ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 8.1 “เมื่อกี้ผมเดินไปรับ ผมก็ต้องเดินไปส่ง เรียนเชิญครับ”
บทที่ 8
“น้องจินอยู่ที่ไหนครับ” ตอนแรกนั้นจรินนาเป็นคุณจรินนาสำหรับวิษณุจักร แต่พอคุยกันหลาย ๆ ครั้ง ได้ทานข้าวร่วมกัน ได้เที่ยวด้วยกัน จรินนาก็กลายเป็นน้องของเขาไปเสียแล้ว
“เอ่อ...จิน..จิน อยู่กับเพื่อนค่ะ” จรินนารู้สึกลำบากใจที่จะบอกกับเขาไปตรง ๆ ว่าทำอะไรอยู่กับใคร เพราะถ้าบอกไปว่าอยู่กับเดชาพงษ์สองคน เขาก็ต้องซักไซ้ต่อแน่ ๆ ว่ามีธุระอะไรกัน ซึ่งเธอไม่อยากให้พ่อรู้ว่าเธอมาก้าวก่ายเรื่องภาพวาดของเขา จนกระทั่งทำให้เขาต้องอดหลับอดนอนมาสเก็ตภาพตัวอย่างให้ดูก่อนลงมือทำงาน
“เพื่อน ใครเหรอครับ” น้ำเสียงของเขาแสดงความใจใส่ใคร่รู้ความเป็นไปของชีวิตเป็นอย่างมาก
“สมัยเรียนค่ะ” พอถูกซักไซ้ จรินนาจึงรีบเดินหนีออกมาจากตัวอาคารเพื่อที่จะได้โกหกทางปลายสายได้อย่างสบายใจ แต่ว่าไม่ว่าจะคุยต่อหน้าหรือว่าในที่ลับหู เดชาพงษ์ก็มั่นใจได้ว่า หญิงสาวกำลังคุยกับคนสำคัญมาก...ใจที่รู้สึกชุ่มชื่นเมื่อครู่ก็พลันห่อเหี่ยวขึ้นมาอย่างยากระงับ
“กลางวันนี้ว่างไหมครับ จะชวนไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน”
จรินนาดูนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเป็นเวลาเที่ยงวัน ซึ่งอันที่จริงเธอก็ว่างสำหรับเขา แต่ว่า เธอไม่อยากจะเจอเขาทุก ๆ วัน จนกระทั่งเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอให้ความสำคัญกับเขา...แล้วโมเมว่ากำลังคบหาดูใจกันอยู่...ดังนั้นจรินนาจึงต้องปฏิเสธไปด้วยการโกหกเขาอีกครั้ง
“จินมีนัดแล้วค่ะ กับเพื่อนนี่แหละ เอาไว้วันหลังได้ไหมคะ”
“ก็คงต้องได้สิครับ” เขาทำเสียงน้อยใจกลับมา จรินนาถอนหายใจเบา ๆ ด้วยรู้ว่า มารยาของผู้ชายนั้นก็หาได้มีน้อยกว่าผู้หญิง แต่ว่าหญิงสาวก็ไม่ได้พูดปะเหลาะเขา อย่างที่มันควรจะเป็น
“โอเคค่ะ งั้นจินขอตัวก่อนนะคะ” บอกเขาแล้วจรินนาก็กดวางสาย ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันเข้าไปในอาคารเรียนที่มีเดชาพงษ์นั่งหันหลังให้...ซึ่งเหตุการณ์นี้ น่าจะทำให้เขารู้ตัวดีว่า เขานั้นจะขยับเข้าหาเธอได้มากแค่ไหน และเมื่อเดินกลับไปหาเขา เขาก็ง่วนสเก็ตภาพลงในกระดาษแผ่นนั้นต่อ ไม่เอ่ยปากถามว่าเธอจะเอาอย่างไรต่อไป ใบหน้านั้นเรียบเฉย จนจรินนารู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา...
“เอ่อ...จิน” จรินนาต้องเป็นฝ่ายรบกวนสมาธิเขาเสียเอง และเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเธอเพียงนิดก่อนจะก้มลงทำงานต่อ...
“จิน เอ่อ จิน”
“ครับ จะกลับแล้วใช่ไหมครับ” ใจจริง เขาก็อยากจะพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสุภาพดังเดิม แต่ใจมันคุมอารมณ์น้อยใจที่จู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้ และเมื่อพูดแบบขับไล่ไปแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน
“ค่ะ จินขอตัวกลับก่อนดีกว่า อาจารย์จะได้พักผ่อน”
“ครับ..แล้ว คุณจรินนาไม่มีปัญหากับภาพที่จะวาดแล้วใช่ไหมครับ ผมจะได้ลุยงานต่อกันเลย”
“ไม่มีค่ะ...”
“ขอบคุณครับ..” บอกเขาด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน
“ผมไปส่งครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ จินเดินกลับไปเองได้ ทำงานต่อเถอะค่ะ”
“เมื่อกี้ผมเดินไปรับ ผมก็ต้องเดินไปส่ง เรียนเชิญครับ” เขาผายมือเหมือนจะไล่ จรินนาเลยต้องก้าวเดินไปตามทางที่เขาต้องการ
จรินนาเดินนำหน้า ซึ่งเขาก็เดินตามหญิงสาวมาเงียบ ๆ กระทั่งถึงร้านค้า เขาก็บอกว่า
“ผมส่งแค่นี้นะครับ” ส่งแค่นี้เพราะตอนมารับ เขาก็มารับแค่นี้ จรินนาหันมาหาเขา พบว่าใบหน้าของเขาดูเย็นชาผิดตอนเดินไปรับ แต่ว่าคนอย่างจรินนาไม่จำเป็นจะต้องแคร์ความรู้สึกของใครก่อนเช่นกัน หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขาแล้วก็เดินพลางค้นรีโมทที่อยู่ในกระเป๋าเงินแล้วยิงปลดล็อคประตูรถ พอเดินไปถึงหญิงสาวก็เปิดประตูเข้าไปนั่ง สตาร์ทเครื่อง ถอยรถแล้วขับออกไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยบ้าง
ฝ่ายเดชาพงษ์นั้นก็ถอนหายใจออกอย่างแรงพลางถามตัวเองว่า ทำไมเขาถึงได้รู้สึกแปลก ๆ กับผู้หญิงคนนี้มากถึงเพียงนี้เหนอ...และเมื่อเดินกลับมายังอาคารเรียนเดชาพงษ์ก็พบว่าจรินนาลืมกระเป๋าผ้าไว้ เขานิ่วหน้าครุ่นคิดว่า เจ้าหล่อนลืมจริง ๆ หรือจงใจทิ้งไว้สานความสัมพันธ์ในโอกาสต่อไปกันแน่
---------------------------------
หลังจากที่ถูกจรินนาปฏิเสธ วิษณุจักรที่กำลังหิวจึงเปลี่ยนผังจากร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าไปกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่อยู่ในตลาด และพอจอดรถได้เปิดประตูลงมาเขาก็พบว่า ร้านกรอบรูปที่เขาเคยเห็นผ่านตานี้มีอนงค์นางนั่งอยู่ข้างใน หญิงสาวหันมาเห็นเขาพอดี เขาจึงต้องเดินเข้าไปหาเพราะว่า อนงค์นางนั้นนั่งอยู่หน้าเฟรมวาดภาพและในมือก็มีพู่กันแต่งแต้มสีค้างอยู่...
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทักเขาแล้วจุ่มพู่กันลงในแก้วน้ำเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วยืนขึ้น ด้วยความสูงของอนงค์นางนั้นเกินมาตรฐานหญิงไทยกับวันนี้หญิงสาวสวมกางเกงยีนเอี๊ยมทับเสื้อยืดแขนกุดสีดำทำให้อนงค์นางดูกระฉับกระเฉงแข็งแรง จนเขานึกภาพไม่ออกเลยว่าตอนที่หญิงสาวทำอาหารนั้นจะมีท่าทางอย่างไร
“ดีครับ...อยู่ที่นี่เหรอ” ถามพลางมองไปรอบ ๆ ร้าน ดูกรอบรูปขนาดต่าง ๆ ที่ทั้งติดผนังและวางไว้ตามพื้น
“ค่ะบ้านนาง พี่จักรมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ว่าจะมากินก๋วยเตี๋ยว พอดีหน้าร้านหาที่จอดรถไม่ได้..”
“วันเสาร์คนเยอะ ร้านนี้ขายดีมาก แห่กันมาเหมือนแจกฟรี...”
“แล้วไม่คิดจะทำแข่งกับเขาบ้างละ เรียนทำอาหารมาไม่ใช่เหรอ”
“วิชาพวกนั้นเอาเก็บไว้ใช้ในบ้านค่ะ”
“เอาไว้เป็นแม่บ้าน”
“ยังไม่รู้จะมีคนโชคร้ายรึเปล่าเลยค่ะ”
“ไม่น่าไม่มีนะ พี่ว่าไม่เลือกเองมากกว่า”
“ประมาณนั้นด้วยค่ะ”
“แล้วนี่วาดรูปอะไร” เขาเปลี่ยนมาสนใจภาพตรงหน้า
“แล้วพี่จักรดูแล้วเห็นเป็นรูปอะไร”
“ลายเส้น ลายไทย เหมือนดอกไม้ เหมือนหน้าคน ผู้หญิง”
“ดีใจค่ะที่ดูออก กำลังคิดอะไรแบบให้ซับซ้อนเบื่อการทำงานตามแบบรูปเดิม อยากเป็นศิลปินที่มีงานเฉพาะตัว อยากอยู่ได้ด้วยอาชีพเขียนรูปแล้วก็โด่งดังอย่างอาจารย์เฉลิมชัย”
“แล้วตอนแรกทำไมไม่ไปเรียนศิลปากรให้เป็นเรื่องเป็นราว”
“ไม่มีใครค้นพบตัวเองตั้งแต่ทีแรกหรอกค่ะ แต่ว่าไปฝีมือทำอาหารของนางก็ใช่ย่อยนะคะ แต่พอดีนางไปลองเรียนนี่แล้ว นางว่า นางชอบมันมากกว่าเท่านั้น...”
“วาดได้กี่ภาพแล้ว”
“วาดได้เยอะค่ะ ฝากขายที่ร้านหน้าโรงเรียนขายหมดเกลี้ยงเลย ถ้าฝีมือไม่ดีจริง อาจารย์เดชาพงษ์ไม่ชวนร่วมทีมหรอกค่ะ”
“ไม่น่าเชื่อเนอะ”
“แต่ภาพแบบนี้เพิ่งทดลองเป็นภาพแรกค่ะ...สนใจไหมคะ”
“ภาพละเท่าไหร่ พร้อมกรอบนะ พี่ชอบกรอบสีขาวแบบนั้น” เขาชี้ไปยังกรอบไม้สีขาวที่วางอยู่กับพื้น..ภาพในกรอบนั้นเป็นภาพถ่ายรูปดอกกุหลาบสีแดงสด
“พี่จะให้นางเท่าไหร่ละคะ”
“ก็เรียกมาซิ”
“สองพันห้าพร้อมกรอบ พี่ว่าแพงไหมละคะ”
“ก็แพงอยู่นะ”
อนงค์นางชักสีหน้าครุ่นคิด..ก่อนจะบอกว่า
“งั้นลดให้สุด ๆ ไป เลยประเดิม ๆ ก็ พันห้าค่ะ พอไหวไหมคะ”
“สองพันห้านั่นแหละ แต่เขียนข้างหลังภาพไว้ด้วยว่า ภาพแรกในชีวิตของอนงนางค์ เผื่อวันหนึ่งมันจะมีค่าถึงสามแสนสี่แสน”
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“อ้าว พี่เคยอ่านประวัติของพวกจิตรกรเอกหลาย ๆ คน ภาพแรก ๆ ก็ขายกันถูก ๆ ทั้งนั้นแหละ เพราะคนวาดไม่มั่นใจว่ามันสวย แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะตั้งราคาเท่าไหร่”
“พี่ว่ามันสวยใช่ไหมคะ...”
“พี่ชอบคนคิดนอกกรอบนะ..ตกลงสองพันห้า เสร็จเมื่อไหร่ก็บอก...”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“งั้นพี่ขอตัวไปร้านก๋วยเตี๋ยวก่อน รถพี่ไม่ขวางหน้าร้านนะ”
“ไม่ค่ะ ยินดีให้มาจอดได้บ่อย ๆ ด้วยค่ะ”
วิษณุจักรหนุ่มหน้าขาวปากแดงแต่งตัวเหมือนหลุดมาจากนิตยสารผู้ชายทำงานยิ้มนิด ๆ โบกมือให้แล้วก็หมุนตัวเดินจากไป อนงค์นางหันไปมองรูปที่ตัวเองคิดว่าเป็นผลงานสร้างสรรค์ปรบมือแล้วพ่นลมออกจากปากเบา ๆ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอีกไม่น้อย...
-------------------------------------
เสียงเคาะประตูห้องทำให้สราวุฒิหันไปหาต้นเสียง เขาถอนหายใจเบา ๆ ด้วยมั่นใจว่าเป็นหนิงที่ตั้งใจมาจีบเขาอีกแน่ ๆ เขาตะโกนถามออกไปแต่พอได้ยินว่าเป็นเสียงของหน่อย เขาก็จำต้องลุกขึ้นไปเปิดประตู
“เอาเตารีดมาคืน แล้วก็ นี่หนิงมันให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝาก หมี่เหลืองแห้งน่ะสองถุง” หน่อยนั้นสวยกว่าหนิงแล้วหญิงสาวก็จัดจ้านทันคนกว่า น้ำเสียงดุดันของหน่อยทำให้เขาต้องยื่นมือไปรับเตารีดและถุงก๋วยเตี๋ยวไว้
“ทำไมซื้อมาให้เยอะจัง” เยอะเพราะมันมีสองชุด
“หนิงมันอยากให้พี่วุฒิอิ่มหนำสำราญมั้ง เห็นมันบ่นว่าพี่ผอมแห้งดูเหมือนจะแรงน้อย”
“แล้วเขาไปไหน”
“ป่วย”
“เป็นอะไร”
“ปวดท้องเมน...รู้จักเปล่า”
เขาทำหน้าเหลอหลา
“หน่อยไปแล้วนะ ไม่กวนแล้ว แล้ววาดรูปอะไรอยู่เหรอ” ปากว่าจะไปแต่ว่าหน่อยที่แต่งตัวด้วยเสื้อกล้ามสีเขียวสดรัดรูปกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะสีแดงกลับชะเง้อเข้าไปในห้องอย่างจงใจจะให้เขาได้กลิ่นกายสาวของตัวเองนาน ๆ
“รูปคน”
“รับจ้างวาดรูปเหมือนเปล่า อยากวาดรูปตัวเองเก็บไว้”
“ก็น่าจะได้นะ เอารูปมาดูซิ...”
“แพงเปล่าล่ะ”
“หน้าแล้วตัว ครึ่งตัว คิดสองพัน ไม่รวมกรอบ”
“แพง”
“ฝากขอบใจหนิงด้วยแล้วกันนะ พี่ขอตัวก่อน” สราวุฒิตัดบทเพราะเขานั้นก็ไม่ได้อยากได้งานจึงได้คิดราคาแพง ๆ ไปอย่างส่ง ๆ
พอเขาไล่หน่อยก็ไหวไหล่ก่อนจะเดินลากรองเท้ากลับไปยังห้องตัวเอง และพอถึงห้องแล้ว หน่อยก็สะบัดรองเท้าไปยังข้างฝาก่อนจะบอกกับหนิงว่า
“ขนาดหน่อยบอกว่าหนิงป่วยเขายังทำเฉย เลิกสนใจเขาเหอะ”
หนิงที่ไม่ได้ป่วยจริงและกำลังอ่านนิตยสารคู่สร้างคู่สมอยู่นั้นนิ่งฟัง และหน่อยก็เชื่อว่า หนิงจะไม่มีวันถอยจากหนุ่มซื่อบื้อนั่นหรอก
“น้องจินอยู่ที่ไหนครับ” ตอนแรกนั้นจรินนาเป็นคุณจรินนาสำหรับวิษณุจักร แต่พอคุยกันหลาย ๆ ครั้ง ได้ทานข้าวร่วมกัน ได้เที่ยวด้วยกัน จรินนาก็กลายเป็นน้องของเขาไปเสียแล้ว
“เอ่อ...จิน..จิน อยู่กับเพื่อนค่ะ” จรินนารู้สึกลำบากใจที่จะบอกกับเขาไปตรง ๆ ว่าทำอะไรอยู่กับใคร เพราะถ้าบอกไปว่าอยู่กับเดชาพงษ์สองคน เขาก็ต้องซักไซ้ต่อแน่ ๆ ว่ามีธุระอะไรกัน ซึ่งเธอไม่อยากให้พ่อรู้ว่าเธอมาก้าวก่ายเรื่องภาพวาดของเขา จนกระทั่งทำให้เขาต้องอดหลับอดนอนมาสเก็ตภาพตัวอย่างให้ดูก่อนลงมือทำงาน
“เพื่อน ใครเหรอครับ” น้ำเสียงของเขาแสดงความใจใส่ใคร่รู้ความเป็นไปของชีวิตเป็นอย่างมาก
“สมัยเรียนค่ะ” พอถูกซักไซ้ จรินนาจึงรีบเดินหนีออกมาจากตัวอาคารเพื่อที่จะได้โกหกทางปลายสายได้อย่างสบายใจ แต่ว่าไม่ว่าจะคุยต่อหน้าหรือว่าในที่ลับหู เดชาพงษ์ก็มั่นใจได้ว่า หญิงสาวกำลังคุยกับคนสำคัญมาก...ใจที่รู้สึกชุ่มชื่นเมื่อครู่ก็พลันห่อเหี่ยวขึ้นมาอย่างยากระงับ
“กลางวันนี้ว่างไหมครับ จะชวนไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน”
จรินนาดูนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเป็นเวลาเที่ยงวัน ซึ่งอันที่จริงเธอก็ว่างสำหรับเขา แต่ว่า เธอไม่อยากจะเจอเขาทุก ๆ วัน จนกระทั่งเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอให้ความสำคัญกับเขา...แล้วโมเมว่ากำลังคบหาดูใจกันอยู่...ดังนั้นจรินนาจึงต้องปฏิเสธไปด้วยการโกหกเขาอีกครั้ง
“จินมีนัดแล้วค่ะ กับเพื่อนนี่แหละ เอาไว้วันหลังได้ไหมคะ”
“ก็คงต้องได้สิครับ” เขาทำเสียงน้อยใจกลับมา จรินนาถอนหายใจเบา ๆ ด้วยรู้ว่า มารยาของผู้ชายนั้นก็หาได้มีน้อยกว่าผู้หญิง แต่ว่าหญิงสาวก็ไม่ได้พูดปะเหลาะเขา อย่างที่มันควรจะเป็น
“โอเคค่ะ งั้นจินขอตัวก่อนนะคะ” บอกเขาแล้วจรินนาก็กดวางสาย ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันเข้าไปในอาคารเรียนที่มีเดชาพงษ์นั่งหันหลังให้...ซึ่งเหตุการณ์นี้ น่าจะทำให้เขารู้ตัวดีว่า เขานั้นจะขยับเข้าหาเธอได้มากแค่ไหน และเมื่อเดินกลับไปหาเขา เขาก็ง่วนสเก็ตภาพลงในกระดาษแผ่นนั้นต่อ ไม่เอ่ยปากถามว่าเธอจะเอาอย่างไรต่อไป ใบหน้านั้นเรียบเฉย จนจรินนารู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา...
“เอ่อ...จิน” จรินนาต้องเป็นฝ่ายรบกวนสมาธิเขาเสียเอง และเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเธอเพียงนิดก่อนจะก้มลงทำงานต่อ...
“จิน เอ่อ จิน”
“ครับ จะกลับแล้วใช่ไหมครับ” ใจจริง เขาก็อยากจะพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงสุภาพดังเดิม แต่ใจมันคุมอารมณ์น้อยใจที่จู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้ และเมื่อพูดแบบขับไล่ไปแล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน
“ค่ะ จินขอตัวกลับก่อนดีกว่า อาจารย์จะได้พักผ่อน”
“ครับ..แล้ว คุณจรินนาไม่มีปัญหากับภาพที่จะวาดแล้วใช่ไหมครับ ผมจะได้ลุยงานต่อกันเลย”
“ไม่มีค่ะ...”
“ขอบคุณครับ..” บอกเขาด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการแล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน
“ผมไปส่งครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ จินเดินกลับไปเองได้ ทำงานต่อเถอะค่ะ”
“เมื่อกี้ผมเดินไปรับ ผมก็ต้องเดินไปส่ง เรียนเชิญครับ” เขาผายมือเหมือนจะไล่ จรินนาเลยต้องก้าวเดินไปตามทางที่เขาต้องการ
จรินนาเดินนำหน้า ซึ่งเขาก็เดินตามหญิงสาวมาเงียบ ๆ กระทั่งถึงร้านค้า เขาก็บอกว่า
“ผมส่งแค่นี้นะครับ” ส่งแค่นี้เพราะตอนมารับ เขาก็มารับแค่นี้ จรินนาหันมาหาเขา พบว่าใบหน้าของเขาดูเย็นชาผิดตอนเดินไปรับ แต่ว่าคนอย่างจรินนาไม่จำเป็นจะต้องแคร์ความรู้สึกของใครก่อนเช่นกัน หญิงสาวกล่าวขอบคุณเขาแล้วก็เดินพลางค้นรีโมทที่อยู่ในกระเป๋าเงินแล้วยิงปลดล็อคประตูรถ พอเดินไปถึงหญิงสาวก็เปิดประตูเข้าไปนั่ง สตาร์ทเครื่อง ถอยรถแล้วขับออกไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยบ้าง
ฝ่ายเดชาพงษ์นั้นก็ถอนหายใจออกอย่างแรงพลางถามตัวเองว่า ทำไมเขาถึงได้รู้สึกแปลก ๆ กับผู้หญิงคนนี้มากถึงเพียงนี้เหนอ...และเมื่อเดินกลับมายังอาคารเรียนเดชาพงษ์ก็พบว่าจรินนาลืมกระเป๋าผ้าไว้ เขานิ่วหน้าครุ่นคิดว่า เจ้าหล่อนลืมจริง ๆ หรือจงใจทิ้งไว้สานความสัมพันธ์ในโอกาสต่อไปกันแน่
---------------------------------
หลังจากที่ถูกจรินนาปฏิเสธ วิษณุจักรที่กำลังหิวจึงเปลี่ยนผังจากร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าไปกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาที่อยู่ในตลาด และพอจอดรถได้เปิดประตูลงมาเขาก็พบว่า ร้านกรอบรูปที่เขาเคยเห็นผ่านตานี้มีอนงค์นางนั่งอยู่ข้างใน หญิงสาวหันมาเห็นเขาพอดี เขาจึงต้องเดินเข้าไปหาเพราะว่า อนงค์นางนั้นนั่งอยู่หน้าเฟรมวาดภาพและในมือก็มีพู่กันแต่งแต้มสีค้างอยู่...
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวเอ่ยทักเขาแล้วจุ่มพู่กันลงในแก้วน้ำเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วยืนขึ้น ด้วยความสูงของอนงค์นางนั้นเกินมาตรฐานหญิงไทยกับวันนี้หญิงสาวสวมกางเกงยีนเอี๊ยมทับเสื้อยืดแขนกุดสีดำทำให้อนงค์นางดูกระฉับกระเฉงแข็งแรง จนเขานึกภาพไม่ออกเลยว่าตอนที่หญิงสาวทำอาหารนั้นจะมีท่าทางอย่างไร
“ดีครับ...อยู่ที่นี่เหรอ” ถามพลางมองไปรอบ ๆ ร้าน ดูกรอบรูปขนาดต่าง ๆ ที่ทั้งติดผนังและวางไว้ตามพื้น
“ค่ะบ้านนาง พี่จักรมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ว่าจะมากินก๋วยเตี๋ยว พอดีหน้าร้านหาที่จอดรถไม่ได้..”
“วันเสาร์คนเยอะ ร้านนี้ขายดีมาก แห่กันมาเหมือนแจกฟรี...”
“แล้วไม่คิดจะทำแข่งกับเขาบ้างละ เรียนทำอาหารมาไม่ใช่เหรอ”
“วิชาพวกนั้นเอาเก็บไว้ใช้ในบ้านค่ะ”
“เอาไว้เป็นแม่บ้าน”
“ยังไม่รู้จะมีคนโชคร้ายรึเปล่าเลยค่ะ”
“ไม่น่าไม่มีนะ พี่ว่าไม่เลือกเองมากกว่า”
“ประมาณนั้นด้วยค่ะ”
“แล้วนี่วาดรูปอะไร” เขาเปลี่ยนมาสนใจภาพตรงหน้า
“แล้วพี่จักรดูแล้วเห็นเป็นรูปอะไร”
“ลายเส้น ลายไทย เหมือนดอกไม้ เหมือนหน้าคน ผู้หญิง”
“ดีใจค่ะที่ดูออก กำลังคิดอะไรแบบให้ซับซ้อนเบื่อการทำงานตามแบบรูปเดิม อยากเป็นศิลปินที่มีงานเฉพาะตัว อยากอยู่ได้ด้วยอาชีพเขียนรูปแล้วก็โด่งดังอย่างอาจารย์เฉลิมชัย”
“แล้วตอนแรกทำไมไม่ไปเรียนศิลปากรให้เป็นเรื่องเป็นราว”
“ไม่มีใครค้นพบตัวเองตั้งแต่ทีแรกหรอกค่ะ แต่ว่าไปฝีมือทำอาหารของนางก็ใช่ย่อยนะคะ แต่พอดีนางไปลองเรียนนี่แล้ว นางว่า นางชอบมันมากกว่าเท่านั้น...”
“วาดได้กี่ภาพแล้ว”
“วาดได้เยอะค่ะ ฝากขายที่ร้านหน้าโรงเรียนขายหมดเกลี้ยงเลย ถ้าฝีมือไม่ดีจริง อาจารย์เดชาพงษ์ไม่ชวนร่วมทีมหรอกค่ะ”
“ไม่น่าเชื่อเนอะ”
“แต่ภาพแบบนี้เพิ่งทดลองเป็นภาพแรกค่ะ...สนใจไหมคะ”
“ภาพละเท่าไหร่ พร้อมกรอบนะ พี่ชอบกรอบสีขาวแบบนั้น” เขาชี้ไปยังกรอบไม้สีขาวที่วางอยู่กับพื้น..ภาพในกรอบนั้นเป็นภาพถ่ายรูปดอกกุหลาบสีแดงสด
“พี่จะให้นางเท่าไหร่ละคะ”
“ก็เรียกมาซิ”
“สองพันห้าพร้อมกรอบ พี่ว่าแพงไหมละคะ”
“ก็แพงอยู่นะ”
อนงค์นางชักสีหน้าครุ่นคิด..ก่อนจะบอกว่า
“งั้นลดให้สุด ๆ ไป เลยประเดิม ๆ ก็ พันห้าค่ะ พอไหวไหมคะ”
“สองพันห้านั่นแหละ แต่เขียนข้างหลังภาพไว้ด้วยว่า ภาพแรกในชีวิตของอนงนางค์ เผื่อวันหนึ่งมันจะมีค่าถึงสามแสนสี่แสน”
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“อ้าว พี่เคยอ่านประวัติของพวกจิตรกรเอกหลาย ๆ คน ภาพแรก ๆ ก็ขายกันถูก ๆ ทั้งนั้นแหละ เพราะคนวาดไม่มั่นใจว่ามันสวย แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะตั้งราคาเท่าไหร่”
“พี่ว่ามันสวยใช่ไหมคะ...”
“พี่ชอบคนคิดนอกกรอบนะ..ตกลงสองพันห้า เสร็จเมื่อไหร่ก็บอก...”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“งั้นพี่ขอตัวไปร้านก๋วยเตี๋ยวก่อน รถพี่ไม่ขวางหน้าร้านนะ”
“ไม่ค่ะ ยินดีให้มาจอดได้บ่อย ๆ ด้วยค่ะ”
วิษณุจักรหนุ่มหน้าขาวปากแดงแต่งตัวเหมือนหลุดมาจากนิตยสารผู้ชายทำงานยิ้มนิด ๆ โบกมือให้แล้วก็หมุนตัวเดินจากไป อนงค์นางหันไปมองรูปที่ตัวเองคิดว่าเป็นผลงานสร้างสรรค์ปรบมือแล้วพ่นลมออกจากปากเบา ๆ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอีกไม่น้อย...
-------------------------------------
เสียงเคาะประตูห้องทำให้สราวุฒิหันไปหาต้นเสียง เขาถอนหายใจเบา ๆ ด้วยมั่นใจว่าเป็นหนิงที่ตั้งใจมาจีบเขาอีกแน่ ๆ เขาตะโกนถามออกไปแต่พอได้ยินว่าเป็นเสียงของหน่อย เขาก็จำต้องลุกขึ้นไปเปิดประตู
“เอาเตารีดมาคืน แล้วก็ นี่หนิงมันให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝาก หมี่เหลืองแห้งน่ะสองถุง” หน่อยนั้นสวยกว่าหนิงแล้วหญิงสาวก็จัดจ้านทันคนกว่า น้ำเสียงดุดันของหน่อยทำให้เขาต้องยื่นมือไปรับเตารีดและถุงก๋วยเตี๋ยวไว้
“ทำไมซื้อมาให้เยอะจัง” เยอะเพราะมันมีสองชุด
“หนิงมันอยากให้พี่วุฒิอิ่มหนำสำราญมั้ง เห็นมันบ่นว่าพี่ผอมแห้งดูเหมือนจะแรงน้อย”
“แล้วเขาไปไหน”
“ป่วย”
“เป็นอะไร”
“ปวดท้องเมน...รู้จักเปล่า”
เขาทำหน้าเหลอหลา
“หน่อยไปแล้วนะ ไม่กวนแล้ว แล้ววาดรูปอะไรอยู่เหรอ” ปากว่าจะไปแต่ว่าหน่อยที่แต่งตัวด้วยเสื้อกล้ามสีเขียวสดรัดรูปกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะสีแดงกลับชะเง้อเข้าไปในห้องอย่างจงใจจะให้เขาได้กลิ่นกายสาวของตัวเองนาน ๆ
“รูปคน”
“รับจ้างวาดรูปเหมือนเปล่า อยากวาดรูปตัวเองเก็บไว้”
“ก็น่าจะได้นะ เอารูปมาดูซิ...”
“แพงเปล่าล่ะ”
“หน้าแล้วตัว ครึ่งตัว คิดสองพัน ไม่รวมกรอบ”
“แพง”
“ฝากขอบใจหนิงด้วยแล้วกันนะ พี่ขอตัวก่อน” สราวุฒิตัดบทเพราะเขานั้นก็ไม่ได้อยากได้งานจึงได้คิดราคาแพง ๆ ไปอย่างส่ง ๆ
พอเขาไล่หน่อยก็ไหวไหล่ก่อนจะเดินลากรองเท้ากลับไปยังห้องตัวเอง และพอถึงห้องแล้ว หน่อยก็สะบัดรองเท้าไปยังข้างฝาก่อนจะบอกกับหนิงว่า
“ขนาดหน่อยบอกว่าหนิงป่วยเขายังทำเฉย เลิกสนใจเขาเหอะ”
หนิงที่ไม่ได้ป่วยจริงและกำลังอ่านนิตยสารคู่สร้างคู่สมอยู่นั้นนิ่งฟัง และหน่อยก็เชื่อว่า หนิงจะไม่มีวันถอยจากหนุ่มซื่อบื้อนั่นหรอก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2555, 22:16:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2555, 20:36:57 น.
จำนวนการเข้าชม : 2462
<< 7.2 “แล้วภาพพวกนี้ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ” | 8.2 ลิขิตพรหม (ตอนพิเศษราชนาวีที่รัก 1) >> |

จุฬามณีเฟื่องนคร 12 ก.ค. 2555, 22:20:22 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจเช่นเคยครับ //
ครั้งนี้ก็มาตามสัญญาว่าเขียนจบคืนมาคืบ(ครึ่งตอน)...แล้วเรื่องนี้มีหลายคู่ครับ ตัวร้าย นางร้ายยังไม่ได้ทำหน้าที่เลย...ยังไม่จบง่าย ๆ หรอกครับ...///คุณ will อยู่ประเทศไหนเหรอครับ...เผื่อผมมีุบุญวาสนาจะไปขอข้าวกินสักมื้อ 55555555555
ขอบคุณจากทุก ๆ กำลังใจเช่นเคยครับ //


wagawagamina 12 ก.ค. 2555, 22:33:41 น.
ว๊าก อัพแล้ว
ว๊าก อัพแล้ว

Orathai 12 ก.ค. 2555, 22:49:48 น.
อึดอัดใจแทนอาจารย์กล้วยกับหนูจิน
อึดอัดใจแทนอาจารย์กล้วยกับหนูจิน

wii 12 ก.ค. 2555, 22:51:18 น.
อยู่อเมกาค่ะ มาเลยค่ะจะพาไปเลี้ยงอาหาร
อยู่อเมกาค่ะ มาเลยค่ะจะพาไปเลี้ยงอาหาร


overtime 12 ก.ค. 2555, 23:17:16 น.
ขอบคุณพี่เฟื่องมากคะ เร็วทันใจ พรุ่งนี้ขออีกนะคะ สนุกตั้งแต่ต้นเรื่องเลย
ขอบคุณพี่เฟื่องมากคะ เร็วทันใจ พรุ่งนี้ขออีกนะคะ สนุกตั้งแต่ต้นเรื่องเลย


nutcha 13 ก.ค. 2555, 07:35:03 น.
พี่ต้นกล้วยแอบน้อยใจจินอีกแหละ
พี่ต้นกล้วยแอบน้อยใจจินอีกแหละ

แว่นใส 13 ก.ค. 2555, 08:18:24 น.
มีกี่คู่คะเนี่ย
มีกี่คู่คะเนี่ย



Zephyr 16 ก.ค. 2555, 21:29:21 น.
ต่างคนต่างน้อยใจ อิอิ เอาไงต่อละทีนี้
ต่างคนต่างน้อยใจ อิอิ เอาไงต่อละทีนี้
