น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: 016

16


เมื่อสมองปลอดโปร่ง การทำงานก็ไหลลื่น อินทุอรได้ข้อความที่ไพเราะและเหมาะเจาะอีกหลายประโยค สำหรับใช้เป็นถ้อยคำกล่าวในงานเปิดตัวเครื่องสำอางนำเข้ายี่ห้อใหม่

เธอออกจะพอใจกับผลงานของตัวเองไม่ใช่น้อย หลังจากอ่านข้อความทวนซ้ำอีกหลายรอบ เมื่อยังไม่เห็นที่ติ ก็ถึงกับยิ้มออกมาได้

“พี่อินทุ์อารมณ์ดี ดีจังค่ะ”

น้องจอย สาวน้อยผู้ช่วย ชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมากระซิบ

“เหรอ”

คนถูกทักรับคำสั้นๆ ส่งยิ้มเลยมาให้คนทัก ปลอดโปร่งเกินว่าจะอยากถกเถียง

“หนูนึกแล้วว่านายศรันย์นั่นมันต้องทำได้”

คำบอกเล่าทำให้เอะใจ

“ทำอะไรได้...”

“ก็... ทำให้พี่อินทุ์อารมณ์ดีได้ไงคะ รู้ไหม ทั้งอาทิตย์นี้พี่แทบไม่พูดกับใครเลย เล่นเอาเครียดกันไปทั้งแผนก ขนาดหัวหน้ายังมาถามกับหนู ว่าพี่อินทุ์เป็นอะไร มีใครมาทาบทามให้ไปอยู่บริษัทอื่นหรือเปล่า มือดีๆ อย่างพี่อินทุ์ หัวหน้าเขาว่าหาไม่ได้ง่ายๆ”

จากเสียงกระซิบ ก็ดังขึ้นเป็นการพูดคุยกันอย่างปกติ จนอินทุอรต้องหันไปมองรอบตัว แล้วก็กลับมาจ้องหน้าจอยเขม็งอยู่

“อย่าบอกนะว่าเรื่องนายศรันย์นี่เป็นแผนการ...”

“บ้าสิพี่อินทุ์ ไอ้นายนั่นมันเคยชายตาแลใครที่ไหน ตั้งแต่มาทดลองงานนั่นแล้วละ มองอยู่แต่พี่อินทุ์คนเดียว ถ้าพี่ไม่รู้ หนูจะบอกให้รู้ก็ได้ว่า เขาน่ะตามสนอกสนใจเรื่องของพี่มานานแล้ว”

“หมายความว่าเขาจะเอาจริง”

อินทุอรถามยิ้มๆ

“เขายังไม่ได้บอกหรือยังไงล่ะคะ”

ผู้ช่วยสาวน้อยย้อนถาม แต่คนถูกถามไม่ตอบ ซ้ำยังถามกลับไปด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆ ทั้งที่น่าจะเป็นคำถามสำคัญว่า

“เขาไม่รู้หรือ พี่มีคู่หมั้นแล้ว”

“ก็รู้แล้วไงคะ”

คู่สนทนาคงเห็นอาการเฉยๆ ของเธอ จึงตอบด้วยท่าทีที่ธรรมดาๆ เช่นกัน

นั่นสินะ... รู้แล้วยังไง เพราะตลอดมา หลังจากตอนที่หมั้นกันใหม่ๆ นั่น เธอกับปริยัติก็แทบจะเรียกได้ว่า เป็นแค่คนรู้จัก ที่พอจะไปไหนมาไหนด้วยกันได้ โดยมีการหมั้นหมายนั่นเอง เป็นเครื่องป้องกันข้อครหา รองรับอยู่ว่าเขาจะไม่หลอกกินเธอฟรีๆ

อินทุอรทบทวนความรู้สึกที่มีต่อปริยัติมานาน จนรู้แน่แก่ใจว่า อย่างไรก็คงไม่มีใจไปนึกรักเขาได้ง่ายๆ ถึงครั้งหนึ่งจะปลงใจว่า แต่งกันไปอยู่กินกันไปก็น่าจะรักกันไปเอง แต่พอนึกถึงมลทินที่ติดอยู่กับตัวเอง แล้วก็ต้องถอดใจ ถ้าเขาผิดหวังเรื่องความประพฤติ เรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเธอขึ้นมา ก็ไม่รู้เวลานั้นชีวิตคู่มันจะไปลงเอยอยู่ที่ตรงไหน หรือไม่... เขาก็อาจระแคะระคายไปแล้ว จึงกล้าขอมีอะไรด้วย ก่อนจะหมางเมินกันไปตั้งแต่เธอไม่ยินยอมในตอนนั้น

ส่วนตอนภาควัตกลับมาปรากฏตัว แน่นอนว่าความหวังของเธอก็โชติช่วงขึ้นอีกครั้ง อย่างน้อยความรู้สึกในคืนนั้นอาจจะได้คลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความหลง หรือความพะวงห่วงหา ทั้งหมดอาจจะได้กลับมาปรับความเข้าใจกันใหม่

ยิ่งพอได้เห็นเขาชัดๆ ด้วยสติอันไม่ถูกมอมเมาด้วยสิ่งใด เธอก็มั่นใจได้แน่แท้ ว่านั่นละคือคนที่สมควรจะคิดถึงคะนึงหา รักษาเนื้อรักษาตัวไว้รอท่า จนกว่าจะได้รับคำตอบสำคัญ

“...คืนนั้น.... ล่วงเลยกันไปถึงขั้นไหน...”

อินทุอรเพิ่งกลับมารู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตจิตใจชัดเจนขึ้น ก็เมื่อได้กลับมาเจอกับภาควัตอีกครั้งนี้เอง แม้ความสัมพันธ์ของเขากับลลิตา จะทำให้ความรู้สึกรัก... หวัง... ทั้งมวลแทบพังทลาย แต่อย่างน้อย ภาพในภายหน้าก็ชัดเจนขึ้นแล้วว่า

ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหวังเสมอไป ดังนั้นการจะทำอะไร โดยเอาใจของตัวเองไปผูกติดกับคนอื่น สิ่งอื่น ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายลำบากใจ ทั้งทุกข์ ทั้งทรมาน

ดูอย่างภาควัต เขาก็แค่เอ่ยคำขอโทษที่หนีหาย จะมารับรู้ด้วยรึก็เปล่า กับความเปล่าเปลี่ยวโศกเศร้า ที่เธอต้องผจญอยู่เดียวดาย

หรืออย่างปริยัติ ที่เขาอาจจะมองเธอเป็นแค่ของซื้อของขาย เป็นเครื่องมือที่อาจจะมีคุณค่าหรือมีราคาอยู่สักหน่อย สำหรับการลบล้างภาพลักษณ์อันเลวร้ายนั่น

ที่เธอยอมตามใจผู้ใหญ่กับการรับหมั้นตอนนั้น ก็เพราะเกรงใจบิดา ระอากับคุณโสภาพรรณ และผูกความรู้สึกกับภาควัตไว้อย่างสาหัส จนคิดสั้นๆ ไปว่า หากมีคู่หมั้นคู่หมายเสียได้ อะไรๆ ก็คงจะดีขึ้น

...แล้วทั้งหมดก็เปล่าประโยชน์

มีเพียงความทุกข์ตรม การต้องทนทรมานโดยไม่มีใครอื่นมาช่วยรู้เห็น สิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในความรู้สึกอย่างไม่รู้วาย

ถึงหนุ่มรุ่นน้อง ศรันย์หรือศน นั่นจะอาสาเข้ามาดามหัวใจ แต่เธอไม่ได้อกหักนี่นะ แค่รู้สึก “ชอกช้ำ” เพียงเท่านั้น จะช่วยอะไรได้ คำเดียวที่เขาช่วยไขให้เธอพ้นจากกรอบแห่งความอึดอัดคับข้องก็คือ

“หมั้นได้ ก็ถอนได้นี่ครับ คุณอินทุ์ต้องห่วงตัวเอง ห่วงความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความสุขเลยตลอดชีวิต”

นั่นเป็นหลังจากที่เธอค่อยๆ คุย ค่อยๆ ระบายเรื่องราวต่างๆ ให้ศรันย์ได้รับฟัง ทางหนึ่งก็เพื่อลองใจว่า หากได้รู้ว่าคนที่เขาหมายตา หวังจะมอบหัวใจ มอบความรักให้ เคยผ่านปุ่มปมขรุขระอะไรมาบ้างแล้วในชีวิต เขาอาจจะมีตัวช่วยในการตัดสินใจมากขึ้น

ตอนที่ศรันย์พูดคำนั้นออกมา เธอยังทำเป็นจับได้ไล่ทัน

“คุยกันยังไม่ทันไร จะยุให้ถอนหมั้นเสียแล้ว”

“เปล่าหรอกครับ เพียงแต่ถ้าเป็นผม ผมก็จะทำอย่างนั้น หรือว่า ถ้าเรื่องที่คุณอินทุ์เล่าให้ฟังนี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แต่งเรื่องขึ้นมาอำหรือเพื่อทำให้ผมถอดใจ ผมก็ว่าน่าจะถอนหมั้นอะไรไปให้ชัดเจน เหมือนถอยกลับมาตั้งหลักกันใหม่นะครับ”

แสงสว่างตรงปลายอุโมงค์อันมืดมิด จึงถูกจุดให้ลุกโชน วาววามขึ้น แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะไปให้ถึงแสงสว่างนั้นได้อย่างไร แต่อย่างน้อยเธอก็รู้แล้วว่า บัดนี้จะต้องมุ่งหน้า เดินตรงไปทางไหน เพื่อจุดมุ่งหมายอันใด

เมื่อเห็นว่าอินทุอรเงียบไปกับงานตรงหน้าอีกครั้ง ผู้ช่วยสาวน้อยก็ล่าถอยกลับไปอยู่กับงานของตนเองเช่นกัน อินทุอรเพลินทำงานจนเลยเวลาพักเบรคในช่วงบ่าย ที่หลายคนทยอยชวนกัน ลงไปหาน้ำชากาแฟหรือขนมเบเกอรี่อะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยกระตุ้นพลังสมอง ให้กลับคืนมาสำหรับการทำงานในช่วงต่อไป

ส่วนอินทุอรกำลังสวมวิญญาณของสาวน้อยซีอีโอ เจ้าของบริษัทนำเข้าเครื่องสำอางยี่ห้อดังจากยุโรป ผู้ซึ่งมีมารดาเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่หลายสาขาเป็นผู้ผลักดันอยู่เต็มที่ เธอกำลังลองร่างบทสุนทรพจน์ สำหรับกล่าวเปิดตัวสินค้านั่นในมุมมองของสาวน้อยวัยใส ที่ควรเอาใจใส่ในการประทินผิวพรรณของตัวเองไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ขณะกำลังทบทวนว่ามีถ้อยคำใดที่พ้นสมัยไปบ้างหรือไม่ หนุ่มรุ่นน้องนามศรันย์ ก็ถือแก้วกระดาษบรรจุเครื่องดื่มร้อนกรุ่นควันสองแก้ว เดินเข้ามาหา

“โกโก้ร้อนครับ หรือจะบราวนี่อีกสักชิ้น ผมจะลงไปเอามาให้”

เขาบรรจงวางแก้วนั่น โดยไม่ต้องพูดจาถามไถ่ว่าต้องการความปรารถนาดีของตนหรือไม่

“ยังอิ่มอยู่เลยค่ะ แล้วนี่ศนไม่ออกไปดูบูทที่สยามหรอกหรือ”

“ไปมาแล้วครับ แล้วก็รีบกลับมา”

“มีงานด่วน?”

“ก็ไม่เชิง... งานเดียวกับคุณอินทุ์ละมั้ง ผมต้องเข้ามาสเป๊คของ”

เพราะเขาเห็นตัวอย่างสินค้าที่วางอยู่บนโต๊ะนั่นเอง ทำให้รู้ว่าหญิงสาวรุ่นพี่กำลังจับงานชิ้นไหน จึงบอกได้เช่นนั้น แถมพูดถึงงานส่วนของตัวเองเสร็จสรรพ ที่ต้องมาคำนวณว่าต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรในการจัดสถานที่ เปิดตัวเจ้าเครื่องสำอางราคาแพงลิบยี่ห้อนี้

“แต่ผมอยากเข้ามาเห็นหน้าคุณอินทุ์มากกว่า”

“น้อยๆ หน่อยเถอะศน เดี๋ยวผิดหวังขึ้นมาแล้วจะหาว่าไม่เตือน”

“ผมพร้อมจะผิดหวังอยู่แล้ว...”

น้ำเสียงเขาหนักแน่น จริงจังเสียจนอินทุอรรู้สึกว่า ใจตนเต้นตึกตักขึ้นมาได้เหมือนกัน ถึงกับคงไม่รู้จะหยิบจับอะไรต่อไปได้ถูก หากไม่มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ

“คะ... ค่ะ คุณปอนด์”

เป็นปริยัติที่โทรเข้ามา คนรับสายชำเลืองมองหนุ่มรุ่นน้องนิดหนึ่ง พอเห็นเขาถอยห่างออกไปนั่งลงที่โต๊ะประชุม ก็ค่อยตั้งใจฟังเสียงจากปลายสายต่อไป

“ค่ะ... ได้ค่ะ ดีค่ะ... จะรอนะคะ”

การสนทนาไม่นานนัก คงเป็นการนัดหมายกับใครสักคน ศรันย์จึงมีสีหน้าผิดหวังนิดหน่อย ตอนลุกกลับมาใกล้ๆ

“เย็นนี้ คุณอินทุ์คงไม่ว่างแล้ว ผมว่าจะชวนไปทานข้าวเย็นสักหน่อย”

เขาบอกเรื่อยๆ หดหู่ลงจนเห็นได้ชัด

“ค่ะ นัดกับคุณคู่หมั้นเอาไว้ เย็นนี้”

ยิ่งพอรู้ว่าคนที่อินทุอรพูดด้วยเป็นใคร ท่าทางของศรันย์ก็ยิ่งดูซึมลงไปอีก

“จะคุยเรื่องการหมั้นอย่างที่ศนแนะนำไงล่ะคะ”

พอจบคำนี้ เขาก็หน้าชื่นขึ้นมาในทันใด ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเธอพูดจริงหรือพูดเล่น

“งั้นพรุ่งนี้ได้ไหมครับ ดินเน่อร์กัน ผมเลี้ยงเอง ถือว่าฉลอง...”

“ฉลองเรื่องอะไรคะ”

เธอแสร้งย้อนถาม แบบไม่รู้ไม่ชี้ในความดีใจจนออกนอกหน้าของชายหนุ่ม และเขายังไม่ทันได้ตอบคำ อินทุอรก็ชิงพูดต่อไปว่า

“พรุ่งนี้ก็มีนัดแล้ว กับที่บ้านน่ะค่ะ น่าจะทั้งวันเลย”

“อย่างนั้นก็วันอาทิตย์”

แต่ศรันย์ยังคงไม่ละความพยายาม

คราวนี้มีเสียงโทรศัพท์ของอินทุอรดังขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง

เลขหมายนั้นไม่คุ้น เจ้าของจึงกดรับ แล้วรับสายอย่างสุภาพ

“อินทุอรค่ะ”

ถ้าสายตาของศรันย์ไม่เล่นตลก เขาก็เห็นน้ำตาของสาวรุ่นพี่เอ่อขึ้นทันที แล้วเธอรีบเสหันไปทางอื่น พร้อมกับเช็ดมันทิ้งไปโดยไว จนเขาต้องพยายามฟังว่าครั้งนี้ ปลายสายเป็นใคร

“ค่ะ อินทุ์เองค่ะคุณภาควัต...”




ห้องทำงานซึ่งรับตกทอดมาจากนายอิศรานั้น ยังเป็นแบบคลาสสิค คือพื้นปูหินอ่อนสีดำ โต๊ะ ตู้และชุดรับแขกเป็นชุดไม้มะเกลือสีเข้มขัดมัน สลักเสลาไว้อย่างประณีตและน่าเกรงขามไปพร้อมกัน

โต๊ะทำงานนั่นตัวใหญ่จนสามารถวางสิ่งต่างๆ ได้อย่างพร้อมสรรพ หันหลังพิงกำแพงทึบสีเทาวาว มีภาพศิลปะพู่กันจีนเป็นรูปทิวเขาสูงเยี่ยมเทียมฟ้า ประดับไว้อย่างโดดเด่นเป็นสง่า

ผู้ที่นั่งทำงาน กำลังขะมักเขม้นกับบัญชีงบดุลที่ใกล้จะแตะเส้นแดงเต็มที รายจ่ายบางตัวใส่รหัสบัญชีแยกประเภทไว้ว่า เป็นส่วนของครอบครัวเจ้าของ ซึ่งไตรมาสที่ผ่านมานี้ มีการเบิกจ่ายออกไปอย่างน่ากลัว คือคราวละเป็นแสนๆ เดือนละหลายครั้ง

พันธกานต์ลองนึกในทางดี ว่าพ่อเลี้ยงของตนอาจเบิกไปลงทุนเพื่อเก็งกำไรกับธุรกิจบางอย่าง แต่นายอิศราก็วางมือมานาน ผลัดให้ตนขึ้นมานั่งเป็นประธานบริหาร ส่วนเขาซึ่งเข้าสู่วัยชราและสุขภาพไม่แข็งแรงนัก เลื่อนตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษา ถ้าจะลงทุนทำอะไรอื่น ก็น่าจะบอกกล่าวแก่กันให้รับรู้

ตัวเลขอีกชุดที่ทำให้พันธกานต์ยิ่งกังขา คือบัญชีปันผลจ่ายล่วงหน้า ซึ่งเบิกจ่ายให้คุณโสภาพรรณผู้เป็นมารดา ในฐานะผู้ถือหุ้นลมอยู่หลายเปอร์เซ็นต์

เขาเรียกผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงินมาพบ ไตร่ถามถึงความผิดปกติของตัวเลขดังกล่าว ก็ได้รับคำตอบว่าคุณท่านสั่งให้คุณผู้หญิงมาเบิก พร้อมแสดงหนังสือคำสั่งอนุมัติการเบิกจ่าย ที่มีลายเซ็นของนายอิศรากำกับอย่างถูกต้องครบถ้วน

ผู้จัดการฝ่ายทั้งสองคน ทำงานด้วยกันมานาน จึงรักและภักดีกับบริษัทอย่างยากจะหาใครเทียบ ทั้งคู่จำเป็นต้องเตือนให้พันธกานต์เฝ้าระวัง สอดส่องดูว่าจำนวนเงินส่วนนี้เล็ดลอดไปยังที่ใด

ขณะผู้จัดการทั้งสองแผนกเปิดประตูออกไป ผู้ที่พันธกานต์กำลังนึกถึงก็สวนทางเข้ามา พร้อมกับสีหน้าที่ดูเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย

“สวัสดีครับคุณแม่”

เขายืนขึ้นต้อนรับ ยกมือไว้มารดาตามที่ปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ

“มีเงินสดสักสามแสนไหมพันธ์ แม่มีเรื่องต้องใช้ด่วน”

คุณโสภาพรรรตรงเข้าประเด็น โดยไม่ทักทายอื่นใด

และก็ตรงกับเรื่องในใจของพันธกานต์พอดี เขาจึงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเชิญมารดาให้นั่งลงก่อน

“คุณพ่อกำลังลงทุนอะไร ที่ยังไม่ได้บอกผมบ้างหรือเปล่าครับ”

เขายังไม่อยากคิดว่ามารดาจะกล้าปลอมลายเซ็นนายอิศรา ผู้ซึ่งมีอำนาจเต็มในการเบิกจ่าย เพื่อนำเงินไปใช้ในทางที่ผิด

ซึ่งดูเหมือนคุณโสภาพรรณจะตามกระแสความคิดของบุตรชายได้ทัน จึงปรับสีหน้าท่าทางให้เรียบร้อยแนบเนียนยิ่งขึ้น เสียงที่ตอบออกมาก็คลี่คลายจากความรีบร้อนเมื่อครู่ไปแล้วมากมาย

“พักนี้แม่มีธุระต้องใช้เงินน่ะ เก็งหุ้นเก็งทองก็ไม่ค่อยได้กำไร เลยไปลองเล่นกับน้ำมัน”

มารดาสารภาพไปในทางเชิงธุรกิจ ซึ่งกำไรขาดทุนขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและโชคชะตา เสียมากกว่าความสามารถในการวิเคราะห์สถิติ

“ถ้างั้น นายหน้าของคุณแม่ก็คงห่วยบรม”

น้ำเสียงของพันธกานต์ค่อนข้างฉุนเฉียว เขาเลื่อนและชี้บางตัวเลขในบัญชีให้ดู

คุณโสภาพรรณเบือนหน้าหนี ท่าทีเหมือนไม่อยากจะสนใจ

“คุณแม่ครับ เงินไม่ใช่น้อยๆ และผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณพ่อจะสนับสนุน”

คราวนี้คนพูดเลื่อนเอกสารการอนุมัติเบิกจ่ายมาเทียบใกล้

“จะกล่าวหาว่าแม่ปลอมลายเซ็นคุณพ่องั้นหรือ”

หญิงวัยใกล้ชราเริ่มมีท่าทีอึดอัด ขยับซ้ายขวาอยู่สามสี่ครั้ง แล้วก็ต้องเลยลุกไปนั่งอยู่ที่ชุดรับแขกตรงมุมห้องด้านไกล

บุตรชายตามมานั่งใกล้ ไม่อยากจะคิดร้ายหรือใส่ร้ายมารดาเลยสักนิด แต่ก็ต้องฝืนใจพูดออกไปเพื่อดูปฏิกิริยา

“ผมคงต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณพ่อ”

“ทำไม! พันธ์ไม่ไว้ใจแม่รึไง”

คุณโสภาพรรณต้องแหวใส่ ถอนอกถอนใจราวกับกำลังรู้สึกว่า เลี้ยงลูกมาไม่ได้ดั่งใจเลยสักคนเดียว

“มันเป็นเรื่องทางบัญชีนะครับคุณแม่ เราไม่ได้รู้เห็นกันแค่คนสองคน ถ้าเอาไปเล่นหุ้นเล่นทองหรือกระทั่งน้ำมัน เอกสารก็ต้องมี ไม่อย่างนั้นเราจะมีปัญหากับผู้ตรวจบัญชี แล้วไหนจะสรรพากรอีก”

“นั่นแหละ แม่ถึงต้องถามหาเงินสด”

พันธกานต์ถอนหายใจหนักๆ กับสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคุณโสภาพรรณ

“น่ะพันธ์ ก็เอาไปลงทุนทั้งนั้น เพียงแต่พักนี้มันยังไม่ได้... เอ่อ... แม่หมายถึงว่าพักนี้ ยังไม่ค่อยได้กำไร”

“ไหนคุณแม่บอกว่าจะเพลามือเรื่องบ่อนนั่น เราเคยคุยกันแล้วนะครับ”

เขาหมายถึงก่อนหน้านี้ ที่สืบรู้ว่ามารดาเสียเงินทองไปในบ่อนการพนันครั้งละมากๆ แล้วก็มีการตกลงกันเฉพาะสองคนแม่ลูก ว่านับจากนั้นจะเล่นแต่แค่พอเพลินๆ ไม่ทุ่มเทมากมายอะไรอีก

“เรื่องนี้เราไว้คุยกันวันหลังได้ไหม วันนี้แม่รีบ”

คุณโสภาพรรณมองเลยไปที่โต๊ะทำงานของบุตรชาย ตรงตำแหน่งที่เป็นเซฟลับสำหรับเก็บเงินสดฉุกเฉินและเอกสารสำคัญต่างๆ

“ผมคงต้องเบิกจากบัญชีส่วนตัว”

“ทำไมล่ะ ไม่มีเงินสำรองอยู่เลยรึไง”

“มันเป็นเงินของบริษัทนะครับ ไม่ใช่ของเรา”

“ก็มันเป็นบริษัทของเรา”

“คุณแม่จะเอาไปใช้อะไร ก็เอาจากบัญชีผมดีกว่าครับ”

“ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากฮึพันธ์ แค่นี้คิดว่าแม่ยังเหนื่อยหัวใจไม่พออีกหรือ"

มารดาต้องเปลี่ยนจากการเร่งรุกเร้า มาเป็นการตัดพ้อต่อว่า

“ผมเพียงแต่ไม่อยากให้คุณแม่ถูกหลอก หรือถูกใครต้มได้ง่ายๆ”

“ที่ว่าใคร น่ะใคร คิดว่าแม่เอาเงินไปถมที่ให้ใครงั้นหรือ”

แล้วก็ต้องกลับทำเป็นเสียงเขียว เมื่อถูกสะกิดแผลเอาตรงจุด

“ช่างเถอะครับ ถ้าคุณแม่ต้องการด่วน ก็ต้องออกไปเบิกที่ธนาคารกับผม”

“แต่แม่ไม่อยากกวนเงินพันธ์นะลูก”

“ก็ดีว่าจะมายักยอกของบริษัทละครับ...”




ขณะที่มารดาและพี่ชายทำท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องอยู่นั้น น้องสาวคนเล็กก็มีเรื่องให้โมโหหนักอยู่เช่นกัน

ในเวลาบ่ายใกล้เย็น พิมพิกาพาตัวเองมาถึงที่ทำงานของปริยัติ ซึ่งก็คือโฮมออฟฟิศหลังที่เป็นรังรักของหล่อนกับเขานั่นเอง

แต่ตอนนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่ง และหล่อนก็ไม่เคยมาหาในเวลาอย่างนี้ เพราะความสัมพันธ์ของเขากับหล่อน ควรจะเก็บเป็นความลับ หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่โฉ่งฉ่างเอิกเกริกเหมือนอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้

มีคนทำงานอยู่เต็ม เป็นเพื่อนๆ ของปริยัติทั้งนั้น ที่บ้างก็เขียนแบบ บางคนจัดอาร์ตเวิร์ก หรือไม่ก็กำลังต่อโมเดล แต่พิมพิกาหาสนใจใครอื่นอีกไม่ พอเปิดประตูผัวะเข้าไป ก็ตะโกนลั่น

“โทร.หาตั้งแต่เช้า ทำไมไม่รับโทรศัพท์คะ”

คนถูกถามต้องเงยหน้าขึ้นจากแคตตาล็อกสี แค่สบตากับหล่อนตรงๆ ส่ายหน้านิดๆ แล้วพยักเรียกเพื่อนคนหนึ่งให้มารับช่วงต่อ

พิมพิกายิ่งเดือด พอมองไปรอบห้องก็เห็นสายตาทุกคู่จ้องมาที่ตน ทำไมหล่อนจะมองไม่ออก ว่าแต่ละคนนั้น ส่อแววอยู่เช่นไร

“ตอบมาเดี๋ยวนี้นะคะ ทำไมปอนด์ไม่รับสายพิมพิ์”

หล่อนเร่งเร้า แต่บรรดาสายตาที่จับจ้อง ทำให้ยังไม่กล้าขยับเข้าใกล้

“งานยุ่งน่ะครับ วันนี้เราประชุมกันทั้งวัน”

เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของปริยัติที่ให้คำตอบ

“นั่นไม่เกี่ยว แล้วคุณก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

พิมพิกาแว้ดเข้าใส่ ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

“แล้วถ้าอยากจะเกี่ยว มันจะเกี่ยวกันยากตรงไหนล่ะครับ”

แต่นายคนนั้นยังสอด สายตาโลมเลียอยู่บนเนินอกสล้าง ที่กระเพื่อมไหวขึ้นลงเพราะแรงโมโห

พิมพิกาสวมชุดสั้น คว้าน ผ่าและเว้าเท่าที่ตัวเองคิดว่าจะไม่โป๊ ซึ่งปกติทุกครั้งหากถูกมองด้วยสายตาเช่นที่เพื่อนเขามองอยู่นี้ หล่อนจะรู้สึกภูมิอกภูมิใจอยู่ครามครัน

เพื่อนของปริยัติอีกคนวางมือจากกาวและไม้บัลซ่าชิ้นเล็ก ขยับเข้ามาสมทบแล้วมองตามสายตาของคนที่ยืนจ้องอยู่ก่อน

“ถ้าไอ้ปอนด์มันไม่ว่าง ก็เรียกใช้บริการพี่ๆ ได้นี่ครับ”

คราวนี้คนฟังโกรธจนหน้าแดง ผลักอกคนที่ยืนขวางนั้นให้หลบไป แล้วพุ่งตรงเข้ามาเกือบจะถึงตัวปริยัติที่อยู่ด้านในสุด

แต่อีกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเขียนแบบใกล้ๆ กัน กลับคว้าแขนหล่อนเอาไว้

พร้อมกับอีกมือที่ทำท่าคว้าผิดคว้าถูก แต่พิมพิการู้ได้ทันทีว่ากำลังถูกลวนลาม

หล่อนสะบัดอย่างแรง หันกลับไปเหวี่ยงฝ่ามือเข้าใส่ หมายจะฟาดหน้าคนฉวยโอกาสให้ได้สักฉาดใหญ่ แต่อีกมือของอีกคนก็คว้าข้อมือของหล่อนเอาไว้อีกข้าง

พิมพิกาหันรีหันขวาง ชายหนุ่มร่างกำยำ ถึงจะหน้าตาดีๆ กันทั้งนั้น แต่ตอนนี้มันไม่น่ามองเลยสักนิด หล่อนพยายามปลดข้อมือตัวเองออกจากการถูกยึดเหนี่ยว ทว่าไม่เป็นผล คนทั้งหมดล้อมวงเข้ามา ราวกับสัตว์ป่ากระหายเหยื่อ

“ปอนด์... ปอนด์คะ”

ต้องเริ่มเรียกร้องหาความช่วยเหลือ แต่คนที่ถูกเรียกกลับยืนนิ่ง

“ปล่อยนะไอ้พวกบ้า! อย่าบังอาจมาทำอย่างนี้กับชั้นนะ!”

เมื่อไม่มีใครช่วย ก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง พอมือหลุดมาได้ข้างหนึ่ง ก็ใช้มือข้างนั้น ที่มีกระเป๋าถือสายโลหะ เหวี่ยงหวือไปในอากาศ

ได้ผล คราวนี้ทุกคนพากันเบนตัวหลบ ก็คงจะกลัวหน้าหล่อๆ ที่ไม่รู้ว่าหน้าจริงหน้าปลอมจะเสียโฉมนั่นละ

แต่ก็เพียงแค่วูบเดียว เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้หญิงคนเดียวในที่นี้ ก็ถูกรวบ ล็อคทั้งสองแขนไว้จากด้านหลัง

ยิ่งหล่อนดิ้นรน สองแขนก็ยิ่งถูกบีบรั้งไม่ปรานี

“ปอนด์ ปอนด์คะ ช่วยพิมพิ์ด้วย ทำไมปล่อยให้เพื่อนคุณทำกับพิมพิ์อย่างนี้”

พิมพิกาถึงกับคร่ำครวญ ทั้งที่อยากจะร้องไห้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมไม่รู้หายไปไหนเสียหมด

“คุณนั่นแหละ ทำไมถึงทำอย่างนี้ ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เก็บเรื่องของเราเอาไว้เงียบๆ”

ปริยัติเพิ่งเอ่ยปากในตอนนี้ พอพูดออกมา ก็กล่าวโทษหล่อนโดยทันที

“แล้วคุณล่ะ ทำไม...”

หล่อนพูดไม่ออก ลองคนพวกที่ยืนล้อมอยู่นี่ กล้าหักหาญน้ำใจกันขนาดนี้ พวกมันก็น่าจะรู้แล้วว่า ความสัมพันธ์ของตนกับปริยัติ ล้ำลึกถึงเพียงไหน

“คุณเริ่มเองนะ ตั้งแต่เมื่อคืน ผมเสียหาย”

“แล้วพิมพิ์ล่ะค่ะ ไม่เสียหายอย่างงั้นหรือ”

ขณะพูด ก็ยังพยายามสลัดตัวให้หลุดจากพันธนาการของเพื่อนเขาอยู่ไม่วาย

“จะพูดกันดีๆ ได้ไหมล่ะ”

ปริยัติคงนึกสงสารบ้างหรอก น้ำเสียงจึงค่อยฟังเป็นปลอบประโลมขึ้นบ้าง

“ก็ปล่อยสิคะ เรามาพูดจากันดีๆ ก็ได้”

พิมพิกาก็ต้องอ่อนลงเช่นกัน เพราะเจ็บจนรู้สึกเหมือนจะช้ำไปหมดแล้ว

พอถูกปล่อย รอยที่โดนบีบขยำก็เขียวให้เห็นเป็นจ้ำๆ นี่เองที่ทำให้ถึงกับน้ำตาร่วง ทั้งชีวิตไม่เคยมีใครทำร้ายร่างกายหล่อนถึงขนาดนี้

พวกเพื่อนๆ ของปริยัติทั้งหมดค่อยถอยกลับไปนั่งประจำที่ ปล่อยให้หญิงสาวยืนคว้างอยู่กลางวง พวกเขานิ่ง ราวกับกำลังรอให้หล่อนเสนอขายสินค้าอะไรบางอย่าง

“พิมพิ์บอกแล้วว่าขอโทษ ไม่รู้นี่คะว่าเมื่อคืนจะมีกองถ่ายมาที่นี่”

“นั่นสิ มันยังเขี่ยขี้บุหรี่ทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานผมเลย”

ใครก็ไม่รู้ แทรกขึ้นเหมือนจะให้ฟังเป็นเรื่องตลก

“ไอ้ปอนด์มันเห็นคุณอยากประกาศตัว มันก็เลยช่วย”

ครั้งนี้เป็นเสียงของคนที่ทำท่าจะลวนลามหล่อนเป็นคนแรกนั่นเอง

“อะไร ช่วยอะไรคะปอนด์”

พิมพิกาไม่ได้เหลียวมองใครอีก ใจอยากจะพูดกับปริยัติให้รู้เรื่องเพียงแค่นั้น

“ก็... ช่วยเล่าสู่กันฟังไงครับ นิยายของคุณน่ะ สุดยอดไปเลยรู้ไหม โดยเฉพาะฉากเลิฟซีน”

แล้วอีกคนก็พูดขึ้น ก่อนจะมีเสียงครึกครื้นของคนอื่นๆ ตามมา ทำนองว่าเห็นด้วยกับคำพูดนั้นเป็นอย่างยิ่ง

“ปอนด์...”

พิมพิกาถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง

“ครับ”

เขารับคำง่ายๆ ด้วยแววตาเมินเฉยอย่างที่สุด

“คุณมันเลว”

“แล้วคุณล่ะ”

“ไอ้...”

“พอเถอะพิมพิ์... เราเคยสัญญากันแล้ว แล้วคุณเองที่ไม่รักษาสัญญา”

“แล้วคุณก็ทำอย่างนี้”

“ยังไง”

“ก็...”

“เอาน่ะ ถึงไอ้ปอนด์มันจะไม่เอา พวกผมก็ยังมี รับรองได้เลยว่าจะถึงใจคุณได้ไม่แพ้มัน”

คนพูดยังยื่นนิ้วมาจิ้มที่สะโพกหล่อนอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก

“หรืออยากจะเปลี่ยนรสชาติ พวกพี่พร้อมกันก็ได้นะ เราไม่เกี่ยง”

อีกคนยิ่งเพิ่มความเลวทรามสัปดนขึ้นไปอีก

“ปอนด์คะ เราออกไปคุยกันข้างนอกได้ไหม”

พิมพิกาพยายามไม่ใส่ใจ ไม่สนใจฝูงสัตว์เดรัจฉานที่เห่าหอนอยู่รอบข้าง

“ผมมีงาน คุยกันตรงนี้แหละ”

“แต่...”

“หรือจะชวนไปคุยกันข้างบน”

เสียงคนที่จับแขนหล่อนบิดล็อคเป็นคนพูดคำนี้

“จะให้เข้าแถวก็ได้นะ ถ้าชอบความเป็นระเบียบ”

ยิ่งฟังก็ยิ่งเลวร้าย จนเกินกว่าจะทนยืนอยู่ได้อีกต่อไป

“งั้นเย็นนี้ค่อยคุยกันนะคะ”

“เย็นนี้ผมไม่ว่าง มีนัดแล้ว...”

ยังไม่ทันถามว่ากับใคร ปริยัติก็พูดต่อ

“กับคุณอินทุ์”

พิมพิกาหน้าชา ทั้งเจ็บทั้งอายกับน้ำเสียงเย้ยหยันระคนรังเกียจเดียดฉันท์ ที่คู่นอน ที่เคยทำท่าเหมือนรักกันปานจะกลืน พูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย

หล่อนถึงกับเข่าอ่อน เซไปอิงอยู่กับโต๊ะตัวหนึ่ง

“ก็บอกแล้วว่าให้คุยกันที่นี่ พวกผมนี่จริงใจกว่าไอ้ปอนด์นะจ๊ะ ถึงไม่โสดไม่สด แต่ก็ไม่มีห่วงคล้องคอ ไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เล่นกับพวกผม จะมีแต่การบันเทิงสถานเดียว”

“ใช่จ้ะ ไม่ต้องมาชีช้ำหน้าดำหน้าแดงอย่างนี้ด้วย เก็บแรงเก็บอารมณ์ไว้ลงกับพวกผมดีกว่า”

พวกรอบข้างยังคะนองปาก พูดจาแทะโลมราวกับหล่อนเป็นโสเภณีชั้นต่ำ พิมพิกาอยากจะกรี๊ด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแผลงฤทธิ์ไปเพื่ออะไรอีกแล้ว

“ผมต้องออกไปสั่งของ ถ้าจะคุยอะไร ก็คุยกับไอ้พวกนี้ไปก่อน”

พร้อมกับที่พูด ปริยัติคว้าพวงกุญแจรถจากในลิ้นชัก ก่อนทำท่าจะเดินผ่านหล่อนออกไปจริงๆ

“งั้นก็พรุ่งนี้...”

“ไหนคุณว่าใจร้อน ...กว่าจะถึงพรุ่งนี้ แล้วพรุ่งนี้บ้านคุณกับบ้านผมก็มีนัดกันอยู่แล้ว เอาน่า... รออยู่นี่แหละ เพื่อนผมมันไม่ฆ่าไม่แกงเอาหรอก ก็เห็นอยู่แล้วว่าพวกมันสุภาพกับคุณแค่ไหน”

พูดถึงท้ายประโยค ปริยัติก็ขยับมาถึงตัวของหล่อนพอดี ไม่ทันที่พิมพิกาจะได้พูดว่า

“ขอพิมพิ์ไปด้วยคน”

หล่อนก็ถูกเขาแกล้งผลักให้เซไปตกอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคนหนึ่ง

“ฝากด้วยนะเพื่อน จะพูดจะทำอะไร ก็นึกถึงคนถูกทำบ้างล่ะ”

ปริยัติทิ้งคำสุดท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะลับตัวออกไปหลังประตูบานทึบ




*************************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2554, 22:00:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2554, 22:00:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1867





<< 015   017 >>
ree 8 พ.ค. 2554, 15:52:23 น.
เย้ จะได้อ่านตอนต่อไปแล้วสิ ตั้งหน้าตั้งตารอนะคะ


dino 9 พ.ค. 2554, 10:52:25 น.
รออ่านค่ะ อยากรู้ว่าจะจบลงอย่างไร


แพม 13 พ.ค. 2554, 09:09:41 น.
เมื่อไหร่คุณนายโสภาจะได้รับกรรม เอ้อ...สงสารหนูพิมพ์นิด ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account