อาทิตย์พรางดาว
เมื่อความเคียดแค้นชิงชังที่มีมาระหว่างพี่น้องต่างมารดา ทำให้เกิดเรื่องราวต่างที่นำมาซึ่งความสุข เศร้า และโศกนาฏกรรม! ดาวเหนือจะทำอย่างไรเมื่อตะวันฉายผู้เป็นเกลียดเธอจนไม่อยากจะอยู่ร่วมโลก และตฤณจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องคนรักไม่ให้โดนทำร้าย ต้องติดตามใน 'อาทิตย์พรางดาว'
Tags: ดราม่า

ตอน: ตอนที่ 36

ตอนที่ 36

หญิงสาวนั่งอยู่บนพื้นหินอ่อนบนศาลา เหม่อลอยมองโลงศพสีขาวซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ภายในวัด สายตาไม่ได้จับจ้องที่ตัวโลงศพ หากแต่เป็นร่างไร้วิญญาณของมารดาที่นอนสงบอยู่นั้นมากกว่า ดวงตาช้ำบวมจากการร้องไห้อย่างหนัก หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เดินทางมาถึงวัด ปล่อยให้คนที่เหลือจัดการเรื่องต่างๆตามความเหมาะสม เพื่อรองรับแขกจำนวนมากที่จะเดินทางมาร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพคุณบุษบาในเย็นนี้

พรายจันทร์กับพัดยศอาสาจัดการเรื่องดอกไม้และอาหารสำหรับแขก คุณมินตราและคุณหญิงผกามาศดูแลเรื่องสถานที่ คุณชนะชัยแม้จะเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องสูญเสียภรรยาไปแต่ก็ต้องลุกขึ้นยืนเป็นหลักในคนที่อาการแย่สุดอย่างดาวเหนือพึ่งพิงก็กำลังโทรศัพท์บอกกล่าวให้คนที่สนิทกันได้รับรู้ ก่อนจะเดินเข้ามาหาลูกสาวคนเล็ก บอกเสียงเครือ

“กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะดาว แล้วเปลี่ยนชุดด้วย แต่งตัวสวยๆนะ แม่เขาชอบ” สิ้นประโยคนี้น้ำตาที่แห้งผากก็ไหลลงมาราวกับทำนบทลาย หญิงสาวสะอื้นหนักโผเข้ากอดบิดายึดไว้เป็นที่พึ่ง ตฤณ คุณมินตราและคุณหญิงผกามาศ รวมไปถึงคนรับใช้อีกสองสามคนที่มาช่วยงานพากันน้ำตาซึม สงสารหญิงสาวจับใจที่ไม่ได้อยู่ดูใจมารดาที่รักยิ่ง

คุณชนะชัยกอดร่างโปร่งเอาไว้แน่น ใบหน้าเศร้าหมอง ก่นโทษตัวเองในใจหากวันนั้นทำใจแข็งพาคุณบุษบาไปโรงพยาบาลก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ดาวเหนือก็คงไม่ต้องกำพร้าแม่ ชายวัยกลางคนมองไปทางคนรักของลูกสาวที่ยืนห่างออกไปแต่สายตาคู่นั้นที่มองมายังคนในอ้อมกอดของเขานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย หากไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นท่านก็อยากจะเล่นบทว่าที่พ่อตาจอมโหดเหมือนกัน แต่นาทีนี้เห็นทีจะเหลือแต่ตฤณที่พอจะฝากฝังให้ดูแลดาวเหนือได้เพราะท่านต้องจัดการงานตรงนี้ คุณชนะชัยสบตากับตฤณส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาใกล้ๆ พอชายหนุ่มเดินมาได้ระยะแล้วก็ออกปาก

“ พ่อฝากพายายดาวกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดหน่อยนะตฤณ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะเข้าไปประคองให้ลุกขึ้น เช็ดน้ำตาให้เบามือ “กลับบ้านกันนะดาว กลับไปพักผ่อนก่อนเดี๋ยวมาใหม่”

“ไม่ต้องรีบนะ ทางนี้เดี๋ยวป้าเป็นธุระให้ มาตอนเย็นก่อนพระสวดเลยก็ได้” คุณมินตราที่เพิ่งเข้ามาสมทบบอกอย่างหวังดี เพราะเห็นสภาพดาวเหนือตอนนี้แล้วคงไม่มีอารมณ์มานั่งรับแขก อีกอย่างหากปล่อยให้อยู่เงียบๆคนเดียวอาจจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าเอาได้ นอกจากนั้น...

“ตฤณ...”คุณมินตราดึงแขนเขาเอาไว้ เพื่อพูดอะไรบางอย่าง ส่วนดาวเหนือเดินไปรอที่รถโดยมรคุณชนะชัยพาไป “...พายายดาวไปบ้านของตฤณก่อนนะลูก อย่าพากลับบ้าน”

“ทำไมเหรอครับ”

“ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล คุณตำรวจเขาบอกว่าต้องกั้นบ้านหลังเอาไว้ก่อน เพื่อรอพิสูจน์หลักฐาน จะได้ตามหาตัวคนร้ายได้”

“แล้วอีกนานเท่าไหร่ครับ ผมเกรงว่าดาวจะอยากกลับไปที่ที่เคยใช้ชีวิตร่วมกับแม่บุษ แล้วเรายังไม่ได้แต่งงานกันด้วย ผมกลัวดาวจะเสียหาย”แม้จะคล้อยตามไปมากแต่ชายหนุ่มยังเป็นกังวล คนที่บ้านเขาไม่เท่าไหร่เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะแม่เขาที่ยินดีต้อยรับเต็มที่ แต่กับคนอื่นเนี่ยสิ อาจจะเกิดปัญหาได้ คุณมินตรารีบบอกให้คลายใจ

“ป้าก็ไม่รู้...”นางถอนใจ ก่อนสรุป “...เอาเป็นว่าระหว่างนี้ป้าฝากให้ดาวอยู่บ้านตฤณไปก่อนซักอาทิตย์ได้ไหม อันที่จริงคุณพี่เขาก็กลัวว่าจะไม่เหมาะเหมือนกัน แต่ป้าบอกว่าไม่มีที่อื่นที่จะให้ยายดาวไปแล้ว บ้านใหญ่มันก็อยู่ในรั้วเดียวกับบ้านหลังนั้น หากเห็นว่ามันอยู่ในสภาพไหนยายดาวจะยิ่งเจ็บปวด”

“งั้นก็ตกลงตามนั้นครับ ผมจะพาดาวไปอยู่ที่บ้านผมก่อน เดี๋ยวตอนเย็นพวกผมจะรีบมานะครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยเรื่องงานวันนี้ก็โทรมาได้เลยนะครับคุณป้า” เขายกมือไหว้ลาก่อนจะเดินออกไปด้านนอก คุณมินตรามองตามรู้สึกได้ว่าดาวเหนือช่างโชคดีที่ได้เจอคนที่พึ่งพาได้ นึกถึงหญิงสาวที่เปรียบเสมือนน้องสาวซึ่งนอนอยู่โลง

‘ไปดีเถอะนะบุษ ไม่ต้องเป็นห่วงยายดาวแล้ว พี่จะช่วยดูอีกแรง’


คล้อยหลังตฤณกับดาวเหนือได้ไม่นาน ตะวันฉายก็เดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามาในเขตวัดค่อยๆขึ้นบันไดไปยังศาลาที่มารดาบอกว่าใช้จัดงาน หลังจากได้รับโทรศัพท์แจ้งเรื่องของนังแก่บุษบาจากมารดาเมื่อครู่ โดยให้เหตุผลไปว่าเพิ่งจะเปิดเครื่อง มารดาเลยรีบสั่งให้กลับมาช่วยงานหน่อย เธอแอบยิ้มสมใจที่ไม่มีใครรู้ความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

หลังจากที่จัดการกับเสี้ยมหนามตำใจแล้ว หญิงสาวก็บึ่งรถตรงไปหาอาริตาที่คอนโด เธอเคาะประตูอยู่นานแต่เพื่อนก็ไม่ออกมาเปิดเสียที เกือบจะกลับอยู่แล้วหากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มรูปหล่อห้องข้างๆอาริตาเปิดประตูออกมาพอดี เขาชะงักไปหน่อยเมื่อเห็นเธอแต่พอเธอเปิดยิ้มทักทายเขาก็ยิ้มมีเสน่ห์มาให้ แล้วจากนั้นเธอก็ได้ที่อยู่สำหรับเมื่อคืนฟรีแถมยังได้ความสนุกแบบวาบหวามอีกต่างหาก

เธอสนุกอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้าจนเกือบเที่ยงจึงเอื้อมมือไปเปิดมือถือและเห็นว่ามีมิสคอลจากมารดาบ้างน้องสาวบ้างถี่ยิบก็รู้เลยว่าต้องได้รับโทรศัพท์จากตำรวจแล้วแน่นอน แต่เธอก็ไม่ได้โทรกลับไป รอจนมารดาโทรกลับมาอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน

เสียงร้องไห้ของน้องสาวแท้ๆที่ดังลอดโทรศัพท์ของคุณมินตราเข้าไปให้ได้ยินนั้นทำให้ต้องเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ ‘ยายจันทร์ทำอย่างกับญาติเสีย จะไปเสียใจทำไมกับการที่นังเมียน้อยมันตาย ควรจุดพลุฉลองมากกว่า’ แต่สิ่งที่พูดออกไปกลับเป็นอีกอย่าง

‘น่าสงสารยายดาวจัง งั้นเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงตะวันจะไปช่วยงานนะคะ’

แล้วตอนนี้เธอก็มายืนอยู่ตรงหน้ารูปของอดีตศัตรู รอยยิ้มสะใจบางๆปรากฏอยู่ที่ริมฝีปาก แววตาที่จับจ้องรูปถ่ายที่วางหน้าศพนั้นเต็มไปด้วยความดีใจที่แทบจะปิดไม่มิด ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ เห็นแต่คนรับใช้ที่บ้านกำลังยกเก้าอี้พลาสติกมาจัดวาง ส่วนคุณมินตราและคนอื่นๆหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้

“นี่...” เธอเดินเข้าไปหาคนใช้ที่อยู่ใกล้สุด อีกฝ่ายหันมาอย่างนอบน้อม “...แม่ฉันไปไหน”

“คุณผู้หญิงใหญ่ไปดูพวกที่อยู่ในครัวค่ะ”

ตะวันฉายตาลุกวาวไม่ใช่เพราะรู้สถานที่อยู่ของมารดาแต่เป็นคำเรียกขานของสาวใช้มากกว่า หญิงสาวบีบต้นแขนอีกฝ่ายแน่นจนต้องร้องออกมา ถลึงตาจ้องใบหน้าของสาวใช้อย่างขุ่นเขียว กระซิบเสียงเครียดลอดไรฟัน

“นังอ้อย! ใครใช้ให้แกเรียกแม่ฉันแบบนั้น! หา! ต้องเรียกว่าคุณผู้หญิงไม่ต้องมีใหญ่มีเล็กต่อท้าย เข้าใจไหม เรียกใหม่เดี๋ยวนี้...เรียกสิ...เรียก!” สุดท้ายก็ตะคอกใส่จนสาวใช้ร่างบางกลัวหน้าซีด
น้ำตาเอ่อคลอ ลนลานเรียกอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ

“ค่ะ คุณผู้หญิงค่ะ คุณผู้หญิงอยู่ที่โรงครัว ฮือ ปล่อยหนูเถอะ คุณตะวันหนูกลัวแล้ว”

หญิงสาวได้สติ ยืดตัวขึ้นมองไปรอบด้านเห็นว่าคนใช้คนอื่นเริ่มพากันเดินเข้ามาเมียงมองเธอกับอ้อยแล้ว สายตาที่มองมานั้นดูหวาดกลัว เหมือนว่าเธอคืออสุรกายที่กำลังจะทำร้ายพวกมัน ร่างเพรียวมองกลับไปที่อ้อยก็พบว่ารายนั้นร้องไห้ใหญ่ แถมยังกระถดตัวหนีให้พ้นรัศมีที่เธอจะเอื้อมมือไปถึง บางคนที่ใจกล้าหน่อยก็เข้ามาประคองอ้อยออกไป ตะวันฉายเม้มปากขึงตาดุใส่คนเหล่านั้น

“มองอะไรกัน ไม่มีงานทำหรือไง ไปจัดเก้าอี้กันต่อสิยะ จะรอให้เก้าอี้มันเดินเข้าที่เองหรือไง ไป๊!”ก่อนจะเดินลงบันไดไปทางโรงครัวอย่างหงุดงหงิด ไม่ทันเห็นคนที่เดินสวนขึ้นมา

ปึก!

“โอ๊ย! ไอ้บ้าเดินภาษาอะไร ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนเดินลงบันไดมาน่ะ” หญิงสาววีนใส่ นั่งลงหยิบกระเป๋าใบหรูของตนที่ตกลงไปคลุกดินขึ้นมาดู ยิ่งเห็นรอยถลอกบนผิวกระเป๋าก็ยิ่งเสียดายปนโมโห

พัดยศที่เป็นฝ่ายโดนชนกระเด็นล้มลงไปกองกับพื้น แถมถาดดอกบัวที่ถือมายังหล่นจากมือ ดอกบัวที่พับไว้สวยกระจายอยู่ปลายเท้า ชายหนุ่มยืนข่มอารมณ์นับเลขในใจหนึ่งถึงร้อยก่อนจะบอกเสียงเรียบ

“เธอเป็นฝ่ายชนฉันนะ...ตะวันฉาย ไม่ขอโทษฉันไม่ว่า แต่ไอ้ที่ด่ากลับทั้งที่ตัวเองผิดเนี่ย ควรจะเรียกว่าไม่มีมารยาทหรือไม่มีจิตสำนึกดี”

ตะวันฉายตาลุก ชี้หน้าว่าที่น้องเขยตัวดีอย่างโมโหที่โดนด่า “แก! ไอ้พัดยศ”

“นี่ก็อีก” เขามองปลายนิ้วที่ชี้ตรงมาอย่างไม่ชอบใจ “มายืนชี้หน้าอื่นเขาอย่างนี้ ไร้มารยาทของแท้ ฉันว่าเธอกลับไปหาหมอดีกว่านะ ไปให้เขาตรวจดูสิว่าไอ้การทำงานของต่อมนี้ในตัวเธอน่ะมันผิดปกติหรือเปล่า”

“ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย อยู่ๆก็มายืนด่าผู้หญิงปาวๆแบบนี้ คอยดูนะฉันจะฟ้องยายจันทร์”หญิงสาวเต้นเร่าๆ โมโหมากแต่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ พัยศยักไหล่ไม่แคร์ เขาท้ากลับเข้าให้อีกด้วย

“ตามสบาย...ไปฟ้องตอนนี้เลยก็ได้นะ น้องจันทร์กำลังทำอาหารอยู่แน่ะ แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจนะที่น้องจันทร์จะเชื่อฉันมากกว่าเธอ” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ ก้มลงเก็บดอกบัวขึ้นมาใส่ถาดดังเดิม เงยหน้าบอกคนที่ยังยืนค้ำหัวเขาอยู่ไม่ไปไหนว่า

“เพราะระหว่างคนที่ไม่เคยโกหกเขาอย่างฉัน กับคนที่มอมยาน้องสาวตัวเองแล้วพาไปนอนเตียงเดียวกับผู้ชายอย่างเธอน่ะ ใครมันจะมีภาษีดีกว่ากัน เอาสมองอันน้อยนิดที่เซลล์มันยังไม่ตายคิดดูหน่อยแล้วกันนะ...คุณว่าที่พี่เมีย” ก่อนจะเดินผ่านหน้าเธอไปอย่างไม่แยแส

ตะวันฉายอยากจะกรี๊ดให้คอแตกแต่ติดที่อยู่ในเขตวัด เลยทำได้แต่ร้องในใจ มองตามหลังเขาไปอย่างแค้นเคืองนับตั้งแต่เรื่องของพรายจันทร์ หมอนี่ก็ไม่เคยที่จะญาติดีกับเธออีกเลย หญิงสาวเดินกระทืบเท้าตรงไปยังด้านหลังศาลาที่เป็นโรงครัว พรายจันทร์กำลังสาละวนอยู่กับการหั่นเนื้อหมูแม้จะยังมีคราบน้ำตาอยู่บ้างและดวงตาบวมช้ำที่เห็นก็บอกได้ว่าเจ้าตัวคงเพิ่งจะหยุดร้องไห้เป็นแน่ หญิงสาวไม่ใส่ใจน้องสาวของตนเองเพราะยังเคืองคู่หมั้นของอีกฝ่ายไม่หาย เธอเดินนวยนาดตรงเข้าไปาหามารดาที่กำลังยืนสั่งการให้ล้างจานอยู่อีกมุมหนึ่ง

“ตะวันมาแล้วค่ะแม่”

“มาแล้วเหรอลูก...ตะวัน!” คุณมินตราที่หันกลับมาหา เรียกชื่อเธอลั่นก่อนจะทำหน้าเครียด

“ทำไมใส่เสื้อตัวนี้มา”

“ก็ตะวันมาจากคอนโดยายริตาเลยนี่คะ ทำไมคะมันมีกลิ่นเหรอ” ตะวันฉายทำหน้ากังวล ก้มลงดมฟุดฟิด คุณมินตราร้องเฮ้อ ลากตัวลูกสาวคนโตให้ออกมาจากโรงครัว นี่ดีนะที่แม่สามีและสามีเธอกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านกันก่อนแล้ว ขืนอยู่แล้วเห็นสีเสื้อที่แม่ตัวดีใส่มาคงได้ทะเลาะกันวัดพังเป็นแน่

“ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เรื่องสีต่างหาก นี่มันงานศพนะตะวัน ใส่สีเขียวมาได้ยังไง ดีนะที่คุณพ่อกับคุณย่ากลับบ้านไปแล้ว ไม่งั้นโดนดุแน่เรา” คุณมินตราส่ายหน้ากับสีเสื้อของอีกฝ่าย ตะวันฉายชะงักเธอมัวแต่ดีใจที่แผนสำเร็จ เลยลืมนึกถึงเรื่องความสมบูรณ์แบบของแผน หญิงสาวแสร้งยิ้มเจื่อนๆส่งไปให้มารดา

“เดี๋ยวตะวันกลับไปเปลี่ยนที่บ้านก็ได้ค่ะ ว่าแต่แล้วศพนังแววล่ะคะอยู่ไหน” ถามเพราะไม่เห็นโลงศพของอดีคคนสนิท มีแต่โลงของคุณบุษบาเพียงโลงเดียว

“น้องสาวแววขึ้นมารับศพกลับไปสวดที่บ้านแล้วน่ะลูก แม่ก็อยากจะให้ลูกมาอโหสิให้แววมันเหมือนกันแต่ทางโน้นต้องเดินทางกันไกล ไว้ค่อยไปเผาก็ได้ลูก” คุณมินตราบอกเพราะกลัวตะวันฉายจะโกรธที่ปล่อยให้น้องสาวของแววนำร่างไร้วิญญาณของพี่สาวกลับไป โดยไม่รอให้อดีตเจ้านายได้มาล่ำลาคนสนิท หารู้ไม่ว่าตะวันฉายกลับโล่งอกไม่ได้นึกเสียดายเลยสักนิด...ก็แค่คนใช้คนหนึ่ง

“แล้วนี่ยายดาวไปไหนคะ รู้หรือยังว่าน้าบุษตายแล้ว”

“รู้แล้วล่ะ เฮ้อ...” คุณมินตราถอนหายใจเมื่อนึกถึงสภาพราวกับคนหมดอาลัยของดาวเหนือ “...นั่งซึมไม่พูดไม่จาตั้งแต่พาออกจากโรงพยาบาลแล้ว ตอนที่มาถึงใหม่ๆนะ อาละวาดซะแทบตาย ดีที่ตาตฤณมาด้วยไม่งั้นคงไม่มีใครทำให้ยายดาวสงบลงได้”

“ตฤณเหรอคะ” หญิงสาวถามอีกครั้ง คุณมินตราพยักหน้ารับ “นี่คืนดีกันแล้วเหรอ”

“ใช่จ๊ะ เมื่อวานนี้เอง ตฤณเขาตามไปง้อที่หัวหินน่ะ จริงสิ!...” คุณมินตรานึกขึ้นมาได้รีบหันไปทำหน้าดุใส่ลูกสาวคนโต “...ตะวันห้ามไปยุ่งกับยายดาวแล้วก็คุณตฤณอีกนะ ตอนนี้ยายดาวไม่เหลือใครอย่าไปทำให้น้องเสียใจมากกว่านี้ได้ไหม แม่ขอล่ะ ถ้าไม่เห็นแก่แม่ก็ขอให้เห็นแก่ว่าเป็นลูกคุณพ่อเหมือนกัน”

ตะวันฉายหายใจเข้าลึกๆผ่อนออกช้าๆ พูดตัดพ้อ “แม่เห็นตะวันร้ายขนาดนั้นเหรอคะ ตะวันจะเลิกก็ได้...” เลิกแค่เจ็ดวันที่สวดศพนะ ไม่ใช่ตลอดไป...

“....แม่วางใจเถอะค่ะ “

“ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องเสียใจไปนะ ตะวันของแม่ทั้งสวย ทั้งเก่ง จะต้องมีคนที่เกิดมาเพื่อลูกจริงๆ สักวันลูกจะต้องได้เจอ” หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนจะโดนมารดาไล่ให้กลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน ลับหลังคุณมินตราแล้ว สีหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเม้มแน่น นิ้วเรียวกำเข้าหากำแน่นจนเล็บแหลมทิ่มเข้าไปในเนื้อ เส้นเลือดปูดโปน นัยน์ตาสีดำแข็งกร้าว พึมพำไล่หลังมารดาไป

“ตฤณนี่แหละคือคนที่เกิดมาเพื่อตะวัน เพื่อตะวันคนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่นังดาวตก!


“น้องดาวไหวหรือเปล่า” ตฤณมองเธอผ่านกระจกหลังถามอย่างเป็นห่วง เพราะตลอดทางที่ขับรถจากบ้านเขามายังวัดนั้นคนรักสาวมีสีหน้าไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆนอกจากความเงียบ ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง ดูท่าคงจะต้องปล่อยให้เวลาช่วย มือหนากำพวงมาลัยแน่นนึกด่าตัวเองหากว่าตอนนั้นเลือกเรียนแพทย์คงจะจ่ายยานอนหลับให้คนรักทานได้ ไม่ต้องมานั่งเครียดนั่งซึมให้เสียสุขภาพจิตอยู่อย่างนี้

วีกิจเหลือบมองพี่ชายร่วมโลก เห็นคิ้วหนาขมวดเข้าหากันแล้วก็เป็นห่วงกลัวว่าจะแก่ก่อนวัย เขายกมือของตนตบไหล่อีกฝ่ายให้กำลังใจ เข้าใจดีว่าเขาเป็นห่วงดาวเหนือมากแค่ไหนแต่ตอนนี้ต้องให้เวลาหญิงสาวหน่อย เพราะคนที่จากไปนั้นมีความสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต

“ปล่อยไปก่อนเหอะพี่ เชื่อผม”

ตฤณถอนหายใจอีกครั้ง ชายหนุ่มพยักหน้ารับเงียบๆก่อนที่ทั้งรถจะไร้ซึ่งเสียงใดๆอีกครั้ง ครึ่งชั่วโมงต่อมาชายหนุ่มก็เลี้ยวรถเข้าเขตวัดที่เป็นสถานที่จัดงานไปจอดสนิทที่หน้าศาลาที่ไว้ศพ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเล็กน้อย ทั้งสี่คนก้าวลงจากรถเดินขึ้นไปด้านบน ตฤณตรงเข้าประคองร่างโปร่งของตนรักพาเดินไปพร้อมกัน ไม่ใช่อะไรหรอกเขากลัวว่าถ้าคลาดสายตาไปนิดเดียวดาวเหนือจะล้มคว่ำให้เข้าใจเสียเล่น ก็เล่นไม่ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า โชคดีที่ร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วไม่งั้นอาจจะต้องไปนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลก็เป็นได้


คุณมินตรากำลังตรวจดูความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายก่อนที่งานจะเริ่มหันกลับมาเห็นดาวเหนือพอดีจึงรีบเดินเข้ามาหา ดึงหญิงสาวเข้าไปกอด

“ไปไหว้แม่ไปยายดาว”

ดาวเหนือเดินช้าๆไปนั่งตรงหน้าโลงศพ รับธูปจากสาวใช้คนหนึ่งที่คอยเตรียมธูปให้แขก หญิงสาวเบือนหน้าไปมองรูปถ่ายพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างคนมีความสุขของมารดา ที่เธอจำได้ดีว่าเป็นตอนไปเที่ยวบ้านที่หัวหินกันสมัยเด็ก ก่อนที่เธอจะกลายเป็นคนขวางโลกและรอยยิ้มของคนในรูปจะเลือยหาย ตอนนั้นแม่ของเธอช่วยก่อปราสาททรายโดยมีบิดายืนถ่ายรูปอยู่ใกล้ๆ ความสุขและรอยยิ้มของแม่ที่เธอจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว

สติของหญิงสาวประหวัดไปถึงเรื่องราวของรอยยิ้มนี้ในวันนั้น...

‘คุณแม่ขา ดาวเก็บเปลือกหอยมาติดปราสาทเยอะแยะเลย’ เด็กหญิงดาวเหนือวิ่งทั่กๆเข้ามาหามารดาที่กำลังเอามือโกยทรายให้สูงพอประมาณเพื่อทำเป็นกำแพงปราสาท คุณบุษบาเงยหน้ามองเปลือกหอยหลากรูปแบบบนมือป้อม แล้วเลยไปมองรอยยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันหน้าที่หายไปสองซี่ อดไม่ได้ที่ต้องยิ้มออกมากับความน่ารัก น่าเอ็นดูของเด็กน้อย มือบางยกขึ้นลูบผมของเด็กหญิงอย่างเบามือ บอกอย่างอ่อนโยน ‘เก่งจังเลย เจ้าหญิงแห่งดวงดาวของแม่’

‘ฮิ ฮิ เอาตัวนี้ไว้ตรงนี้ เอาตัวนี้ไว้ตรงโน้น แล้วเอาน้องปลาดาวไว้บนยอดปราสาท เย้!...ปราสาทของน้องดาวเสร็จแล้ว’ เด็กหญิงกระโดดตัวลอย ร้องกรี๊ดกร๊าดชอบใจกับปราสาทอันแรกของตนมีมารดาคอยประดับตกแต่งเพิ่มเติมอยู่ข้าง โดยมีร่างสูงใหญ่ของคุณชนะชัยคอยเดินไปมุมโน้นมุมนี้เก็บภาพความน่ารักของสองแม่ลูกเอาไว้ไม่ห่าง


น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลรินลงอีกพร้อมเสียงสะอื้นของเธอที่ดังกังวานไปทั่วทั้งศาลา ร่างโปร่งร่ำไห้จนตัวโยนก่อนจะฟุบลงไปกับพื้นหิน ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ตฤณผวาจะเข้าไปหาแต่โดนคุณมินตราดึงแขนเอาไว้ เขาหันกลับไปมองนางอย่างโมโหแล้วชะงักไปเมื่อสบกับดวงตาแดงก่ำที่แสดงความนัยบางอย่าง คุณมินตราผินหน้าไปจับจ้องร่างของดาวเหนือที่ฟุบอยู่ ลุ้นให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง นับแต่นี้ต่อไปหญิงสาวต้องเจอกับเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย โดยไม่มีผู้ให้กำเนิดคอยอยู่เคียงข้างอีกต่อไป หากล้มแล้วไม่ลุกขึ้นยืนเอง คอยแต่จะให้คนอื่นช่วยพยุงเช่นทุกครั้งคงจะไม่มีทางยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้ ถึงเวลาแล้วที่จิตใจของดาวเหนือจะต้องเข้มแข็งมากกว่านี้

เวลาผ่านไปไม่นานนักแต่ในสายตาของคนที่เฝ้ามองอยู่กลับรู้สึกว่ามันยาวนานมาก ในที่สุดร่างโปร่งก็ยืดตัวขึ้น ยกหลังมือปาดน้ำตาทิ้งไว้เพียงอาการสะอื้นแรงๆ ก่อนที่เธอจะหันไปขอธูปดอกใหม่จากสาวใช้คนเดิม บอกลากับมารดาในใจ ‘เรากลับมาเกิดเป็นแม่ลูกกันอีกครั้งนะคะ...แม่’ ส่งคืนให้สาวใช้ที่รับไปปักลงในกระถางธูป ท่ามกลางความโล่งใจของคนที่เหลือ

ตฤณผ่อนลมหายใจ อาการหน่วงๆในอกค่อยคลายลง ร่างสูงปลดมือออกจากการเกาะกุมของของคุณมินตราอย่างสุภาพ เดินตรงไปประคองคนรักสาวทันที ชายหนุ่มรีบพาเธอไปนังที้เก้าอี้ไม้ตัวยาวด้านหน้าสุดที่จัดไว้ต้อนรับประธานในพิธีคืนนี้

“น้องดาวนั่งพักตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ไปรินน้ำมาให้” เขาผละออกไปทำความเคารพศพของคุณบุษบาก่อนจะเดินไปรินน้ำมาให้กับหญิงสาว ระหว่างนั้นแม่บ้านสูงวัยก็เดินนำนายตำรวจในชุดเครื่องแบบสองนายเข้ามาหา

“คุณดาวคะ มีตำรวจมาขอพบค่ะ”

ดาวเหนือรีบลุกขึ้นยืน เชื้อเชิญให้ผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ทั้งสองนั่งลงที่เก้าอี้ยาวตัวเดียวกัน นายตำรวจวัยกลางคนที่ดูจะมียศสูงกว่าเป็นคนเริ่มต้นสนทนากับเธอ

“คุณดาวเหนือใช่ไหมครับ”

“ค่ะ มีอะไรเหรอคะ”

“ผมทราบดีว่าไม่เหมาะแต่ทางเราอยากจะสอบปากคำเพิ่มเติมนิดหน่อย เพื่อขยายผลในการสืบสวนหาตัวฆาตกรมาดำเนินคดี ในตอนนี้หลักฐานเท่าที่รวบรวมได้ในที่เกิดเหตุเมื่อตอนเช้าชี้ไปที่การฆ่าเพื่อปล้นชิงทรัพย์ แต่ว่า...” นายตำรวจวัยกลางคนหยุดพูดไปเฉยๆ ราวกับมีเรื่องอึดอัดใจบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจโยนให้ลูกน้องเป็นฝ่ายขยายความต่อ

“....แต่เราพบรอยเท้าปริศนาทางหลังบ้านของคุณ ตรงทางที่จะไปยังศาลาท่าน้ำ เป็นรอยเท้าที่เกิดขึ้นใหม่ คาดว่าอย่างช้าสุดก็น่าจะเป็นเมื่อวานตอนเช้าหรือถ้าเร็วก็คือตอนที่เกิดเรื่อง”

ดาวเหนืออึ้ง รู้สึกสับสนเป็นอย่างมากกับสิ่งที่นายตำรวจหนุ่มบอก ‘หมายความว่าไง นี่เขาจะบอกว่าแม่ไม่ได้โดนโจรฆ่าตายแต่เป็นคนอื่นงั้นเหรอ’

“คุณตำรวจหมายความว่ายังไงคะ ดิฉันงงไปหมดแล้ว”

นายตำรวจสองคนมองหน้ากัน ก่อนที่นายตำรวจคนเดิมจะเป็นคนตอบ “ทางเราสงสัยว่าคดีนี้อาจจะมีอะไรแฝงอยู่มากเกินไปกว่าจะเป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์กันตามธรรมดา ขอโทษนะครับ...ไม่ทราบว่าคุณแม่คุณเคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”

“ไม่...ไม่มีค่ะ แม่ไม่ชอบออกจากบ้านเท่าไหร่”

นายตำรวจหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะจดโน้ตลงไปในสมุดบันทึกเล่มเล็ก สรุปความแทงใจเธออย่างจัง

“งั้นก็อาจจะมีศัตรูอยู่ภายในบ้าน” หญิงสาวชะงัก เม้มปากแน่น ศัตรูในบ้านเหรอ? ภาพของหญิงสาวในชุดสีแดงตัวโปรดพร้อมใบหน้ายิ้มเยาะลอยขึ้นมา ดาวเหนือสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป

“ในบ้านก็ไม่มีค่ะ”

“แน่ใจนะครับ?” เขายังคงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้านวลเริ่มกระด้างขณะตอบ น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้นเพื่อให้คนฟังได้รับรู้ว่าเริ่มจะไม่พอใจแล้ว

“แน่ใจค่ะ...คุณตำรวจมีอะไรอีกไหมคะ”

“ครับ...ยังมีต่ออีกหน่อย ตรงที่รอยเท้าที่พบนั้นไม่ใช่รอยเท้าของผู้ตายทั้งสองแน่นอน และไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครทางตำรวจเชื่อว่าจะต้องมีส่วนรู้เห้นกับเรื่องที่เกิดแน่นอน ยังไงหากเสร็จงานศพแล้วทางเราคงต้องขอสอบปากคำพวกคุณอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนี้กรุณาอย่าออกไปนอกประเทศโดยไม่จำเป็นนะครับ” นายตำรวจหนุ่มใหญ่บอกเสียงเรียบก่อนจะขอตัวกลับโดยมีดาวเหนือเดินตามมาส่ง

ตฤณที่เดินกลับมาหาคนรักสาวไม่เจอก็เริ่มตระหนก ร่างสูงมองซ้ายมองขวาก่อนจะเห็นว่าคนที่หากำลังยืนพิงเสานิ่งที่ทางลงไปข้างล่าง ชายหนุ่มรีบตรงไปหาทันที

“ดาวครับ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ไม่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ เดี๋ยวเป็นลมไปนะ” บอกอย่างห่วงใย ก่อนจะรู้สึกผิดสังเกตเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งเงียบไป

“ดาว?”

“พี่ตฤณ...ตำรวจบอกว่าแม่อาจจะไม่ได้ถูกฆ่าชิงทรัพย์ แต่อาจเป็นจงใจฆ่า!"
-----------------------------------------------
สวัสดีค่ะ หายไปนานเพราะกำลังปรับตัวกับชีวิตใหม่ ตอนนี้ข้าพเจ้าได้งานประจำแล้วล่ะ เลยต้องปรับตัวขนานใหญ่ อาจจะหายตัวไปนาน แล้วก็กลัวว่าจะโดนนักอ่านลืม วันนี้เลยต้องจัดมาให้อีกหนึ่งตอน ก็มาโศกกันต่อไปก่อนนะคะ ความหวานช่วงนี้ยังไม่มี (และคงจะอีกนาน)

ข้าพเจ้าจะพยายามมาอัพเรื่อยๆแต่คงไม่ได้มาถี่เช่นเดิม เนื่องด้วยงานประจำแต่ยังไงซะข้าพเจ้าจะไม่ทิ้งเรื่องการแต่งนิยายแน่นอน เพราะงานนี้ทำด้วยใจส่วนงานหลักนั้นทำเพื่อความอยู่รอด 555
เจอกันตอนหน้าค่ะ ติชมได้ ใกล้จะถึงจุดจบของนางร้ายอย่างตะวันฉายเต็มทนแล้ว





ไอจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2555, 14:08:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2555, 14:10:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1949





<< ตอนที่ 35   ตอนที่ 37 >>
Pat 15 ก.ค. 2555, 16:33:48 น.
อยากเห็นจุดจบของตะวันฉายเร็วๆค่ะ ชีเข้าขั้นโรคจิตแล้วปล่อยไว้ก็อันตราย ยินดีด้วยกับงานประจำนะคะ


anOO 15 ก.ค. 2555, 16:54:40 น.
ยัยดาวจะอาจหาญ หาตัวคนร้ายเองไหมเนี้ย
คุณพี่ตะวันดูท่าจะยังร้ายอยู่อย่างต่อเนื่อง


กาซะลองพลัดถิ่น 15 ก.ค. 2555, 19:23:36 น.
ไรเตอร์ สู้ ๆ คะ .....
ใกล้จะถึงจุดจบของตะวันฉายแล้วใช่ไหม เย้ ๆ เย้ ๆ......ยังไงก็อย่าให้มีเรื่องเกิดกับดาวและตฤนอีกนะคะ มันเศร้าพอแล้วอ่ะ


Setia 16 ก.ค. 2555, 01:35:51 น.
โอ้ ใกล้ถึงจุดจบแล้วเหรอ งี้ก็ใกล้จบเรื่องแล้วสิ ว้า เสียดายจัง
แต่ให้ยัยนี่ถูกจับเร็วๆก็ดีละ อันตรายจะตาย ไม่รู้ถ้าคนใช้เก่าแก่หรือพ่อแม่มารู้ความจริงโดยบังเอิญ
ยัยนี่จะถึงกับฆ่ารึเปล่านะ


ใบบัวน่ารัก 19 ก.ค. 2555, 20:08:18 น.
เศร้าใจ
หากตะวันตดิดุกตลอดชีวิตอยังน้อยไป
ขอแรงๆนะ


goldensun 23 ธ.ค. 2555, 21:32:09 น.
ตรวจรอยนิ้วมือแฝง น่าจะเจอนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account