต่ฝึกไปก็ง้านแหละ ปากเปียกปากแฉะสอนให้มันเก่งเพื่อจะย้ายไปคณะอื่น หรือไม่ก็ไปรำตามร้านอาหารบ้าง โรงแรมบ้าง ได้ทิปทีละหลายร้อย มีแต่นังนุชเท่านั้นอยู่ทนหน่อยแต่เอาแต่ใจชิบ นึกจะไม่รำขึ้นมาก็เปิดตูดไปเสียดื้อๆ นี่ก็รำแบบซังกะตายไปวันๆ มันสนใจแต่เรื่องพูชาย”
“พูดเหมือนอยากเลิก”
“บ้า! เลิกแล้วจะเอาที่ไหนกิน นอกจากเรื่องรำละครแล้วฉันทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอก ไม่เหมือนยายนังอัจมัน นั่นเขาเก่ง ทั้งร้อยมาลัย เย็บปักเครื่องละคร เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานตัวเป็นเกลียว แต่ก็เลิกรำเด็ดขาดทั้งแม่ลูกเพราะไม่พอยาไส้ ไอ้ฉันโตมากับคณะละคร แก่จนต่อโลงรอแล้ว ไม่มีปัญญาไปทำอย่างอื่นหรอก”
“เจ้าอัจมันรำพอได้แล้วนิ แม่เตย แกสอนมันอยู่เรื่อยๆ มือไม้อ่อนดีอยู่หรอก ไม่ลองให้มันรำล่ะ”
คนถูกพาดพิงเบิกตากว้าง ใจพองโตแล้วก็ยุบแฟบโดยเร็วเมื่อได้ยินเสียงยายเตยบ่นอุบว่า
“ถ้ายายมันรู้ได้ด่าเปิง”
“เก๊าะ...อย่าให้แม่อิ่มเค้ารู้สิ”
อลินน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ค. 2555, 13:38:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ค. 2555, 13:38:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 1485
<< ลำนำรักสายลม ตอนที่ 1.1 | ตอนที่ 2.1 >> |