ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 3

แง่มๆ มาแล้วค่ะ มาช้าไปหน่อย ไม่ว่ากันนะคะ ช่วงก่อนมิณทิมาหลบไปสอบมาค่ะ แฮ่ๆๆ

คุณ Edelweiss - ^^ ดีใจที่ชอบค่ะ เขียนไปก็กลัวไปว่าจะชอบกันมั้ย แบบนี้กำลังใจมาเต็มเลยค้าบผม

คุณ pattisa - ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ แฮ่ๆๆ มิณทิมามือใหม่ เจออะไรท้วงได้อีกนะคะ เขิลเลย >///<

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แสงสีส้มแตะขอบฟ้าพร้อมกันเสียงน้ำทะเลที่ถูกคลื่นลมซัดเข้าฝั่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ทำให้นฤมลต้องรีบลุกจากเตียงนอนแสนนุ่ม เพื่อเตรียมตัวไปดำน้ำในวันนี้ หญิงสาวเก็บของที่จำเป็นทั้งหมดลงกระเป๋า ไม่ลืมที่จะทาครีมกันแดดไปด้วย ถึงแม้เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดูแลตัวเองสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเรื่องผิวก็เป็นเรื่องนึงที่เธอยอมไม่ได้ นฤมลยืนมองตัวเองในกระจกก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบื่อหน่ายกับหุ่นที่ไม่ได้น่ามองสักเท่าไหร่ของตัวเองเพราะไม่ได้เอวบางร่างน้อยอย่างใครเขา

นฤมลเป็นผู้หญิงที่ถือว่าไม่ได้อ้วน แต่ถ้าจะเรียกกันจริงๆ คงจะเป็นผู้หญิงอวบเสียมากกว่า ผมก็ไม่ได้เรียบเงา มีน้ำหนักเหมือนผู้หญิงทั่วไป แถมการแต่งตัวยังใช้ไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะมัวแต่ทำงานเลยไม่มีเวลาสนใจตามแฟชั่นสักเท่าไหร่ อย่างไรเสียสิ่งที่พอจะรักษาได้บ้างคงจะเป็นสีผิว ถึงแม้ไม่ได้ขาวอมชมพูน่ารักเหมือนเด็กสมัยนี้ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังพอมีเชื้ออยู่บ้าง เชื้อผิวขาวที่ให้ตายอย่างไรเธอก็ไม่ยอมให้แดดที่ไหนมาทำลายมันลงเป็นอันขาด

หญิงสาวสะพายเป้คู่ใจอย่างทะมัดทะแมง เป็นการเตรียมพร้อมที่จะไปดำน้ำดูปะการังที่เธอหลงไหลเป็นหนักหนา แต่ก่อนที่จะขึ้นเรือเธอต้องเตรียมพร้อมสะสมแรงแรงเอาไว้ก่อน โดยการไปรับประทานอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ตจัดเตรียมไว้ให้อย่างที่ลูกค้าที่มาพักจะทานเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีใครมาคอยจำกัดเวลา แต่จะทานได้ถึงแค่ช่วงสิบโมงเช้าเท่านั้น หากไม่กำหนดเวลาครัวปิดพนักงานคงต้องนั่งเฝ้าอาหารทั้งวันเป็นแน่
เจ้าหน้าที่คนดูแลและขับเรือยืนพร้อมอยู่แล้วที่หน้าหาดพร้อมกับรอยยิ้มเปิดเผยให้เห็นฟันขาวจั้วะ อย่างที่ถ้าแดดแรงกว่านี้คงได้มีแสบตากันบ้างล่ะ นฤมลกระโดดขึ้นเรือตามที่ได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งเธอแอบถามชื่อได้มาว่าเขาชื่อ ’เสือ’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากกว่านั้น เพราะลูกค้าที่จองการดำน้ำนี่ไว้เช่นกันกำลังทยอยกันมาบ้างก็มากันเป็นคู่ บ้างก็มากันเป็นครอบครัว หรือแม้กระทั่งมากันเป็นกลุ่มเพื่อนที่ดูแล้วน่าจะยังไม่จบชั้นมหาวิทยาลัย ความรู้สึกแย่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจเงียบๆ แต่เธอก็มีสติพอที่จะปัดมันทิ้งไป โดยไม่เก็บมาใส่ใจอีกเพราะถึงจะมาเที่ยวคนเดียวบ่อย แต่เธอก็ไม่เคยเหงาจนคิดอยากจะมีเพื่อนอยู่ด้วยมากเท่านี้มาก่อน

นฤมลยืนคิดเพลินๆ อยู่บริเวณหัวเรือที่มุ่งหน้าไปยังสถานที่ดำน้ำเพื่อดูปะการัง พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องเธออยู่ หญิงสาวหันขวับตามความรู้สึกเธอ เห็นลูกชายเจ้าของรีสอร์ตยืนนิ่งอยู่ ตามองมายังเธอราวกับสังเกตการณ์

ตานี่มันโรคจิตชัดๆ ... คนถูกจ้องทำปากขมุบขมิบพูดกับตัวเองก่อนจะหันสายตาไปจับจ้องทะเลเช่นเดิม พยายามทำเป็นไม่สนใจรอบข้าง ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนไม่ทันรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง

“มายืนตากแดดตากลมอย่างนี้ไม่กลัวไม่สบายบ้างหรือไง” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหลัง แต่หญิงสาวกลับไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรสักนิด ยังคงเพลินอยู่กับน้ำทะเลและแสงแดดที่ส่องลงมาทำให้ภาพตรงหน้าเหมือนภาพวาดเข้าไปทุกที

“ถ้ากลัวฉันคงไม่มาตั้งแต่แรกหรอก” หญิงสาวตอบส่งๆ ไปอย่างนั้น ไม่ได้สนใจว่าคนถามจะทำหน้ายังไง หลังจากได้รับคำตอบ “เอ๊ะ! เป็นห่วงฉันหรือ ไม่ต้องห่วงหรอกฉันแข็งแรงดี” ว่าแล้วหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มนิดหนึ่งแล้วหันกลับไปมองทะเลต่อ กล้องถ่ายรูปที่เตรียมมาด้วยถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งแสงและอากาศช่างเป็นใจให้เธอเกิดอารมณ์นึกอยากจะเป็นช่างภาพขึ้นมาเสียดื้อๆ

“ห่วงหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ผมแค่กลัวคุณจะมาตายระหว่างที่อยู่ที่รีสอร์ตผมก็เท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น รีสอร์ตผมคงจะได้เสียชื่อกันบ้างว่าทำไมถึงปล่อยหญิงสติไม่ดี ร่างกายไม่แข็งแรง มาเสียชีวิตด้วยอาการช็อคเพราะอากาศร้อนจัดด้วยวัย 50 ปี”

นฤมลพูดไม่ออก เมื่อได้ยินเนื้อข่าวที่คนตรงหน้าเขียนขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ เกี่ยวกับผู้หญิงวัยกลางคนสติไม่ดีที่มาตายด้วยวัย 50 ปี หญิงสาวจับกล้องที่คล้องคออยู่ไว้แน่น พยายามระงับความโกรธให้ไม่ขาดสติ ยกกล้องขึ้นฟาดใบหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างนั้น ความคิดที่เคยมีว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาดีแค่ไหน ถูกลบไปจากระบบตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยว่าครั้งแรกที่เจอเขาเป็นคนนิ่งๆ เธอเองก็ยอมรับในระดับหนึ่งว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อได้พูดคุยจริงๆ แล้วนั้น นับว่าเธอพลาดไปมากที่เคยคิดจะสนใจคนแ บบนี้ ปากร้ายก็เท่านั้นเธอไม่ควรใส่ใจเลยสักนิด

เสียงของกรกฎเงียบลงทำให้คนที่ต่อล้อต่อเถียงอยู่ด้วยเมื่อครู่เหลือบมอง ห่วงคนที่เงียบไปจะตกทะเลไป ทั้งที่เมื่อกี้ยังพูดอยู่ปาวๆ ภาพของชายคนหนึ่งกำลังมองออกไปยังกลางทะเลด้วยสายตาเจ็บปวดนั้นเรียกความสนใจจากเธอได้ไม่ยาก หญิงสาวรีบเล็งกล้องถ่ายแล้วกดชัตเตอร์ไว้ทันทีก่อนที่ภาพนี้จะหายไป

“ทำอะไรน่ะ” เสียงชัตเตอร์ทำให้กรกฎดึงออกจากภวังค์ในที่สุด ชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่ถือกล้องค้างอยู่ทันทีเพราะเขาได้ยินเสียงกดชัตเตอร์แว่วๆ แต่กลับไม่ได้อะไรตอบกลับมาจากหญิงสาว เธอยังคงหันกลับไปสนใจทะเลเช่นเดิมแล้วปล่อยคำถามของชายหนุ่มผ่านหูไปลอยไปกับสายลม “ผมถามว่าเมื่อกี้คุณทำอะไร”

“เปล่า”

“อย่ามาปฏิเสธ เพราะผมเห็นว่าคุณยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผม” ประโยคเค้นคำตอบที่กรกฎบอกทำให้หญิงสาวที่กำลังกลบเกลื่อนการกระทำเริ่มยกมือขึ้นท้าวเอวท่าทางเอาเรื่อง

“บอกว่าเปล่าก็เปล่าสิจะเอายังไงหา อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยว่าฉันจะถ่ายรูปคุณน่ะ ยังไงก็ไม่มีทาง”

การสนทนาหยุดลงเพียงเท่านี้ ทั้งคู่ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ที่ดูแลทริปนี้เรียกไปรวมกันที่จุดกลางเรือเพื่อจะสาธิตและสอนวิธีดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นให้กับคนที่ไม่เคยดำมาก่อนเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ เพราะไม่อย่างนั้นอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สำหรับนฤมลที่มาเป็นประจำแทบไม่ต้องสนใจในการบรรยายนี้ แต่อย่างไรก็ตามหญิงสาวก็ยังต้องเดินไปรวมตัวกับทุกคนอยู่ดี ถึงตรงนี้นฤมลเพิ่งสังเกตว่าเสียงเรือได้เงียบลงไปแล้วอาจเป็นเพราะมัวแต่ทะเลาะกับผู้ชายคนนั้นทำให้เธอไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างมากเท่าที่เคย

มือขาวปลดสายกล้องที่คล้องคอออกเพื่อวางไว้กับกระเป๋าที่ตนเตรียมมาด้วยจากนั้นจึงหันไปรับอุปกรณ์ทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่แล้วใส่มันอย่างชำนาญ เมื่อเจ้าหน้าที่อธิบายทุกอย่างเรียบร้อยหญิงสาวก็กวาดสายตามองหาคนที่กัดเธออยู่เมื่อครู่แต่กลับไม่เจอ

คงไม่ได้ลงไปดำน้ำด้วยหรอกนะ หญิงสาวคิดก่อนจะสลัดศีรษะของตัวเองให้ความคิดนี้หลุดออกไป ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องไปสนใจอะไรนักหนากับผู้ชายคนนี้

พอได้สัญญาณให้ลงน้ำได้นฤมลจึงค่อยๆ ปีนจากเรือแล้วกระโดดลงน้ำอย่างชำนาญ เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อได้สัมผัสกับธรรมชาติที่เธอรัก ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เธอปัดภาระและความเครียดทุกอย่างออกไปและลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำให้ไม่สบายใจ กลับมาสนใจปลาตัวน้อยๆ ที่ว่ายวนอยู่รอบตัวและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับเธอตลอดเวลาแทน

เมื่อทักทายปลาตัวน้อยเสร็จ เธอจึงเริ่มดำผุดดำว่ายดูดอกไม้ใต้ทะเลที่มีสีสันสวยงามดึงดูดสายตาใครต่อใครให้พามาดูมันเต้นระบำอยู่ใต้น้ำ นฤมลเคยคิดเล่นๆ ว่าอยากได้กล้องที่สามารถถ่ายรูปใต้น้ำได้ เพราะบางครั้งเธอก็อยากจะเก็บภาพประทับใจนี้ไว้บ้าง แต่ทุกครั้งที่เธอเอาเรื่องนี้ไปถามความเห็นจากพี่ชาย หญิงสาวจะได้รับคำตอบมาในเชิงที่ว่า ‘เสียดายเงินจะซื้อไปทำไม’

นอกจากปะการังแล้วเธอยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับปลาดาวแสนน่ารักอีกด้วย นฤมลทำตาหยีที่ดูยังไงก็รู้ว่าเธอกำลังยิ้ม ยิ้มอยู่ใต้น้ำยิ้มกับธรรมชาติที่สวยงามและยังไม่โดนทำลายแต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ประดับได้อยู่เพียงชั่วครู่ เมื่อจู่ๆ หญิงสาวเกิดอาการเจ็บแปลบที่ขาและขยับได้เพียงเล็กน้อย นฤมลใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามตะกายขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อเรียกคนช่วย

เธอพยายามยกมือและตีน้ำให้เป็นเสียงที่เธอคิดว่าดังที่สุด หญิงสาวเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าตนเองมาว่ายออกมาทำให้ระยะห่างจากเรือไกลพอสมควรด้วยความที่คิดว่าตนเองมาบ่อยและไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ อาการเจ็บที่เกิดขึ้นมันทำให้เธอนึกอะไรไม่ออกนอกจากต้องรีบสื่อสารให้เจ้าหน้าที่รู้ให้เร็วที่สุดว่าเธอกำลังจะแย่ ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องเป็นผีเฝ้าทะเลพร้อมกับร่างกายที่ลอยไปติดหาดทรายแบบไร้ลมหายใจแทน

กรกฎนั่งอยู่ในเรือกับคนขับเรืออีกหนึ่งคนคอยสังเกตการณ์โดยรวมว่ามีอะไรเกิดขึ้นผิดปกติหรือไม่ เพราะอยู่และทำสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กเลยทำให้เบื่อที่จะดำน้ำแถวนี้เสียแล้ว ชายหนุ่มยกกล้องของตัวเองขึ้นมาส่งถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ในขณะนี้ที่คนได้รับสิทธิ์ครอบครองไปแหวกว่ายอยู่กลางทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา เขาเล็งกล้องไปรอบๆ ก่อนจะชะงักนิ่งเมื่อเห็นเหมือนคนกำลังชูมือขึ้นเพื่อขอความช่วยเหลือ ก่อนจะได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นมาทำให้เขาแน่ใจว่าเกิดอันตรายกับลูกค้าอย่างแน่นอน

ทันทีที่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลได้ยินเสียงนกหวีด จากที่เคยดูแลลูกค้าที่ว่ายน้ำไม่เป็นอยู่เป็นอันต้องหยุด และรีบมองหาที่มาของเสียงนกหวีด ก่อนจะพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งทำลังชูมือขอความช่วยเหลืออยู่ซึ่งดูจากระยะแล้วเธอว่ายเพลินไปไกลพอดู เมื่อหาที่มาเจอแล้วเจ้าหน้าที่เลยต้องรีบผละจากกลุ่มคนที่เคยดูเลยเพื่อไปช่วยเหลือหญิงสาว ก่อนที่เธอจะจมหายไปเขาว่ายน้ำอย่างรวดเร็วแต่พอไปถึงจุดที่เขาเห็นผู้หญิงยกมืออยู่เมื่อครู่กลับไม่มีเธอแล้ว

เป็นไปได้ว่าอาจจะทนไม่ไหวและจมน้ำลงไปแล้ว... คิดได้ดังนั้นเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงดำน้ำลงไปดูเบื้องล่างเห็นหญิงสาวคนหนึ่งลอยนิ่งอยู่จึงรีบพุ่งตัวไปดึงไว้และพาตัวกลับขึ้นเรือให้เร็วที่สุด

นฤมลถูกนำขึ้นเรือมาด้วยสภาพไม่ได้สติ เจ้าหน้าที่คนที่ช่วยไว้เมื่อครู่หอบตัวโยนแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต้องช่วยคนที่สลบอยู่ให้สำลักน้ำออกมา ก่อนที่จะเกิดอันตรายกับเธอและทุกอย่างจะสายเกินไป คนช่วยหญิงสาวขึ้นจากทะเลตบหน้าคนไม่ได้สติเบาๆ สองสามครั้งก่อนจะตัดสินใจได้ว่าอย่างไรก็คงต้องผายปอด แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มการปฐมพยาบาลเบื้องต้นกรกฎก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ผมจัดการเองคุณพักให้หายเหนื่อยเถอะครับ” ชายหนุ่มอาสาอย่างเต็มใจเพราะเห็นว่ากว่าจะพาผู้หญิงคนนี้มาเจ้าหน้าที่เขาก็เกือบหมดแรง

“ไม่เป็นไรครับผมไม่เหนื่อยเท่าไหร่ คุณซีนั่งดูเฉยๆ ดีกว่า”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมจะช่วย” เจ้าหน้าที่หนุ่มกำลังจะออกปากปฏิเสธอีกครั้ง หากกรกฎอ้างเหตุผลขึ้นมาเสียก่อน “เถอะครับมัวแต่เถียงกันเดี๋ยว ‘ยัยนี่’ จะตายเสียก่อน”

ตำเรียกขานที่ดูมีความสนิทสนมกันทำให้เจ้าหน้าที่ต้องชะงักและยอมถอยหลังออกมา อย่างไรเสียกรกฎก็เคยอบรมเรื่องพวกนี้และช่ำชองอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรต้องห่วงในเรื่องช่วยผู้ป่วย แต่พอมานึกย้อนดูทำให้เขาสังเกตได้ว่าลูกเจ้าของรีสอร์ตคงมีอะไรบางอย่างเชื่อมสัมพันธ์อยู่กับหญิงสาวที่สลบอยู่นี้

กรกฎทำการผายปอดช่วยชีวิตนฤมลอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วทำให้ลูกเรือคนอื่นที่สังเกตอยู่เบาใจลงมาเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่สบายใจตราบเท่าที่เธอไม่ยอมสำลักน้ำออกมาแม้ว่าชายหนุ่มที่อาสาช่วยจะพยายามเป่าลมเข้าไปทางปากของเธอมากแค่ไหน

“คุณ คุณ ฟื้นสิ” กรกฎยื่นมือเข้าไปตบหน้าหญิงสาวเบาๆ ราวกับจะปลุกให้เธอตื่นจากนิทราแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอที่นอนอยู่ นฤมลยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นเดิมไม่มีทีท่าว่จะสำลักน้ำออกไป “เฮ้คุณ ถ้าไม่ตื่นแม่ผมเอาผมตายแน่ ตื่นขึ้นมาสิ”

หากแต่ไม่มีอะไรตอบรับเช่นเดิม ทำให้ชายหนุ่มต้องก้มลงไปผายปอดอีกครั้ง โดยเริ่มจากปั้มหัวใจแต่ก่อนที่ปากเขาและปากเธอจะแตะกัน หญิงสาวก็สำลักน้ำออกมาเสียก่อน นฤมลลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเจอใบหน้าของกรกฎลอยอยู่ หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ เพื่อปรับโฟกัสเล็กน้อย ก่อนจะใช้แขนดันตัวเองขึ้นนั่งเธอได้รับความสะดวกเป็นอย่างดีจากคนที่เธอเห็นคนแรกหลังจากลืมตาขึ้น กรกฎพยุงหญิงสาวให้นั่งในท่าสบายก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“เป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“เมื่อกี้... ฉันเป็นตะคริวน่ะ มันเจ็บมากเลยว่ายมาที่เรือไม่ไหว” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนราวกับแรงทั้งหมดยังไม่กลับมา มือขาวยื่นไปบีบขาตัวเองก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่าความเจ็บปวดมันยังไม่หายไป

ขณะนั้นเจ้าหน้าที่คนเดิมก็ได้ประกาศให้ลูกเรือที่เหลือแยกย้ายกันไปนั่งตามจุดต่างๆ เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่กลับสู่ภาวะปกติเรียบร้อยและอีกทั้งยังถึงเวลาที่จะกลับเข้าฝั่ง เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายก่อนรับประทานอาหารเย็น คนบนเรือทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ ของเรือบ้างก็นั่งคุยกัน บางคนก็ยืนดูวิวรอบๆ พร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน

“ยังปวดอยู่หรือ” กรกฎถามคนเกือบจมน้ำตายเสียงอ่อน ด้วยรู้ว่าสภาพจิตใจของเธอยังไม่ปกติเท่าไหร่นัก จะต่อว่าก็ไม่ได้ในเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดและยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับทะเลขนาดเขาหรือเจ้าหน้าที่ สติในการแก้ปัญหาย่อมช้ากว่าปกติ ส่วนคนจมน้ำเมื่อครู่ไม่พูดอะไรอีกนอกจากพยักหน้า

“ยื่นขามาสิ” ประโยคที่หลุดออกจากปากกรกฎทำให้นฤมลต้องเงยหน้ามองด้วยความสงสัยว่าชายหนุ่มต้องการจะทำอะไร “บอกให้ยื่นขามาไงจะนวดให้”

“ไม่ ไม่ อ่า... ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวคงหาย” หญิงสาวปฏิเสธพัลวันเมื่อสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าพูดจริงไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด

“นี่คุณ บอกให้ยื่นมาไง จะดื้อให้มันได้อะไรขึ้นมาหืม”

หญิงสาวพยายามจะดึงขาตัวเองไว้ แต่ด้วยว่าอากาที่ตะคริวกินนั้นยังไม่หายจึงทำให้ไม่สะดวกที่จะดึงหรือยกอะไรมากนัก จะลุกขึ้นเดินหนีไปที่อื่นก็ไม่ไหว เธอจึงเป็นฝ่ายแพ้ไปโดยปริยาย มือใหญ่คว้าขาของหญิงสาวมาบีบเบาๆ ให้หญิงสาวบรรเทาอาการปวดลงบ้าง ถึงไม่หายเป็นปลิดทิ้งแต่อย่างน้อยเวลานี้เธอควรจะเดินได้บ้าง โดยเฉพาะตอนลงเรือ

“ขาใหญ่เหมือนกันนะคุณเนี่ย”

เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว... คำขอบคุณที่กำลังจะออกจากปากนฤมลถูกกลืนลงไปแทบไม่ทัน เมื่อได้ยินแล้วคำพูดของชายหนุ่มขณะนวดขาให้เธอหายจากอาการ หญิงสาวแทบจะหาอะไรกระแทกปากคนที่กำลังช่วย ไอ้เรื่องที่เขามีน้ำใจช่วยเธอไม่ให้ตายไปเสียก่อนนั่นก็น่าขอบคุณอยู่หรอก แต่การที่มาวิจารณ์ร่างกายคนอื่นนี่มันเหลือทนที่สุด

“ถ้าอยากจะช่วยก็ช่วยแบบเงียบๆ ไม่ได้หรือไง แล้วเรื่องขาของฉันมันจะใหญ่หรือเล็ก นั่นมันก็เรื่องของฉันมายุ่งอะไรด้วย ถ้าไม่เต็มช่วยก็ไปไกลๆ เลย ฉันดูแลตัวเองได้” กรกฎยังไงตีหน้านิ่งนวดต่อไปอย่างที่ไม่ได้คิดจะเถียงอะไรกลับ แต่พอนวดไปสักพักเขาถึงเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง

“ดูแลตัวเองได้... ถ้าดูแลตัวเองได้แล้วจะเป็นแบบนี้ไหม เพราะก่อนลงน้ำคุณไม่ยืดเส้นให้ดีเสียก่อน นึกจะลงก็ลง แถมยังว่ายไปจนเกือบจะสุดเขตที่พวกเจ้าหน้าที่เขากำหนดไว้ แล้วไหนจะสัญญาณขอความช่วยเหลืออีก คุณเป่านกหวีดช้า รู้หรือเปล่าว่าถ้าคุณช้ากว่านี้อีกนิดผลมันจะเป็นยังไง จะเกิดอะไรขึ้นบ้างแล้วคุณยังจะมีชีวิตมาพูดกับผมปาวๆ อยู่นี่หรือเปล่า”

นฤมลนิ่งปล่อยให้คนตรงหน้าพูดอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอหรือกลัวว่าจะมีผลกระทบกับรีสอร์ตกันแน่เลยทำให้เขาฟิวขาดปล่อยออกมาเป็นชุดขนาดนี้ หญิงสาวก้มหน้าลงยอมรับความผิดตั้งแต่เรื่องแรกที่เขาพูด ปกติเธอเป็นคนที่เป็นตะคริวที่ขาบ่อยอยู่แล้ว และวันนี้หากเธอยืดเส้นให้ดีก่อนเธอคงไม่เป็นตะคริว แต่เธอรีบไปหน่อยนึกอยากจะลงไปในทะเลให้เร็วที่สุด ผลก็เลยตามมาอย่างที่เห็นแต่โชคยังดีที่เสื้อชูชีพที่ทางเจ้าหน้าที่ให้ใส่มีนกหวีดผูกไว้ด้วย เพื่อป้องกันเรื่องฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นเช่นวันนี้

“คุณ... เป็นห่วงฉันหรือ” เธอถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ กลัวว่าคนตรงหน้าจะแยกเขี้ยวออกมาอีกชุดใหญ่เพราะตอนนี้เธอเถียงยังไงก็เถียงไม่ขึ้น แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากเขา กรกฎยังคงนวดขาเธออีกสองสามที ก่อนจะผละออกไปโดยพูดเบาๆ เพียงแค่ว่า ‘เสร็จแล้ว’

“ขอบคุณนะ” หญิงสาวตะโกนตามหลังไป ไม่รู้เช่นกันว่าชายหนุ่มจะได้ยินและรับคำขอบคุณของเธอหรือเปล่า ขอบคุณในทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในตอนนี้ดวงตาของเธอมองเขาในแง่มุมที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้นเพราะเขายังเป็นจำเลยในเรื่องทำกล้องของเธอพังโดยตั้งใจอยู่ เธอยังไม่หายเจ็บใจแต่อย่างน้อยวันนี้เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นคนมีน้ำใจคนนึง


นฤมลกระโดดลงเรืออย่างไม่ปกตินักด้วยว่ายังคงเจ็บขาที่เป็นตะคริวอยู่บ้าง แม้จะทุเลาลงเพราะกรกฎนวดให้แล้วก็ตามแต่เธอก็ยังคงเดินกระย่องกระแย่งหอบหิ้วทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นฝั่ง โดยเฉพาะกล้องที่คล้องคออยู่ตัวนี้ที่ต้องถนอมมากเป็นพิเศษ เพราะเจ้าของดันไปด้วยจะทิ้งจะขว้างก็ดูจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่ทันทีที่วางของลงกับพื้นเพื่อตั้งหลัก ของทั้งหมดกลับโดนยกไปอีกครั้งโดยฝีมือของคนที่วิจารณ์ขาเธอตอนอยู่บนเรือ แล้วทำท่าพยักหน้าราวกับจะให้เธอเดินตามไป แต่มีหรือที่นฤมลจะเชื่อ หญิงสาวยังคงหยุดอยู่กับที่แล้วใช้วิธีตะโกนให้เขาหยุดแทน

“เฮ้ยของฉัน หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณคุณจะเอาของฉันไปไหน วางมันลงฉันจะกลับห้อง” ชายหนุ่มหยุดเดินและหันมามองเธอด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะพูดให้เธอรับรู้ถึงเหตุผล

“พ่อกับแม่ผมอยากเจอ คุณไปหาท่านกับผมก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยกลับบ้านพัก”

จะทำอะไรได้ล่ะในเมื่อคนสั่งถือกระเป๋าเธอเดินลิ่วไปโน่นไม่เปิดโอกาสให้เธอได้เถียงสักคำ หญิงสาวจึงต้องเดินตามอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“หนูมล” คุณอรทัยที่รออยู่หน้าบ้านรีบเดินเข้ามาหาหญิงสาว จับมือสองข้างขึ้นมาแล้วพยายามสำรวจรอยบาดแผลที่เธอว่ามีบ้างหรือไม่แต่พอไม่เจออะไรถึงถอนหายใจโล่งอก “เห็นซีบอกว่าหนูเป็นตะคริวในทะเล เป็นอะไรมากหรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะคุณป้าพอดีคุณซีช่วยไว้น่ะค่ะ”

“ดีแล้วล่ะจ้ะที่ไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นป้าคงจะเสียใจน่าดู ถ้าอาจารย์ของนักศึกษาหลายร้อยจะมาเป็นอะไรในบริเวณเกาะของรีสอร์ตป้า ยิ่งหนูเป็นอาจารย์ของยัยทรายป้ายิ่งห่วง หิวไหมลูกจะได้กินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับไปพัก” คุณอรทัยถามอย่างใจดีด้วยความที่เธอเป็นคนคุยสนุกและมีสัมมาคารวะกับผู้หลักผู้ใหญ่อย่างคนที่ถูกอบรมมาอย่างดี ยิ่งทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูเธอได้ไม่ยาก แต่ก็นั่นแหละในเมื่อมีคนเอ็นดูก็ย่อมต้องมีคนเกลียดเป็นธรรมดา กรกฎมองแม่ตัวเองลูบหน้าลูบหลังคนป่วยอย่างนึกหมั่นไส้ ทั้งๆ ที่ทีกับเขาแม่ไม่เคยห่วงขนาดนี้เลยสักครั้ง

“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะคุณป้า หนูอยากอาบน้ำมากกว่าค่ะ เล่นน้ำมาทั้งวันเหนียวตัวไปหมดแล้ว เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะคะหนูจะมาทานด้วย”

คุณอรทัยทำหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตกลงแล้วไล่ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินไปส่งหญิงสาวเหมือนเมื่อวาน ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอยังเจ็บขาอยู่ กรกฎเลยต้องทำหน้าทีเป็นคนแบกกระเป๋าไปส่งจนถึงบ้าน แม้ว่าคนได้รับคำสั่งจากเบื้องบนจะบ่นอุบอิบเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินไปส่งเธอเดินแบบนำหน้าเสียด้วย นฤมลจึงได้ทีกดชัตเตอร์ไปหนึ่งทีผู้ชายคนนี้พอมองจากข้างหลังแล้วเธอก็รู้สึกว่าชายหนุ่มก็ดูดีในระดับหนึ่ง ถ้าไม่นับปากที่เสียๆ แบบนั้นก็น่าจะพอคุยกันได้บ้าง

“ขอบคุณนะ ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องทำตามที่คุณป้าบอกก็ได้ ฉันเดินมาเองได้สบายมาก” หญิงสาวส่งยิ้มไปเป็นเชิงบอกว่าเธอหายแล้วและสบายมากจริงๆ ถ้าจะให้แบกกระเป๋ากลับบ้านพักตามระยะทางจากบ้านเขามายังบ้านพักของเธอ

“ไม่เป็นไร ผมกลัวคุณจะเป็นอะไรขึ้นมาอีก ถึงขาคุณจะดูมั่นคงดีก็เถอะแต่ถ้าล้มไปอีก...” ทีนี้นฤมลไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบหญิงสาวถือโอกาสเสียมารยาทเดินเข้าบ้านปึงๆ ไม่สนใจเสียกลั้วหัวเราะที่ตะโกนไล่หลังเข้ามาทางหน้าต่างบานที่เธอยืนอยู่ นึกอยากบีบคอชายหนุ่มให้รู้แล้วรู้รอด ความรู้สึกของเธอกำลังดีขึ้นแล้วเชียว ตาบ้านี่ยังจะมาทำเสียเรื่องอีก

“รีบกลับไปเลยไป” หญิงสาวตะโกนออกมาจากในตัวบ้าน เมื่อเสียงหัวเราะจากข้างนอกยังคงดังเข้ามาในตัวบ้าน

หลังจากได้อาบน้ำชำระร่างกายและสร้างความสดชื่นให้กับตัวเองเรียบร้อยแล้วและแม้ว่าจะเป็นช่วงหัวค่ำ แต่ให้เธออุดอู้อยู่แต่ในห้องมันก็ไม่ใช่นิสัยของเธอ นฤมลจึงคิดจะเดินไปแถวๆ หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ของเกาะที่เธอได้พบกับดอกแก้วและชมจันทร์ที่เป็นลูกสาวด้วยว่าเมื่อวานได้สัญญากันไว้ว่าเธอจะไปหา อีกทั้งอาการเจ็บที่ขาก็แทบไม่มีแล้วด้วย เธอจึงพอจะเดินไปไหนมาไหนสะดวกอีกครั้ง นฤมลรีบเดินไปยังหน้าหาดโดยที่ไม่ลืมพกกล้องไปด้วย แม้รอบตัวจะมืดไปสักหน่อยแต่ก็ยังพอเห็นธรรมชาติที่สวยงามอยู่บ้าง หญิงสาวเดินเลียบชายหาดออกมาไกลจากที่พักพอสมควรรอบกายที่ค่อนข้างมืด มีเพียงไฟดวงเล็กๆ ติดบ้างดับบ้างคอยนำทาง ทำให้เธอต้องใช้สมาธิเพ่งเป็นพิเศษจนถึงบ้านหลังเล็กๆ ของดอกแก้ว

นฤมลเรียกชื่อดอกแก้วอยู่สองสามหนก่อนจะเห็นหน้าของดอกแก้วโผล่ออกมาดูพร้อมกับเด็กหญิงชมจันทร์ วันนี้เธอยังได้พบกับนายชิดสามีของดอกแก้วอีกด้วย เจ้าของบ้านต้อนรับขับสู้เธอเป็นอย่างดี ด้วยการหาข้าวหาน้ำมาให้กินหลังจากเธอบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเย็น แม้จะเป็นเพียงแค่กับข้าวพื้นบ้าน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เธอรู้สึกดีกับน้ำใจและความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยได้รับจากคนในเมืองเท่าไรนัก ที่นี่การให้ของพวกเขาไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ นอกจากเห็นว่าเป็นเพื่อนมนุษย์เป็นคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน

“ขอบใจมากนะจ๊ะพี่ดอกแก้ว กับข้าวฝีมือพี่อร่อยมากเลยจ้ะ” คนเป็นแขกพูดหลังจากเสนอตัวเป็นคนล้างจานให้เมื่อกินข้าวอิ่มเรียบร้อยแล้ว แต่ดอกแก้วก็ยังคงยืนยันว่าจะเป็นคนล้างดึงกันไปดึงกันมาจนได้ข้อสรุปว่าล้างมันเสียด้วยกันไปเลยแล้วกัน

“พี่ก็ทำได้แค่กับข้าวพื้นๆ แหละจ้ะ ของดีๆ สวยๆ งามๆ ทำไม่เป็นหรอกมีเลี้ยงให้ยัยหนูมันโตก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

หญิงสาวมองหน้าคนพูดอย่างเข้าใจวางจานใบสุดท้ายที่ล้างเสร็จแล้วลงบนตะแกรง เธอเอื้อมมือไปตบหลังมือคนเป็นแม่คนเบาๆ แล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะลุกเดินออกไปเล่นกับชมจันทร์ที่นั่งอยู่หน้าบ้านกับพ่อ เด็กหญิงเป็นคนยิ้มง่ายไม่งอแงแถมยังหัวเราะเสียงดังเอิ๊กๆ ลั่นบ้าน เวลาเธอทำหน้าตาประหลาดๆ นอกจากนั้นเธอยังได้พูดคุยกันนายชิดเล็กน้อย เรื่องอนาคตของเด็กหญิงที่จะต้องเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียน แล้วเธอก็ได้พบว่าคนเป็นพ่อไม่ได้เพิกเฉยอย่างที่คนเป็นภรรยาคิด นายชิดวางแผนอนาคตให้ลูกสาวเรียบร้อย แต่ตอนนี้ลูกยังเด็ก เขาเลยอยากให้เรียนโรงเรียนบนเกาะนี้ไปก่อน พอขึ้นประถมหรือมัธยมค่อยส่งไปเรียนบนฝั่ง ทั้งนี้เนื่องจากรายได้ที่หาได้ในแต่ละวันไม่คงที่ ดังนั้นการจะทำอะไรสักอย่างจึงต้องวางแผนระยะยาว

“พี่สาว” เสียงเล็กเรียกเธอไว้ทำให้ต้องหันกลับไปมองที่มาของเสียง “ไว้มาอีกนะคะ”

หน้าตาที่คอยจะอ้อนทุกคนที่พบเจอนั้น ทำให้นฤมลมันเขี้ยวเดินกลับไปหอมแก้มซ้ายขวาแล้วให้สัญญาว่าเธอจะต้องมาหาเด็กหญิงแน่นอนก่อนที่เธอจะกลับบ้าน

ถึงแม้ว่าระยะทางจากหมู่บ้านจนถึงบ้านพักไม่ได้ไกลกันมากนัก แต่ในเวลากลางคืนแบบนี้ทำให้นฤมลต้องเดินอย่างระมัดระวังและคอยดูรอบข้างว่ามีคนเดินตามหรือไม่ นิสัยขี้ระแวงเกินเหตุมันกลายเป็นนิสัยติดตัวเธอมาตั้งแต่หญิงสาวเคยโดนดักลอบทำร้ายแถวมหาวิทยาลัยในตอนกลางคืนที่เธอทำโพรเจคเรียนจบ ไอ้โจรร้ายมันวิ่งมาดึงกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊คที่เธอถืออยู่ พอเธอกำลังจะตะโกนให้คนช่วยมันก็ชกเข้าที่ท้องเธออย่างแรง หลังจากนั้นพอเธอจะร้องก็ร้องไม่ออกเพราะเจ็บจนจุกไปเสียแล้ว ร่างของมันหายไปกับความมืดปล่อยให้เธอนั่งฟุบอยู่ตรงนั้นกว่าจะมีแรงกดโทรศัพท์เรียกเพื่อนมารับ

เสียงเหยียบใบไม้ดังกรอบแกรบทำเอานฤมลต้องหยุดคิดเหตุการณ์เก่าๆ แล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบันแทน หญิงสาวเดินช้าลงเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นหยุดแล้วหันขวับไปทางที่เกิดต้นเสียงอย่างรวดเร็วแต่กลับไม่พบอะไรนอกจากความเงียบและมืด มีเพียงสายลมพัดแรง ทำให้เกิดเสียงหวีดหวิวและน้ำทะเลที่ยังคงถูกพัดมาซัดหาดทราย เมื่อคิดว่าไม่น่ามีอะไรนฤมลก็หมุนตัวกลับแล้วเดินต่อ แต่คราวนี้มันเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าจากที่เดินๆ อยู่เกือบกลายเป็นวิ่ง เธอพยายามเดินให้เร็วที่สุดเพราะคิดว่าถ้าหากเจอแสงสว่างหรือเข้าไปในเขตรีสอร์ตก็น่าจะปลอดภัยและทำให้จิตเธอตกน้อยลง หญิงสาวตั้งใจวิ่งให้เร็วขึ้นก็จริงแต่กลับมองเพียงแค่เท้าตัวเองด้วยคิดว่าข้างหน้าเธอไม่น่ามีอะไรขวางเลยทำให้ชนกับของแข็งเข้าอย่างจัง

พอรู้สึกว่าตัวเองชนเข้ากับอะไรสักอย่าง ตัวนฤมลเองก็ดันนั่งลงกับทรายเสียแล้ว ส่วนสิ่งที่เธอชนก็ลงไปนั่งกองอีกฝั่งตรงข้ามเช่นกัน ทำให้เธอได้รู้ว่าสิ่งที่เธอชนไม่ใช่สิ่งของแต่กลับเป็นคนๆ หนึ่งที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ เธอร้องโอดโอยเล็กน้อยก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อต่อว่าคนที่เธอวิ่งชนอย่างจัง

“นี่คุณ เดินประสาอะไร ดูสิฉันเปื้อนทรายหมดเลย ไหนจะต้องอาบน้ำใหม่อีก เวลาจะเดินในที่มืดๆ ทำไมไม่รู้จักดูให้ดีก่อนว่ามีใครเดินสวนมาหรือเปล่า”

“นั่นน่ะสิ” ประโยคสั้นๆ ที่ตอบกลับมานั้นทำให้หญิงสาวชะงักไป เสียงที่วันสองวันนี้คุ้นเคยเป็นอย่างดีลอยเข้าหูมาปลุกความคิดของเธอ... คงไม่ใช่อีตาลูกเจ้าของรีสอร์ตหรอกนะ

“ผมเดินของผมอยู่ดีๆ คุณนั่นแหละวิ่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือ หนีฆาตกรฆ่าหั่นศพมาหรือไงคุณ”

น้ำเสียงทุ้มชัดมากขึ้นทุกทีแต่ตัวเองยังคงไม่อยากยอมรับว่าคนตรงหน้าเป็นเจ้าของกล้องที่เธอห้อยคออยู่ ความรู้สึกไม่อยากเสียหน้าพุ่งทะยานขึ้นมา ทำให้หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นแล้วยกมือขึ้นกอดอกอัตโนมัติเป็นท่าประจำที่เธอใช้เวลาเถียงกับพี่ชาย

“เปล่า ใครจะมาทำอะไรฉัน ฆ่าฉันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา” กรกฎมองหน้าคนพูดแล้วอยากจะถามเหลือเกินว่าปวดคอหรือเปล่ากับไอ้ท่าทางเชิดหน้าขึ้นมองแถมยังต้องเกร็งคอไว้อย่างนั้น

“แล้ววิ่งทำไมหรือกลัวความมืด” ชายหนุ่มหรี่ตามองคนยืนตรงหน้า ผู้หญิงตรงหน้าเขาไม่น่าจะกลัวความมืดอย่างที่กล่าวหาแต่ที่ถามเพราะอยากรู้อยู่เหมือนกันว่าเธอจะพูดอะไรต่อ

“ก็...” ความจริงการที่จะบอกออกไปว่าเจอเหมือนคนเดินตามมามันก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่เธอไม่อยากฟังเสียงหัวเราะจากคนถามแล้วเหมารวมว่าเธอบ้าหรือคิดไปเอง การที่หญิงสาวอ้ำอึ้งไม่ยอมบอกถึงเหตุผลทำให้กรกฎเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อกดดันเธอให้ตอบให้สิ่งที่เขาต้องการ “กะ ก็ฉันจะวิ่งหนีอะไรมา มันก็เรื่องของฉัน ถอยไปฉันจะกลับห้องแล้ว“

คนหลบเลี่ยงคำตอบเดินกระทืบเท้าลงทรายพร้อมกลับผลักคนตัวสูงกว่าให้พ้นทางออกไปแต่เมื่อเดินไปเล็กน้อยกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดที่ลอยตามลมมา

“เดินเบาๆ ก็ได้มั้ง ขาหายแล้วหรือไง ถึงเดินแรงขนาดนั้น” หญิงสาวหยุดเดินพร้อมกับหันกลับไปหาคนพูดแล้วเลิกคิ้วถาม

“ถามทำไม เป็นห่วงฉันหรือไง”

“เปล่า ผมกลัวพื้นแถวนี้จะทรุดต่างหาก”

หนอย... นฤมลถลึงตาใส่คนพูดทั้งที่อยู่ภายในความมืดถ้าไม่ติดว่าตัวเต็มไปด้วยทรายหญิงสาวคงจะเดินกลับไปผลักคนปากเสียลงน้ำ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกอยากอาบน้ำให้ทรายมันหลุดออกไปจากกตัวและเสื้อผ้าเสียที จึงทำได้เพียงมองแล้วหันกลับไปเดินเช่นเดิม การแสดงออกของหญิงสาวทำเอากรกฎที่ยืนมองอยู่อดหัวเราะไม่ได้ผู้หญิงคนนี้มีหลายอารมณ์เสียจริง บางครั้งเขาก็ตามความคิดเธอไม่ทันเอาเสียเลยยิ่งใบหน้าที่แสดงออกทางอารมณ์ไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีใจหรือโกรธมันทำให้เขาก็รู้สึกเพลินดีเหมือนกันเวลามองหน้าเธอ


หลังจากทำให้ตัวเองสะอาดร่างกายเสร็จเรียบร้อยนฤมลพาตัวเองมานั่งบนเตียงในมือถือกล้องติดมาด้วยตั้งใจจะเปิดเช็ครูปที่ตนถ่ายดูเล็กน้อยก่อนนอนแต่พอจะกดเปิดกล้องเสียงมือถือก็ดังเตือนว่ามีคนโทรเข้ามาเสียก่อน หญิงสาวจึงจำต้องวางกล้องไว้ที่หัวเตียงข้างโคมไฟก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตนวางทิ้งไว้ปลายเตียงเพื่อดูชื่อคนที่โทรมาในเวลานี้

“ว่าไงเม” นฤมลกรอกเสียงลงไปทันทีที่กดรับ แล้วฉีกยิ้มกว้างนัยน์ตาพราวระยับทันทีที่ได้ยินปลายสายตอบกลับมาในเชิงที่ว่าพรุ่งนี้เพื่อนที่เหลือกำลังจะมาพร้อมกันที่เกาะ คุยอะไรกันพอหอมปากหอมคอให้หายคิดถึงแล้วนฤมลจึงขอตัววางสายจากเพื่อน เพราะพรุ่งนี้เธอตั้งใจว่าจะตื่นเช้ามาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นจากน้ำทะเล วันนี้จึงต้องรีบนอน ไม่อย่างนั้นหากพรุ่งนี้เธอตื่นผิดเวลาอาจจะพลาดภาพที่ต้องการได้ง่ายๆ


เสียงเคาะประตูดังปลุกเธอจากนิทราก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อยอย่างคนขี้เซา ขยับมือป่ายซ้ายขวาเพื่อดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวให้กลายเป็นดักแด้ เพื่อที่จะได้จมอยู่ในนิทราอีกครั้ง เธอบ่นงึมงำเล็กน้อยถึงคนที่มารบกวนเวลานอนของเธอ อีกทั้งยังมีแสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาแยงตาราวกับนาฬิกาปลุกที่โดนปิดเสียงไว้ จิตสำนึกที่มีอยู่น้อยนิดเริ่มนึกขึ้นได้ลางๆ ว่าวันนี้เธอตั้งใจจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นจากน้ำทะเล เพียงเท่านั้นดักแด้ผ้าห่มก็เด้งขึ้นมานั่งนิ่งราวกับมีสปริงติดอยู่ที่หลัง ก่อนจะหันมองนาฬิกาของบ้านพักเป็นเวลาเจ็ดนาฬิกา หญิงสาวยกมือขึ้นขยี้ศีรษะจนหัวที่ยุ่งอยู่แล้วกลับยุ่งขึ้นไปอีก ด้วยความเป็นคนขี้เซานอนเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ทำให้เธอพลาดสิ่งสำคัญ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ได้แต่ปลอบตัวเองว่าพรุ่งนี้ยังมี วันพรุ่งนี้เธอต้องถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้

นาฬิกาปลุกแบบไม่ได้ขอร้องยังคงดังอยู่พร้อมกับเสียงเรียกชื่อเธอ ทำให้หญิงสาวเลิกสนใจการพลาดโอกาสดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วกลับมาสนใจเสียงเรียกแทน หญิงสาวจำได้ว่าเสียงที่เรียกเธออยู่หลังประตูเป็นเสียงของลูกชายเจ้าของรีสอร์ตแถมพ่วงด้วยพี่ชายของลูกศิษย์อีกด้วย

“ตื่นแล้วๆ แป๊บนึง” เจ้าของห้องตัดสินใจตะโกนออกไปก่อนเพื่อคนข้างนอกจะได้หยุดเคาะ เธอกลัวว่าถ้าหากเขายืนเคาะอยู่อย่างนั้นประตูอาจพัง หรือไม่อาจจะใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาเพราะคิดว่าเธอได้รับอันตรายอะไร “มาทำไมแต่เช้าวะ” เธอบ่นเบาก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเตียงเพื่อไปเปิดประตูให้คนข้างนอก

ประตูเปิดพร้อมกับร่างสูงที่ยืนอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ อย่างที่ใส่อยู่บ้าน หญิงสาวยืนมองหน้าคนมาเคาะประตูปลุกเธอแต่เช้าอย่างเอาเรื่อง มือเท้าเอวอย่างคนไม่พอใจและแสดงออกอย่างชัดเจน

“มีอะไร” กรกฎเลิกคิ้วกับคำถามของหญิงสาวตรงหน้าที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่ผู้หญิง ด้วยชุดนอนที่เป็นเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงกีฬาขาสั้นผมที่ยุ่งไม่เป็นทรง เดาได้ไม่ยากว่าเพิ่งตื่นและลุกจากเตียงตอนเขามายืนเคาะประตูหน้าห้องแน่นอน ชายหนุ่มส่ายหน้าระอากับเสน่ห์ของหญิงสาวตรงหน้าเสียเหลือเกินเพราะไม่ว่าเขาพยายามจะหามันเท่าไหร่เขาก็หาไม่เจอ “อ้าวไม่พูด นี่คุณถ้าจะมาปลุกกันเพื่อมายืนมองหน้าอย่างนี้วันหลังอย่าทำนะ รู้หรือเปล่าว่ามันเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อน”

“ผมก็ไม่อยากจะยุ่งกับคุณนักหรอกถ้าแม่ไม่ให้ผมมาตามคุณไปทานข้าวเช้าแต่ดูจากสภาพ...” ชายหนุ่มพูดแล้วหยุดราวกับจะละไว้ในฐานที่เข้าใจและหันไปใช้การมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแทน ทำเอาคนโดนมองทำหน้าไม่ถูกไม่พักหนึ่ง

“เอ่อ ขอเวลาฉันห้านาทีคุณนั่งรอหน้าบ้านนี่แหละเดี๋ยวฉันออกมา” ว่าแล้วนฤมลก็รีบผลุบเข้าไปในตัวบ้านแล้วปิดประตูเสียงดังสนั่นจนคนที่ต้องนั่งรอนอกบ้านสะดุ้งเกรงว่าประตูบ้านพักของรีสอร์ตตัวเองจะพังคามือหญิงสาว

ไม่ถึงห้านาทีดีคนสภาพแย่เมื่อครู่ก็เปิดประตูเดินออกมาราวกับคนเตรียมตัวมาสองชั่วโมง กรกฎมองแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย รู้สึกหญิงสาวดูดีขึ้นมาหน่อย หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนชุดให้เป็นเสื้อยืดเข้ารูปกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยแถมด้วยการทาแป้งเด็กบางๆ ไม่ให้หน้าดูโทรมจนเกินไป

ยัยนี่ดูไปดูมาก็น่ารักดีเหมือนกันแฮะ

กรกฎตกใจกับตัวเองเงียบๆ ก่อนจะรีบสลัดความคิดออกไปแต่คงจะสะบัดหัวแรงไปหน่อยจนนฤมลต้องหันมอง หญิงสาวทำหน้าสงสัยว่าคนข้างๆ เป็นอะไรอยู่ๆ ก็นึกอยากจะสะบัดหัวทั้งๆ ที่กำลังเดินอยู่ ความสงสัยนั้นไม่ได้ถูกทิ้งไว้นานเธอเอ่ยถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก แต่คำตอบที่ได้มาทำให้เลือดฆาตกรที่มีอยู่ในเกิดพลุ่งพล่านอย่างบอกไม่ถูก

...ผมจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของผมน่า คุณมายุ่งอะไรด้วย...

มันน่านัก!


ข้าวต้มกุ้งควันฉุยถูกปิดไว้ในถ้วยเซรามิกอย่างดี เพื่อรอคนที่คุณอรทัยให้ลูกชายไปเรียกมาทานอาหารเช้าพร้อมกัน แต่เจ้าของบ้านกลับลืมคิดไปว่านฤมลอาจไม่ใช่คนตื่นเช้า แต่พอคิดได้ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะลูกชายเดินไปไกลเกินกว่าจะเรียกได้ ดังนั้นเธอจึงปล่อยเลยตามเลย คนเป็นแม่หันมองนาฬิกาติดผนังแวบหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าลูกชายใช้เวลานานพอสมควร

บางทีหนูมลอาจจะยังไม่ตื่น...

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นคุณอรทัยก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาจากทางหน้าบ้าน ลูกชายคนเดียวของบ้านเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแล้วจึงตามมาด้วยแขกที่เธอให้กรกฎไปเรียกมา วันนี้นฤมลแต่งตัวดูน่าเอ็นดูอย่างกับเด็กวัยรุ่นไม่เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยสักนิด ยิ่งใบหน้าที่มีเพียงแป้งฝุ่นแตะแต้มไม่ได้เยอะเท่ากับผู้หญิงสมัยนี้ที่หน้าตามีแต่อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ยิ่งพิศดูยิ่งทำให้คุณอรทัยเอ็นดูหญิงสาวมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับสิ่งที่ลูกสาวคนเล็กมักเล่าเกี่ยวกับอาจารย์ของเธอให้ฟังเสมอแล้ว คนเป็นแม่นึกอยากได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นสะใภ้ของบ้านเสียจริง

“มาแล้วหรือจ๊ะหนูมล มาลูกมากินข้าวเช้าด้วยกัน ว่าแต่ป้าให้พี่ซีเค้าไปปลุกเร็วไปหรือเปล่าจ๊ะ” คุณอรทัยถามอย่างรู้สึกผิด เธอเกรงว่าจะไปรบกวนเวลานอนของอาจารย์สาวอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอนึกเอ็นดูเด็กคนนี้ราวกับเจอกันมานาน ทั้งทีเพิ่งเจอได้เพียงสองวันเท่านั้น

หญิงสาวนั่งลงประจำตำแหน่งบนโต๊ะอาหารข้างๆ คุณอรทัยตรงหน้าเป็นชามข้าวต้มที่ถูกตักเอาไว้แล้วเธอคิดว่าคงเพิ่งตักได้ไม่นานเพราะควันที่เกิดจากความร้อนยังคงลอยกรุ่นอยู่เล็กน้อย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า ความจริงวันนี้หนูว่าจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นอยู่เหมือนกัน แต่พอดีนอนเพลินไปหน่อย” ท้ายประโยคหญิงสาวหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อนความขี้เซาของตัวเอง มือถือช้อนเขี่ยข้าวต้มในชามแก้เขิน ทำให้คุณอรทัยทอดแววตาเอ็นดูไปสู่หญิงสาวอีกครั้ง พร้อมกับหัวเราะเบาๆ

“หรือจ๊ะ หนูมลอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นทำไมไม่บอก ลูกป้านี่ตื่นเช้าลุกมาวิ่งแถวริมหาดทุกวันใช่ไหมซี”

คำถามของแม่ทำเอาเขาเสียวสันหลังวาบราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาอีกเป็นแน่ คนถูกถามเลยทำเพียงแค่ตอบรับแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ที่ที่บ้านรับเป็นประจำต่อ ไม่สนใจหัวข้อสนทนานั้นอีก

“ถ้าหนูอยากดู เดี๋ยววันนี้พรุ่งป้าจะให้พี่เขาไปปลุกดีไหมจ๊ะ” กรกฎเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ขวับ เมื่อได้ยินประโยคที่อนุมัติเองโดยไม่ถามความเห็นเขาสักคำ

“เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะคุณป้า มลเกรงใจคุณซีเขา”

“ตายแล้ว!” คุณอรทัยยกมือขึ้นทาบอกร้องอุทานเสียงดัง ทำเอาคุณเวศน์ผู้เป็นสามีแทบสำลักกาแฟที่กำลังยกขึ้นจิบ “คุณซงคุณซีอะไรล่ะจ๊ะ เรียกพี่ซีก็ได้ลูก คุณซีมันดูห่างเหินจะตายไป ไหนๆ เราก็รู้จักกันแล้วอย่าเรียกห่างเหินแบบนั้นเลยจ้ะ” ‘พี่ซี’ ทำหน้าเมื่อยทันที เมื่อมารดาพูดจบ ดีที่ยังยั้งไม่ให้ถอนหายใจไว้ทัน คุณอรทัยเป็นเช่นนี้เสมอ ท่านสามารถเป็นมิตรกับทุกคนได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ดูอย่างอาจารย์ของธนิตาคนนี้สิ เจอกันแค่สองวันแต่คุณนายท่านกลับทำท่าราวกับรู้จักกันมาเกือบปี

นฤมลอ้ำอึ้งอยู่พักนึง ก่อนจะตอบรับอย่างไม่เต็มปากนักเธอเหลือบมอง ‘พี่ซี’ เล็กน้อยรู้สึกได้ถึงรังสีแปลกๆ ที่ถูกพ่นออกมาจากตัวของเจ้าของชื่อ โอเคหญิงสาวเข้าใจดีว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าเธอซักเท่าไหร่และไม่อยากสนิทสนมอะไรมากนัก แต่มันจะอะไรนักหนากับแค่การเปลี่ยนจากเรียก ‘คุณซี’ มาเป็น ‘พี่ซี’ ถึงแม้บางครั้งเธอจะเรียกแค่คุณก็ตามที แต่มันก็ถือว่าให้เกียรติแล้วนะ หรือเธอควรจะเติมคำว่า ‘ไอ้’ เข้าไปข้างหน้าคำว่าพี่ซีอีกทีดีนะ คำจะได้ดูสวยขึ้นอีกนิด

คนที่อยู่ๆ ก็มีพี่ชายขึ้นมาอีกคน เริ่มทะเลาะข้างในตัวเองและดูเหมือนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง หากคุณอรทัยไม่หันไปพูดกับกรกฎผู้เป็นลูกชายเรื่องตื่นเช้าและพระอาทิตย์อีกครั้ง

“ซียังไงพรุ่งนี้ลูกไปปลุกน้องที่บ้านด้วยนะ หนูมลจะได้ไม่พลาดพระอาทิตย์ขึ้นอีก”

คำสั่งของคนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านเป็นดั่งประกาศิต ทำให้กรกฎหน้าเหวออย่างที่สุดเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มหันไปขอความช่วยเหลือจากบิดาที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงียบๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เมื่อคุณเวศน์ทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์แล้วยกกาแฟร้อนขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ในมือต่อไปอย่างไม่รับรู้ในสัญญาณขอความช่วยเหลือจากลูกชาย

“เดี๋ยวนะแม่ ‘น้อง’ ที่แม่หมายถึงคือน้องไหน” คำถามของชายหนุ่มทำเอาคนเป็นแม่ฮึดฮัดขึ้นมาอย่างขัดใจ แต่ก็แสดงออกมากไม่ได้ เดี๋ยวนฤมลจะกลัวเธอเสียเปล่าๆ

“ ‘หนูมล’ ไงลูก น้องเขาอายุน้อยกว่าลูกก็ต้องเป็นน้อง สงสัยอะไรอีกล่ะเรา เรื่องธรรมดาจะตาย”

ธรรมดาแน่ถ้าหากไม่ใช่ผู้หญิงที่แม่เขาเพิ่งรู้จักได้สองวันอย่างยัยอาจารย์คนนี้ กรกฎแอบกรอกตาขึ้นมองเพดานจับพิรุธคนเป็นแม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ขนาดนี้ แม่เขาต้องวางแผนอะไรเอาไว้แน่นอน

“เอ๊า มัวแต่มาสงสัยอะไรอยู่ก็ไม่รู้ กินข้าวลูก ข้าวต้มตักไว้เย็นหมดแล้ว” มือที่ถือช้อนอยู่ตักข้าวต้มกุ้งขึ้นมาเป่ามาให้เย็นเล็กน้อยแล้วส่งเข้าปากโดยสายตายังจับจ้องอยู่ที่แม่ตัวเองเป็นระยะ

ต้องรู้ให้ได้ว่าแม่เขากำลังจะทำอะไร กรกฏหมายมาดในใจตัวเองเงียบๆ

มื้อเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่ายนฤมลกินข้าวต้มกุ้งอย่างเอร็ดอร่อยแล้วตามด้วยน้ำส้มคั้นที่เป็นรสชาติเดียวกับทางรีสอร์ต เนื้อส้มที่ผสมอยู่ในน้ำ แล้วไหนจะรสชาติไม่เหมือนที่อื่น ยืนยันได้ดีว่าน้ำส้มคั้นแก้วนี้ทางรีสอร์ตทำเองอย่างแน่นอน นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หญิงสาวชอบมาที่นี่ในทุกๆ ปี นอกจากบรรยากาศ ทั้งทะเลแสงแดดจะดีแล้ว อาหารของที่นี่ยังอร่อยขึ้นชื่อแทบจะทุกอย่าง

หลังจากอิ่มกับมื้อเช้าแล้วนฤมลอยู่คุยกับเจ้าของบ้านอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวไปจัดการกับตัวเอง หญิงสาวสารภาพกับเจ้าของบ้านทั้งสองเสียงอ่อยว่าที่มาทานข้าวเธอเพียงแค่ล้างหน้าแปรงฟัน แต่ตัวเธอยังไม่โดนน้ำและสบู่สักนิด เธอยังบอกอีกว่ารู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มมีกลิ่นแปลกๆ แม้ว่าคุณอรทัยและคุณเวศน์จะยืนยันแล้วว่าตัวเธอไม่มีกลิ่นใดๆ แต่อย่างว่า นฤมลเป็นคนติดอาบน้ำตอนเช้า หากเป็นเวลาปกติแล้ว ถ้าเธอยังไม่อาบน้ำและสระผมในตอนเช้า ถึงบังคับให้ตายอย่างไรเธอก็ไม่ยอมออกจากบ้าน แต่นี่เห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองท่านให้ความเมตตา เธอเลยยอมแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาเลย

หญิงสาวไหว้ลาเจ้าของบ้านแล้วถึงเดินออกมา สายตามองหาคนที่ไปปลุกเธอเมื่อเช้าแต่ไม่เจอ เธอเลยเข้าใจว่ากรกฎคงไปดูแลรีสอร์ตตามปกติของคนเป็นเจ้าของ ความสนใจทั้งหมดถูกโยนทิ้งไป คราวนี้นฤมลหันมาใจจดใจจ่อที่โทรศัพท์มือถือของตัวเองแทนว่ากลุ่มเพื่อนสนิทที่บอกจะมานั้นจะโทรมาเมื่อไหร่ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงวางทิ้งไว้ที่เดิมแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำแทน เผื่อว่าพอเธออาบน้ำเสร็จไอ้พวกตัวแสบมันจะมาถึงที่นี่พอดี



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ค. 2555, 15:11:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ค. 2555, 15:11:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1530





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account