เล่ห์รักชีคร้าย เปลี่ยนชื่อเป็น 'เมียบำเรอรักชีค'(สนพ.สมาร์ทบุคตีพิมพ์)
เจ้าชายเอเดียล มกุฎราชกุมารแห่งรัฐอัลดูซาร์ เกิดมาตกหลุมรักในเสน่ห์ของสาวน้อยชาวไทยนามว่า 'จันทร์เจ้า' เข้าเต็มเปา ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้องต้องการ อุปสรรคกี่มากน้อยเท่าไร เขาก็จะต้องพาเอาตัวเธอข้ามน้ำข้ามทะเลกลับอัลดูซาร์ไปด้วยกันให้จงได้ แม้ว่าสาวน้อยคนที่ว่า จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธ ในความต้องการของเขาเท่าไรก็ตาม...
Tags: ชีค สาวชาวไทย ทะเลทราย เจ้าชาย

ตอน: ว่าที่พระชายา?

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะคุณ Longah คุณแว่นใส คุณหมูอ้วน คุณTatus..ตอนใหม่มาส่งแล้วค่ะ^_^


ตอนที่ 16 ว่าที่พระชายา?

จันทร์เจ้ามองตามร่างที่ค่อนข้างผอมสูงของราชนิกุลสาวพระนามว่าท่านหญิงโซมินยาออกไปจนลับสายตา ตอนที่เข้ามายังตำหนักเล็กนี้ เธอว่าเธอคือพระนัดดาในชีคฮิบรานเจ้าผู้ครองรัฐอัลดูซาร์ มีจุดประสงค์ในการมาก็เพื่อจะแสดงออกถึงการต้อนรับและทำความรู้จักคุ้นเคยกับเธอเพียงเท่านั้น
“ท่านหญิงทรงมีพระสิริโฉม แล้วก็ยังมีน้ำพระทัยดีมากๆ อีกด้วยนะ”
สาวไทยยิ้ม ขณะที่พูดไปตามความรู้สึกจริงๆ กับนางกำนัลหน้าเดิมซึ่งคอยอยู่เป็นเพื่อนทั้งสี่คน
“แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าชายเอเดียลก็ยังไม่ทรงมีพระทัยให้เสียที”
สาวคนที่ออกจะช่างเจรจา เผลอพูดบางอย่างออกมาตามวิสัย
“หือ...หมายความว่ายังไง ท่านหญิงโซมินยา พระนัดดาในชีคฮิบราน ไม่ใช่พระขนิษฐาของเจ้าชายเอดียลหรอกหรือ”
จันทร์เจ้าถาม ทั้งทวนและย้ำ
“ก็...ความจริงก็ใช่อยู่ค่ะ แต่ว่า...”
“แต่ว่าท่านหญิงยังทรงเป็นว่าที่พระชายาของเจ้าชายด้วยน่ะสิคะ”
สาวอีกคนสอดขึ้น จันทร์เจ้าฟังแล้วก็รู้สึกพื้นที่เหยียบไม่ค่อยมั่นคง มันเหมือนจะเริ่มโคลงเคลง
“เธอ...ว่ายังไงนะ”
“นี่คุณ...ยังไม่ทราบเรื่องนี้หรอกหรือคะ” สาวคนที่เป็นผู้เปิดประเด็นถามจันทร์เจ้าอีก
“เอ่อ...ไม่ ฉันไม่รู้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจะ...ไม่ทูลเจ้าชายว่าพวกเรา...”
เจ้าหล่อนดูจะกลัวถูกลงพระอาญา เพราะคิดว่าจันทร์เจ้าจะเอาเรื่องที่คุยกันไปฟ้องหรือไม่ก็ทวงถาม
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำให้พวกเธอเดือดร้อนหรอก แต่ถ้าฉันอยากจะรู้เรื่องระหว่างเจ้าชายกับท่านหญิง พวกเธอคงพอจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดได้ใช่ไหม”
“เอ่อ...คือว่า...พวกเรา...” คราวนี้ทั้งสี่นางเลยพร้อมใจกันก้มหน้าหลบสายตา
“จันทร์เจ้า” หญิงสาวหันไปมองผู้ที่กำลังเดินเข้ามาใหม่ด้วยสายตาที่แปลกเปลี่ยนไป
“เจ้าชาย” เอเดียลเองก็คล้ายจะรู้สึก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องอะไร
“เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง”
“เตรียมตัว...เรื่องอะไรหรือคะ”
คนถามรู้ตัวว่าตนเองออกจะใจสั่น ไม่มีสมาธิหรือสติสมบูรณ์เหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง ใจมันกระหวัดไปอยากรู้แต่เรื่องที่เหล่าบรรดานางกำนัลหลุดปากออกมาให้ฟังเมื่อครู่นี้เท่านั้น
“ก็ที่ฉันสั่งเอาไว้เมื่อวันก่อน บอกว่าวันนี้จะพาไปดูอะไรข้างนอกยังไงล่ะ”
“ไปดูอะไร...”
“ใช่ เธอไปชุดนี้เลยก็ได้ พันหน้าพันตาให้พ้นแดดพ้นลมอีกนิดเป็นใช้ได้ ไม่งั้นจะแสบร้อนแย่ ยังไงตอนออกจากที่นี่ เราจะใช้รถยนต์ไปก่อน”
เจ้าชายเอเดียลสรุป ก่อนจะหันไปทางนางทั้งสี่ที่นั่งพับเพียบแถมค้อมศีรษะเหมือนๆ กันอยู่
“พวกเจ้าสองคนตามออกไปรับใช้คุณจันทร์เจ้า ส่วนที่เหลือรออยู่ที่นี่”
“เพคะ” ทันทีที่รับคำสั่ง ทุกคนต่างแยกย้ายกันอย่างรู้หน้าที่ สองคนแรกรีบออกไปจัดการกับข้าวของและสัมภาระซึ่งจำเป็นสำหรับการเดินทาง ส่วนอีกสองรีบเข้าไปจัดการกับเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็นของหญิงสาวด้วยความว่องไว
“คุณ...เอ่อ เจ้าชาย...คือว่าจันทร์...รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่อยากออกไปไหน อยากพักผ่อนอยู่ที่นี่มากกว่า”
“ไม่สบาย อยากพักผ่อนงั้นหรือ”
ไวเท่าคำพูด ที่หลังมือใหญ่เอื้อมมาแตะหน้าผากและเนื้อตัว หญิงสาวอุทานพร้อมกับถอยหลบไปก้าว
“ทำไมถึงไม่อยากออกไปข้างนอก”
“จันทร์...ไม่ได้ไม่อยาก ก็บอกอยู่นี่คะว่า...รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“เธอเคยบอกเองไม่ใช่หรือว่าอยากมีโอกาสมาเที่ยวต่างประเทศน่ะ แล้วนี่โอกาสก็มาถึงแล้วแท้ๆ นะ”
เขาค่อยเกลี้ยกล่อม
“ก็...จันทร์...”
“เราพร้อมเดินทางกันแล้ว เธอต้องการจะทำธุระส่วนตัวอะไรก่อนออกไปไหม” คนถามเช็คความพร้อมครั้งสุดท้าย
“จันทร์ยังไม่ได้บอกว่าจะไป” จันทร์เจ้าเสียงแข็งขึ้น
“ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบจากเธอ ถ้าไม่มีอะไร เราก็ออกไปกันได้แล้ว พวกข้างนอกคงเตรียมข้าวของกันเสร็จพอดี”
“จันทร์ไม่ไปค่ะ” หญิงสาวว่า แต่ไม่กล้ามองหน้าเขา ยอมรับว่ากลัวความจริงจังขึงขังในนั้นที่มันจะทำให้เธอไม่กล้าแข็งข้อไปจนตลอดรอดฝั่ง
“เธอขัดคำสั่งฉันไม่ได้หรอกจันทร์เจ้า เพราะฉะนั้นอย่าทำตัวให้มีปัญหา ถ้ายังพูดไม่ฟังแล้วล่ะก็ เธอนั่นล่ะที่จะต้อง...”
“จันทร์นี่ล่ะที่จะต้องเดือดร้อน คุณจะใช้วิธีบังคับจัดการกับจันทร์แบบเด็ดขาด นี่ใช่ไหมคะที่คุณต้องการจะพูด แน่ล่ะ...คุณมันแน่จริง แล้วก็เหนือกว่าผู้หญิงธรรมดาตัวคนเดียวอย่างฉันมากอยู่แล้วนี่”
“ถ้ากล้าดูถูกกันถึงขนาดนี้ ก็จะจัดให้เต็มที่ตามที่เธอกล่าวหา ว่าจะไม่แล้วเชียวนะจันทร์เจ้า”
“คุณจะทำอะไร อย่าเข้ามาใกล้จันทร์นะ!” จันทร์เจ้าหน้าตาตื่นพลางถอยเท้ากรูด
“ใต้ฝ่าพระบาท...” นางกำนัลทั้งสองที่เตรียมจะมากราบทูลรายงานเรื่องตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ของจันทร์เจ้า โผล่หน้าออกมาจากห้องด้านใน แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็ถูกตวาด
“ออกไปให้หมด!”
“อะ...เอ้อ...เพคะ” สองคนอยู่ในอาการที่เรียกได้ว่าแทบจะตะลีตะลานออกไปจากห้อง ทิ้งให้จันทร์เจ้าต้องเผชิญกับอารมณ์ที่กำลังโมโหโทโสของเจ้าชายรัชทายาทอยู่เพียงคนเดียว
“เดี๋ยวสิพวกเธอ อย่าเพิ่งไป”
หญิงสาวร้องเรียกเสียงดัง แต่สองคนนั่นก็ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“โธ่...”
“ทีนี้ก็เหลือแค่เราแล้ว ไหน...มานี่ซิ”
“โอ๊ะ!” ร่างบางๆ ในชุดคลุมยาวแบบหญิงสาวชาวอาหรับ ถูกกระชากจนปลิวหวือเข้ามาในอ้อมกอดของเอเดียล
“จันทร์...เจ็บนะคะ เจ้าชายทรงปล่อยจันทร์เถอะค่ะ”
แม้จะยอมผ่อนแรงรัดรึง ทว่าเจ้าชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอดออกเสียทีเดียว
“ปล่อยแล้วยังไง ปล่อยแล้วเธอจะละพยศ ปล่อยแล้วเธอจะยอมเชื่อฟัง จะว่านอนสอนง่ายอย่างที่มันควรจะเป็นหรือเปล่า ช่างต่อปากต่อคำ สรรหาสารพัดอย่างเพื่อมาต่อว่าฉันได้ตลอดเวลาเลยนะจันทร์เจ้า”
“จันทร์ไม่ได้ตั้งใจ มันก็แค่...เผลอไปเท่านั้น”
สาวไทยได้โอกาส สอดมือทั้งสองของตนเข้ายันแผงอกแกร่งกว้างนั่นเอาไว้ชั้นหนึ่ง
“ฉันถึงต้องสั่งสอนเธอเสียหน่อยไง ต่อไปจะได้จำ ไม่ทำเรื่องที่ไม่ควรทำซ้ำๆ แบบนี้อีก”
“ไม่นะคะ จันทร์จำแล้วค่ะ จะไม่ทำ ไม่ดื้อ แล้วก็จะไม่ว่าอะไรให้คุณไม่พอใจอีกแล้ว นะคะ...กรุณาปล่อยจันทร์เถอะค่ะ จันทร์ขอร้อง” หากแววตาสีอ่อนของเขายังคงขึ้งขุ่น
“ไม่ทำ แล้วก็ควรที่จะหัดจำเอาไว้เสียอีกอย่างนะ ว่าเธอน่ะเป็นผู้หญิงของฉัน เวลาฉันสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ อย่าขัดไปเสียทุกอย่าง ฉันน่ะเคยชินแต่กับการที่มีคนคอยปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่ชอบให้ใครหน้าไหนลุกขึ้นมาแข็งข้ออย่างที่เธอชอบทำ”
“จันทร์ขอโทษอีกครั้งก็ได้ ปล่อยเถอะนะคะ เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าข้างนอกเขาพร้อมกันหมดแล้ว เรารีบตามออกไปสมทบพวกเขากันดีกว่านะคะ”
หญิงสาวพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจ และใครบ้างจะไม่รู้ทัน ยิ่งเป็นชีคเอเดียลแห่งอัลดูซาร์พระองค์นี้ด้วยแล้ว เสียงหัวเราะทุ้มๆ แฝงไปด้วยเลศนัย ทำเอาจันทร์เจ้าแทบขนลุก เขาก้มลงกระซิบแกมหัวเราะต่ออีกว่า
“เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ตบหัวแล้วลูบหลัง ยังมีภาษิตไทยบทไหน ที่มันจะเหมาะกับการพยายามเบี่ยงเบนความสนใจแล้วก็เอาตัวรอดของเธอในตอนนี้ได้อีกบ้างนะ”
“เจ้าชาย” จันทร์เจ้าพูดอะไรไม่ออก
“อ้อ...นึกออกล่ะ ลูกไก่ในกำมือ หรือไม่ก็อ้อยเข้าปากช้าง อย่างนี้เธอพอจะรู้ความหมายรึเปล่าสาวน้อย”
“นี่คิดจะทำอะไรอีก...ไม่นะคะ!”
“ก็ไหนว่าจะไม่ขัดคำสั่งฉันอีกแล้วไง” เขาทวงซึ่งๆ หน้า
“กะ...ก็...ยกเว้นเรื่องนี้ค่ะ” หญิงสาวบอกปัดไปให้พ้นตัว
“เสียใจ เพราะให้ตายยังไง มันก็เป็นเรื่องเดียวที่ฉันเองก็ยอมให้เธอไม่ได้เหมือนกัน อารมณ์ดิบนะจันทร์เจ้า ต่อให้จะดับด้วยน้ำทั้งมหาสมุทรหรืออะไร ใช่ว่ามันมอดลงได้ง่ายๆ เมื่อไร เรื่องไปข้างนอก รอไปอีกชั่วโมงก็แล้วกัน”
“แล้วคนข้างนอกเขาจะคิดยังไง มาทำตามใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
เธอห้ามเขา แม้จะทั้งกลัวปนโกรธ แต่ก็พยายามจะรักษาระดับน้ำเสียงให้ราบเรียบและฟังดูนุ่มนวลที่สุด
“จะพิสูจน์ ว่าฉันทำได้ทุกอย่างที่อยากจะทำ รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย”
คนพูดรวบตัวจันทร์เจ้าแน่นเข้าอีกนิด ก่อนจะดันจนร่างบางเซแซดเข้าไปชิดติดกับผนังที่อยู่ไม่ไกลทางด้านหลัง ซอกคอหอมๆ นุ่มๆ คือเป้าหมายแรกที่เจ้าชายหนุ่มประทับสัมผัสเอาแต่ใจลงไปคลุกเคล้า จันทร์เจ้าเองไม่กล้าส่งเสียงร้องเอะอะ หากหญิงสาวยังพยายามจะอ้อนวอน แต่มันก็ไร้ผลเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา เอเดียลไม่ใช่ไม่ยอมปล่อยเธอแต่เพียงอย่างเดียว แต่เขายังตั้งหน้าตั้งตารุกเร้าเธออย่างหนักหน่วง ทั้งปลายจมูก ริมฝีปาก และมือไม้แข็งยุ่บยั่บทั้งสองข้างนั่นอีก เวลาผ่านไปไม่นาน กิริยาต่อต้านและเสียงสะอื้นกระซิกของหญิงสาว ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอาการนิ่งเฉย...ก่อนจะเริ่มต่อสู้อย่างหนักหน่วงกับร่างกายและความรู้สึกภายในของตนเอง จนสุดท้าย เธอก็เผลอตอบสนอง หนำซ้ำยังร่วมมือกับเขาไปเสียดิบดี ในการที่จะจับจูงมือกันและกัน เพื่อจะโบกโบยไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นสูงที่สุดที่มนุษย์ชายหญิงจะพึงมีได้...
“เป็นอีกครั้งแล้วสิที่ฉันต้อง...ยอมแพ้ให้กับเสน่ห์อันร้ายกาจในตัวเธอ...แม่สาวน้อย”
เอเดียลว่า พลางหอบหายใจหนักๆ สักพัก...หลังจากที่หลอมละลายเธอเข้ากับกายแกร่ง ร่างกายของเขาที่เพิ่งจะผละออกมาก็ค่อยคืนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เจ้าชายหนุ่มไม่รั้งรอให้เสียเวลา รีบบงการให้คนตัวเล็กที่เพิ่งฟื้นจากอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงให้ลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จันทร์เจ้าเองก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้เขาในสภาพตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างนี้ต่ออีก เธอจึงรีบลุกไปเร็วๆ ตามคำสั่ง แต่ในขณะที่กำลังจะดึงประตูห้องน้ำปิด มือใหญ่ก็แทรกเข้ามากันเอาไว้
“อะไรอีกล่ะคะ” จันทร์เจ้าขมวคิ้วมุ่น
“ว่าจะไม่ตามเข้ามา แต่มันก็จะเสียเวลาเปล่าๆ”
เขาบอกยิ้มๆ มองเธออ้อยอิ่งตั้งแต่ปลายเส้นผมก่อนจะระเรื่อยลงมา
“เจ้าชาย...”
หญิงสาวทำท่าเดือดร้อนใจ อย่าบอกนะว่าเอเดียลจะตามเข้ามา...โอ๊ย เท่านี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“รับรองน่า ฉันจะไม่ทำอะไรให้เราต้องเสียเวลามากไปกว่านี้อีก รีบอาบแล้วก็รีบออกมาแต่งตัวเถอะจันทร์เจ้า เพราะถ้าขืนเธอยังชักช้า ก็ไม่แน่ว่าวันนี้คงจะไม่ต้องไปมันแล้ว”
“เอ้อ...งั้นก็ได้ค่ะ”

กว่าที่ทั้งสองคนจะออกมาจากตำหนักเล็กได้ เวลาก็ล่วงไปกว่าชั่วโมงแล้ว เอเดียลเองนั้นไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนอะไรแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็ช่างต่างกันไกลจากอาการเม้มปากสนิท แถมไม่ยอมเงยหน้าอันบึ้งตึงขึ้นมองใครๆ ของจันทร์เจ้าเสียลิบลับ หญิงสาวยอมรับว่าเธอกำลังรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก ป่านนี้ทุกคนที่นี่คงพากันจินตนาการอะไรๆ ไปสนุกกันใหญ่ พวกเขาคงรู้ล่ะ ว่าที่หายกันไปในนั้นเป็นนานสองนาน เธอกับเจ้าชายรัชทายาท มัวแต่ทำอะไรกันอยู่บ้าง...เมื่อได้เวลาเดินทาง เอเดียลก็สั่งให้หญิงสาวก้าวขึ้นบนรถไปก่อน เธอเองก็ไม่กล้าขัด ทำได้เพียงรีบรับคำแล้วทำไป เอเดียลเองก้าวขาตามขึ้นมานั่งขนาบ มีซีราห์คอยทำหน้าที่ปิดประตูรถให้ สาวไทยหันไปมองทางด้านหลัง จึงได้เห็นว่านางกำนัลสาวสองคนก็รีบขึ้นนั่งบนรถ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขบวนติดตามในครั้งนี้เช่นกัน จากนั้น รถคันหน้าก็ออกตัว ขับเคลื่อนนำไปก่อนอย่างช้าๆ แล้วจึงวิ่งเร็วขึ้นมาตามเส้นทางของถนนสายหลักทางด้านนอกวัง...
“นี่...พระองค์จะทรงพาหม่อมฉันไปไหนหรือเพคะ”
สาวไทยเอ่ยถาม ยามเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารองครักษ์หรือบุคคลอื่นๆ สาวไทยก็มักไม่ลืมที่จะใช้วาจาและน้ำเสียงที่ตรองแล้วว่าทั้งเหมาะและควรกับเจ้าชายรัชทายาท
“ก็จะพาไปดูทุกอย่างที่เธอจะหาดูจากบ้านเกิดเมืองนอนอย่างเมืองไทยไม่ได้ยังไงล่ะ”
“ทะเลทราย...” หญิงสาวพึมพำ ความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นค่อยก่อตัวขึ้นบดบังความรู้สึกขุ่นมัวอื่นๆ
“งั้นสิ ก็ที่นี่คือรัฐอัลดูซาร์ สี่สิบเปอร์เซ็นของพวกเรา คือผืนแผ่นดินที่โอบล้อมไปด้วยห้วงแห่งทะเลทรายที่ทั้งร้อนแรงและสวยงามจับตา”
หางเสียงนั้นออกจะแสดงถึงความภาคภูมิติดจะอวดเล็กๆ ของคนพูด
“ถ้าอย่างนั้น...หม่อมฉันจะรอชมนะเพคะ ดูซิว่า ภาพจริงของทะเลทรายครั้งแรกในชีวิต จะงามจับจิตจับใจอย่างที่พระองค์ทรงอุตส่าห์โฆษณาอวดหรือไม่”
จันทร์เจ้าบอกยิ้มๆ ก็ตั้งแต่ที่เอเดียลก้าวเข้าตำหนักมา นี่ถือว่าเป็นยิ้มแรกของวันที่เธอมี
“แล้วพวกเราจะไปทำอะไรที่นั่นกันบ้างคะ”
“ถามอย่างนี้ แสดงว่าชักจะสนใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ”
“เพคะ” รับคำพร้อมกับยิ้มอีกครั้ง ดวงเนตรคมคงมองจ้องมา ก่อนจะกระพริบปริบ
“งั้นไม่บอกล่ะ เดี๋ยวไปถึงเธอก็รู้เอง”
“แหม...จะทรงเกริ่นให้หม่อมฉันฟังสักนิดนึงไม่ได้เลยหรือเพคะ ถ้ารู้ว่าจะต้องไปไหน แล้วก็ทำอะไรบ้าง หม่อมฉันจะได้เตรียมตัวถูก” จันทร์เจ้าให้เหตุผลประกอบ หากเจ้าชายกลับว่า
“เธอไม่จำเป็นจะต้องตระเตรียมอะไรทั้งนั้น นางกำนัลสองคนที่ตามมา จะเป็นคนรับผิดชอบและดูแลในเรื่องความสะดวกสบายส่วนตัวสำหรับเธอทุกอย่าง”
“แต่หม่อมฉันไม่อยากเอาเปรียบใคร ที่สำคัญ หม่อมฉันดูแลตัวเองได้นะเพคะ”
คราวนี้เพียงแค่เจ้าของร่างสูงสง่าที่นั่งขนาบอยู่ข้างๆ ปรายหางตามาอย่างปรามๆ เท่านั้น จันทร์เจ้าก็รู้สึกตัว เอาน่า...ถ้าขืนยังเอาแต่โต้แย้งในคำสั่ง แล้วเจ้าชายป่าเถื่อนพระองค์นี้เกิดหน้ามืด ทำมิดีมิร้าย ใช้กำลังข่มเหงเธอเสียในรถยนต์คันใหญ่ต่อหน้าใครๆ นี่แล้วจะทำยัง โอ๊ย...คิดแล้วก็อยากจะจิกเล็บลงกับเนื้อตัวเองแรงๆ เธอนี่มันคนอะไรกันจันทร์เจ้า ทำไมถึงได้ช่างคิดจินตนาการแต่ละอย่างให้ออกมาบั่นทอนกำลังใจและความกล้าของตัวเองได้มากมายขนาดนี้ ยังไงก็ขอให้ถึงที่หมายกันเร็วๆ ทีเถอะ เพราะตอนนี้เธอเริ่มจะหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาอีกแล้ว...

และนับจากช่วงเวลาดังกล่าวไปราวๆ สองชั่วโมง ขบวนรถที่จันทร์เจ้านั่งมา ก็พากันมาหยุดอยู่ตรงรอยต่อระหว่างทางเข้าสู่ดินแดนแห่งผืนทราย กับความศิวิไลต์จากในตัวเมืองที่เธอและคนทั้งคณะเพิ่งจะละกันมาได้ครู่ใหญ่ ที่นี่...สถานที่ที่แลดูคล้ายกับเรือนโบราณหลังใหญ่ การออกแบบและตกแต่งวิจิตรสวยงามโอ่อ่า หญิงสาวเองก็เพิ่งจะมารู้ในตอนหลัง ว่าที่นี่ก็คือพระราชวังอีกแห่ง ที่ทางราชสำนักจัดเตรียมเอาไว้สำหรับเจ้าเหนือหัว และเหล่าบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประสงค์จะเสด็จออกประพาสและเยี่ยมเยือนราษฎรในพื้นที่กว้างใหญ่ทว่าแห้งแล้งกันดารโดยรอบนี้
“แต่ผู้ที่มีโอกาสได้เข้ามาพำนักยังพระราชวังแห่งนี้มากที่สุดเพียงพระองค์เดียวก็คือ...”
ฟาฮัดทำหน้าที่อธิบายและสรุปในตอนท้าย จันทร์เจ้าเองก็หันไปถามกลับอย่างไม่แน่ใจ
“จะบอกหรือว่าเป็นเจ้าชายเอเดียลน่ะ”
“ใช่แล้วครับ โดยมากแล้วเจ้าชายเอเดียลจะเสด็จมาทรงงานที่นี่”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ”
อีกฝ่ายชักจะสนใจขึ้นมา ฟาฮัดยิ้มเล็กน้อย กำลังคิดจะคุยต่อไปว่า
“เพราะพระองค์ทรงห่วงใยราษฎร...”
“นั่นจะยืนคุยกันอยู่อีกนานมั้ย”
“เอ่อ...” องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์รีบถอยห่างออกจากหญิงสาว ศีรษะที่ตั้งตรงนั้นค้อมลงต่ำอย่างที่สุด จันทร์เจ้าต้องอธิบายแทน
“คุณฟาฮัดกับหม่อมฉัน เราแค่คุยกันเรื่อง...”
“ฉันไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร แต่ถามว่าจะคุยกันอีกนานมั้ย”
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่ขรึมอย่างประหลาดนั้น ทำให้จันทร์เจ้าเองต้องถอนหายใจเบาๆ หญิงสาวล้มเลิกความคิดที่จะแก้ต่างใดๆ ให้แก่ทั้งฟาฮัดและตัวเองในทันที เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะพูดไปก็ไม่มีใครฟังยังไงล่ะ โน่น...ฟาฮัดกำลังหันกลับ พร้อมกับเดินเร็วๆ ตามไปสมทบกับซีราห์และทหารองครักษ์คนอื่นๆ ส่วนคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทีท่าว่าต้องการจะฟังเหตุผลจริงๆ จากเธอสักเท่าไรเลย
“เราจะมาที่นี่กันทำไมหรือคะ”
จันทร์เจ้าถาม พลางชะแง้มอง ไม่เห็นมีใครอยู่ในรัศมีการได้ยิน ถึงเลือกที่จะใช้วิธีการพูดแบบสบายๆ กับเจ้าชายผู้แสนจะเอาแต่ใจตัว
“คิดว่าเธอจะไม่สนใจแล้วซะอีก”
“ทำไมล่ะคะ จันทร์ก็ถามเจ้าชายตั้งแต่มา ว่าจะพาไปไหน ก็ไม่เห็นจะตอบว่ายังไง”
“อย่าคุยกับฟาฮัดแบบเมื่อกี้นี้อีก” เอเดียลทำเสียงดุ
“คุยแบบเมื่อกี้?”
“หัวเราะต่อกระซิก ฉันไม่ชอบ”
คงเพราะอีกฝ่ายยังเอาแต่ ‘ตีหน้าซื่อ’ เขาถึงได้ยิ่งต้องหงุดหงิด หากสาวไทยนึกสนุก เปรยขึ้นว่า
“อ้อ...หวงก้าง”
“เธอว่าอะไรนะ” นัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นวาบวับ
“เปล่านี่คะ จันทร์ก็แค่บอกว่า...จันทร์เข้าใจในสิ่งที่คุณพูดแล้ว ก็เท่านั้นเอง”
“เข้าใจแล้วก็ดี ทีหลังก็อย่าได้เที่ยวไปให้ความสนิทสนมกับใครที่ไหนอย่างเมื่อกี้อีก โดยเฉพาะกับทหารองครักษ์ของฉันเอง”
“คุณนี่ บางทีก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยนะคะ...”
“ถ้าไม่อยากให้ใครต้องโดนลงอาญาสถานหนักเพราะเธอ ก็อย่าทำอีก” เสียงทุ้มต่ำนั้นเน้นน้ำหนักดัง
“เจ้าชาย!”
“เธอก็น่าจะรู้ ฉันพูดจริงทำจริง”
หญิงสาวเงยขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่ผิดหวัง ฟันซี่เล็กๆ เม้มขบริมฝีปากเพื่อห้ามไว้ไม่ให้มันสั่นไปตามแรงอารมณ์ แต่เอเดียลก็ไม่สนใจ เขาสั่งห้วนๆ
“ขึ้นไปข้างบนกับฉันเดี๋ยวนี้”
“แล้วเราจะต้องพักกันที่นี่หรือยังไง...คะ”
เจ้าตัวตั้งใจจะ ‘เสียงแข็ง’ เข้าใส่ แต่ก็ใจไม่กล้าพอ เลยจำต้องมีคำลงท้ายอย่างสุภาพในที่สุด
“ใช่ แต่แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เธอต้องรีบทานอาหาร พักผ่อน แล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อกันด้วยม้า คืนนี้เราจะค้างกันกลางทะเลทรายโน่น”
“ค้างกลางทะเลทราย!”
จันทร์เจ้าตาโตเพราะไม่คิดฝันมาก่อน เธอเดาไม่ออกว่าทุกคนจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลทรายซึ่งร้อนเปรี้ยงปร้างที่เห็นไกลๆ นั่นได้ยังไง
“แต่แค่ที่วังนี่ก็รู้สึกได้ถึงอากาศแล้วก็อุณหภูมิที่สูงมากๆ อยู่แล้วนะคะ ถ้าเป็นกลางทะเลทราย...”
“ถ้าเธอกลัว ไม่กล้า ก็รออยู่ที่นี่ได้ ไม่ก็จะให้คนพากลับตำหนักเล็กไป”
คนพูดก้าวขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจอะไรเธออีก สาวไทยมองตามอย่างขัดใจ ลงท้าย...เธอก็ต้องออกเดินตามเขาไปอย่างไม่มีอะไรโต้แย้ง




ลียา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2555, 20:13:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2555, 20:18:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 6294





<< ขาดการติดต่อ   อัลดูซาร์ >>
นกขมิ้น 16 ก.ค. 2555, 21:43:53 น.
to be continue


teesaparn 17 ก.ค. 2555, 12:21:24 น.
มาส่งกำลังใจ๋เจ้าคุณลียา
อุ้ย มีหวงมีหึงแล้ว...


longah 17 ก.ค. 2555, 17:26:34 น.
พระเอกช่างโหดร้ายกับนางเอก TT ฮือๆ


tutas 21 ก.ค. 2555, 14:46:09 น.
หึงได้แม้แต่กับองครักษ์น้อเจ้าชาย ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account