ธารปรารถนา
เพราะที่ดินฮวงจุ้ยเยี่ยม (หลังติดเขา หน้ามีน้ำ) ของยายแท้ๆ ที่พาปราณมาพบกับตอง หรือจะจริงอย่างที่ยายบอกว่าที่ดินผืนนี้เป็นมงคล จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ จึงทำให้ตองได้พบคนดีๆ อย่างปราณ

แต่ทำไมการได้พบและคบหาคนดีๆ สักคนหนึ่งจึงได้ลากพาตองลงไปในกระแสธารแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกรากของใครต่อใครอีกหลายคน เรื่องชุลมุนวุ่นวายที่ไม่เคยประสบพบเจอก็ต้องมาเกิดขึ้นกับตัว

ตกลงที่ดินของยายเป็นมงคลหรืออัปมงคลกันแน่เนี่ย

แล้วตองจะป่ายปีนขึ้นจากธารปรารถนาร้อนร้ายสายนี้ได้ไหม ต้องไปติดตามพร้อมๆ กันค่ะ
Tags: รักอารมณ์ดี

ตอน: ตอนที่ ๑

รถแลนด์โรเวอร์ฟรีแลนเดอร์สีบรอนซ์เงินแล่นฉิวไปตามถนนที่เลาะเลียบไปตามริมเขาเขียวชอุ่มในจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งร่มครึ้มด้วยเงาไม้สูงใหญ่ริมทาง แรงรถหอบเอาใบไม้แห้งซึ่งประปรายบนผิวถนนปลิวตลบตามหลัง กอไม้ใบหญ้าริมทางพลอยไหวโยนโอนอ่อนดังน้อมรับผู้มาเยือน

บรรยากาศแสนสบายที่มองผ่านกระจก ทำให้เจ้าของรถต้องละมือจากพวงมาลัยเพื่อลดกระจกลงทั้งสองด้าน เปิดทางให้สายลมต้นฤดูหนาวเย็นฉ่ำสดชื่นพัดพรูผ่านจนผมที่ตัดสั้นเรียบร้อยไปล่ปลิวเปะปะ ผิดรูปทรง ถ้าไม่มีแจ๊คเก็ตยีนสวมทับเสื้อยืดแขนสั้นมาอีกชั้นคงหนาวเยือกเหมือนกัน

ชายหนุ่มปิดเครื่องปรับอากาศเพราะไม่จำเป็นอีกต่อไป เครื่องเสียงคุณภาพเยี่ยมพลอยถูกปิดไปด้วย เสียงเพลงแนวอีซี่ลิสเซนนิ่งที่ดังคลอมาตลอดทางจำต้องหลีกให้สรรพเสียงจากธรรมชาติหลั่งไหลเข้ามาแทนที่ ดวงตายาวรีสองชั้นพับทบสวยในกรอบตาลึกได้รูปรับกับสันจมูกโด่งตรงหรี่ลงโดยอัตโนมัติเมื่อต้องลม ส่งผลให้คิ้วเข้มยาวเรียวขนานกับดวงตาถูกกดเข้าหากันไปด้วย

ยามหรี่ตาแบบนี้ แพขนตาดกหนาปลายชี้ตรงของเขากลับกลายเป็นสิ่งบดบังทัศนวิสัยในการขับรถไปเสียนี่ มองไปข้างหน้าก็เห็นแต่ขนตาตัวเอง หลายครั้งที่เขานึกรำคาญและอยากหาที่ดัดขนตามาดัดให้มันงอนเช้งแข่งกับสาวๆ จะได้มองเห็นอะไรชัดขึ้น...เขาได้แต่คิดประชดประชันไปอย่างนั้นแหละ ไม่กล้าลองทำจริงๆ หรอก เพราะเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ และยังแคร์ภาพลักษณ์ตัวเองอยู่มาก

ชายหนุ่มหยิบแว่นดำซึ่งเกี่ยวอยู่กับคอเสื้อยืดมาสวม ไม่ใช่เพื่อกันแดด แต่กันลม แล้วทอดสายตามองไปตามถนนคดโค้งเลียบเขาเบื้องหน้าซึ่งนำเขาเข้าใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปทุกที

ความเร็วถูกผ่อนลงเมื่อล่วงเข้าสู่ตัวอำเภอซึ่งรถราค่อนข้างหนาตา แม้จะไม่ใช่ช่วงวันหยุดยาว แต่ลมหนาวของภาคเหนือเย้ายวนชวนสัมผัสและมีแรงดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกสารทิศให้มาเยี่ยมเยือนเสมอ

นอกจากลมหนาวที่เย็นชื่นฉ่ำใจแล้ว ในความรู้สึกของปราณ อำเภอนี้ก็หน้าตาคล้ายอำเภออื่นๆ ทั่วประเทศไทยที่เขาเห็นจนชินตานั่นแหละ คือมีสถานีตำรวจอยู่ใกล้ชิดติดกับที่ว่าการอำเภอ ถัดไปคือตลาดเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยร้านรวง ตึกแถวด้านหน้าถูกจับจองขายของเต็มทุกห้อง ถ้าเลยจากตรงนี้ไปสักห้าร้อยเมตรเป็นโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ โรงพยาบาล และหอพักหลายแห่งที่ผุดขึ้นมาเพื่อรองรับนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งมาเปิดวิทยาเขตที่อำเภอเล็กๆ แห่งนี้

เกือบสองปีแล้วที่เขาไม่ได้ขึ้นมาเพราะมัวยุ่งอยู่กับโครงการรีสอร์ตที่เขาใหญ่ของมารดา เขาเกือบลืมไปแล้วว่ามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นี่ ถ้าเมื่อสัปดาห์ก่อนหล่อนไม่ลงไปทำธุระที่กรุงเทพฯ และแวะไปหาเขาพร้อมของฝากพะรุงพะรัง ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ทางเหนือ ก่อนลากลับมาหล่อนยังกำชับ

‘ขึ้นไปเมื่อไหร่ก็แวะไปหากันบ้างนะ ตอนนี้พรีมเปิดร้านเองแล้ว อยู่ตึกแถวหน้าตลาดนั่นแหละ’

นี่เป็นสาเหตุให้เขาต้องชะลอรถเพื่อไล่มองป้ายร้านหน้าตลาด แล้วเขาก็พบ ‘อภิสราเภสัช’ ริมฝีปากหยักสวยบนใบหน้าคมคายคลี่ยิ้มพอใจ ชายหนุ่มบังคับพาหนะคู่ใจให้จอดเทียบบาทวิถีหน้าร้านที่หมายตาพอดิบพอดี

เมื่อลงจากรถผลักประตูกระจกเข้าไปในร้าน หญิงสาวผมยาวที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงินรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์หน้าคอมพ์เอ่ยทักทายโดยไม่ได้ละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า คล้ายเป็นไปโดยอัตโนมัติ

“สวัสดีค่ะ...” ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากบางเฉียบเคลือบลิปกลอสแวววาวที่อ้าน้อยๆ คล้ายจะไถ่ถามก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างจนแลเห็นเขี้ยวเล็กๆ ตรงมุมปากทั้งสองข้าง ประโยคต่อมาร่าเริงยิ่งนัก “ปราณ โอ้ย มาไม่บอกล่วงหน้าเลย ถ้ารู้ก่อนจะได้เคลียร์งานรอ”

“เคลียร์งาน” เขาเลิกคิ้วสูงคล้ายจะถาม...เคลียร์ยังไง
คนเคยมักคุ้นแค่สบตาก็รู้ใจ ตอบพร้อมรอยยิ้มเสริมดวงหน้าเรียวรูปไข่ให้กระจ่างน่ามอง

“ปิดร้าน ลางาน พาเที่ยว”

“มาทำงาน ไม่ได้มาเที่ยว...เข้าไปได้ไหม” เขาชี้ที่บานพับสูงเคียงเอวข้างเคาเตอร์ที่กั้นมิให้คนนอกเข้าไปได้

“เข้ามาสิ หาที่นั่งเอาเองนะ ร้านรกหน่อย ของเพิ่งมาส่งน่ะ ยังไม่ทันได้จัดเรียงขึ้นชั้นเลย” คนพูดผายมือที่ถือบิลส่งของไปยังลังกระดาษและตะกร้าหลายใบที่วางอยู่บนพื้น ในตะกร้ามียาที่แยกหมวดหมู่ไว้เรียบร้อยแล้ว ปราณมองตามและตัดสินใจนั่งปุลงบนเก้าอี้นวมบุหนังสีน้ำตาลเข้มหลังโต๊ะทำงานซึ่งมีแฟ้มเอกสารและบิลส่งของวางซ้อนๆ กันอยู่

“ให้เราช่วยเรียงไหม” ปราณเอ่ยขณะมองกองยามากมายหลายลังที่อภิสราสั่งเข้าร้าน

“จะเรียงถูกที่เหรอ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ถ้าปล่อยให้ปราณเรียง พรีมคงต้องรื้อเรียงใหม่น่ะ” อภิสราหัวเราะเสียงใส

“อยู่คนเดียวหรือเนี่ย” ปราณชวนคุย พลางใช้ปลายเท้าดันพื้นบังคับเก้าอี้มีล้อที่นั่งอยู่ให้หมุนไปมา เหมือนเด็กอยู่ไม่สุข

“ฮื่อ” หญิงสาวพยักหน้าและหันไปบันทึกรายการสั่งซื้อลงคอมพิวเตอร์ต่อจากที่ทำค้างไว้

“น่าจะหาใครมาช่วยงานในร้านซักคนนะ”

“ก็ดูๆ อยู่เหมือนกันแหละ แต่ยังหาไม่ได้ ไม่กล้าไว้ใจใคร เลยอยู่คนเดียวไปก่อน”

“แล้วนี่ทำทั้งงานที่โรงพยาบาล ทั้งมาเปิดร้านเองเลย ไม่เหนื่อยแย่หรือไง”

“เหนื่อยอะไรกัน งานไม่ได้ใช้เรี่ยวแรง ใช้แต่ความรู้ที่มีกับเงินลงทุน ถ้าจะเหนื่อยหน่อยก็ตอนที่เห็นตัวเลขติดลบนั่นแหละ” คนพูดหัวเราะ แล้วเล่าต่อเรื่อยๆ “วันไหนทำงานก็มาเปิดร้านเฉพาะตอนเย็น ตั้งแต่ห้าโมงถึงสามทุ่ม ถ้าเป็นวันหยุดก็เปิดตั้งแต่แปดโมงถึงสองทุ่ม...แต่วันนี้ว่าจะปิดเร็วละ” หล่อนหันมายิ้ม และชวนง่ายๆ “เราไปกินข้าวกันนะ”

“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วซี่ นานๆ เจอทีต้องฉลองกันหน่อย”

ปราณทอดสายตามองคนที่นั่งอมยิ้มพอใจอยู่หน้าจอคอมพ์ เจ็ดปีแล้วสินะที่เขารู้จักอภิสรามา หล่อนยังคงเป็นหญิงสาวที่ดูสุขุมนุ่มนวลอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น เขารู้จักหล่อนมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย หล่อนเป็นนิสิตคณะเภสัชศาสตร์ที่พกพาความน่ารักสดใสเข้ามาจีบๆ เด็กสถาปัตย์อย่างเขา เมื่อได้ทำความรู้จักกันเขาจึงพบว่าหล่อนเป็นคนมีนานะ เมื่อคิดจะทำอะไรแล้วตั้งใจจริง แน่วแน่ ไม่ย่อท้อ เขาชอบคนขยันขันแข็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ยากเลยที่จะตัดสินใจคบหาดูใจหล่อนในฐานะคนพิเศษ

ครั้นเรียนจบมีงานทำกันทั้งคู่ เขาจึงได้พาหล่อนไปทำความรู้จักกับครอบครัว เมื่อพ่อแม่เขายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับอภิสราชายหนุ่มก็สบายใจที่หล่อนสามารถเข้ากับครอบครัวเขาได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ อภิสราก็ขอลดระดับความสัมพันธ์จากคนที่ ‘ดูๆ กันอยู่’ เป็นแค่ ‘เพื่อนที่ดีต่อกัน’ หลังจากนั้นหล่อนก็ทำเรื่องขอย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งนี้

ตอนนั้นเขาไม่ได้โศกเศร้าเสียใจเจียนตายเหมือนที่เคยเห็นเพื่อนๆ เป็นกันเวลาอกหัก อาจเพราะมัวแต่อึ้ง งง แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอภิสราจึงเปลี่ยนไปกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณอะไรล่วงหน้า เมื่อเขาทวงถามหาเหตุผล หล่อนตอบสั้นๆ ว่า

‘สักวันปราณก็คงรู้เอง’

ครั้งนั้นปราณไม่ได้รั้งหล่อนไว้ ระยะทางและความห่างเหินทำให้ปราณรู้ใจตัวเองว่าเขาไม่ได้รักอภิสราอย่างที่ชายหนุ่มพึงรักหญิงสาว เป็นแต่เพียงความชื่นชอบที่พิเศษกว่าเพื่อนหญิงคนอื่น และคนฉลาดที่มีสายตามองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งอย่างหล่อนคงดูออกก่อนที่เขาจะรู้ใจตัวเองเสียอีก หล่อนจึงเป็นฝ่ายขอยุติความสัมพันธ์ครั้งนั้นลงอย่างเงียบๆ ง่ายๆ เหมือนครั้งที่เดินเข้ามาหยิบยื่นไมตรีให้เขานั่นแหละ
ทุกวันนี้เขาและหล่อนก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีโอกาสเจอกันบ้างนานๆ ครั้ง เมื่อหล่อนลงไปกรุงเทพฯ หรือเขาขึ้นมาเที่ยว หรือมาทำงานเหมือนครั้งนี้

“เมื่อกี้ปราณว่ามาทำงาน งานอะไรเหรอ” คนถามไม่ละสายตาจากงานของตัวเอง นิ้วเรียวยังพรมไปบนแป้นพิมพ์

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตอบ ประตูร้านก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนโมบายล์ที่ติดไว้บนบานประตูส่งเสียงกราวใหญ่ ลูกค้าที่พรวดพราดเข้ามาทำให้ปราณต้องลุกขึ้นมอง จึงได้พบหญิงสาวร่างเล็กบอบบาง ผิวหน้าขาวใสมีเหงื่อเล็กๆ ผุดพราวทั้งบนหน้าผากและปลายจมูกเล็กๆ แว่นใสกรอบสีชมพูสดขนาดใหญ่พอๆ กับแว่นกันแดดที่เกี่ยวอยู่กับคอเสื้อของปราณส่งให้ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วยิ่งดูโตขึ้นไปอีก ผมสีน้ำตาลอ่อนถักเป็นเปียเดี่ยวยาวยิ่งนัก โดยหางเปียพาดข้ามไหล่มาด้านหน้า อะไรไม่สะดุดตาเท่าการแต่งเนื้อแต่งตัว

กางเกงทรงโจงกระเบนสีม่วงเม็ดมะปรางดึงสายตาชายหนุ่มจากใบหน้าขาวๆ นั่น ไหนจะเสื้อสีขาวที่...ที่ปราณมั่นใจว่ามันเคยเป็นเสื้อคอกระเช้ามาก่อน ดูจากลูกไม้ตรงแขนและคอเสื้อก็รู้ หากทว่าเก๋ไก๋ตรงที่มีดอกไม้ผ้าสีเหลืองแจ่มเย็บติดอยู่บนอกเสื้อ เกสรดอกไม้เป็นกระดุมพลาสติกหลากสีเย็บติดกันเป็นวงกลม ส่วนเสื้อไหมพรมสีครีมที่สวมทับมานั้นเก่าซีดแต่สะอาดสะอ้าน ดูแบบแล้วน่าจะเป็นของแม่หรือของยายมากกว่า

“พี่คะ...ขอซื้อแผ่นตรวจตั้งครรภ์ค่ะ”
เสียงร้อนรนหลุดออกมาจากปากเล็กจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตา ทำให้ปราณขมวดคิ้วโดยอัตโนมัติ...ตัวแค่นี้ จะซื้อไปทำอะไร...คงซื้อไปประกอบการรายงานอะไรสักอย่างนั่นละ หน้าอ่อนๆ แบบนี้คงยังเรียนอยู่...ชายหนุ่มคิดเองเออเอง ขณะที่อภิสราเดินไปหยิบสิ่งที่ลูกค้าต้องการด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ เมื่อส่งให้ คำถามก็ตามมา

“ใช้ยังไงคะพี่”

“หยดปัสสาวะลงไปตรงนี้” อภิสราชี้ให้ดูในรูปภาพประกอบข้างกล่อง “แล้วรอสักพัก ถ้าขึ้นขีดสีชมพูขีดเดียวแปลว่าไม่ท้อง ถ้าขึ้นสองขีด แปลว่าท้องค่ะ”
คนฟังพยักหน้าหงึกๆ คิ้วเรียวเหนือแว่นกรอบโตขมวดมุ่น

“ขอให้มันขึ้นขีดเดียวเถอะ ถ้าสองขีดน่ะ ต้องตายแน่ๆ เลย” เธอพึมพำเสียงเครียด ก่อนจ่ายเงินและรีบร้อนออกไป ปราณมองตามหลังเห็นเธอกระโดดคร่อมมอเตอร์ไซคล์ที่จอดต่อท้ายรถเขา และขับออกไปอย่างรวดเร็ว

“คงไม่ได้ซื้อไปใช้เองหรอกนะ ยังเด็กแท้ๆ เลย” ปราณเปรยเบาๆ อย่างที่ใจหวัง...และยังหวังต่อไปว่าอยากให้อภิสราเอ่ยสนับสนุน แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มขำ และเย้าว่า

“เป็นห่วงอนาคตของชาติขึ้นมาล่ะสิ”

“ฮื่อ...น่าเสียดายน่ะ วัยกำลังสดใส น่าจะใช้ชีวิตสนุกสนานให้เต็มที่ก่อนที่จะต้องมาแบกรับภาระอะไรที่หนักเกินตัว เกินวัย” ปราณยอมรับเสียงอ่อน รู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดเลยเถิดไปว่าเด็กสาวคนเมื่อครู่ก็อาจใช้ชีวิตเริงร่าจนลืมคิดถึงผิดชอบชั่วดี ลืมคิดถึงความรู้สึกของคนรอบกายใกล้ชิด หลงลืมแม้แต่การระมัดระวังตัวเอง

“ถ้ายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ แล้วจะรับผิดชอบอีกชีวิตหนึ่งที่จะเกิดมาให้ดีได้ยังไงกัน” เขาอดบ่นไม่ได้

“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วปราณ วิธีหาความสนุกสนานของเด็กสมัยนี้ก็เปลี่ยนไปด้วย เด็กเดี๋ยวนี้เขาไม่น่านั่งจิ้มนิ้วเล่นจ้ำจี้มะเขือพวงเหมือนเด็กสมัยก่อนแล้ว เขานั่งจิ้มคอมพ์ตั้งแต่รู้ความ แล้วในโลกไซเบอร์น่ะมีอะไรให้เรียนรู้ตั้งเยอะ ทั้งดีและไม่ดี”

“เออ จริง เรื่องบางเรื่องผู้ใหญ่ปิดกันแทบตาย ไม่ยอมพูด ไม่กล้าบอก อายที่จะสอน รอให้เด็กเรียนรู้ตามวัย ที่ไหนได้...โน่นเข้าไปเปิดเว็บดู ทีนี้ละรู้ไปถึงไหนๆ รู้มากกว่าผู้ใหญ่บางคนด้วยซ้ำ”
ปราณเออออแสดงความเห็นอย่างออกรส

“แหม เข้าใจถ่องแท้เชียว เคยทำมาก่อนละสิ” อภิสราย้อนถามทั้งรอยยิ้ม

“ก็ใช่นะสิ” ปราณยอมรับ หน้าคมคายครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งที่ถูกรู้ทัน ทว่าดวงตาเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจที่ตนเองสามารถผ่านวัยหัวเลี้ยวหัวต่อมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งที่เกือบจะถลำไปบนเส้นทางเดินผิดๆ ซึ่งแม้จะเต็มไปด้วยความสนุกสนานเย้ายวนชวนให้อยากรู้อยากลอง แต่ก็เป็นความสนุกสนานที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ร้ายแรงยิ่งกว่าการทำให้ผู้หญิงท้องก่อนวัยวันอันสมควรเสียอีก และเส้นทางนั้นยังสวนทางกับความถูกต้องของกฎหมายและศีลธรรมโดยสิ้นเชิง

การสนทนาของทั้งคู่ยุติลงเมื่อประตูร้านถูกผลักเข้ามาอีกครั้งโดยเด็กหนุ่มร่างผอมสูง ผิวซีดขาว ปราณขยับตัวเข้าไปยืนใกล้อภิสราอย่างระแวงระวังเมื่อเห็นแววตาแข็งกร้าวหลุกหลิกของลูกค้ารายใหม่ ซึ่งดูแล้วไม่น่าไว้วางใจนักเลย

“พี่ครับ มียานี้หรือเปล่า” เด็กหนุ่มส่งแผงยาให้อภิสรา หญิงสาวมองและส่ายหน้ายิ้มๆ โดยไม่ต้องรับมาพิจารณา

“เขาห้ามขายแล้วจ้ะ”

“แล้วผมจะไปซื้อที่ไหนได้ครับพี่” เสียงนั้นบ่งความผิดหวัง หงุดหงิด ขัดใจ

“ต้องไปหาหมอ ให้หมอจ่ายมา”

“พี่พอจะหาให้ผมได้ไหมครับ เท่าไหร่ก็เอา สิบกล่องยี่สิบกล่อง ผมซื้อหมด” ฝ่ายถูกปฏิเสธกล้าเสนออย่างใจป้ำ

“ไม่มีค่ะ พี่ไม่ได้ขาย” อภิสราเริ่มเสียงแข็ง “อย่าว่าแต่สิบกล่องยี่สิบกล่องเลย แผงเดียวก็ไม่มี...ว่าแต่น้องจะเอาไปทำอะไรเยอะแยะขนาดนั้นคะ”

“ญาติผมเขาต้องใช้ประจำ” คนพูดหลุบตามองมือตัวเอง “แต่ที่กรุงเทพฯ หาซื้อยากครับ ผมก็เลยว่าจะซื้อส่งไปให้เขา” นั่นเป็นเหตุผลหรือข้ออ้างอภิสราก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เมื่อหล่อนยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีขาย เด็กหนุ่มร่างผอมก็ยอมถอยออกไป

“ยาอะไรหรือพรีม” ปราณหันมาถามทันทีที่ประตูร้านปิดตามหลังเด็กหนุ่มไปติดๆ

“ยาลดน้ำมูกที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนน่ะ ตอนนี้เขาขึ้นทะเบียนเป็นยาควบคุมพิเศษแล้ว ขายได้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น”

“อ้อ” ปราณพยักหน้าเข้าใจ เขามารู้จักยาตัวนี้ได้เพราะมีข่าวครึกโครมว่ามีการกว้านซื้อยาที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีนเพื่อนำไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด จนองค์การอาหารและยาต้องประกาศปรับยาชนิดนี้จากยาอันตรายเป็นยาควบคุมพิเศษ และอนุญาตให้ขายเฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ต่อมาก็มีข่าวว่ายาหายไปจากโรงพยาบาลอีกจนได้

“แล้วทำไมไม่หามาขายบ้าง” ปราณแหย่ “จะได้รวยเละ”

“เห่อ” อภิสราทำเสียงขยาดแขยง สีหน้าแววตาแสดงความรังเกียจดูแคลนชัดแจ้ง “มันไม่คุ้มหรอกที่จะเสี่ยง”

ปราณหัวเราะพอใจ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่น่ากังวล
“คนเมื่อกี้ดูน่ากลัวนะ เราว่าพรีมรีบหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนได้แล้วละ”

“ปราณอยากมาอยู่เป็นเพื่อนพรีมไหมล่ะ” คำถามทีเล่นทีจริง...หากเมื่อรวมกับสายตาอาวรณ์ที่ทอดมองมา กลับทำให้กินความนัยลึกซึ้งเกินกว่าจะพูดเล่นได้ ชายหนุ่มยิ้มกว้างก่อนตอบกลับนุ่มนวล...ระมัดระวัง

“อยู่...หรือไม่อยู่ เรากับพรีมก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่นา”


อภิสราบันทึกข้อมูลการสั่งซื้อสินค้าเสร็จตั้งแต่ยังไม่สองทุ่ม หล่อนเก็บของเตรียมปิดร้านเพราะตั้งใจจะไปกินข้าวกับปราณอย่างที่บอกไว้แต่แรก ขณะที่ไล่ปิดไฟจนความสว่างลดลงไปครึ่งร้าน ประตูกระจกก็ถูกผลักเข้าอีกครั้ง ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย เป็นสาวน้อยหน้าใสแว่นโตที่เข้ามาซื้อแผ่นตรวจครรภ์เมื่อชั่วโมงก่อนนั่นเอง คราวนี้ดวงหน้าขาวใสเผือดซีด ความวิตกกังวลอัดแน่นอยู่ในดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นนั่นจนคนที่มองอยู่เงียบๆ อย่างปราณสัมผัสได้เลยทีเดียว

“พี่คะพี่” เธอถลาเข้ามาเกาะเคาน์เตอร์ อภิสราที่สะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก จำเป็นต้องวางสัมภาระลงบนโต๊ะทำงานและเดินไปหาพร้อมกับถาม

“มีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” เสียงที่ถามฟังดูเอื้ออาทรและพร้อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เท่าที่สามารถทำได้

“ท้องค่ะ ท้อง...อยากได้...อยากได้ยา...”

เฮ้ย! ปราณอุทานลั่นในใจเมื่อได้ยินคำบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงตระหนกตกตื่น เขานึกชื่นชมอภิสราที่ยังรักษาความปกติในสีหน้าและน้ำเสียงไว้ได้ หล่อนคงพบเจอเรื่องราวทำนองนี้มาจนชินกระมัง

“น้องอยากได้ยาอะไรคะ”

“หนูอยากได้ยาที่...ที่บำรุงเด็กในท้องให้มีสุขภาพดีน่ะค่ะ”

ปราณเผลอถอนหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความโล่งใจ...ตอนแรกคิดว่าเธออยากได้ยาอะไรที่จะนำไปกินเพื่อทำลายเด็กในครรภ์ซะอีก

“เดี๋ยวไปฝากท้องที่โรงพยาบาลหมอเขาก็ให้จ้ะ” อภิสราบอกอย่างอ่อนโยน

“ขอซื้อไปกินก่อนได้ไหมคะ อยากได้ตอนนี้เลย รอช้า กลัวเด็กจะแย่เสียก่อน”

“ก็ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่จัดยาบำรุงเลือดให้ไปกินนะคะ แล้วอย่าลืมไปฝากท้องให้เรียบร้อยล่ะ” คนกำชับหยิบขวดวิตามินบำรุงเลือดมาเปิดเทลงถาดแสตนเลส นับใส่ถุงซิปที่ระบุขนาดและวิธีรับประทานอย่างละเอียดชัดเจนไว้ข้างซอง

“ค่ะๆ” สาวแว่นโตพยักหน้าหงึกหงัก สีหน้าแววตายังร้อนรุ่มกลุ้มใจอยู่เลย พออภิสรายื่นซองยาและอธิบายวิธีกินคร่าวๆ อีกครั้งเสร็จสรรพ เจ้าตัวก็จ่ายเงินและวิ่งปรู๊ดออกไปกระโดดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซคล์คันเดิมอย่างคล่องแคล่ว แล้วขับออกไปรวดเร็วไม่ต่างจากครั้งแรกที่มา

แม่สาวแว้นแว่นโต จะรีบอะไรขนาดนั้น ปราณส่ายหน้าระอาใจ ปรู๊ดปร๊าดแบบนี้สายเลือดในท้องจะอยู่ถึงกำหนดคลอดรึเปล่าก็ไม่รู้


*********
ป.ล.ตอนที่ ๑ ยังไม่จบค่ะ มันยาวมาก แล้วจะมาอัพต่อ

เรื่องนี้เขียนไปโพสต์ไปนะคะ อาจมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้างเป็นระยะค่ะ



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ค. 2555, 11:22:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2555, 22:31:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1641





   ตอนที่ ๑ (ต่อจนจบ) >>
หมูอ้วน 10 ก.ค. 2555, 13:15:46 น.
ขำน้องคนที่มาซื้อยาบำรุงอ่ะค่ะ


Sweetbutter 10 ก.ค. 2555, 13:51:57 น.
บรรยายบรรยากาศได้อารมณ์ ข้อมูลแน่นเชียวจ้า


Barby 10 ก.ค. 2555, 14:24:36 น.
ตอนแรกก้อสนุกแล้ว น่าติมตามมาก^^


อสิตา 10 ก.ค. 2555, 15:21:18 น.
นึกว่าน้องคนที่สองก็จะมาด้วยเรื่องตั้งครรภ์ของแฟนหรืออะไรแบบนี้ซะอีก
สะท้อนปัญหาสังคมได้ดีเลยนะคะ ทั้งยาเสพติด ทั้งมีลูกก่อนเวลาอันควร(หรือว่าจะทำแท้ง)
ทุกอย่างเริ่มมาจากความพึงพอใจอันขาดความยั้งคิดทั้งนั้น รอติดตามต่อไป...


เทียนจันทร์ 10 ก.ค. 2555, 18:06:36 น.
บรรยายได้อารมย์จริงด้วยค่ะ


ภาวิน 10 ก.ค. 2555, 20:50:41 น.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เข้ามาคอมเม้นท์ เข้ามากดไลค์กันนะคะ มีกำลังใจขึ้นมาอีกเยอะเลยค่ะ

คุณหมูอ้วน คอยติดตามนะคะ จะได้พบน้องคนนี้อีกเรื่อยๆ ละอาจทำให้คุณยิ้มละหัวเราะไปด้วยอยู่เนืองๆ

คุณ Sweetbutter / คุณเทียนจันทร์ ...คนเขียนชอบบรรยากาศดีๆ ค่ะ เวลาจินตนาการแล้วเพลินใจ มีความสุข ^_^

คุณ Barby น่าติดตามก็ต้องตามติดนะคะ จะไม่ปล่อยให้รอนานแน่นอน

คุณอสิตา คอมเม้นท์ได้ตรงใจคนเขียนค่ะ ธีมของเรื่องนี้คือการยับยั้งชั่งใจ มาตามอ่านกันนะคะว่าเรื่องการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรกับเรื่องยาเสพติดจะเชื่อมโยงถึงกันหรือไม่ อย่างไร



ปาป้า 11 ก.ค. 2555, 16:21:57 น.
คุณนักเขียนที่รักคะ
มาให้ด่วนเลยค่ะ up ให้ไวเลยค่ะ อารมณ์ค้างงงง.....


nunoi 12 ก.ค. 2555, 12:40:49 น.
รอตอนต่อไปนะคะ


วิกนิกานต์ 14 ก.ค. 2555, 00:52:32 น.
อ่านเพลินเลย สนุกจ้า แล้วจะมาตามอ่านตอนต่อไปนะจ๊ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account