ป่าหนาวในเงารัก
หญิงสาวผู้ชอบหว่านเสน่ห์ ทั้งยังไม่เคยศรัทธาต่อคำว่ารักแท้ เมื่อมาพบกับหนุ่มที่ปราศจากความสนใจในตัวเธอ...อะไรจะเกิดขึ้น
Tags: กรยุพา , ยุพากร รักโรแมนติก
ตอน: 12 กรยุพา . ยุพากร
12
ร่างไร้สติปราศจากการรับรู้ใดๆ ทำให้ภูมิรพีตกใจจนบอกไม่ถูก กระทั่งอุ้มกลับมายังเต็นท์ ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เพื่อปฐมพยาบาลเพื่อให้ฟื้นคืนสติ
“ดีขึ้นมั้ยครับ”
เจ้าตัวยังงุนงง เพราะไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
เพราะก่อนเกิดเหตุภูมิรพีรออยู่หน้าประตู ทว่าร่างที่ออกมาจากห้องน้ำกลับกรีดร้องก่อนทรุดฮวบปราศจากคำบอกกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น
ฐิตารีย์ได้แต่ส่ายหน้า พยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปจากความทรงจำ
“มีอะไรก็บอกผมได้ทุกอย่าง”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกบอกถึงความอาทรจนเธอรู้สึก
อาการนิ่งเงียบจากอีกฝ่าย ทำให้เขารู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถาม
“งั้นก็นอนเถอะนะครับ พรุ่งนี้เรายังต้องเดินกันอีกไกล” บอกระหว่างขยับตัว
“คุณจะนอนในนี้ก็ได้นะคะ” เธอรีบบอก
เป็นคำพูดที่ภูมิรพีคิดไม่ถึง แต่นั่นก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่าเมื่อครู่ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอแน่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณนอนให้สบายเถอะ มีอะไรก็เรียกผมได้ต
ลอด”
ครั้งนี้ภูมิรพีไม่พูดเปล่า แต่กลับถอดสร้อยพระที่ติดตัวขึ้นอาราธนาก่อนสวมให้อย่างเบามือ
“คุณปู่ให้ผมไว้ป้องกันตัว แต่ตอนนี้ผมอยากจะให้คุณไว้เพื่อความอุ่นใจนะครับ”
น่าแปลกที่แม้ยามนี้จะไม่ใช่เวลาจะรู้สึกซาบซึ้งใจ ทว่าคำพูดตลอดจนการกระทำของเขา กลับทำให้เธออบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
ฐิตารีย์สลัดความรู้สึกต่างๆ ออกอย่างรวดเร็ว เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะนึกถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยไม่ใช่หรือ
ณ เรือนรับรองแขกของฟาร์มเทพทัต...
พชรซึ่งออกมายืนปล่อยอารมณ์ยังระเบียง อดไม่ได้ที่จะห่วงชะตากรรมของเพื่อนสาว แต่อันที่จริงคนที่น่าห่วงยิ่งกว่าควรจะเป็นเจ้าของชาเล่ต์ฮิลผู้นั้นมิใช่หรือ รอยยิ้มจางๆ ยังปรากฏยังริมฝีปากก่อนจางหาย เหตุเพราะฉุกคิดถึงหญิงสาวซึ่งผ่านหน้าไปวันนั้น…แวบเข้ามาในความคิด
เพียงชั่วอึดใจเพลงไทยเดิมกลับดังแทรก ตามด้วยเสียงหมาหอนซึ่งตามมาติดๆ
เขาที่ว่าจิตแข็งยังต้องยอมรับว่าหวาดหวั่นไปทั่วทุกอณูของสารพางค์เลยทีเดียว
ไวเท่าความคิดเขารีบหันกลับอย่างเร่งด่วน ทว่านาทีนั้นถึงกับต้องสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกโพลงแต่ตัวกลับแข็งทื่อ
ร่างของชายวัยกลางคนที่โผล่มาไม่ให้สุ้มเสียง ซ้ำยังยืนในระยะประชิดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ซึ่งนั่นทำเอาพชรถึงกับใจตกอยู่ที่ตาตุ่ม
“ลุงจ่า…” เสียงครางเบาๆ เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากราวกระซิบ
“ตกใจหมดเลยครับ” บอกสีหน้าจืดสนิท
ชยุตกระตุกยิ้มเพียงแวบเดียว
“ดึกแล้ว คุณยังไม่นอนอีกหรือครับ พรุ่งนี้ผมจะไปดูทางที่หินถล่มแต่เช้า คุณจะไปด้วยไม่ใช่หรือครับ”
“ครับ ผมกำลังจะเข้านอน” บอกระหว่างก้าวเท้าออกไป
“ลุงจ่า…ได้ยิน เสียงเพลงไทยเดิมมั้ยครับ”
ผู้ถูกถามเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ที่ไหนกันครับ” ถามด้วยความงุนงง
“ผมไม่เห็นจะได้ยิน”
พชรได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่เขาอุปาทานไปเองอย่างนั้นหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร
“แล้ว…เสียง หมาหอนเมื่อครู่ล่ะครับ”
ครั้งนี้ชยุตกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“คุณกลัวหรือครับ”
นั่นไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการแม้แต่น้อย
“คงจะเป็นเจ้าคุ๊กกี้กระมังครับ มันก็คงหอนเรียกสาวๆ ไปตามประสานั่นแหละครับ”
ฟังดูก็มีเหตุผล
“ลุงจ่ายังไม่นอนหรอกหรือครับ”
พชรอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่ออีกฝ่ายก้าวลงบันไดเพื่อไปขึ้นรถกอล์ฟ
“ผมต้องมาดูความเรียบร้อยรอบๆ ไร่เป็นประจำอยู่แล้ว ขับวนสักรอบสองรอบ เดี๋ยวก็จะไปนอนแล้วล่ะครับ ฝันดีนะครับ”
ทั้งสองไม่รู้เลยว่าขณะนั้นมีสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งแอบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ จับจ้องอยู่ตลอดเวลา
แม้จะดึกดื่นสักเพียงใด แต่พชรยังไม่อาจข่มตาให้หลับ ไม่รู้ว่าทำไมแต่นาทีนี้เขารู้สึกจริงๆ ว่าไม่ใช่อย่างที่ลุงจ่าบอก เพราะคุ๊กกี้อยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งไกลจากที่นี่ไม่ใช่น้อย แต่ทั้งฟาร์มก็มีเจ้าคุ๊กกี้อยู่เพียงตัวเดียว
แล้วจะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร ยังเสียงเพลงไทยเดิมที่ลุงจ่าบอกว่าไม่ได้ยินนั่นอีก…
แต่ที่แน่ๆ คืนนี้เขาเปิดไฟนอนเพื่อความอุ่นใจไว้ดีที่สุด
ณ ชานบ้านไม้ซุง...
เสียงเพลงไทยเดิมดังแผ่วๆ ผสมผสานกับกลิ่นดอกราตรีที่หอมตลบไปจนทั่ว ประกอบกับสำรับ ‘เชี่ยนหมากนาค’ ซึ่งงดงามด้วยหัตถศิลป์การดุลลายอย่างประณีตบรรจง พร้อมพรั่งด้วยตลับยาเส้น ที่เคียงข้างคือเต้าปูนซึ่งใช้ใส่ปูนแดง
ถัดไปเป็นซองใส่หมากพลู ที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นตะบันหมากทองเหลือง ข้างๆ คือสีเสียด ซึ่งใช้รับประทานพร้อมหมากพลูเพื่อไม่ให้ปูนกัดปาก ตามด้วยตลับสีผึ้ง เพื่อความชุ่มชื้นของริมฝีปาก ยังมีพิมเสน และการบูรในตลับจิ๋ว ทั้งหมดนั่นจึงทำให้ที่นี่ราวคนละโลกกับความเป็นจริง
ร่างบางในชุดสไบเฉียงบนตั่งไม้สัก ที่กำลังเอนกายสบายกับหมอนขวานช่างงดงามจนเหนือคำบรรยาย
“อย่าสนุกจนหลานได้รับอันตรายเชียวนะ” เสียงเทพทัตดังกังวาลจากม้าโยก
ที่ตามมากลับเป็นเสียงหัวเราะอันเย็นเยียบ
“ใครว่าทำเพื่อความสนุกกันล่ะคะ” อดไม่ได้ที่จะค้อนควัก
“ฉันรู้ ว่าเธอน่ะหวังดี แต่เรื่องของความรัก มันอยู่ที่เจ้าตัว จะไปบังคับให้ใครรักกับใคร โดยเจ้าตัวไม่มีใจก็อย่าทำเลยดีกว่า” บอกน้ำเสียงเข้ม
“คนเราเมื่อไม่ได้มีบุญ และวาสนาต่อกันแล้ว ยังไงเสียก็ไม่มีวันมาบรรจบกันได้หรอก จริงมั้ย”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏยังใบหน้าของอีกฝ่าย
“ท่านเจ้าคุณไม่เคยได้ยินหรอกหรือคะ ว่าบรรยากาศจะนำมาซึ่งเรื่องนึกไม่ถึงได้เสมอ”
ครั้งนี้เทพทัตกลับหัวเราะชอบใจ
“ทั้งคู่จะสนิทเสน่ห์หากันหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวช่วยด้วยเหมือนกัน” มีหรือที่เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ
“เออ…ฉันก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าแม่คมแก้วกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักไปเสียแล้ว” สัพยอกอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่จะให้ดิฉันอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย ก็เห็นทีจะทำไม่ได้” บอกระหว่างหยิบพลูจากสำรับหมากนาคฉลุอันงดงามและปราณีตด้วยฝีมือช่างชั้นครูมาถือไว้
“เจ้าคุณลืมหรือเปล่าคะ ที่เขาว่ากันว่าในเมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ในเมื่อไม่ได้ด้วยกล ก็เอาด้วยมนต์คาถา ในยุคสมัยนี้ก็ยังใช้ได้อยู่” กล่าวก่อนส่งใบพรูเข้าปากเคี้ยว พร้อมๆ กับกลิ่นพิมเสนขจรขจายต้องจมูก
แววตาที่มีเสศนัยของคมแก้วทำให้เทพทัตอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
คมแก้วไม่รู้เลยว่าหนุ่มที่กล่าวถึง คนหนึ่งไม่อาจข่มตาให้หลับเพราะหวาดกลัวผีจนขึ้นสมอง กับอีกคนที่ยังคงนั่งผิงไฟจากเตาอั้งโล่อยู่เพียงลำพังโดยต่างฝ่ายต่างคิดกันไปคนละทาง ปราศจากเรื่องชู้สาวอย่างสิ้นเชิง
เช้าของวันใหม่...เมื่อฝนหยุดตก
หุบเขาเบื้องหน้า กลับกลายเป็นทะเลหมอกซึ่งเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมผืนป่าเบื้องล่างราวภาพฝัน หมูเมฆที่ลอยละเลียดอยู่เหนือหุบเขาเบื้องล่าง ทำให้เธอได้รู้ว่าจุดที่อาศัยมาทั้งคืนสูงขนาดไหน
ฐิตารีย์กระชับเสื้อเข้ากับตัว เพราะความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาทั่วทุกอณูของรูขุมขน ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นฤดูร้อนไปได้
เธอเพิ่งสังเกตุว่าภายในเตายังคุกรุ่นด้วยไม้ที่กลายเป็นถ่านแดงๆ ทั้งหม้อต้มบะหมี่เมื่อคืน ก็กลับกลายเป็นกาที่น้ำกำลังเดือดควันฉุย นี่แสดงว่าเขาไม่ได้นอนทั้งคืนอย่างนั้นหรือ
บุรุษซึ่งอยู่ในถุงนอนคลุมหน้าตาจนมิดชิดก็จริง แต่เธอกลับรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจ เขายอมที่จะลำบากแทนที่จะได้นอนสบายก็เพราะเธอ
“...ตื่นแล้วหรือครับ”
ผู้ถูกทักถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“ขอโทษที ผมงีบหลับไปหน่อย” บอกระหว่างลุกขึ้น
แม้ภูมิรพีจะเห็นใบหน้าแฉล้มที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ซึ่งเขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้เขายิ้มออก ขึ้นชื่อว่า ‘ผู้หญิง’ ถึงจะเก่งกล้าเพียงใด และแม้จะอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดไหน เจ้าหล่อนยังห่วงสวย
ช่างแตกต่างกับเมื่อคืนลิบลับ ที่หน้าจืดสนิทนั่นเป็นคนละคนเลยทีเดียว วูบหนึ่งที่เขานึกอยากถามว่าแท้จริงมีเรื่องใดเกิดขึ้นกัยเธอกันแน่ แต่กลับไม่เอ่ยออกมา
“คุณหิวหรือยัง ผมมีแคร็กเก้อร์อยู่หลายถุง รองท้องก่อนแล้วกันนะครับ” กล่าวระหว่างค้นสำภาระในเป้
“อดทนอีกนิดเดียว อีกเดี๋ยวก็ถึงบ้านพักนั่นแล้ว” ไม่พูดเปล่าแต่ยกหม้อน้ำร้อนจากเตามาเทใส่แก้วกระดาษแล้วจึงฉีกซองกาแฟสำเร็จรูปตามลงไปอย่างชำนาญ
“คงอร่อยไม่เท่าที่ร้านคุณแน่ๆ” ยังไม่วายสัพยอกก่อนส่งให้เธอ
ฐิตารีย์ได้แต่ส่ายหน้า ตื้นตันใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ การกระทำเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เธอก็รู้สึกซึ้งในน้ำใจของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ
เธอรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านโดยการนำกล้องดิจิตอลออกมาเก็บภาพทิวทัศน์ ตลอดจนภาพระหว่างเขาเก็บเต๊นท์
เป็นอีกครั้งที่ภูมิรพีต้องประหลาดใจ กระทั่งกล้องถ่ายภาพเธอก็ยังพกมาด้วย
เขาต้องแปลกใจยิ่งกว่าเก่า เมื่อเธอมีรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ซึ่งไม่ใช่บู๊ทเมื่อวาน นาทีนั้นเขาอยากถามจริงๆ ว่าในกระเป๋า ยังมีอะไรที่คาดไม่ถึงอีกหรือไม่
“เมื่อก่อนตรงนี้ทางจังหวัดเคยโปรโมทให้เป็นจุดชมวิว แต่พอทางขาดก็ไม่มีงบซ่อมแซม ตรงนี้ก็เลย…เป็นอย่างที่คุณเห็น”
มิน่าถึงได้มีห้องน้ำนั่นได้…คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย เจ้าตัวได้แต่เอามือลูบแขนตัวเองให้คลายความหวาดกลัว
“คุณจะเข้าห้องน้ำก่อนออกเดินทางหรือเปล่า” บอกระหว่างกรอกน้ำที่ต้มแล้วใส่กระติก
เธอส่ายหน้าเป็นพัลวันระหว่างปรายตามองสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง เป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่ขอเข้าอีกอย่างเด็ดขาด
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“แล้ว…เต็นท์ล่ะคะ” อดไม่ได้ที่จะสงสัยเมื่อเห็นเขาเอาซุกไว้ใต้ม้านั่ง
“ทิ้งเอาไว้ที่นี่ จากนี้เราไม่ต้องใช้แล้ว ขากลับค่อยมาแวะเอา”
ฐิตารีย์จึงจำใจวางบู๊ทในมือลง
“เอาไว้ที่นี่ก็ได้ใช่มั้ยคะ วันนี้ฝนคงไม่ตกแล้ว”
ภูมิรพีได้แต่มองฟ้าเบื้องบนก่อนพยักหน้ารับ
“อะไรที่คิดว่าไม่สำคัญ ทิ้งไว้ที่นี่ก็ได้ เพราะนอกจากทางนั่นแล้วก็ไม่มีใครมาถึงได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าของจะหาย”
ฐิตารีย์ถึงกับหน้ามุ่ย ที่เหลือในกระเป๋าก็สำคัญสำหรับเธอทั้งนั้นนี่นา
ไม่ใช่เขาไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่กลับทำเฉยเสีย
“เอากระเป๋าคุณมาสิ ผมถือให้” บอกง่ายๆ เมื่อเริ่มออกเดินทาง
นับเป็นคำพูดซึ่งเธอคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” รีบบอกเพราะเกรงจะโดนต่อว่า
“เอามาเถอะครับ หนทางยังอีกไกล” แม้เขาจะเห็นท่าทีอ้ำอึ้ง แต่ดวงตาคมกริบบ่งบอกว่ายังคงยื่นยันเจตนารมณ์เดิม
ฐิตารีย์จำใจส่งกระเป๋าใบใหญ่ให้ เขาจึงพบถึงความหนักอึ้งอย่างคาดไม่ถึง นี่เธอทนแบกมาโดยปราศจากเสียงบ่นใดๆ ได้อย่างไรกัน
“อันที่จริง…ตาถือเองก็ได้ค่ะ” กล่าวหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
“คุณเก็บแรงไว้เดินให้ถึงบ้านหลังนั้นจะดีกว่า” ตอบก่อนออกเดินนำ
“จะว่าไป ที่นี่กลางวันกับกลางคืน ต่างกันลิบลับเลยนะคะ สวยมากๆ เลยล่ะค่ะ” พูดเพื่อเอาใจอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้เกินความเป็นจริง เพราะเมื่อเดินออกมาจึงได้เห็นความงดงามของที่พัก
หลังคา ‘ตองตึง’ ซึ่งปรากฏงดงามอยู่ภายใต้สายหมอกที่ลอยละเลียดจึงเป็นภาพซึ่งเธออดไม่ได้ที่จะนำกล้องออกมาถ่ายภาพอีกครั้ง
ภูมิรพีได้แต่มองภาพนั้นด้วยความอ่อนใจ ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่ทุกข์ร้อนเอาเสียเลย
ในเวลาเดียวกัน ณ ที่ว่าการอำเภอแสนดาว
สรรพกำลังเพื่อช่วยเคลียร์พื้นที่ต่างแข็งขันให้งานสำเร็จลุล่วง หนึ่งในนั้นคือทีมจากฟาร์มเทพทัต
จ่าชยุต พชร และปาร์ค ยอง ฮวา สุดท้ายคือข้าวปุ้นที่แสงดาวโทรฯ มาบอกแต่เช้ามืดว่าขอติดรถมาด้วย
อุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดเตรียมพรั่งพร้อมแล้วก็จริง ทว่าคาราวานจากหน่วยกู้ภัยต่างไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหญ่หลวงนัก เกินกว่ากำลังคนจะกู้ได้สำเร็จ
ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังมีใครบางคน…ตั้งใจ ‘เช็คบิล’ ด้วยความคั่งแค้นชนิด ‘ฝังหุ่น’ ซึ่งยากนักที่ผู้ใดจะหลบเลี่ยงชะตากรรมครั้งนี้ไปได้
ตลอดระยะทางที่เหลือ แม้จะรีบเร่งถึงกระนั้นหญิงสาวยังแวะเก็บภาพตลอดทาง หนึ่งในนั้นคือทุ่งดอกไม้ป่าสีม่วงซึ่งขึ้นแทรมกับต้นหญ้าที่กำลังล้อสายลม จึงเป็นภาพประทับใจที่เธอถึงกับชื่นชมไม่ขาดปาก
แม้อากาศเย็นฉ่ำแต่กลับเหงื่อตก และกระทั่งตะวันตรงศีรษะชายหนุ่มยังไม่คิดจะหยุดพัก ยังโชคดีที่ฟ้าถึงอุ้มฝนทว่ายังไม่มีทีท่าจะลงเม็ด
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่” จู่ๆ เขาก็ชวนคุย
“คะ” ดูเหมือนเธอยังไม่ทันตั้งสติ
“ผมถามว่าเมื่อคืน ที่ห้องน้ำนั่น และตอนคุณหลับอยู่ในเต็นท์ เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่”
ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้เสียงหวีดร้องของเธอถึงสองครั้งสองครายังคงตามมาหลอกหลอน
“ห้ามบอกนะครับ ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เขาดักคอ
“พูดไปคุณอาจไม่เชื่อสิคะ”
“คุณหมายความว่ายังไง” ถามพร้อมคิ้วขมวดมุ่น
“ก็เพราะ สิ่งที่ตาเห็นเมื่อคืน ทั้งในความฝัน และภาพในกระจกบานนั้นเป็นคนๆ เดียวกันน่ะสิคะ…”
ครั้งนี้เธอไม่คิดอิดออด และแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในความฝัน และในห้องน้ำก็ออกจากปากอย่างละเอียด
น่าแปลกเมื่อเล่าจบกลับไม่พบอีกฝ่ายหัวเราะหรือแย้มยิ้ม ตรงข้ามทั้งสีหน้าและแววตากลับครุ่นคิด
“คุณกลัวงั้นสิ” ถามอย่างเคร่งขรึม เพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเจอเรื่องเหนือธรรมชาติมากับตัวแล้วเช่นกัน
“แต่สำหรับผม สิ่งที่ควรกลัว คือ ‘มนุษย์’ เรามากกว่า” กล่าวน้ำเสียงจริงจัง
“มนุษย์ที่สามารถทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเราได้โดยไม่ทันที่คุณจะกระพริบตาด้วยซ้ำ”
นับเป็นคำพูดที่เธอคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าจะลับหลัง หรือต่อหน้า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็สามารถทำให้คุณ ‘เจ็บปวด’ ได้ทั้งนั้น”
หมอนี่พูดเหมือนคนอกหักไม่มีผิด ฐิตารีย์ได้แต่นึกระหว่างเหลือบมองอีกฝ่าย ซึ่งพอดีกับที่เขาก็มองเธอเช่นกัน
ตาต่อตาที่ประสานไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆ ได้ก็จริง ทว่าผู้ที่หลบก่อนกลับเป็นเธอ…
และแล้วฟ้าที่อุ้มฝนมาครึ่งวันก็สำแดงฤทธ์จนได้ เมื่อหยาดน้ำเม็ดบางเบาเริ่มโปรยละอองลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ภูมิรพีรีบปลดเป้ก่อนนำเสื้อกันฝนออกมาช่วยเธอสวม
เพราะใกล้ยิ่งกว่าใกล้ จนเห็นไรหนวดที่เริ่มเขียวครึ้มรับกับริมฝีปากได้รูปนั่น เป็นสิ่งซึ่งเธอไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าความรู้สึกหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
ความรู้สึกนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครแม้กระทั่งกับยอง ฮวา
“คุณยังไหวหรือเปล่า” ถามด้วยน้ำเสียงอาทร ระหว่างส่งบะหมี่สำเร็จรูปกรุบกรอบให้รองท้อง
ฐิตารีย์ได้แต่พยักหน้ารับ เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นยังหัวใจ สำหรับเธอแล้ว…เขาผู้นี้ช่างไม่เหมือนชายใดที่เธอเคยรู้จัก หรือเป็นเพราะต้องมาตกอยู่ท่ามกลางความลำบาก โดยมีเขาเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างกันแน่
ทั้งเมื่อคืนอากาศหนาวจนสะท้าน ยังแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยออกไปนอนนอกเต็นท์ ปราศจากการฉวยโอกาสอย่างสิ้นเชิง
นาทีนี้ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ารู้สึกประทับใจบุรุษผู้นี้เข้าให้แล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ เกิดขึ้นกับเธอได้อย่างไรกัน
ความคุมเครือในจิตใจจางหายอย่างรวดเร็ว เมื่ออีกฝ่ายส่งกระติดใบน้อยซึ่งน้ำเหลือไม่ถึงครึ่งมาให้
อีกด้านหนึ่งของผืนป่า...
สองหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดรัดกุมเตรียมพร้อมลุยเต็มที่คือปลัดและณัฐพากย์ ทว่าหินขนาดมหึมาซึ่งขวางถนนในด่านแรก ทำให้ต้องหยุดการปฏิบัติการอย่างช่วยไม่ไม่ได้ ที่สำคัญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนก็มีทีท่าจะเทลงมาอย่างหนัก
“เอายังไงดีครับลุงจ่า” ณัฐพากย์ในฐานะหัวหน้าทีมตัดสินใจไม่ได้เสียเฉยๆ
“ยังไงเราก็ต้องเคลื่อนย้ายหินที่ปิดทางนี่ให้ได้ก่อน คงต้องกลับไปวางแผนกันใหม่แล้วล่ะครับ”
“ถ้าอย่านั้น พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน” ณัฐพากย์สรุปเสร็จสรรพ
“ผมว่าคุณควรไปออกปากให้กำนันช่วยนะ”
ชยุตพูดเช่นนั้น เพราะพิรัชน์เป็นเจ้าของรถแบคโฮที่ต้องการ
“นั่นสิ ไม่อย่างนั้น ย่อมไม่สำเร็จแน่” ปลัดเห็นด้วยเช่นกัน
ณัฐพากย์กลับเห็นต่าง เพราะเขาไม่ต้องการเสวนากับกำนัน แต่เวลาคับขันเช่นนี้คงต้องยอมทำใจ ดูเหมือนจะมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
พชรที่คอยให้ความกระจ่างกับยองฮวาหนักใจไม่แพ้กัน เพราะอดีตคนรักของเพื่อนสาวแสดงอาการไม่พอใจเมื่อรู้ว่าการช่วยผู้ประสบภัยในวันนี้ต้องหยุดไว้ชั่วคราว
ณ ภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์
หญิงสาวที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับไม่ใช่ใครแต่เป็นสริตา ที่ยามนี้ราวใครเอาไฟมาสุมในอกไม่มีผิด
“แล้วอย่างนี้จะทำยังไงกันดีล่ะคะคุณแม่”
เพราะข่าวจากข้าวปุ้นที่โทรฯ มารายงานนายแม่ ถึงการต้องหยุดการกู้ภัยลงชั่วคราวทำให้สริตาถึงกับนั่งไม่ติด
แสงดาวได้แต่มองตาปริบๆ พูดไม่ออกเสียเฉยๆ อยากรู้จริงๆ แท้จริงแล้ว บุตรชายกับหญิงสาวผู้นี้แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์เช่นใดกันแน่
“ภูจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“หนูไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ”
“คุณแม่จะไม่ให้นิต้าห่วงได้ยังไงกันล่ะคะ ก็ในเมื่อภูไปกับ…แม่คนนั้น”
ครั้งนี้แสงดาวจึงถึงบางอ้อ…ที่แท้เจ้าหล่อนก็ไม่ได้ห่วงสวัสดิภาพของบุตรชาย แต่ห่วงความสัมพันธ์ที่อาจเกินเลยนั่นต่างหาก
“คนเราคิดจะคบกันก็ต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน นั่นหมายถึงการให้เกียรติอีกฝ่ายด้วย”
น้ำเสียงเย็นเยียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสีหน้าและแววตาของเจ้าบ้าน แต่กลับทำให้สริตาขยาดไปเหมือนกัน
“นิต้า…ไม่ได้คิดว่าเป็นภูหรอกนะคะ แต่ที่นิต้าไม่ไว้ใจคือแม่นั่นต่างหากคะคุณแม่” ยังเอ่ยน้ำเสียงเข้ม
“ที่สำคัญ นิต้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าแม่นั่นไปกับภูได้ยังไง”
“เห็นว่ารถหนูตาเสีย แล้วภูก็ผ่านไปพบเข้าพอดี…” อธิบายถึงสาเหตุอย่างใจเย็น
“หนูอาจยังไม่รู้ ว่าแฟนของหนูตาเพิ่งมาจากเกาหลีเมื่อสองวันนี่เอง วันนี้เขาก็ออกไปกับหน่วยกู้ภัย เห็นว่าหัวเสียใหญ่ที่ทางเรายังทำอะไรไม่ได้”
นับเป็นเรื่องที่สริตาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“เพราะฉะนั้น ก็ลืมเรื่องที่ว่านั่นไปได้เลยนะจ๊ะ”
ถึงข้อข้องใจจะถูกทำลายด้วยข้อมูลใหม่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอยังรู้สึกจริงๆ ว่าไม่สบายใจแม้แต่น้อย วูบหนึ่งที่นึกถึงคำพูดของบิดาก่อนที่เธอจะมาที่นี่
“เราควรเลิกยุ่งเกี่ยวกับนายภูนั่นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกิน เพราะถึงยังไง ฉันก็ยอมให้คบหากันไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
กฤษดากล่าวตรงๆ เมื่อพบว่าบุตรสาวกำลังจะไปเกาะติดสถานการณ์ยังชาเล่ต์ ฮิลล์
“ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร ดีไม่ดีจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย…”
ลำคอระหงเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทนง เธอจะไม่ยอมเชื่ออย่างเด็ดขาด ถึงเรื่องที่บิดาพูดจะเป็นจริงแต่ในเมื่อเธอถลำรักเข้าไปแล้ว ก้ยากนักที่จะไถ่ถอนความรู้สึกนี้ออกไปได้
“แล้วฐานะอย่างเรา หากใครรู้เข้า พ่อคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ที่วันๆ ลูกสาวเพียงคนเดียววิ่งไปตามผู้ชายถึงบ้านอย่างนั้น” กล่าวอย่างเหลืออดแล้วจริงๆ
“ทำตัวให้มีค่าหน่อยจะได้มั้ย หมอนั่นมีดีอะไรนักหนา”
“พ่อเองก็เคยชื่นชมเขาไม่ใช่หรือคะ”
“นั่นมันก่อนที่เราจะไปวิ่งตามเขาแบบนี้ ไม่เข้าใจหรือ ว่าคนแบบนั้นจะทำให้เราปราศจากอนาคต เผลอๆ ลูกที่เกิดมาจะไม่มีพ่อด้วยซ้ำ”
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเผ็ดร้อนของบิดาจะทำให้เธอถึงกับน้ำตาคลอเบ้า
“นิต้าสงสารภูจริงๆ ค่ะ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพ่อชื่นชมก็แต่ ‘ผลงาน’ ของเขาเท่านั้น” น้ำเสียงสั่นเคลืออย่างมีอารมณ์
“เขาให้ประโยชน์กับจังหวัด พ่อเองก็ได้หน้า แต่เมื่อยามหมดประโยชน์ พ่อก็ถีบหัวส่งสินะคะ”
“นี่แก…”
“ยังไงซะ เรื่องของนิต้ากับภูก็ไม่มีวันเป็นอย่างที่พ่อต้องการหรอกค่ะ นิต้าไม่ยอมอย่างเด็ดขาด”
“ที่แกพูด แกถามเขาหรือยัง”
เป็นคำถามที่เหมือนถูกตีเข้าแสกหน้าไม่มีผิด แต่ด้วยเหตุนั้น วันนี้เธอจึงขนกระเป๋ากลับมายังชาเล่ต์เป็นการถาวร
สายตาอันมุ่งมั่นของสริตา ทำให้แสงดาว แม้เธอจะอยากให้บุตรชายมีแฟนเพียงใด แต่หากเป็นหญิงสาวผู้นี้ที่นับวันยิ่งเผยธาตุแท้ โดยเฉพาะความคิดอันคับแคบนั่น เกิดขึ้นจากเพราะรักบุตรชายมาก
หรือเพราะเหตุใดไม่รู้ได้ แต่นั่นกลับทำให้มารดาอย่างเธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ
พบกันเช่นเคยนะคะ และแล้วป่าหน่าวในเงารักก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 12 แล้วนะคะ หวังว่าเพื่อนๆ จะชื่นชอบกับตอนนี้นะคะ อาจจะรอนาน แต่อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
ขอขอบคุณ คุณ น้ำแอปเปิ้ล
คุณอัปสรา
และคุณจิรารัตน์มากมายค่ะ
ที่กรุณาให้กำลังใจมาโดยตลอด
และขอขอบคุณสำหรับผู้ที่กดlike ให้ด้วยนะคะ
แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปนะคะ ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยค่ะ
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร
ร่างไร้สติปราศจากการรับรู้ใดๆ ทำให้ภูมิรพีตกใจจนบอกไม่ถูก กระทั่งอุ้มกลับมายังเต็นท์ ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เพื่อปฐมพยาบาลเพื่อให้ฟื้นคืนสติ
“ดีขึ้นมั้ยครับ”
เจ้าตัวยังงุนงง เพราะไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
เพราะก่อนเกิดเหตุภูมิรพีรออยู่หน้าประตู ทว่าร่างที่ออกมาจากห้องน้ำกลับกรีดร้องก่อนทรุดฮวบปราศจากคำบอกกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น
ฐิตารีย์ได้แต่ส่ายหน้า พยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปจากความทรงจำ
“มีอะไรก็บอกผมได้ทุกอย่าง”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกบอกถึงความอาทรจนเธอรู้สึก
อาการนิ่งเงียบจากอีกฝ่าย ทำให้เขารู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถาม
“งั้นก็นอนเถอะนะครับ พรุ่งนี้เรายังต้องเดินกันอีกไกล” บอกระหว่างขยับตัว
“คุณจะนอนในนี้ก็ได้นะคะ” เธอรีบบอก
เป็นคำพูดที่ภูมิรพีคิดไม่ถึง แต่นั่นก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่าเมื่อครู่ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอแน่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณนอนให้สบายเถอะ มีอะไรก็เรียกผมได้ต
ลอด”
ครั้งนี้ภูมิรพีไม่พูดเปล่า แต่กลับถอดสร้อยพระที่ติดตัวขึ้นอาราธนาก่อนสวมให้อย่างเบามือ
“คุณปู่ให้ผมไว้ป้องกันตัว แต่ตอนนี้ผมอยากจะให้คุณไว้เพื่อความอุ่นใจนะครับ”
น่าแปลกที่แม้ยามนี้จะไม่ใช่เวลาจะรู้สึกซาบซึ้งใจ ทว่าคำพูดตลอดจนการกระทำของเขา กลับทำให้เธออบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
ฐิตารีย์สลัดความรู้สึกต่างๆ ออกอย่างรวดเร็ว เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะนึกถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยไม่ใช่หรือ
ณ เรือนรับรองแขกของฟาร์มเทพทัต...
พชรซึ่งออกมายืนปล่อยอารมณ์ยังระเบียง อดไม่ได้ที่จะห่วงชะตากรรมของเพื่อนสาว แต่อันที่จริงคนที่น่าห่วงยิ่งกว่าควรจะเป็นเจ้าของชาเล่ต์ฮิลผู้นั้นมิใช่หรือ รอยยิ้มจางๆ ยังปรากฏยังริมฝีปากก่อนจางหาย เหตุเพราะฉุกคิดถึงหญิงสาวซึ่งผ่านหน้าไปวันนั้น…แวบเข้ามาในความคิด
เพียงชั่วอึดใจเพลงไทยเดิมกลับดังแทรก ตามด้วยเสียงหมาหอนซึ่งตามมาติดๆ
เขาที่ว่าจิตแข็งยังต้องยอมรับว่าหวาดหวั่นไปทั่วทุกอณูของสารพางค์เลยทีเดียว
ไวเท่าความคิดเขารีบหันกลับอย่างเร่งด่วน ทว่านาทีนั้นถึงกับต้องสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกโพลงแต่ตัวกลับแข็งทื่อ
ร่างของชายวัยกลางคนที่โผล่มาไม่ให้สุ้มเสียง ซ้ำยังยืนในระยะประชิดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ซึ่งนั่นทำเอาพชรถึงกับใจตกอยู่ที่ตาตุ่ม
“ลุงจ่า…” เสียงครางเบาๆ เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากราวกระซิบ
“ตกใจหมดเลยครับ” บอกสีหน้าจืดสนิท
ชยุตกระตุกยิ้มเพียงแวบเดียว
“ดึกแล้ว คุณยังไม่นอนอีกหรือครับ พรุ่งนี้ผมจะไปดูทางที่หินถล่มแต่เช้า คุณจะไปด้วยไม่ใช่หรือครับ”
“ครับ ผมกำลังจะเข้านอน” บอกระหว่างก้าวเท้าออกไป
“ลุงจ่า…ได้ยิน เสียงเพลงไทยเดิมมั้ยครับ”
ผู้ถูกถามเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ที่ไหนกันครับ” ถามด้วยความงุนงง
“ผมไม่เห็นจะได้ยิน”
พชรได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่เขาอุปาทานไปเองอย่างนั้นหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร
“แล้ว…เสียง หมาหอนเมื่อครู่ล่ะครับ”
ครั้งนี้ชยุตกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“คุณกลัวหรือครับ”
นั่นไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการแม้แต่น้อย
“คงจะเป็นเจ้าคุ๊กกี้กระมังครับ มันก็คงหอนเรียกสาวๆ ไปตามประสานั่นแหละครับ”
ฟังดูก็มีเหตุผล
“ลุงจ่ายังไม่นอนหรอกหรือครับ”
พชรอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่ออีกฝ่ายก้าวลงบันไดเพื่อไปขึ้นรถกอล์ฟ
“ผมต้องมาดูความเรียบร้อยรอบๆ ไร่เป็นประจำอยู่แล้ว ขับวนสักรอบสองรอบ เดี๋ยวก็จะไปนอนแล้วล่ะครับ ฝันดีนะครับ”
ทั้งสองไม่รู้เลยว่าขณะนั้นมีสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งแอบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ จับจ้องอยู่ตลอดเวลา
แม้จะดึกดื่นสักเพียงใด แต่พชรยังไม่อาจข่มตาให้หลับ ไม่รู้ว่าทำไมแต่นาทีนี้เขารู้สึกจริงๆ ว่าไม่ใช่อย่างที่ลุงจ่าบอก เพราะคุ๊กกี้อยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งไกลจากที่นี่ไม่ใช่น้อย แต่ทั้งฟาร์มก็มีเจ้าคุ๊กกี้อยู่เพียงตัวเดียว
แล้วจะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร ยังเสียงเพลงไทยเดิมที่ลุงจ่าบอกว่าไม่ได้ยินนั่นอีก…
แต่ที่แน่ๆ คืนนี้เขาเปิดไฟนอนเพื่อความอุ่นใจไว้ดีที่สุด
ณ ชานบ้านไม้ซุง...
เสียงเพลงไทยเดิมดังแผ่วๆ ผสมผสานกับกลิ่นดอกราตรีที่หอมตลบไปจนทั่ว ประกอบกับสำรับ ‘เชี่ยนหมากนาค’ ซึ่งงดงามด้วยหัตถศิลป์การดุลลายอย่างประณีตบรรจง พร้อมพรั่งด้วยตลับยาเส้น ที่เคียงข้างคือเต้าปูนซึ่งใช้ใส่ปูนแดง
ถัดไปเป็นซองใส่หมากพลู ที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นตะบันหมากทองเหลือง ข้างๆ คือสีเสียด ซึ่งใช้รับประทานพร้อมหมากพลูเพื่อไม่ให้ปูนกัดปาก ตามด้วยตลับสีผึ้ง เพื่อความชุ่มชื้นของริมฝีปาก ยังมีพิมเสน และการบูรในตลับจิ๋ว ทั้งหมดนั่นจึงทำให้ที่นี่ราวคนละโลกกับความเป็นจริง
ร่างบางในชุดสไบเฉียงบนตั่งไม้สัก ที่กำลังเอนกายสบายกับหมอนขวานช่างงดงามจนเหนือคำบรรยาย
“อย่าสนุกจนหลานได้รับอันตรายเชียวนะ” เสียงเทพทัตดังกังวาลจากม้าโยก
ที่ตามมากลับเป็นเสียงหัวเราะอันเย็นเยียบ
“ใครว่าทำเพื่อความสนุกกันล่ะคะ” อดไม่ได้ที่จะค้อนควัก
“ฉันรู้ ว่าเธอน่ะหวังดี แต่เรื่องของความรัก มันอยู่ที่เจ้าตัว จะไปบังคับให้ใครรักกับใคร โดยเจ้าตัวไม่มีใจก็อย่าทำเลยดีกว่า” บอกน้ำเสียงเข้ม
“คนเราเมื่อไม่ได้มีบุญ และวาสนาต่อกันแล้ว ยังไงเสียก็ไม่มีวันมาบรรจบกันได้หรอก จริงมั้ย”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏยังใบหน้าของอีกฝ่าย
“ท่านเจ้าคุณไม่เคยได้ยินหรอกหรือคะ ว่าบรรยากาศจะนำมาซึ่งเรื่องนึกไม่ถึงได้เสมอ”
ครั้งนี้เทพทัตกลับหัวเราะชอบใจ
“ทั้งคู่จะสนิทเสน่ห์หากันหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวช่วยด้วยเหมือนกัน” มีหรือที่เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ
“เออ…ฉันก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าแม่คมแก้วกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความรักไปเสียแล้ว” สัพยอกอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่จะให้ดิฉันอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย ก็เห็นทีจะทำไม่ได้” บอกระหว่างหยิบพลูจากสำรับหมากนาคฉลุอันงดงามและปราณีตด้วยฝีมือช่างชั้นครูมาถือไว้
“เจ้าคุณลืมหรือเปล่าคะ ที่เขาว่ากันว่าในเมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ในเมื่อไม่ได้ด้วยกล ก็เอาด้วยมนต์คาถา ในยุคสมัยนี้ก็ยังใช้ได้อยู่” กล่าวก่อนส่งใบพรูเข้าปากเคี้ยว พร้อมๆ กับกลิ่นพิมเสนขจรขจายต้องจมูก
แววตาที่มีเสศนัยของคมแก้วทำให้เทพทัตอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
คมแก้วไม่รู้เลยว่าหนุ่มที่กล่าวถึง คนหนึ่งไม่อาจข่มตาให้หลับเพราะหวาดกลัวผีจนขึ้นสมอง กับอีกคนที่ยังคงนั่งผิงไฟจากเตาอั้งโล่อยู่เพียงลำพังโดยต่างฝ่ายต่างคิดกันไปคนละทาง ปราศจากเรื่องชู้สาวอย่างสิ้นเชิง
เช้าของวันใหม่...เมื่อฝนหยุดตก
หุบเขาเบื้องหน้า กลับกลายเป็นทะเลหมอกซึ่งเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมผืนป่าเบื้องล่างราวภาพฝัน หมูเมฆที่ลอยละเลียดอยู่เหนือหุบเขาเบื้องล่าง ทำให้เธอได้รู้ว่าจุดที่อาศัยมาทั้งคืนสูงขนาดไหน
ฐิตารีย์กระชับเสื้อเข้ากับตัว เพราะความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาทั่วทุกอณูของรูขุมขน ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นฤดูร้อนไปได้
เธอเพิ่งสังเกตุว่าภายในเตายังคุกรุ่นด้วยไม้ที่กลายเป็นถ่านแดงๆ ทั้งหม้อต้มบะหมี่เมื่อคืน ก็กลับกลายเป็นกาที่น้ำกำลังเดือดควันฉุย นี่แสดงว่าเขาไม่ได้นอนทั้งคืนอย่างนั้นหรือ
บุรุษซึ่งอยู่ในถุงนอนคลุมหน้าตาจนมิดชิดก็จริง แต่เธอกลับรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจ เขายอมที่จะลำบากแทนที่จะได้นอนสบายก็เพราะเธอ
“...ตื่นแล้วหรือครับ”
ผู้ถูกทักถึงกับสะดุ้งสุดตัว
“ขอโทษที ผมงีบหลับไปหน่อย” บอกระหว่างลุกขึ้น
แม้ภูมิรพีจะเห็นใบหน้าแฉล้มที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ซึ่งเขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้เขายิ้มออก ขึ้นชื่อว่า ‘ผู้หญิง’ ถึงจะเก่งกล้าเพียงใด และแม้จะอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดไหน เจ้าหล่อนยังห่วงสวย
ช่างแตกต่างกับเมื่อคืนลิบลับ ที่หน้าจืดสนิทนั่นเป็นคนละคนเลยทีเดียว วูบหนึ่งที่เขานึกอยากถามว่าแท้จริงมีเรื่องใดเกิดขึ้นกัยเธอกันแน่ แต่กลับไม่เอ่ยออกมา
“คุณหิวหรือยัง ผมมีแคร็กเก้อร์อยู่หลายถุง รองท้องก่อนแล้วกันนะครับ” กล่าวระหว่างค้นสำภาระในเป้
“อดทนอีกนิดเดียว อีกเดี๋ยวก็ถึงบ้านพักนั่นแล้ว” ไม่พูดเปล่าแต่ยกหม้อน้ำร้อนจากเตามาเทใส่แก้วกระดาษแล้วจึงฉีกซองกาแฟสำเร็จรูปตามลงไปอย่างชำนาญ
“คงอร่อยไม่เท่าที่ร้านคุณแน่ๆ” ยังไม่วายสัพยอกก่อนส่งให้เธอ
ฐิตารีย์ได้แต่ส่ายหน้า ตื้นตันใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ การกระทำเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เธอก็รู้สึกซึ้งในน้ำใจของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ
เธอรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านโดยการนำกล้องดิจิตอลออกมาเก็บภาพทิวทัศน์ ตลอดจนภาพระหว่างเขาเก็บเต๊นท์
เป็นอีกครั้งที่ภูมิรพีต้องประหลาดใจ กระทั่งกล้องถ่ายภาพเธอก็ยังพกมาด้วย
เขาต้องแปลกใจยิ่งกว่าเก่า เมื่อเธอมีรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ซึ่งไม่ใช่บู๊ทเมื่อวาน นาทีนั้นเขาอยากถามจริงๆ ว่าในกระเป๋า ยังมีอะไรที่คาดไม่ถึงอีกหรือไม่
“เมื่อก่อนตรงนี้ทางจังหวัดเคยโปรโมทให้เป็นจุดชมวิว แต่พอทางขาดก็ไม่มีงบซ่อมแซม ตรงนี้ก็เลย…เป็นอย่างที่คุณเห็น”
มิน่าถึงได้มีห้องน้ำนั่นได้…คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย เจ้าตัวได้แต่เอามือลูบแขนตัวเองให้คลายความหวาดกลัว
“คุณจะเข้าห้องน้ำก่อนออกเดินทางหรือเปล่า” บอกระหว่างกรอกน้ำที่ต้มแล้วใส่กระติก
เธอส่ายหน้าเป็นพัลวันระหว่างปรายตามองสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง เป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่ขอเข้าอีกอย่างเด็ดขาด
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“แล้ว…เต็นท์ล่ะคะ” อดไม่ได้ที่จะสงสัยเมื่อเห็นเขาเอาซุกไว้ใต้ม้านั่ง
“ทิ้งเอาไว้ที่นี่ จากนี้เราไม่ต้องใช้แล้ว ขากลับค่อยมาแวะเอา”
ฐิตารีย์จึงจำใจวางบู๊ทในมือลง
“เอาไว้ที่นี่ก็ได้ใช่มั้ยคะ วันนี้ฝนคงไม่ตกแล้ว”
ภูมิรพีได้แต่มองฟ้าเบื้องบนก่อนพยักหน้ารับ
“อะไรที่คิดว่าไม่สำคัญ ทิ้งไว้ที่นี่ก็ได้ เพราะนอกจากทางนั่นแล้วก็ไม่มีใครมาถึงได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าของจะหาย”
ฐิตารีย์ถึงกับหน้ามุ่ย ที่เหลือในกระเป๋าก็สำคัญสำหรับเธอทั้งนั้นนี่นา
ไม่ใช่เขาไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่กลับทำเฉยเสีย
“เอากระเป๋าคุณมาสิ ผมถือให้” บอกง่ายๆ เมื่อเริ่มออกเดินทาง
นับเป็นคำพูดซึ่งเธอคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” รีบบอกเพราะเกรงจะโดนต่อว่า
“เอามาเถอะครับ หนทางยังอีกไกล” แม้เขาจะเห็นท่าทีอ้ำอึ้ง แต่ดวงตาคมกริบบ่งบอกว่ายังคงยื่นยันเจตนารมณ์เดิม
ฐิตารีย์จำใจส่งกระเป๋าใบใหญ่ให้ เขาจึงพบถึงความหนักอึ้งอย่างคาดไม่ถึง นี่เธอทนแบกมาโดยปราศจากเสียงบ่นใดๆ ได้อย่างไรกัน
“อันที่จริง…ตาถือเองก็ได้ค่ะ” กล่าวหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
“คุณเก็บแรงไว้เดินให้ถึงบ้านหลังนั้นจะดีกว่า” ตอบก่อนออกเดินนำ
“จะว่าไป ที่นี่กลางวันกับกลางคืน ต่างกันลิบลับเลยนะคะ สวยมากๆ เลยล่ะค่ะ” พูดเพื่อเอาใจอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้เกินความเป็นจริง เพราะเมื่อเดินออกมาจึงได้เห็นความงดงามของที่พัก
หลังคา ‘ตองตึง’ ซึ่งปรากฏงดงามอยู่ภายใต้สายหมอกที่ลอยละเลียดจึงเป็นภาพซึ่งเธออดไม่ได้ที่จะนำกล้องออกมาถ่ายภาพอีกครั้ง
ภูมิรพีได้แต่มองภาพนั้นด้วยความอ่อนใจ ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่ทุกข์ร้อนเอาเสียเลย
ในเวลาเดียวกัน ณ ที่ว่าการอำเภอแสนดาว
สรรพกำลังเพื่อช่วยเคลียร์พื้นที่ต่างแข็งขันให้งานสำเร็จลุล่วง หนึ่งในนั้นคือทีมจากฟาร์มเทพทัต
จ่าชยุต พชร และปาร์ค ยอง ฮวา สุดท้ายคือข้าวปุ้นที่แสงดาวโทรฯ มาบอกแต่เช้ามืดว่าขอติดรถมาด้วย
อุปกรณ์ต่างๆ ถูกจัดเตรียมพรั่งพร้อมแล้วก็จริง ทว่าคาราวานจากหน่วยกู้ภัยต่างไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหญ่หลวงนัก เกินกว่ากำลังคนจะกู้ได้สำเร็จ
ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังมีใครบางคน…ตั้งใจ ‘เช็คบิล’ ด้วยความคั่งแค้นชนิด ‘ฝังหุ่น’ ซึ่งยากนักที่ผู้ใดจะหลบเลี่ยงชะตากรรมครั้งนี้ไปได้
ตลอดระยะทางที่เหลือ แม้จะรีบเร่งถึงกระนั้นหญิงสาวยังแวะเก็บภาพตลอดทาง หนึ่งในนั้นคือทุ่งดอกไม้ป่าสีม่วงซึ่งขึ้นแทรมกับต้นหญ้าที่กำลังล้อสายลม จึงเป็นภาพประทับใจที่เธอถึงกับชื่นชมไม่ขาดปาก
แม้อากาศเย็นฉ่ำแต่กลับเหงื่อตก และกระทั่งตะวันตรงศีรษะชายหนุ่มยังไม่คิดจะหยุดพัก ยังโชคดีที่ฟ้าถึงอุ้มฝนทว่ายังไม่มีทีท่าจะลงเม็ด
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่” จู่ๆ เขาก็ชวนคุย
“คะ” ดูเหมือนเธอยังไม่ทันตั้งสติ
“ผมถามว่าเมื่อคืน ที่ห้องน้ำนั่น และตอนคุณหลับอยู่ในเต็นท์ เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่”
ไม่น่าเชื่อว่ายามนี้เสียงหวีดร้องของเธอถึงสองครั้งสองครายังคงตามมาหลอกหลอน
“ห้ามบอกนะครับ ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เขาดักคอ
“พูดไปคุณอาจไม่เชื่อสิคะ”
“คุณหมายความว่ายังไง” ถามพร้อมคิ้วขมวดมุ่น
“ก็เพราะ สิ่งที่ตาเห็นเมื่อคืน ทั้งในความฝัน และภาพในกระจกบานนั้นเป็นคนๆ เดียวกันน่ะสิคะ…”
ครั้งนี้เธอไม่คิดอิดออด และแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในความฝัน และในห้องน้ำก็ออกจากปากอย่างละเอียด
น่าแปลกเมื่อเล่าจบกลับไม่พบอีกฝ่ายหัวเราะหรือแย้มยิ้ม ตรงข้ามทั้งสีหน้าและแววตากลับครุ่นคิด
“คุณกลัวงั้นสิ” ถามอย่างเคร่งขรึม เพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเจอเรื่องเหนือธรรมชาติมากับตัวแล้วเช่นกัน
“แต่สำหรับผม สิ่งที่ควรกลัว คือ ‘มนุษย์’ เรามากกว่า” กล่าวน้ำเสียงจริงจัง
“มนุษย์ที่สามารถทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเราได้โดยไม่ทันที่คุณจะกระพริบตาด้วยซ้ำ”
นับเป็นคำพูดที่เธอคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าจะลับหลัง หรือต่อหน้า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็สามารถทำให้คุณ ‘เจ็บปวด’ ได้ทั้งนั้น”
หมอนี่พูดเหมือนคนอกหักไม่มีผิด ฐิตารีย์ได้แต่นึกระหว่างเหลือบมองอีกฝ่าย ซึ่งพอดีกับที่เขาก็มองเธอเช่นกัน
ตาต่อตาที่ประสานไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกใดๆ ได้ก็จริง ทว่าผู้ที่หลบก่อนกลับเป็นเธอ…
และแล้วฟ้าที่อุ้มฝนมาครึ่งวันก็สำแดงฤทธ์จนได้ เมื่อหยาดน้ำเม็ดบางเบาเริ่มโปรยละอองลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ภูมิรพีรีบปลดเป้ก่อนนำเสื้อกันฝนออกมาช่วยเธอสวม
เพราะใกล้ยิ่งกว่าใกล้ จนเห็นไรหนวดที่เริ่มเขียวครึ้มรับกับริมฝีปากได้รูปนั่น เป็นสิ่งซึ่งเธอไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าความรู้สึกหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน
ความรู้สึกนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครแม้กระทั่งกับยอง ฮวา
“คุณยังไหวหรือเปล่า” ถามด้วยน้ำเสียงอาทร ระหว่างส่งบะหมี่สำเร็จรูปกรุบกรอบให้รองท้อง
ฐิตารีย์ได้แต่พยักหน้ารับ เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นยังหัวใจ สำหรับเธอแล้ว…เขาผู้นี้ช่างไม่เหมือนชายใดที่เธอเคยรู้จัก หรือเป็นเพราะต้องมาตกอยู่ท่ามกลางความลำบาก โดยมีเขาเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างกันแน่
ทั้งเมื่อคืนอากาศหนาวจนสะท้าน ยังแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ โดยออกไปนอนนอกเต็นท์ ปราศจากการฉวยโอกาสอย่างสิ้นเชิง
นาทีนี้ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ารู้สึกประทับใจบุรุษผู้นี้เข้าให้แล้ว ความรู้สึกเช่นนี้ เกิดขึ้นกับเธอได้อย่างไรกัน
ความคุมเครือในจิตใจจางหายอย่างรวดเร็ว เมื่ออีกฝ่ายส่งกระติดใบน้อยซึ่งน้ำเหลือไม่ถึงครึ่งมาให้
อีกด้านหนึ่งของผืนป่า...
สองหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดรัดกุมเตรียมพร้อมลุยเต็มที่คือปลัดและณัฐพากย์ ทว่าหินขนาดมหึมาซึ่งขวางถนนในด่านแรก ทำให้ต้องหยุดการปฏิบัติการอย่างช่วยไม่ไม่ได้ ที่สำคัญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนก็มีทีท่าจะเทลงมาอย่างหนัก
“เอายังไงดีครับลุงจ่า” ณัฐพากย์ในฐานะหัวหน้าทีมตัดสินใจไม่ได้เสียเฉยๆ
“ยังไงเราก็ต้องเคลื่อนย้ายหินที่ปิดทางนี่ให้ได้ก่อน คงต้องกลับไปวางแผนกันใหม่แล้วล่ะครับ”
“ถ้าอย่านั้น พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน” ณัฐพากย์สรุปเสร็จสรรพ
“ผมว่าคุณควรไปออกปากให้กำนันช่วยนะ”
ชยุตพูดเช่นนั้น เพราะพิรัชน์เป็นเจ้าของรถแบคโฮที่ต้องการ
“นั่นสิ ไม่อย่างนั้น ย่อมไม่สำเร็จแน่” ปลัดเห็นด้วยเช่นกัน
ณัฐพากย์กลับเห็นต่าง เพราะเขาไม่ต้องการเสวนากับกำนัน แต่เวลาคับขันเช่นนี้คงต้องยอมทำใจ ดูเหมือนจะมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
พชรที่คอยให้ความกระจ่างกับยองฮวาหนักใจไม่แพ้กัน เพราะอดีตคนรักของเพื่อนสาวแสดงอาการไม่พอใจเมื่อรู้ว่าการช่วยผู้ประสบภัยในวันนี้ต้องหยุดไว้ชั่วคราว
ณ ภูมิรพี ชาเล่ต์ ฮิลล์
หญิงสาวที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับไม่ใช่ใครแต่เป็นสริตา ที่ยามนี้ราวใครเอาไฟมาสุมในอกไม่มีผิด
“แล้วอย่างนี้จะทำยังไงกันดีล่ะคะคุณแม่”
เพราะข่าวจากข้าวปุ้นที่โทรฯ มารายงานนายแม่ ถึงการต้องหยุดการกู้ภัยลงชั่วคราวทำให้สริตาถึงกับนั่งไม่ติด
แสงดาวได้แต่มองตาปริบๆ พูดไม่ออกเสียเฉยๆ อยากรู้จริงๆ แท้จริงแล้ว บุตรชายกับหญิงสาวผู้นี้แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์เช่นใดกันแน่
“ภูจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“หนูไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ”
“คุณแม่จะไม่ให้นิต้าห่วงได้ยังไงกันล่ะคะ ก็ในเมื่อภูไปกับ…แม่คนนั้น”
ครั้งนี้แสงดาวจึงถึงบางอ้อ…ที่แท้เจ้าหล่อนก็ไม่ได้ห่วงสวัสดิภาพของบุตรชาย แต่ห่วงความสัมพันธ์ที่อาจเกินเลยนั่นต่างหาก
“คนเราคิดจะคบกันก็ต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน นั่นหมายถึงการให้เกียรติอีกฝ่ายด้วย”
น้ำเสียงเย็นเยียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสีหน้าและแววตาของเจ้าบ้าน แต่กลับทำให้สริตาขยาดไปเหมือนกัน
“นิต้า…ไม่ได้คิดว่าเป็นภูหรอกนะคะ แต่ที่นิต้าไม่ไว้ใจคือแม่นั่นต่างหากคะคุณแม่” ยังเอ่ยน้ำเสียงเข้ม
“ที่สำคัญ นิต้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าแม่นั่นไปกับภูได้ยังไง”
“เห็นว่ารถหนูตาเสีย แล้วภูก็ผ่านไปพบเข้าพอดี…” อธิบายถึงสาเหตุอย่างใจเย็น
“หนูอาจยังไม่รู้ ว่าแฟนของหนูตาเพิ่งมาจากเกาหลีเมื่อสองวันนี่เอง วันนี้เขาก็ออกไปกับหน่วยกู้ภัย เห็นว่าหัวเสียใหญ่ที่ทางเรายังทำอะไรไม่ได้”
นับเป็นเรื่องที่สริตาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย
“เพราะฉะนั้น ก็ลืมเรื่องที่ว่านั่นไปได้เลยนะจ๊ะ”
ถึงข้อข้องใจจะถูกทำลายด้วยข้อมูลใหม่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอยังรู้สึกจริงๆ ว่าไม่สบายใจแม้แต่น้อย วูบหนึ่งที่นึกถึงคำพูดของบิดาก่อนที่เธอจะมาที่นี่
“เราควรเลิกยุ่งเกี่ยวกับนายภูนั่นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกิน เพราะถึงยังไง ฉันก็ยอมให้คบหากันไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
กฤษดากล่าวตรงๆ เมื่อพบว่าบุตรสาวกำลังจะไปเกาะติดสถานการณ์ยังชาเล่ต์ ฮิลล์
“ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร ดีไม่ดีจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย…”
ลำคอระหงเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทนง เธอจะไม่ยอมเชื่ออย่างเด็ดขาด ถึงเรื่องที่บิดาพูดจะเป็นจริงแต่ในเมื่อเธอถลำรักเข้าไปแล้ว ก้ยากนักที่จะไถ่ถอนความรู้สึกนี้ออกไปได้
“แล้วฐานะอย่างเรา หากใครรู้เข้า พ่อคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ที่วันๆ ลูกสาวเพียงคนเดียววิ่งไปตามผู้ชายถึงบ้านอย่างนั้น” กล่าวอย่างเหลืออดแล้วจริงๆ
“ทำตัวให้มีค่าหน่อยจะได้มั้ย หมอนั่นมีดีอะไรนักหนา”
“พ่อเองก็เคยชื่นชมเขาไม่ใช่หรือคะ”
“นั่นมันก่อนที่เราจะไปวิ่งตามเขาแบบนี้ ไม่เข้าใจหรือ ว่าคนแบบนั้นจะทำให้เราปราศจากอนาคต เผลอๆ ลูกที่เกิดมาจะไม่มีพ่อด้วยซ้ำ”
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเผ็ดร้อนของบิดาจะทำให้เธอถึงกับน้ำตาคลอเบ้า
“นิต้าสงสารภูจริงๆ ค่ะ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพ่อชื่นชมก็แต่ ‘ผลงาน’ ของเขาเท่านั้น” น้ำเสียงสั่นเคลืออย่างมีอารมณ์
“เขาให้ประโยชน์กับจังหวัด พ่อเองก็ได้หน้า แต่เมื่อยามหมดประโยชน์ พ่อก็ถีบหัวส่งสินะคะ”
“นี่แก…”
“ยังไงซะ เรื่องของนิต้ากับภูก็ไม่มีวันเป็นอย่างที่พ่อต้องการหรอกค่ะ นิต้าไม่ยอมอย่างเด็ดขาด”
“ที่แกพูด แกถามเขาหรือยัง”
เป็นคำถามที่เหมือนถูกตีเข้าแสกหน้าไม่มีผิด แต่ด้วยเหตุนั้น วันนี้เธอจึงขนกระเป๋ากลับมายังชาเล่ต์เป็นการถาวร
สายตาอันมุ่งมั่นของสริตา ทำให้แสงดาว แม้เธอจะอยากให้บุตรชายมีแฟนเพียงใด แต่หากเป็นหญิงสาวผู้นี้ที่นับวันยิ่งเผยธาตุแท้ โดยเฉพาะความคิดอันคับแคบนั่น เกิดขึ้นจากเพราะรักบุตรชายมาก
หรือเพราะเหตุใดไม่รู้ได้ แต่นั่นกลับทำให้มารดาอย่างเธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ
พบกันเช่นเคยนะคะ และแล้วป่าหน่าวในเงารักก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 12 แล้วนะคะ หวังว่าเพื่อนๆ จะชื่นชอบกับตอนนี้นะคะ อาจจะรอนาน แต่อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
ขอขอบคุณ คุณ น้ำแอปเปิ้ล
คุณอัปสรา
และคุณจิรารัตน์มากมายค่ะ
ที่กรุณาให้กำลังใจมาโดยตลอด
และขอขอบคุณสำหรับผู้ที่กดlike ให้ด้วยนะคะ
แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปนะคะ ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยค่ะ
ด้วยรักจากใจค่ะ
ยุพากร
ยุพากร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2555, 14:51:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 16:46:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1586
<< 11 . กรยุพา . ยุพากร | กรยุพา . ยุพากร >> |
anOO 16 ก.ค. 2555, 18:52:54 น.
ยุพากร 16 ก.ค. 2555, 19:22:29 น.
ขอบคุณ คุณanOOมากค่ะ ที่เข้ามาให้กำลังใจ
ขอบคุณ คุณanOOมากค่ะ ที่เข้ามาให้กำลังใจ
อัปสรา 17 ก.ค. 2555, 16:52:01 น.
เป็นกำลังใจให้อีกคนค่ะ ตอนต่อไปจะเป็นยังไงนะ
เป็นกำลังใจให้อีกคนค่ะ ตอนต่อไปจะเป็นยังไงนะ
ยุพากร 17 ก.ค. 2555, 17:17:51 น.
ขอบคุณ คุณอัปสรามากมายค่ะ
ขอบคุณ คุณอัปสรามากมายค่ะ