ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy
ตอน: ปอคอ
ตอนที่ 38
ฉันนั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่คุ้นเคยในร้านอาหารบนนยากาศดีแห่งหนึ่ง
ฉันเห็นอะไรน่ะเหรอ ฉันก็เห็นผู้ชายสามคนนั่งคุยกันน่ะสิ…เอ่อ…อาจจะไม่แปลกเท่าไร แต่ฉันเพิ่งเคยเห็นคุณนรินทร์กับแจ๊กกี้คุยกันสนิทสนมมากเลยล่ะ
“พี่ว่าอะไรนะฮะ อยากได้ picture ของผมไปติดที่บริษัทเหรอ โอ้!มายกู๊ดเนส!” แจ๊กกี้ตื่นเต้นมากขณะนั่งเคี้ยวปลาตุ้ยๆ
คุณนรินทร์ดูจะเคยชินกับสำเนียงการพูดของแจ๊กกี้ เพราะเขาไม่ได้ขำเลยสักนิด “ใช่ พี่คิดว่าศิลปะทำให้สถานที่น่าอยู่ขึ้น”
“โอ้ว! ฟอร์ก๊อดเสค! ผมไม่ได้หูฝาดใช่ไหมฮะ” คุณรันเลียนแบบเพื่อน
“ทำไม” คุณนรินทร์ถามเสียงเข้ม “มันแปลกตรงไหน”
ฉันขำ เขาเริ่มฉุนแล้วสินะ
คุณรันเหล่มาทางฉัน “ตั้งแต่แต่งงาน…พี่รินนี่อ่อนโยนขึ้นนะ”
ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน น่าอายจะตายไป! คุณรันชอบล้ออยู่เรื่อย
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” แล้วรีบปลีกตัวออกมา
“เธอคง shy น่ะฮะ” แจ๊กกี้แอบพูด
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า! วันนี้คุณนรินทร์นึกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ บอกว่าอยากทานข้าวกันตามประสาพี่น้อง แล้วจะลากฉันกับแจ๊กกี้ออกมาทำม้าย!!!!
เอ่อ…แจ๊กกี้นี่…คุณรันชวนมาต่างหาก เห็นบอกว่าเนื่องจากข้าวของแพง แจ๊กกี้เลยต้องกัดซองมาม่ากินทุกวัน
ฉันทำธุระเสร็จแล้วจึงกลับไปที่โต๊ะ แล้วได้ยินทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรส
“นี่พูดจริงหรือเปล่า” น้ำเสียงคุณนรินทร์ดูประหลาดใจ
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
แจ๊กกี้ที่กำลังทานอาหารอยู่ก็พูดด้วยเสียงอู้อี้
“ผมจะให้พี่รินมาเป็นประธานเปิดแกลเลอรี่ของเราอย่างเป็นทางการน่ะคุณสิดี”
“คะ? แกลเลอรี่? บ้านคุณน่ะเหรอคะแจ๊กกี้”
คุณรันขำกลิ้ง
“แกลเลอรี่หรือโกดังกันแน่ครับนั่น โอ๊ย! เจ็บเว้ย!”
แจ๊กกี้เตะขาเพื่อนเต็มแรง
“คุณไม่รู้เหรอว่ารันมันเปิดแกลเลอรี่เล็กๆอยู่ คราวนี้ผมเลยขอลงหุ้นเอารูปของผมไปขายด้วย…”
เขาดื่มน้ำหลายอึก “เผื่อจะได้ moneyมาใช้บ้าง”
อ้อ…เป็นความคิดที่ดีนะ
“ฉันพึ่งรู้นะคะเนี่ย แล้วคุณก็ลงประกาศรับสอนศิลปะสิคะ คราวนี้คงได้ลูกค้ามากขึ้น”
แจ๊กกี้ทำตาวาว “กู๊ดไอเดีย! เป็นความคิดที่ดีจริงๆ”
คุณนรินทร์เช็ดปากแล้วดูนาฬิกา “จะเที่ยงแล้ว กลับกันเถอะ”
“แล้ว…พี่รินตกลงไหมฮะ เพราะถ้าพี่มาเปิดเราก็สามารถลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ได้ คราวนี้ก็…ดัง…ลูกค้าเยอะ” คุณรันลุกขึ้นบ้าง
คุณนรินทร์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก“เอาสิ ตกลง พี่ไปเปิดให้”
แล้วก็คุณนรินทร์เรียกพนักงานมาเก็บเงิน
“เวรี่ฟูลจริงๆ ขอบคุณมากฮะพี่ริน ผมกินมาม่าจนหน้าจะเป็นเส้นอยู่แล้ว” แจ๊กกี้ตบพุงตัวเองด้วยความดีใจ
คุณนรินทร์ตบบ่าเขาเหมือนซี้กันมานาน
“ไม่เป็นไร แล้วเปิดร้านวันไหนบอกพี่อีกทีแล้วกัน”
“ขอบคุณมากฮะพี่ริน แล้วนี่จะไปไหนกันต่อหรือเปล่าครับ ผมกับแจ๊กกี้จะขอตัวไปดูแกลเลอรี่ก่อน” คุณรันลาพี่ชายและขยิบตาให้ฉัน
“พวกแกไปเถอะ เจอกันมื้อเย็นล่ะ อ้อ แจ๊กกี้ วันไหนว่างๆอยากมากินข้าวบ้านพี่ก็มากับรันได้เลยนะ”
แจ๊กกี้ทำท่าดีใจซาบซึ้งสุดชีวิตแล้วกุมมือคุณนรินทร์ขึ้นมาด้วยความปลื้มปีติ
“โอ้ว….มายฮีโร่ ยูอาร์โซคาย”
คุณนรินทร์เริ่มหันซ้ายขวามองคนในร้านด้วยความเก้อเขิน ฉันยืนขำข้างๆกับคุณรัน
“มะ…ไม่เป็นไร…ปล่อยมือพี่เถอะ” คุณนรินทร์พยายามแกะมือแจ๊กกี้ออก
คุณรันล็อกคอเพื่อน “พอได้แล้วไอ้บ้า พี่รินเขาแต่งงานแล้วเว้ย!” แล้วลากเขาเดินจากไป
“ลาก่อนสิดี คุณมีฮัสสะแบ้นที่ดีจริงๆ” เขาตะโกนบอกฉัน
ฉันโบกมือให้แล้วรีบจูงมือคุณนรินทร์ออกไปจากตรงนั้น
แล้วเขาก็ขำ “ฮ่าๆๆๆๆ คุณกับแจ๊กกี้นี่สมกันแฮะ อาจารย์กับลูกศิษย์….พอกันเลย”
“พอกันยังไงคะ” ฉันทำตาขวางใส่
เขาจูงมือฉันขึ้นรถ “ตลกเหมือนกันน่ะซิ” แล้วขำต่อ
เชอะ…คุณก็ชอบฉันเพราะตลกไม่ใช่เรอะ…
“ไปห้างหน่อยไหม ผมจะซื้อของสักหน่อย” เมื่อถึงที่หมาย เขาก็แยกตัวออกไป ฉันเลยแยกไปที่ร้านหนังสือ
อืม…เดี๋ยวนี้หนังสือแนววัยรุ่นเกาหลี ไม่ก็แนวความรักหวานแหววกำลังเป็นที่นิยมจริงๆ ธุรกิจหนังสือกำลังเจาะตลาดวัยรุ่นซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่หัวอ่อน เข้าถึงง่าย และเปราะบาง ทันใดนั้นสายตาฉันก็ไปปะทะกับชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่แตกต่างไปจากชื่อความรักหวานแหววแถวนั้น
ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง…เอ…น่าอ่านแฮะ
ฉันกำลังจะหยิบ แต่แล้ว แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก็เอื้อมผ่านศีรษะไป…ฉันได้กลิ่นอะไรตุๆด้วยแฮะ พอฉันแหงนหน้าขึ้นไปมอง…ก็ปะทะกับ สาหร่ายสบายรูสิท่า อยู่ตรงหน้าพอดี
ฉันไม่ได้ไม่พอใจที่โดนแย่งหนังสือ แต่เพราะอีตาคนนี้ไม่มีมารยาทเลยที่ชูขนรักแร้ของเขาเหนือศีรษะคนอื่น
ฉันเหม็นจนทนไม่ไหวแล้วนะ…
“คุณคะ” ฉันพยายามตั้งสติ คิดหาคำพูดดีดี
พ่อขี้เต่ามองฉันด้วยสายตาสงสัย
“เมื่อกี้คุณชูรักแร้ข้ามศีรษะฉันนะคะ”
เขาตาโต เริ่มหน้าแดง และทำหน้าไม่พอใจ “คุณว่าอะไรนะครับ” เสียงโหดเชียว
ฉันถอยหลังมาก้าวหนึ่ง เตรียมพร้อมแรงปะทะ นี่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กอย่างฉันจะสยบกับความอยุติธรรมเหรอ
“ฉันบอกว่าคุณไม่มีมารยาทเลยที่เที่ยวแหย่รักแร้ของคุณไปตรงนู้นตรงนี้”
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพ่อกล้ามเนื้อทำหน้าน่ากลัว
“คนอื่นเขาเหม็นนะคะ”
คราวนี้แหละ พี่แกเหวี่ยงหนังสือลงอย่างแรง เริ่มมีหลายคนในร้านหนังสือหันมามองเพราะด้วยคำพูดของฉันหรือเพราะท่าทางน่ากลัวของอีตานี่ก็ไม่รู้
เขาหักข้อนิ้วดังเป๊าะๆ ฉันถอยหลังหนีเรื่อย เริ่มภาวนาให้คุณนรินทร์เดินมาตรงนี้เร็วๆ
“แล้วคุณมีปัญหาเหรอ” พี่โหดถามเสียงเย็นเฉียบ
ฉันยังคงทำหน้าไม่กลัวต่อไป ทั้งๆที่ในใจภาวนาให้คุณนรินทร์ออกมาเสียที หายไปไหนนะ!!!!
แล้วฉันก็คิดอะไรออก ถึงฉันจะแรงสู้ไม่พอ แต่เสียงฉันสูงนะยะ
“แน่นอน! ฉันมีปัญหา และคิดว่าคนอื่นเขาก็มีปัญหาเหมือนกัน จริงไหมคะทุกคน” ฉันพูดเสียงแหลมปรี๊ด! แล้วหันไปสบตาคนแถวนั้นที่อ่านหนังสืออยู่เพื่อขอแรงสนับสนุน
แต่สังคมสมัยนี้มันเป็นอะไรกัน ตัวใครตัวมันอย่างนั้นเหรอ…ทุกคนต่างหลบตาฉันและรีบถอยห่างจากตรงนั้น…ไร้น้ำใจกันจริงๆ
ฉันยังสู้ต่อไม่ลดละ แม้อีตายักษ์เต่าเหม็นจะยิ้มเยาะสะใจเมื่อฉันไม่มีใครเข้าข้าง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ แล้วรีบกระพือปีกโชว์สาหร่ายและกล้ามเนื้อใหญ่ ฉันกลัวเขาจะทำร้ายร่างกายฉัน ซึ่งฉันไม่มีทางสู้แน่นอน
“ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้! ยัยเบื๊อก!” ยักษ์ใหญ่คำราม
ต๊าย! บังอาจมาก
“แกนั่นแหละไอ้อ้วน! โน่นอะไรน่ะ!” ฉันแกล้งทำท่าตกใจแล้วชี้นิ้วไปด้านหลังเขา
ไอ้ยักษ์ก็โง่สิ้นดี ดันโดนฉันหลอกหันตามไป ฉันเลยได้ทีเตะไข่เต็มแรง
“โอ๊ย! นังตัวแสบ!” พ่อเต่าแรงทำหน้าเจ็บปวดแล้วก้มเอามือหนาๆกุมไข่ตัวเอง
คนในร้านหนังสือฮือฮาด้วยความตกใจ ฉันก็ตกใจเหมือนกันว่าจะทำร้ายเจ้านี่ทำไม แต่แล้วคุณนรินทร์มาจากไหนไม่รู้ก็รีบลากตัวฉันออกมาจากตรงนั้น
เราวิ่งกันสุดชีวิตมาขึ้นรถ แล้วคุณนรินทร์ก็ขับเกียร์แรงสุดบึ่งออกจากห้าง
“คุณทำบ้าอะไรหา!!!!!” คุณนรินทร์ดุฉันเสียงดังตอนเกือบจะฝ่าไฟแดง
โอ๊ย! ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแหละน่า
“แล้วคุณจะขับเร็วทำไมคะ ตำรวจไม่ตามหรอก!”
“ใครจะรู้ เขาอาจจะแจ้งจับคุณขอหาทำร้ายร่างกายก็ได้” เขายังขับเร็วต่อไป
บ้าสิ้นดี ใครกันแน่ที่ผิดล่ะทีนี้
“ตาบ้านั่นเอารักแร้มาชูเหนือศีรษะฉัน ฉันแค่อยากบอกว่าเขาไม่ควรทำอย่างนี้ในที่สาธารณะเท่านั้นเอง!” ฉันอธิบายพลางหอบแฮ่กๆ
คุณนรินทร์เริ่มใจเย็นลงเมื่อเลี้ยวเข้าซอยใกล้บ้าน “แล้วไปเตะเขาทำไมล่ะแม่คุณ”
ฉันกอดอกแน่น “นั่นสิคะ ฉันก็งง สงสัยตกใจ ก็ตานั่นดันทำหน้าโหดแล้วหักนิ้วเป๊าะๆอยู่ได้”
คุณนรินทร์หลุดขำ “เอาเถอะ เขาคงไม่แจ้งตำรวจให้เสก็ตภาพหาตัวผู้ร้ายแล้วติดประกาศตามจับทั่วประเทศหรอกนะ”
คราวนี้ฉันกลัวจริง “จะ…จริงเหรอคะ…คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก….”
คุณนรินทร์จอดรถเข้าซองในบ้านดังเอี๊ยด
เขาพูดอย่างอารมณ์ดี “ผมปกป้องคุณได้น่า”
ฉันหันไปมองเขาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น….เอ่อ….เขาจะปกป้องฉันเหรอ….นั่นเป็นหน้าที่ของสามีสินะ
“แมนจังเลยค่ะ” ฉันพูดแล้วกุมมือเขาด้วยความประทับใจสุดๆ
คุณนรินทร์ยิ้มเขินๆ แล้วก้มลงจูบหน้าผากฉันแผ่วเบา
“….แบบนี้ไง…”
“ปอคอเหรอครับป้าเนียร?” คุณนรินทร์ถามหน้าตื่นในบ่ายคล้อยของวันหนึ่งขณะที่เรากำลังช่วยคุณแม่เลือกเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ออกมา
คุณแม่ทำหน้าสงสัย “ทำไมเร็วจัง ปกติต้องเดือนหน้าไม่ใช่เหรอ”
ฉันฟังผิดหรือเปล่านะ ปอคอ อะไรกันเหรอ
“เอ่อ อะไรเหรอคะ”
ป้าเนียรมองฉันยิ้มๆ “ปอคอน่ะค่ะ เดี๋ยวคุณก็รู้ แต่คุณรินเป็นรายแรกนะคะ คิวสองคือคุณรัน ตอนนี้กำลังบึ่งรถกลับจากแกลเลอรี่แล้วค่ะ แล้วคุณสิดีคนสุดท้ายค่ะ”
ฉันงงเป็นไก่ตาแตก นี่ฉันต้องเข้าคิวทำอะไรเนี่ย
คุณตุ๋มมองลูกชายด้วยความกังวล “สู้ๆนะจ๊ะลูกรัก” คุณนรินทร์พยักหน้าตอบแล้วเดินตามป้าเนียรออกไป
ฉันพยายามจะถามคุณตุ๋ม แต่เธอไม่ยอมบอกเลย เอาแต่สั่งให้ฉันพับนู่นพับนี่ตลอดเวลา
ไม่นานนักคุณรันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้อง “ผมมาช้าไปหรือเปล่าครับ”
“ยังจ้ะยัง ตารินยังไม่ออกมาเลย มานั่งพักก่อนมา”
คุณรันมองฉัน “คุณโดนปอคอด้วยหรือเปล่าฮะ”
ถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าคืออะไรแต่ก็พยักหน้าตอบไป
“ครั้งแรกไม่ต้องกลัวนะฮะ ทำตัวตามสบาย” เขาพูดยิ้มๆ
ฉันกำลังจะถามต่อว่าคืออะไรเหรอ แต่คุณนรินทร์เดินเข้าห้องมาสีหน้าเครียด
“รัน แกไปได้แล้ว”
คุณรันรีบเดินตัวปลิวจากไป
คุณตุ๋มยกผ้ากองที่จะบริจาคไปวางหน้าห้อง “โอเคไหมตาริน”
คุณรินซุบซิบอะไรกับแม่เขาสักอย่าง แล้วสองแม่ลูกก็มองฉันด้วยความกังวล แล้วหนีออกจากห้องไปทั้งสองคนเลย
อ๊าว….นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ปอคอ บ้าบออะไร
ผ่านไปเกือบชั่วโมง ฉันยังคงนั่งพับผ้าอยู่คนเดียว เสื้อผ้าคุณตุ๋มนี่เยอะจริงๆ
“คุณสิดีฮะ ตาคุณแล้ว” คุณรันหน้าเครียดไม่แพ้พี่ชาย
ฉันเดินงงๆออกไปหน้าห้องนอนคุณตุ๋ม แล้วก็ได้เห็นสามแม่ลูกซุบซิบอะไรกันสักอย่าง
“ผมโดนเรื่องเดิมฮะ พี่รินโดนเรื่องไร”
ฉันได้ยินพวกเขาซุบซิบกัน
ทั้งสามหันมามองฉันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไปหาคุณพ่อที่ห้องทำงานสิ สิดี” คุณนรินทร์บอก สีหน้าเรียบเฉย
ฉันยิ้มตอบแล้วเดินไปที่ห้องสุดทางเดิน ก็แค่ไปหาคุณพ่อเนี่ยนะ จะอะไรนักหนา
ฉันเคาะประตู
“เข้ามา” อึ๋ย…ทำไมเสียงดุล่ะ ปกติคุณพ่อออกจะอารมณ์ดีตลอดเวลา
ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานอันโอ่อ่าที่เต็มไปด้วยประกาศเกียรติคุณนักธุรกิจดีเด่น และถ้วยกอล์ฟในการแข่งขันต่างๆ
เอ…ทำไมห้องดูอึมครึมอย่างนี้…ม่านใหญ่ๆถูกเอาลงปิดแสงสว่าง คุณพ่อนั่งหันหลังให้ฉัน
ฉันเดินเข้าไปนั่งอย่างเรียบร้อย คุณพ่อก็หมุนเก้าอี้มาสบตากันพอดี
“สิดี” เขาเรียกชื่อฉันเสียงเข้ม บุคลิกของคุณลุงร่างท้วมใจดี กลยเป็นมาเฟียหน้าโหดแทน
“….คะ?...”
เขากุมมือตัวเองอย่างกระชับ “รู้ไหมว่าปอคอคืออะไร”
“เอ่อ…” ฉันพยายามคิด ทำไมวันนี้คุณพ่อดูน่ากลัวจัง เหมือนกลับไปสอบสัมภาษณ์งานอีกครั้งเลย
“ปังคุงเหรอคะ” ฉันพยายามพูดตลกเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้น
แต่คุณพ่อไม่สน ท่านเครียดต่อ “ปอคอคือ ประชุมเครียด”
ฉันผงะ!!!....
“เข้าเรื่องเลย มีลูกกับตารินซะ!!!”
คราวนี้ฉันเกือบตกเก้าอี้
“ทำไมหา!!!! เกือบปีแล้วนะ นี่หรือว่ายังไม่ได้มีอะไรกัน”
โอ๊ย! นี่อะไรเข้าสิงคุณพ่อเหรอ จะให้ฉันบอกอย่างไรล่ะ ว่าเราพึ่งรักกันน่ะค่ะ แล้วหนูเป็นพวกขี้ตกใจ เขาเข้าใกล้เป็นโดนตบ อย่างนั้นเหรอ!!!!
“คะ..คือ…” ฉันพูตะกุกตะกัก
คุณพ่อทำหน้าดุอย่างไม่ลดละ “เธอไม่ได้เป็นหมัน พ่อตรวจประวัติสุขภาพจากโรงพยาบาลแล้ว และรู้ไหม อะไรสำคัญที่สุดสำหรับนราธร…..ทายาทอย่างไรล่ะ”
คุณพ่อหายใจเสียงดัง “พ่อให้เวลาอีกสามเดือน”
“ไม่ได้นะคะ!” ฉันรีบค้าน ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากมีหรือฉันไม่ได้รักคุณนรินทร์หรอกนะ…แต่ฉัน…ฉันยังไม่พร้อมสำหรับ….เรื่องอย่างว่าหมายถึงการทำจริงจังน่ะ
คุณพ่อเอามือตบโต๊ะเสียงดัง
“ทำไม! บอกเหตุผลมาซิ!”
“หนู…เอ่อ…หนู…” โถ่เอ๊ย! เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
“ของอย่างนี้มันบังคับกันไม่ได้นะคะ เหมือนคุณพ่ออยากแคะหู แต่ไม่มีขี้หูให้แคะ คุณพ่อก็แคะไม่ได้ เข้าใจไหมคะหนูขอเวลาหกเดือน” ฉันต่อรอง
ได้ผล…คุณนรินทร์ผู้พ่อผงะบ้าง แล้วท่านก็นิ่งมองฉันเนิ่นนาน จนฉันต้องหลบสายตาเพราะน่ากลัวเหลือเกิน ฉันรู้แล้วว่ารังสีอัมหิตของคุณนรินทร์คนลูกได้มาจากใคร
“ตกลง” ท่านพูดเสียงอ่อนโยนขึ้น
“หกเดือน ภายในหกเดือนต้องท้อง เอาละ ไปได้”
ฉันลุกขึ้นแล้วเกือบจะออกจากห้องพ้นไปแล้ว แต่ก็นึกอะไรออก
“คุณพ่อคะ…แล้วถ้า…ไม่เป็นไปตามที่คุณพ่อสั่งจะเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
คุณพ่อยิ้มน่ากลัว “หนูไม่มีวันรู้หรอก”
วุ้ย! น่ากลัวเชียว รีบออกจากห้องนี้ดีกว่า
ฉันนอนเย็นฉ่ำอ่านหนังสือในห้องนอน นี่เกือบสี่ทุ่มแล้ว รายการทีวีที่อยากดูใกล้มาแล้วสินะ
“เย็นสบายตัวจัง” คุณนรินทร์เดินอารมณ์ดีออกมาจากห้องน้ำ แล้วแกล้งสะบัดผมเปียกๆขณะเช็ดไปด้วยใส่หน้าฉัน
ฉันเลยคว้าหมอนข้างฟาดตัวเขา “เล่นพิเรนทร์”
เขาหัวเราะ “คุณพ่อคุยอะไรกับคุณ”
ฉันปิดหนังสือ แล้วเปิดทีวี “เอ่อ…จำไม่ได้แล้วค่ะ”
เขาทิ้งตัวลงนอนแล้วขยับเข้ามาใกล้จนประชิด “คิดว่าผมไม่รู้เหรอ” พูดเสร็จก็หยิบหนังสือพิมพ์ของวันนี้ขึ้นมาอ่าน
ฉันหันไปมองอย่างตกใจ “คุณรู้เหรอคะ”
เขาตอบอย่างไว้ที “คุณพ่อก็พูดกับผมเรื่องเดียวกันนี่ล่ะ คุณรู้เรื่องของปอคอหรือยัง”
“ก็ ประชุมเครียดไงคะ แต่ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามีขึ้นทำไม เป็นประเพณีเหรอ?”
เขาพลิกหนังสือพิมพ์ “เป็นการประชุมที่มีปีละหนึ่งครั้ง คุณพ่อจะเรียกลูกๆไปทีละคน เพื่อเรียกไปคุยถึงปัญหา และสั่งสอนว่าควรทำอะไรไม่ทำอะไร อ้อ ที่สำคัญ สะสางบัญชีความผิดที่เคยทำมาด้วย เวลาประชุมคุณพ่อจะดุเป็นพิเศษ แต่หลังจบจากประชุม ทุกคนต้องสดใสเหมือนเดิม ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“โอ้โห…แล้ว…ถ้าไม่ทำตามที่ท่านสั่งเราจะโดนอะไรเหรอคะ”
แล้วคุณนรินทร์ก็ตอบนิ่งๆ “คุณไม่มีวันรู้หรอก”
พับผ่าสิ!
“พ่อลูกตอบเหมือนกันเปี๊ยบ” ฉันกระแนะกระแหน
เขาขำเบาๆ “รู้ไหมว่ารันโดนเรื่องอะไร มันโดนเรื่องผมยาวเกิน แล้วก็ไม่ยอมแต่งงานสักที คุณพ่อให้เวลามัน 1 ปี หาแฟนดีดีสักคน”
ฉันนอนดูทีวีเพลิน “จะได้เหรอคะ เห็นเขาไม่อยากมี”
“ฮือ…” คุณนรินทร์ครางในลำคอ แล้วพับหนังสือพิมพ์เก็บ “เดี๋ยวก็รู้ ว่าแต่…เรื่องของเราล่ะ…เอาอย่างไรดี…คุณพ่อบอกว่า เราต้องมีลูก”
โป๊ะเชะ! นั่นไงเรื่องเดียวกันจริงๆด้วย
น่าอายชะมัด!
แล้วเขาก็โอบไหล่ฉันอย่างเก้อเขิน “เอ่อ…เราคงต้องจริงจังกับเรื่องนี้แล้วล่ะ”
แล้วเราก็จูบกันอย่างอ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไป ก่อนริมฝีปากของเราจะผละออกจากกัน เขาจูบกระหม่อมฉันเบาๆทีหนึ่ง แล้วลงมาจุ๊บที่ซอกคอให้ฉันวาบหวาม ก่อนจะเคลื่อนลงมาที่...
"ไม่เอา" แล้วดันอกแข็งแรงออก
เขาจุ๊ปาก แล้วขมวดคิ้ว
"ทำไม ไหนว่ารักผมไง"
ฉันยิ้มแห้งๆ "ฉันขอดูรายการโปรดก่อนนะคืนนี้ เรายังมีเวลาอีกหลายคืนนะคะ"
คุณนรินทร์ชักสีหน้า แล้วปล่อยมือทั้งสองที่โอบฉันไหว ก่อนจะนอนหันหลังให้ฉัน
เอาแล้วไง นิสัยขี้งอนแบบนี้เขาเริ่มเป็นตอนไหนกัน
ฉันเลยพยายามลองทำทีออดอ้อนแบบที่ไม่ถนัดนัก แต่ฉันว่าฉันควรจะหัด 'มารยาหญิง' ไว้บ้าง
ฉันโอบเขาจากด้านหลัง เอาใบหน้าซุกไซร้หาความอบอุ่นจกแผ่นหลังกว้าง
"นรินทร์ขา...ฉันขอโทษ แต่คืนนี้ฉันอยากดูทีวีจริงๆ"
เขานิ่ง แต่ลำตัวรู้ได้ว่าร้อนผ่าว แล้วก็ไม่มีท่าทีตอบสนองฉันเลยนานหลายนาที จนฉันรู้สึกผิด
ฉันจึงผละออกจากเขา แล้วเอ่ยค่อยๆ "โถ่...ฉันขอโทษแล้วกัน" แล้วปิดทีวี ปิดโคมไฟหัวเตียงนอนหันหลังให้เขาบ้าง อะไรกันเนี่ย เขาทำแบบนี้ฉันก็เสียใจนะ ฉันลำดับความสัมพันธ์ระหว่างทีวี กับสามี ไม่ถูกสินะ
แต่แล้วมือหนาสองข้างก็ดึงตัวฉันเข้าไปในอ้อมกอดแทบจะทันที เขาซุกใบหน้าลงที่ซอกคอฉัน
"สิดี คุณน่ะ...ทรมานผมอยู่เรื่อย ไม่รู้หรือไง ว่าเวลาผมอยู่ใกล้คุณ แล้วคุณทำนู่นนี่ไม่สนใจผม ผม...ใจจะขาด"
ใบหน้าฉันร้อนผ่าว "ไม่รู้หรอก..."
เขาทำเสียงเหมือนจะขัน "งั้นก็รู้ซะ" ว่าแล้วก็จับฉันพลิกตัวให้หันมาทางเขา มือหนึ่งรั้งท้ายทอยฉันให้เงยหน้าแล้วประทับจูบหนักหน่วงแบบที่ฉันตั้งตัวไม่ทัน อีกมือกำลังปะป่ายไปทั่วตัว แล้วฉันก็สั่นสะท้าน ฉันปล่อยให้เขานำไป อยากทำอะไรก็ทำ ฉันไม่ดูก็ได้รายการโปรด...เขารักฉันขนาดนี้เลยหรือ...
แต่แล้วเขาก็จบลงดื้อๆ เมื่อฉันเริ่มตอบสนอง เบียดตัวเข้าหา
"อ้าว" ฉันอุทานแบบลืมตัว คุณนรินทร์หัวเราะ
"ติดใจใช่ไหมล่ะ แต่ผมเปลี่ยนใจละ คืนนี้ผมอยากนอนกอดคุณนานๆมากกว่า"
แล้วเขาก็กอดฉันไว้ทั้งตัว ฉันจึงซุกศีรษะกับอกแกร่ง รู้สึกอบอุ่นมากกว่าครั้งไหนๆ
"วันๆเราไม่ค่อยได้คุยเรื่องส่วนตัวกันเลยนะ" เขาพูดขึ้นมาดื้อๆ
ฉันอมยิ้ม เพียงแค่รู้ว่ามีอีกคนหนึ่งบนโลก ที่ต้องการอยู่เคียงข้างเรา มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
แล้วฉันก็นึกอะไรออก
“คุณนรินทร์คะ ฉันอยากถามว่า…เอ่อ…คุณรักฉันตอนไหนน่ะค่ะ”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง
“เอ่อ….ไม่รู้แฮะ รู้แต่ว่าพอคุณเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผม ตอนแรกผมก็โมโห จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นขำ แล้วกว่าจะรู้ตัว…ผมก็…เอ่อ…เอาแต่นึกถึงคุณตลอดเวลา”
ฉันอมยิ้ม…
“แล้ว…แล้วคุณล่ะ” เขาถามกลับ
อืม…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน….เอ่อ….นั่นสิ เขามาอยู่ในใจฉันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฉันก็จำไม่ได้ค่ะ รู้แต่ว่า อยู่ดีดีหลังแต่งงานหลอกๆ ฉันก็ไม่อยากจากคนขี้โมโหและกวนประสาทไปเลย”
เขาหัวเราะพอใจ แล้วกอดฉันแน่น ก่อนจะหอมผมฉันเบาๆ “ผมก็เหมือนกัน…ไม่อยากจากคนตลกอย่างคุณไปเลย…ผมอยู่กับคุณแล้วมีความสุข”
เอ่อ…ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยคิดว่าอย่างคุณนรินทร์จะพูดอะไรอย่างนี้ได้หรอกนะ เขาไปเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ…
อืม…อาจจะถึงเวลาแล้ว…ที่ฉันต้องรู้จักเปลี่ยนตัวเอง…อ่อนหวานบ้าง…
ฉันเงยหน้าไปหอมแก้มเขาเบาๆแล้วกระซิบที่ข้างหู “ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
ฉันนั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่คุ้นเคยในร้านอาหารบนนยากาศดีแห่งหนึ่ง
ฉันเห็นอะไรน่ะเหรอ ฉันก็เห็นผู้ชายสามคนนั่งคุยกันน่ะสิ…เอ่อ…อาจจะไม่แปลกเท่าไร แต่ฉันเพิ่งเคยเห็นคุณนรินทร์กับแจ๊กกี้คุยกันสนิทสนมมากเลยล่ะ
“พี่ว่าอะไรนะฮะ อยากได้ picture ของผมไปติดที่บริษัทเหรอ โอ้!มายกู๊ดเนส!” แจ๊กกี้ตื่นเต้นมากขณะนั่งเคี้ยวปลาตุ้ยๆ
คุณนรินทร์ดูจะเคยชินกับสำเนียงการพูดของแจ๊กกี้ เพราะเขาไม่ได้ขำเลยสักนิด “ใช่ พี่คิดว่าศิลปะทำให้สถานที่น่าอยู่ขึ้น”
“โอ้ว! ฟอร์ก๊อดเสค! ผมไม่ได้หูฝาดใช่ไหมฮะ” คุณรันเลียนแบบเพื่อน
“ทำไม” คุณนรินทร์ถามเสียงเข้ม “มันแปลกตรงไหน”
ฉันขำ เขาเริ่มฉุนแล้วสินะ
คุณรันเหล่มาทางฉัน “ตั้งแต่แต่งงาน…พี่รินนี่อ่อนโยนขึ้นนะ”
ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน น่าอายจะตายไป! คุณรันชอบล้ออยู่เรื่อย
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” แล้วรีบปลีกตัวออกมา
“เธอคง shy น่ะฮะ” แจ๊กกี้แอบพูด
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า! วันนี้คุณนรินทร์นึกครึ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ บอกว่าอยากทานข้าวกันตามประสาพี่น้อง แล้วจะลากฉันกับแจ๊กกี้ออกมาทำม้าย!!!!
เอ่อ…แจ๊กกี้นี่…คุณรันชวนมาต่างหาก เห็นบอกว่าเนื่องจากข้าวของแพง แจ๊กกี้เลยต้องกัดซองมาม่ากินทุกวัน
ฉันทำธุระเสร็จแล้วจึงกลับไปที่โต๊ะ แล้วได้ยินทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรส
“นี่พูดจริงหรือเปล่า” น้ำเสียงคุณนรินทร์ดูประหลาดใจ
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
แจ๊กกี้ที่กำลังทานอาหารอยู่ก็พูดด้วยเสียงอู้อี้
“ผมจะให้พี่รินมาเป็นประธานเปิดแกลเลอรี่ของเราอย่างเป็นทางการน่ะคุณสิดี”
“คะ? แกลเลอรี่? บ้านคุณน่ะเหรอคะแจ๊กกี้”
คุณรันขำกลิ้ง
“แกลเลอรี่หรือโกดังกันแน่ครับนั่น โอ๊ย! เจ็บเว้ย!”
แจ๊กกี้เตะขาเพื่อนเต็มแรง
“คุณไม่รู้เหรอว่ารันมันเปิดแกลเลอรี่เล็กๆอยู่ คราวนี้ผมเลยขอลงหุ้นเอารูปของผมไปขายด้วย…”
เขาดื่มน้ำหลายอึก “เผื่อจะได้ moneyมาใช้บ้าง”
อ้อ…เป็นความคิดที่ดีนะ
“ฉันพึ่งรู้นะคะเนี่ย แล้วคุณก็ลงประกาศรับสอนศิลปะสิคะ คราวนี้คงได้ลูกค้ามากขึ้น”
แจ๊กกี้ทำตาวาว “กู๊ดไอเดีย! เป็นความคิดที่ดีจริงๆ”
คุณนรินทร์เช็ดปากแล้วดูนาฬิกา “จะเที่ยงแล้ว กลับกันเถอะ”
“แล้ว…พี่รินตกลงไหมฮะ เพราะถ้าพี่มาเปิดเราก็สามารถลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ได้ คราวนี้ก็…ดัง…ลูกค้าเยอะ” คุณรันลุกขึ้นบ้าง
คุณนรินทร์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก“เอาสิ ตกลง พี่ไปเปิดให้”
แล้วก็คุณนรินทร์เรียกพนักงานมาเก็บเงิน
“เวรี่ฟูลจริงๆ ขอบคุณมากฮะพี่ริน ผมกินมาม่าจนหน้าจะเป็นเส้นอยู่แล้ว” แจ๊กกี้ตบพุงตัวเองด้วยความดีใจ
คุณนรินทร์ตบบ่าเขาเหมือนซี้กันมานาน
“ไม่เป็นไร แล้วเปิดร้านวันไหนบอกพี่อีกทีแล้วกัน”
“ขอบคุณมากฮะพี่ริน แล้วนี่จะไปไหนกันต่อหรือเปล่าครับ ผมกับแจ๊กกี้จะขอตัวไปดูแกลเลอรี่ก่อน” คุณรันลาพี่ชายและขยิบตาให้ฉัน
“พวกแกไปเถอะ เจอกันมื้อเย็นล่ะ อ้อ แจ๊กกี้ วันไหนว่างๆอยากมากินข้าวบ้านพี่ก็มากับรันได้เลยนะ”
แจ๊กกี้ทำท่าดีใจซาบซึ้งสุดชีวิตแล้วกุมมือคุณนรินทร์ขึ้นมาด้วยความปลื้มปีติ
“โอ้ว….มายฮีโร่ ยูอาร์โซคาย”
คุณนรินทร์เริ่มหันซ้ายขวามองคนในร้านด้วยความเก้อเขิน ฉันยืนขำข้างๆกับคุณรัน
“มะ…ไม่เป็นไร…ปล่อยมือพี่เถอะ” คุณนรินทร์พยายามแกะมือแจ๊กกี้ออก
คุณรันล็อกคอเพื่อน “พอได้แล้วไอ้บ้า พี่รินเขาแต่งงานแล้วเว้ย!” แล้วลากเขาเดินจากไป
“ลาก่อนสิดี คุณมีฮัสสะแบ้นที่ดีจริงๆ” เขาตะโกนบอกฉัน
ฉันโบกมือให้แล้วรีบจูงมือคุณนรินทร์ออกไปจากตรงนั้น
แล้วเขาก็ขำ “ฮ่าๆๆๆๆ คุณกับแจ๊กกี้นี่สมกันแฮะ อาจารย์กับลูกศิษย์….พอกันเลย”
“พอกันยังไงคะ” ฉันทำตาขวางใส่
เขาจูงมือฉันขึ้นรถ “ตลกเหมือนกันน่ะซิ” แล้วขำต่อ
เชอะ…คุณก็ชอบฉันเพราะตลกไม่ใช่เรอะ…
“ไปห้างหน่อยไหม ผมจะซื้อของสักหน่อย” เมื่อถึงที่หมาย เขาก็แยกตัวออกไป ฉันเลยแยกไปที่ร้านหนังสือ
อืม…เดี๋ยวนี้หนังสือแนววัยรุ่นเกาหลี ไม่ก็แนวความรักหวานแหววกำลังเป็นที่นิยมจริงๆ ธุรกิจหนังสือกำลังเจาะตลาดวัยรุ่นซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่หัวอ่อน เข้าถึงง่าย และเปราะบาง ทันใดนั้นสายตาฉันก็ไปปะทะกับชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่แตกต่างไปจากชื่อความรักหวานแหววแถวนั้น
ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง…เอ…น่าอ่านแฮะ
ฉันกำลังจะหยิบ แต่แล้ว แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามก็เอื้อมผ่านศีรษะไป…ฉันได้กลิ่นอะไรตุๆด้วยแฮะ พอฉันแหงนหน้าขึ้นไปมอง…ก็ปะทะกับ สาหร่ายสบายรูสิท่า อยู่ตรงหน้าพอดี
ฉันไม่ได้ไม่พอใจที่โดนแย่งหนังสือ แต่เพราะอีตาคนนี้ไม่มีมารยาทเลยที่ชูขนรักแร้ของเขาเหนือศีรษะคนอื่น
ฉันเหม็นจนทนไม่ไหวแล้วนะ…
“คุณคะ” ฉันพยายามตั้งสติ คิดหาคำพูดดีดี
พ่อขี้เต่ามองฉันด้วยสายตาสงสัย
“เมื่อกี้คุณชูรักแร้ข้ามศีรษะฉันนะคะ”
เขาตาโต เริ่มหน้าแดง และทำหน้าไม่พอใจ “คุณว่าอะไรนะครับ” เสียงโหดเชียว
ฉันถอยหลังมาก้าวหนึ่ง เตรียมพร้อมแรงปะทะ นี่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กอย่างฉันจะสยบกับความอยุติธรรมเหรอ
“ฉันบอกว่าคุณไม่มีมารยาทเลยที่เที่ยวแหย่รักแร้ของคุณไปตรงนู้นตรงนี้”
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อพ่อกล้ามเนื้อทำหน้าน่ากลัว
“คนอื่นเขาเหม็นนะคะ”
คราวนี้แหละ พี่แกเหวี่ยงหนังสือลงอย่างแรง เริ่มมีหลายคนในร้านหนังสือหันมามองเพราะด้วยคำพูดของฉันหรือเพราะท่าทางน่ากลัวของอีตานี่ก็ไม่รู้
เขาหักข้อนิ้วดังเป๊าะๆ ฉันถอยหลังหนีเรื่อย เริ่มภาวนาให้คุณนรินทร์เดินมาตรงนี้เร็วๆ
“แล้วคุณมีปัญหาเหรอ” พี่โหดถามเสียงเย็นเฉียบ
ฉันยังคงทำหน้าไม่กลัวต่อไป ทั้งๆที่ในใจภาวนาให้คุณนรินทร์ออกมาเสียที หายไปไหนนะ!!!!
แล้วฉันก็คิดอะไรออก ถึงฉันจะแรงสู้ไม่พอ แต่เสียงฉันสูงนะยะ
“แน่นอน! ฉันมีปัญหา และคิดว่าคนอื่นเขาก็มีปัญหาเหมือนกัน จริงไหมคะทุกคน” ฉันพูดเสียงแหลมปรี๊ด! แล้วหันไปสบตาคนแถวนั้นที่อ่านหนังสืออยู่เพื่อขอแรงสนับสนุน
แต่สังคมสมัยนี้มันเป็นอะไรกัน ตัวใครตัวมันอย่างนั้นเหรอ…ทุกคนต่างหลบตาฉันและรีบถอยห่างจากตรงนั้น…ไร้น้ำใจกันจริงๆ
ฉันยังสู้ต่อไม่ลดละ แม้อีตายักษ์เต่าเหม็นจะยิ้มเยาะสะใจเมื่อฉันไม่มีใครเข้าข้าง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ แล้วรีบกระพือปีกโชว์สาหร่ายและกล้ามเนื้อใหญ่ ฉันกลัวเขาจะทำร้ายร่างกายฉัน ซึ่งฉันไม่มีทางสู้แน่นอน
“ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้! ยัยเบื๊อก!” ยักษ์ใหญ่คำราม
ต๊าย! บังอาจมาก
“แกนั่นแหละไอ้อ้วน! โน่นอะไรน่ะ!” ฉันแกล้งทำท่าตกใจแล้วชี้นิ้วไปด้านหลังเขา
ไอ้ยักษ์ก็โง่สิ้นดี ดันโดนฉันหลอกหันตามไป ฉันเลยได้ทีเตะไข่เต็มแรง
“โอ๊ย! นังตัวแสบ!” พ่อเต่าแรงทำหน้าเจ็บปวดแล้วก้มเอามือหนาๆกุมไข่ตัวเอง
คนในร้านหนังสือฮือฮาด้วยความตกใจ ฉันก็ตกใจเหมือนกันว่าจะทำร้ายเจ้านี่ทำไม แต่แล้วคุณนรินทร์มาจากไหนไม่รู้ก็รีบลากตัวฉันออกมาจากตรงนั้น
เราวิ่งกันสุดชีวิตมาขึ้นรถ แล้วคุณนรินทร์ก็ขับเกียร์แรงสุดบึ่งออกจากห้าง
“คุณทำบ้าอะไรหา!!!!!” คุณนรินทร์ดุฉันเสียงดังตอนเกือบจะฝ่าไฟแดง
โอ๊ย! ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันแหละน่า
“แล้วคุณจะขับเร็วทำไมคะ ตำรวจไม่ตามหรอก!”
“ใครจะรู้ เขาอาจจะแจ้งจับคุณขอหาทำร้ายร่างกายก็ได้” เขายังขับเร็วต่อไป
บ้าสิ้นดี ใครกันแน่ที่ผิดล่ะทีนี้
“ตาบ้านั่นเอารักแร้มาชูเหนือศีรษะฉัน ฉันแค่อยากบอกว่าเขาไม่ควรทำอย่างนี้ในที่สาธารณะเท่านั้นเอง!” ฉันอธิบายพลางหอบแฮ่กๆ
คุณนรินทร์เริ่มใจเย็นลงเมื่อเลี้ยวเข้าซอยใกล้บ้าน “แล้วไปเตะเขาทำไมล่ะแม่คุณ”
ฉันกอดอกแน่น “นั่นสิคะ ฉันก็งง สงสัยตกใจ ก็ตานั่นดันทำหน้าโหดแล้วหักนิ้วเป๊าะๆอยู่ได้”
คุณนรินทร์หลุดขำ “เอาเถอะ เขาคงไม่แจ้งตำรวจให้เสก็ตภาพหาตัวผู้ร้ายแล้วติดประกาศตามจับทั่วประเทศหรอกนะ”
คราวนี้ฉันกลัวจริง “จะ…จริงเหรอคะ…คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก….”
คุณนรินทร์จอดรถเข้าซองในบ้านดังเอี๊ยด
เขาพูดอย่างอารมณ์ดี “ผมปกป้องคุณได้น่า”
ฉันหันไปมองเขาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น….เอ่อ….เขาจะปกป้องฉันเหรอ….นั่นเป็นหน้าที่ของสามีสินะ
“แมนจังเลยค่ะ” ฉันพูดแล้วกุมมือเขาด้วยความประทับใจสุดๆ
คุณนรินทร์ยิ้มเขินๆ แล้วก้มลงจูบหน้าผากฉันแผ่วเบา
“….แบบนี้ไง…”
“ปอคอเหรอครับป้าเนียร?” คุณนรินทร์ถามหน้าตื่นในบ่ายคล้อยของวันหนึ่งขณะที่เรากำลังช่วยคุณแม่เลือกเสื้อผ้าที่ไม่ใช้ออกมา
คุณแม่ทำหน้าสงสัย “ทำไมเร็วจัง ปกติต้องเดือนหน้าไม่ใช่เหรอ”
ฉันฟังผิดหรือเปล่านะ ปอคอ อะไรกันเหรอ
“เอ่อ อะไรเหรอคะ”
ป้าเนียรมองฉันยิ้มๆ “ปอคอน่ะค่ะ เดี๋ยวคุณก็รู้ แต่คุณรินเป็นรายแรกนะคะ คิวสองคือคุณรัน ตอนนี้กำลังบึ่งรถกลับจากแกลเลอรี่แล้วค่ะ แล้วคุณสิดีคนสุดท้ายค่ะ”
ฉันงงเป็นไก่ตาแตก นี่ฉันต้องเข้าคิวทำอะไรเนี่ย
คุณตุ๋มมองลูกชายด้วยความกังวล “สู้ๆนะจ๊ะลูกรัก” คุณนรินทร์พยักหน้าตอบแล้วเดินตามป้าเนียรออกไป
ฉันพยายามจะถามคุณตุ๋ม แต่เธอไม่ยอมบอกเลย เอาแต่สั่งให้ฉันพับนู่นพับนี่ตลอดเวลา
ไม่นานนักคุณรันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้อง “ผมมาช้าไปหรือเปล่าครับ”
“ยังจ้ะยัง ตารินยังไม่ออกมาเลย มานั่งพักก่อนมา”
คุณรันมองฉัน “คุณโดนปอคอด้วยหรือเปล่าฮะ”
ถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าคืออะไรแต่ก็พยักหน้าตอบไป
“ครั้งแรกไม่ต้องกลัวนะฮะ ทำตัวตามสบาย” เขาพูดยิ้มๆ
ฉันกำลังจะถามต่อว่าคืออะไรเหรอ แต่คุณนรินทร์เดินเข้าห้องมาสีหน้าเครียด
“รัน แกไปได้แล้ว”
คุณรันรีบเดินตัวปลิวจากไป
คุณตุ๋มยกผ้ากองที่จะบริจาคไปวางหน้าห้อง “โอเคไหมตาริน”
คุณรินซุบซิบอะไรกับแม่เขาสักอย่าง แล้วสองแม่ลูกก็มองฉันด้วยความกังวล แล้วหนีออกจากห้องไปทั้งสองคนเลย
อ๊าว….นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ปอคอ บ้าบออะไร
ผ่านไปเกือบชั่วโมง ฉันยังคงนั่งพับผ้าอยู่คนเดียว เสื้อผ้าคุณตุ๋มนี่เยอะจริงๆ
“คุณสิดีฮะ ตาคุณแล้ว” คุณรันหน้าเครียดไม่แพ้พี่ชาย
ฉันเดินงงๆออกไปหน้าห้องนอนคุณตุ๋ม แล้วก็ได้เห็นสามแม่ลูกซุบซิบอะไรกันสักอย่าง
“ผมโดนเรื่องเดิมฮะ พี่รินโดนเรื่องไร”
ฉันได้ยินพวกเขาซุบซิบกัน
ทั้งสามหันมามองฉันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไปหาคุณพ่อที่ห้องทำงานสิ สิดี” คุณนรินทร์บอก สีหน้าเรียบเฉย
ฉันยิ้มตอบแล้วเดินไปที่ห้องสุดทางเดิน ก็แค่ไปหาคุณพ่อเนี่ยนะ จะอะไรนักหนา
ฉันเคาะประตู
“เข้ามา” อึ๋ย…ทำไมเสียงดุล่ะ ปกติคุณพ่อออกจะอารมณ์ดีตลอดเวลา
ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานอันโอ่อ่าที่เต็มไปด้วยประกาศเกียรติคุณนักธุรกิจดีเด่น และถ้วยกอล์ฟในการแข่งขันต่างๆ
เอ…ทำไมห้องดูอึมครึมอย่างนี้…ม่านใหญ่ๆถูกเอาลงปิดแสงสว่าง คุณพ่อนั่งหันหลังให้ฉัน
ฉันเดินเข้าไปนั่งอย่างเรียบร้อย คุณพ่อก็หมุนเก้าอี้มาสบตากันพอดี
“สิดี” เขาเรียกชื่อฉันเสียงเข้ม บุคลิกของคุณลุงร่างท้วมใจดี กลยเป็นมาเฟียหน้าโหดแทน
“….คะ?...”
เขากุมมือตัวเองอย่างกระชับ “รู้ไหมว่าปอคอคืออะไร”
“เอ่อ…” ฉันพยายามคิด ทำไมวันนี้คุณพ่อดูน่ากลัวจัง เหมือนกลับไปสอบสัมภาษณ์งานอีกครั้งเลย
“ปังคุงเหรอคะ” ฉันพยายามพูดตลกเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้น
แต่คุณพ่อไม่สน ท่านเครียดต่อ “ปอคอคือ ประชุมเครียด”
ฉันผงะ!!!....
“เข้าเรื่องเลย มีลูกกับตารินซะ!!!”
คราวนี้ฉันเกือบตกเก้าอี้
“ทำไมหา!!!! เกือบปีแล้วนะ นี่หรือว่ายังไม่ได้มีอะไรกัน”
โอ๊ย! นี่อะไรเข้าสิงคุณพ่อเหรอ จะให้ฉันบอกอย่างไรล่ะ ว่าเราพึ่งรักกันน่ะค่ะ แล้วหนูเป็นพวกขี้ตกใจ เขาเข้าใกล้เป็นโดนตบ อย่างนั้นเหรอ!!!!
“คะ..คือ…” ฉันพูตะกุกตะกัก
คุณพ่อทำหน้าดุอย่างไม่ลดละ “เธอไม่ได้เป็นหมัน พ่อตรวจประวัติสุขภาพจากโรงพยาบาลแล้ว และรู้ไหม อะไรสำคัญที่สุดสำหรับนราธร…..ทายาทอย่างไรล่ะ”
คุณพ่อหายใจเสียงดัง “พ่อให้เวลาอีกสามเดือน”
“ไม่ได้นะคะ!” ฉันรีบค้าน ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากมีหรือฉันไม่ได้รักคุณนรินทร์หรอกนะ…แต่ฉัน…ฉันยังไม่พร้อมสำหรับ….เรื่องอย่างว่าหมายถึงการทำจริงจังน่ะ
คุณพ่อเอามือตบโต๊ะเสียงดัง
“ทำไม! บอกเหตุผลมาซิ!”
“หนู…เอ่อ…หนู…” โถ่เอ๊ย! เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
“ของอย่างนี้มันบังคับกันไม่ได้นะคะ เหมือนคุณพ่ออยากแคะหู แต่ไม่มีขี้หูให้แคะ คุณพ่อก็แคะไม่ได้ เข้าใจไหมคะหนูขอเวลาหกเดือน” ฉันต่อรอง
ได้ผล…คุณนรินทร์ผู้พ่อผงะบ้าง แล้วท่านก็นิ่งมองฉันเนิ่นนาน จนฉันต้องหลบสายตาเพราะน่ากลัวเหลือเกิน ฉันรู้แล้วว่ารังสีอัมหิตของคุณนรินทร์คนลูกได้มาจากใคร
“ตกลง” ท่านพูดเสียงอ่อนโยนขึ้น
“หกเดือน ภายในหกเดือนต้องท้อง เอาละ ไปได้”
ฉันลุกขึ้นแล้วเกือบจะออกจากห้องพ้นไปแล้ว แต่ก็นึกอะไรออก
“คุณพ่อคะ…แล้วถ้า…ไม่เป็นไปตามที่คุณพ่อสั่งจะเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
คุณพ่อยิ้มน่ากลัว “หนูไม่มีวันรู้หรอก”
วุ้ย! น่ากลัวเชียว รีบออกจากห้องนี้ดีกว่า
ฉันนอนเย็นฉ่ำอ่านหนังสือในห้องนอน นี่เกือบสี่ทุ่มแล้ว รายการทีวีที่อยากดูใกล้มาแล้วสินะ
“เย็นสบายตัวจัง” คุณนรินทร์เดินอารมณ์ดีออกมาจากห้องน้ำ แล้วแกล้งสะบัดผมเปียกๆขณะเช็ดไปด้วยใส่หน้าฉัน
ฉันเลยคว้าหมอนข้างฟาดตัวเขา “เล่นพิเรนทร์”
เขาหัวเราะ “คุณพ่อคุยอะไรกับคุณ”
ฉันปิดหนังสือ แล้วเปิดทีวี “เอ่อ…จำไม่ได้แล้วค่ะ”
เขาทิ้งตัวลงนอนแล้วขยับเข้ามาใกล้จนประชิด “คิดว่าผมไม่รู้เหรอ” พูดเสร็จก็หยิบหนังสือพิมพ์ของวันนี้ขึ้นมาอ่าน
ฉันหันไปมองอย่างตกใจ “คุณรู้เหรอคะ”
เขาตอบอย่างไว้ที “คุณพ่อก็พูดกับผมเรื่องเดียวกันนี่ล่ะ คุณรู้เรื่องของปอคอหรือยัง”
“ก็ ประชุมเครียดไงคะ แต่ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามีขึ้นทำไม เป็นประเพณีเหรอ?”
เขาพลิกหนังสือพิมพ์ “เป็นการประชุมที่มีปีละหนึ่งครั้ง คุณพ่อจะเรียกลูกๆไปทีละคน เพื่อเรียกไปคุยถึงปัญหา และสั่งสอนว่าควรทำอะไรไม่ทำอะไร อ้อ ที่สำคัญ สะสางบัญชีความผิดที่เคยทำมาด้วย เวลาประชุมคุณพ่อจะดุเป็นพิเศษ แต่หลังจบจากประชุม ทุกคนต้องสดใสเหมือนเดิม ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“โอ้โห…แล้ว…ถ้าไม่ทำตามที่ท่านสั่งเราจะโดนอะไรเหรอคะ”
แล้วคุณนรินทร์ก็ตอบนิ่งๆ “คุณไม่มีวันรู้หรอก”
พับผ่าสิ!
“พ่อลูกตอบเหมือนกันเปี๊ยบ” ฉันกระแนะกระแหน
เขาขำเบาๆ “รู้ไหมว่ารันโดนเรื่องอะไร มันโดนเรื่องผมยาวเกิน แล้วก็ไม่ยอมแต่งงานสักที คุณพ่อให้เวลามัน 1 ปี หาแฟนดีดีสักคน”
ฉันนอนดูทีวีเพลิน “จะได้เหรอคะ เห็นเขาไม่อยากมี”
“ฮือ…” คุณนรินทร์ครางในลำคอ แล้วพับหนังสือพิมพ์เก็บ “เดี๋ยวก็รู้ ว่าแต่…เรื่องของเราล่ะ…เอาอย่างไรดี…คุณพ่อบอกว่า เราต้องมีลูก”
โป๊ะเชะ! นั่นไงเรื่องเดียวกันจริงๆด้วย
น่าอายชะมัด!
แล้วเขาก็โอบไหล่ฉันอย่างเก้อเขิน “เอ่อ…เราคงต้องจริงจังกับเรื่องนี้แล้วล่ะ”
แล้วเราก็จูบกันอย่างอ่อนโยน ค่อยเป็นค่อยไป ก่อนริมฝีปากของเราจะผละออกจากกัน เขาจูบกระหม่อมฉันเบาๆทีหนึ่ง แล้วลงมาจุ๊บที่ซอกคอให้ฉันวาบหวาม ก่อนจะเคลื่อนลงมาที่...
"ไม่เอา" แล้วดันอกแข็งแรงออก
เขาจุ๊ปาก แล้วขมวดคิ้ว
"ทำไม ไหนว่ารักผมไง"
ฉันยิ้มแห้งๆ "ฉันขอดูรายการโปรดก่อนนะคืนนี้ เรายังมีเวลาอีกหลายคืนนะคะ"
คุณนรินทร์ชักสีหน้า แล้วปล่อยมือทั้งสองที่โอบฉันไหว ก่อนจะนอนหันหลังให้ฉัน
เอาแล้วไง นิสัยขี้งอนแบบนี้เขาเริ่มเป็นตอนไหนกัน
ฉันเลยพยายามลองทำทีออดอ้อนแบบที่ไม่ถนัดนัก แต่ฉันว่าฉันควรจะหัด 'มารยาหญิง' ไว้บ้าง
ฉันโอบเขาจากด้านหลัง เอาใบหน้าซุกไซร้หาความอบอุ่นจกแผ่นหลังกว้าง
"นรินทร์ขา...ฉันขอโทษ แต่คืนนี้ฉันอยากดูทีวีจริงๆ"
เขานิ่ง แต่ลำตัวรู้ได้ว่าร้อนผ่าว แล้วก็ไม่มีท่าทีตอบสนองฉันเลยนานหลายนาที จนฉันรู้สึกผิด
ฉันจึงผละออกจากเขา แล้วเอ่ยค่อยๆ "โถ่...ฉันขอโทษแล้วกัน" แล้วปิดทีวี ปิดโคมไฟหัวเตียงนอนหันหลังให้เขาบ้าง อะไรกันเนี่ย เขาทำแบบนี้ฉันก็เสียใจนะ ฉันลำดับความสัมพันธ์ระหว่างทีวี กับสามี ไม่ถูกสินะ
แต่แล้วมือหนาสองข้างก็ดึงตัวฉันเข้าไปในอ้อมกอดแทบจะทันที เขาซุกใบหน้าลงที่ซอกคอฉัน
"สิดี คุณน่ะ...ทรมานผมอยู่เรื่อย ไม่รู้หรือไง ว่าเวลาผมอยู่ใกล้คุณ แล้วคุณทำนู่นนี่ไม่สนใจผม ผม...ใจจะขาด"
ใบหน้าฉันร้อนผ่าว "ไม่รู้หรอก..."
เขาทำเสียงเหมือนจะขัน "งั้นก็รู้ซะ" ว่าแล้วก็จับฉันพลิกตัวให้หันมาทางเขา มือหนึ่งรั้งท้ายทอยฉันให้เงยหน้าแล้วประทับจูบหนักหน่วงแบบที่ฉันตั้งตัวไม่ทัน อีกมือกำลังปะป่ายไปทั่วตัว แล้วฉันก็สั่นสะท้าน ฉันปล่อยให้เขานำไป อยากทำอะไรก็ทำ ฉันไม่ดูก็ได้รายการโปรด...เขารักฉันขนาดนี้เลยหรือ...
แต่แล้วเขาก็จบลงดื้อๆ เมื่อฉันเริ่มตอบสนอง เบียดตัวเข้าหา
"อ้าว" ฉันอุทานแบบลืมตัว คุณนรินทร์หัวเราะ
"ติดใจใช่ไหมล่ะ แต่ผมเปลี่ยนใจละ คืนนี้ผมอยากนอนกอดคุณนานๆมากกว่า"
แล้วเขาก็กอดฉันไว้ทั้งตัว ฉันจึงซุกศีรษะกับอกแกร่ง รู้สึกอบอุ่นมากกว่าครั้งไหนๆ
"วันๆเราไม่ค่อยได้คุยเรื่องส่วนตัวกันเลยนะ" เขาพูดขึ้นมาดื้อๆ
ฉันอมยิ้ม เพียงแค่รู้ว่ามีอีกคนหนึ่งบนโลก ที่ต้องการอยู่เคียงข้างเรา มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
แล้วฉันก็นึกอะไรออก
“คุณนรินทร์คะ ฉันอยากถามว่า…เอ่อ…คุณรักฉันตอนไหนน่ะค่ะ”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง
“เอ่อ….ไม่รู้แฮะ รู้แต่ว่าพอคุณเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผม ตอนแรกผมก็โมโห จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นขำ แล้วกว่าจะรู้ตัว…ผมก็…เอ่อ…เอาแต่นึกถึงคุณตลอดเวลา”
ฉันอมยิ้ม…
“แล้ว…แล้วคุณล่ะ” เขาถามกลับ
อืม…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน….เอ่อ….นั่นสิ เขามาอยู่ในใจฉันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฉันก็จำไม่ได้ค่ะ รู้แต่ว่า อยู่ดีดีหลังแต่งงานหลอกๆ ฉันก็ไม่อยากจากคนขี้โมโหและกวนประสาทไปเลย”
เขาหัวเราะพอใจ แล้วกอดฉันแน่น ก่อนจะหอมผมฉันเบาๆ “ผมก็เหมือนกัน…ไม่อยากจากคนตลกอย่างคุณไปเลย…ผมอยู่กับคุณแล้วมีความสุข”
เอ่อ…ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยคิดว่าอย่างคุณนรินทร์จะพูดอะไรอย่างนี้ได้หรอกนะ เขาไปเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ…
อืม…อาจจะถึงเวลาแล้ว…ที่ฉันต้องรู้จักเปลี่ยนตัวเอง…อ่อนหวานบ้าง…
ฉันเงยหน้าไปหอมแก้มเขาเบาๆแล้วกระซิบที่ข้างหู “ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2555, 23:26:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2555, 23:26:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 2117
<< ละลาย | ส่งท้าย >> |
agentaja 14 ก.ค. 2555, 00:10:20 น.
วี้ดวิ้วววววว
วี้ดวิ้วววววว
Kapoh 14 ก.ค. 2555, 00:34:08 น.
ขำอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าอมยิ้มไปตั้งแต่ตอนไหน แหมหวานซ้าาา ^^
ขำอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าอมยิ้มไปตั้งแต่ตอนไหน แหมหวานซ้าาา ^^
konhin 14 ก.ค. 2555, 01:39:47 น.
หวานอ่ะ
หวานอ่ะ
คิมหันตุ์ 14 ก.ค. 2555, 02:08:29 น.
โอ๊ะเย
โอ๊ะเย
wii 14 ก.ค. 2555, 10:20:39 น.
เเหมคนที่บ้าจี้เเบบสิดีนี่เคยเห็นนะ เวลาตกใจเเม่เจ้าประคุณเหวี่ยงหวือเลยใครอยู่ใกล้ก็ซวย มีอยู่ครั้งนึงคุณป้าตกใจมากมือถือใข่อยู่หนึ่งโหลคุณป้าเหวี่ยงใข่ซะกระจายเต็มพื้นเลย
เเหมคนที่บ้าจี้เเบบสิดีนี่เคยเห็นนะ เวลาตกใจเเม่เจ้าประคุณเหวี่ยงหวือเลยใครอยู่ใกล้ก็ซวย มีอยู่ครั้งนึงคุณป้าตกใจมากมือถือใข่อยู่หนึ่งโหลคุณป้าเหวี่ยงใข่ซะกระจายเต็มพื้นเลย
goldensun 14 ก.ค. 2555, 10:40:34 น.
ภารกิจหนักแล้วนะเนี่ย ต้องมีลูกให้ได้ภายใน 6 เดือน แต่สิดีเริ่มปรับตัวแล้ว น่าจะได้นะ
ในร้านหนังสือ สิดีกล้านะ กล้ามีเรื่องกับคนตัวโต ท่าทางโหด แต่จากวีรกรรมที่แบงค์ ก็ไม่น่าแปลกใจเหมือนกัน
ภารกิจหนักแล้วนะเนี่ย ต้องมีลูกให้ได้ภายใน 6 เดือน แต่สิดีเริ่มปรับตัวแล้ว น่าจะได้นะ
ในร้านหนังสือ สิดีกล้านะ กล้ามีเรื่องกับคนตัวโต ท่าทางโหด แต่จากวีรกรรมที่แบงค์ ก็ไม่น่าแปลกใจเหมือนกัน
ลูกกวาดสีส้ม 15 ก.ค. 2555, 00:57:06 น.
แหม...ตอนนี้ฮาอ่ะ
แหม...ตอนนี้ฮาอ่ะ