เล่ห์รักชีคร้าย เปลี่ยนชื่อเป็น 'เมียบำเรอรักชีค'(สนพ.สมาร์ทบุคตีพิมพ์)
เจ้าชายเอเดียล มกุฎราชกุมารแห่งรัฐอัลดูซาร์ เกิดมาตกหลุมรักในเสน่ห์ของสาวน้อยชาวไทยนามว่า 'จันทร์เจ้า' เข้าเต็มเปา ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้องต้องการ อุปสรรคกี่มากน้อยเท่าไร เขาก็จะต้องพาเอาตัวเธอข้ามน้ำข้ามทะเลกลับอัลดูซาร์ไปด้วยกันให้จงได้ แม้ว่าสาวน้อยคนที่ว่า จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธ ในความต้องการของเขาเท่าไรก็ตาม...
Tags: ชีค สาวชาวไทย ทะเลทราย เจ้าชาย

ตอน: อัลดูซาร์

ตอนที่ 17 อัลดูซาร์

เมื่อต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าให้ทะมัดทะแมงเหมาะสมกับการเดินทางเป็นที่เรียบร้อย จันทร์เจ้าก็ถูกเจ้าชายเอเดียลส่งขึ้นหลังม้าตัวใหญ่ หญิงสาวใจเต้นแรง ก็เธอขี่ม้าไม่เป็น แต่ก็ถูกเคี่ยวเข็ญให้ต้องขึ้นมานั่งตัวแข็งอยู่อย่างนี้จนได้
“เจ้าชาย...”
“จุ๊ๆ เฉยไว้” คนพูดเหวี่ยงตัวขึ้นตามมานั่งประกบ ร่างบางๆ จึงรีบหันมาถลึงตา ตั้งท่าจะโวยวายเข้าใส่
“เอ๊ะ! คุณ...”
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวม้าตื่นกันพอดี” เสียงเบานั้นกระซิบชิดติดริมหู
“ก็ทำไมเราจะต้องมานั่งม้าตัวเดียวกันด้วยล่ะคะ”
“แล้วเธอขี่ม้าเป็นหรือยังไง”
คนถูกก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างขัดใจแทนคำตอบ เสียงหัวเราะที่แสดงออกถึงการเป็นผู้ชนะจึงดังขึ้นให้ได้ยิน
“งั้นก็นั่งเฉยๆ ฉันจะเป็นคนจัดการทั้งหมดนี่แทนเธอเอง”
เมื่อเอเดียลให้สัญญาณ ม้าทั้งขบวน ซึ่งรวมไปถึงตัวของเหล่าบรรดาองครักษ์และนางกำนัลทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนพลเสียงดังกุบกับ...ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางด้วยอาชาตัวเก่งที่ทั้งอึดและทนทานต่อสภาพอากาศอันน่าทรมานนานร่วมชั่วโมง ที่สุดก็มาหยุดพักที่กระโจมซึ่งตั้งไว้คล้ายกับค่ายพักแรมขนาดใหญ่...ที่นี่ตั้งอยู่ใกล้กันกับแหล่งน้ำใสเย็นขนาดกลาง มันรายล้อมไปด้วยกระโจมหน้าตาคล้ายๆ กัน แต่ขนาดเล็กกว่าเป็นเท่าตัวอีกหลายหลัง ที่สำคัญคือยังมีนายทหารในเครื่องแบบอีกกว่าสี่ห้านาย ซึ่งล่วงหน้ามาจัดที่พักและรอถวายการต้อนรับเจ้าชายรัชทายาทอยู่ก่อนหน้า
“เป็นยังไงบ้าง” เอเดียลก้มลงถาม
“จันทร์...เอ่อ...หม่อมฉัน...”
“พูดธรรมดาเถอะจันทร์เจ้า ท่าทางเธอดูไม่ค่อยดีเท่าไรเลย เหนื่อยมากล่ะสิ”
“ค่ะ ทั้งร้อนแล้วก็เหนื่อย จันทร์...คอแห้ง”
“งั้นรอเดี๋ยวนะ” คนพูดเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะส่งมือมารอรับร่างเล็กบางที่ค่อยเลื่อนตัวตามลงมาทีหลังอย่างระวังบ้าง
“เข้าไปข้างใน ดื่มน้ำ แล้วก็พักผ่อนสักครู่ดีกว่านะ”
สาวไทยพยักหน้า เวลานี้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าคอแห้งแทบจะเป็นผุยผง ก็เลยไม่มีเรี่ยวแรงหรือสุ้มเสียงจะพาทีอะไรกับใครได้ เอเดียลประคองเธอเข้าไปในกระโจมหลังใหญ่สุดซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง จากนั้นจึงช้อนอุ้มร่างบางขึ้นมากอดกระชับ
“อุ๊ย!” หญิงสาวอุทาน ขณะที่ตัวลอยขึ้นจากพื้น
“ไม่ต้องตกใจหรอกน่ะ”
“เจ้าชาย...อุ้มจันทร์ทำไมกันคะ”
หน้านวลสวยที่ออกจะแดงก่ำเหลียวมองหน้าหลัง หากแต่ในกระโจมที่เต็มครบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ก็ไม่มีใครอื่น นอกเสียจากเธอกับเขาเท่านั้น
“ก็เธอไม่มีแรง จะล้มได้ทุกนาทีอยู่นี่แล้ว ฉันอุ้มไว้น่ะดีที่สุด”
“น่าอายจังเลย” เจ้าตัวปรารภเบา คล้ายกำลังเบื่อหรือไม่ก็ตำหนิตัวเอง
“ทำไม” เอเดียลถาม ก่อนจะวางเธอลงบนตั่งด้านใน
“ก็...จันทร์เหมือนคนอ่อนแอ”
“ไม่ใช่หรอก” เขายิ้มปลอบใจมาให้ แต่จันทร์เจ้ายังยืนยัน
“ใช่ค่ะ ก็ดูคนอื่นสิ ไม่เห็นจะมีใครเขาเป็นอะไรกันเลย เอวาร์กับมีนาห์ก็ด้วย สองคนนั่นยังแข็งแรงกว่าจันทร์หลายเท่า เขาขี่ม้าเอง แล้วก็แถมยังทำอะไรเองได้ทุกอย่าง”
“มันไม่เหมือนกันนี่ เธอไม่เคยชินกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดแล้วก็น่าทรมานมากขนาดนี้ แต่พวกเขาน่ะเกิดแล้วก็โตกันที่นี่ แล้วจะเอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไง เอวาร์”
ตอนหลัง เอเดียลยังหันไปเรียกหา ร่างเล็กผอมแต่แลดูแข็งแรงอย่างที่จันทร์เจ้าว่าโผล่หน้าเข้ามาว่องไว
“เอาน้ำดื่ม แล้วก็ผ้าเย็นๆ มาเช็ดหน้าตาให้คุณจันทร์เจ้าด้วย”
“เพคะ” หายไปไม่นาน เอวาร์กับมีนาห์ก็กลับเข้ามาพร้อมคณโฑบรรจุน้ำดื่ม ผ้าทอมือสีขาวสะอาดเนื้อนุ่ม และอ่างน้ำขนาดเล็กหนึ่งใบ รอให้หญิงสาวค่อยดื่มน้ำจนคลายความกระหายลงแล้ว เจ้าชายเอเดียลจึงบอก
“เรามาถึงกันช่วงเที่ยงๆ อย่างนี้ มันก็เลยร้อนเสียยิ่งกว่าร้อน ดื่มน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วจะพักสักครู่ก็ได้นะจันทร์เจ้า จากนั้นแล้วค่อยขึ้นม้าออกไปที่หมู่บ้านกันต่อ”
“ขี่ม้าไปที่หมู่บ้านหรือคะ”
สาวไทยถามกึ่งอุทาน รู้สึกว่าไม่อยากจะต้องนั่งโยกเยกไปบนหลังม้าอย่างที่เขาว่าในเวลานี้อีกแล้ว ใจเธออยากจะพักผ่อนให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อากาศที่ร้อนรุนแรงเกินกว่าหกสิบองศาฯ กำลังจะทำให้เธอเสียเหงื่อจนทำไม่ได้แม้แต่จะยันตัวลุกเดิน
“แต่ฉันไม่ได้จะพาเธอให้มานั่งๆ นอนๆ ทรมานเล่นกับอากาศร้อนกลางทะเลทรายแบบนี้เปล่าๆ หรอกนะจันทร์เจ้า ต้องพาไปหาอะไรที่น่าสนใจให้เธอได้เที่ยวดูอยู่แล้ว พักอยู่ในนี้ล่ะ เดี๋ยวฉันมาแล้วเราจะเดินทางกันต่อ”
“เอ่อ...แต่ว่าจันทร์...” อยากจะบอกเขาเหลือเกิน ว่าเธอขอรออยู่ที่กระโจมที่พักนี่ได้ไหม
“ระยะทางอีกไม่ไกลเท่าไรแล้ว ทนอีกหน่อยนะจันทร์เจ้า ฉันรู้ว่าเธอยังไหว”
“ก็...ได้ค่ะ จันทร์จะลองดู”
หญิงสาวรับปาก ไม่รู้เพราะอะไรในน้ำเสียงและแววตาคมกล้าคู่นั้น ที่ทำให้เธอเกิดจะมีเรี่ยวแรงและกำลังใจเล็กๆ ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน น่า...คงไม่มีใครร้อนตายในทะเลทราย ทั้งที่ยังมีผู้คนรายรอบหน้าหลัง แถมยังดูแลแข็งขันอย่างนี้หรอก

“หายเหนื่อย แล้วก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาแล้วล่ะสิ”
เสียงทุ้มนุ่มทักดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง คนทักที่ยังอยู่ในชุดโต๊ปตัวยาวสีขาว กำลังตลบผืนผ้าใบซึ่งใช้ต่างม่านบังตาตรงประตูทางเข้าให้ปิดลงพอดี
“เจ้าชาย” จันทร์เจ้าเบี่ยงตัวมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปจดจ้องอย่างจริงจังกับสิ่งที่เธอกำลังสนใจอยู่ใกล้ๆ
“นี่...มันคืออะไรหรือคะ”
หญิงสาวชี้ไปที่ก้อนแข็งๆ รูปร่างหน้าตาดูสวยแบบแปลกๆ ซึ่งตั้งเรียงรายทั้งขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไป ตรงใกล้กับตั่งที่พัก ร่างสูงมองตามพลางสืบเท้าเข้ามาใกล้ เขายิ้มอ่อนโยนให้ ก่อนจะว่า
“กุหลาบทะเลทราย”
“หือ...กุหลาบทะเลทรายหรือคะ ทำไมถึงเรียกอย่างนั้นล่ะ มันไม่ใช่ดอกไม้เสียหน่อยนี่นา”
เจ้าตัวเอียงคอถาม
“กุหลาบทะเลทรายที่เธอกำลังเห็นอยู่นี่...ถือเป็นของตกแต่งอย่างนึง ซึ่งจะบอกได้ง่ายๆ ว่ามันก็คือผลึกของเม็ดทรายซึ่งต้องอาศัยทั้งการกัดกร่อนเพาะบ่มของลมฟ้าและกาลเวลาที่ยาวนาน สองสิ่งนี้จะทำให้มันค่อยๆ ตกผลึก กระทั่งเกิดเป็นรูปร่างต่างๆ ขึ้นมาอย่างที่เธอเห็นนี่ล่ะ บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นหินที่มีพลังต่อความเชื่อในเรื่องของทั้งร่างกายและจิตใจ อาจช่วยให้มีบุตรบ้างล่ะ ฟื้นฟูเนื้อเยื่อ เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้บ้างล่ะ และบางคนยังถึงขนาดเชื่อกันไปว่า...เจ้าหินหน้าตาประหลาดๆ นี้จะช่วยเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ที่ครอบครองเป็นเจ้าของมันได้อีกด้วยนะ”
เจ้าความเชื่ออย่างหลังสุดนั่น ทำให้คนฟังเกิดจะหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ฝ่ายเอเดียลเองปรายตามองแล้วยิ้มอย่างนึกเอ็นดู เขาไม่แหย่ให้เธอต้องเขินอายมากไปกว่านี้ มือใหญ่หยิบเอาก้อนหินชิ้นเล็กซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาพินิจ แล้วว่า
“มันอยู่ลึกลงไปในซาฮาร่า ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือน...ปะการังในทะเล”
“ดูคล้ายกับคริสตัล...ผลิตผลจากความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ สวยจังนะคะ ยิ่งชิ้นนี้แล้วด้วย หน้าตาดูคล้ายกับดอกกุหลาบจริงๆ เลยทีเดียว”
จันทร์เจ้าเองก็ตื่นเต้นกับความรู้ใหม่ และลืมความเขินอายชั่วแวบนั่นไปจากใจ สาวไทยเอ่ยชมเจ้าก้อนเล็กที่อยู่ในอุ้งมือเขา เสียงคนใจดีจึงบอกย้ำมาให้ได้ยินว่า
“ถ้าเธอชอบ ก็เก็บกลับไปด้วยก็ได้ ฉันอนุญาต”
“จริงหรือคะ” ตากลมโตทอประกายวิบๆ ด้วยความดีใจ แต่สักพัก เจ้าตัวก็กลับเลือกที่จะปฏิเสธ
“แต่จันทร์ไม่เอาไปดีกว่าค่ะ เพราะบางที ของบางอย่าง...ก็เหมาะสมที่จะอยู่ในที่ของมันเท่านั้น ซึ่งมันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับคนเราสักเท่าไร”
“นี่เธอจะพูดเรื่องอะไร”
“ก็พูดถึงตำแหน่งและความเหมาะสมยังไงคะ ของจะสวยงามได้ ก็ต้องวางเอาไว้ให้ถูกที่”
พูดไป ก็ไล่แตะปลายนิ้วบางเบากับเจ้าก้อนสวยๆ เหล่านั้นไปด้วย
“คนเราก็เหมือนกัน...จะมีความสุขสงบในชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อได้อยู่ในที่ที่เหมาะสม แล้วก็เป็นของตนจริงๆ เท่านั้น”
เอเดียลฟังแล้วเอียงคอมอง เขาว่า
“วันนี้ดูเธอพูดจาแล้วก็ทำท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่ตอนที่ฉันเข้าไปหาที่ตำหนักแล้ว มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่าน่ะจันทร์เจ้า”
คนถามหรี่ตา เริ่มจะจับสังเกต หากหญิงสาวสั่นหน้า
“เปล่านี่คะ จันทร์ก็พูดอะไรไปเรื่อยตามประสา”
“แต่ฉันว่าไม่น่าใช่...”
“เอ่อ...คุณบอกว่าเราจะต้องเดินทางกันต่อไม่ใช่หรือคะ นี่จันทร์ก็...พร้อมแล้วล่ะค่ะ”
จันทร์เจ้าเปลี่ยนเรื่อง เอเดียลเองก็ตัดสินใจจะไม่เซ้าซี้ถาม ปล่อยไปก่อนเถอะ ไว้กลับถึงวังหลวงเมื่อไรก็คงได้รู้กัน
“งั้นก็ออกไปพร้อมกันนี่เลยเป็นไร”
จากนั้น เจ้าชายเอเดียลก็มีรับสั่งให้ทุกคนเตรียมตัวและออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านกันอีกครั้ง และหนนี้ จุดหมายปลายทางก็คือหมู่บ้านของชนเผ่าขนาดกลาง ที่ยังคงดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์และปลูกผัก...ผักจริงๆ นะ จันทร์เจ้ายืนยันได้ เธอเห็นผักชี โหระพาและต้นแมงลัก ซึ่งถือเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่ายแสนง่ายในแดนดินถิ่นฐานที่เรียกขานกันว่าประเทศไทย แต่ทว่าสำหรับดินแดนที่แสนจะแห้งแล้งกันดารแห่งนี้ การดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีเท่านั้น ถึงจะทำให้ทุกคนได้มีพืชชนิดนี้ไว้ประกอบอาหารกินกันได้ อ้อ...ยังมีอินทผลัมอีกอย่าง ที่ขึ้นชื่อเหลือเกินในเรื่องของการเพราะปลูกรวมทั้งส่งออก ยิ่งมองดูอาณาบริเวณกว้างๆ โดยรอบ หญิงสาวก็ยิ่งทึ่ง ใครนะ...ช่างเนรมิต แล้วก็ดลบันดาลให้ความร้อนแรงแห้งแล้งแถมยังอดอยากอย่างทารุณได้มีหลักแหล่งที่ทำกิน มีอาหารประทังชีวิต กระทั่งสามารถที่จะขยับขั้นคุณภาพของชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ ด้วยการบริโภคและจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้
“จับมือฉันไว้” เอเดียลบอก ขณะที่ค่อยรับจันทร์เจ้าลงจากหลังม้าตัวเดียวกันกับตน หญิงสาวยังไม่หยุดกวาดสายตา
“ที่นี่หรือคะ ที่คุณว่าจะพาฉันมา”
“ใช่แล้ว หมู่บ้านของชนเผ่าบาคา ถ้าเป็นสักร้อยๆ ปีก่อนหน้า เธออาจจะไม่ได้เห็นภาพอะไรอย่างนี้หรอก”
เป็นอีกครั้ง ที่ในความราบเรียบของน้ำเสียง มันแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจในบางอย่างเอาไว้
“นั่นน่ะสิคะ จันทร์คิดไม่ถึงเลย ว่าในแถบนี้จะยังมีผืนดินที่ชุ่มชื้นมากพอจะทำการเพาะปลูกอะไรได้”
“เดิมทีก็ไม่มีหรอก ทุกคนหมดหวัง อยู่กันไปวันๆ อย่างอดๆ อยากๆ ทุกอย่างต้องสร้างขึ้นมาใหม่เกือบจะทั้งหมด”
“แล้วอะไรทำให้พวกเขามีความเป็นอยู่อย่างที่เรากำลังเห็นอยู่นี่ได้ล่ะคะ” หญิงสาวถามอีก
“อยากรู้จริงๆ ไหมล่ะ”
“โธ่...ไม่งั้นจะถามหรือคะ”
หญิงสาวโอดเบาๆ และยังไม่ทันที่จะได้ความกระจ่างใดๆ ชาวบ้านก็พากันออกมายืนออเพื่อรอต้อนรับคนทั้งคณะ...จันทร์เจ้าสังเกตว่าคนกลุ่มแรกที่ก้าวออกมาถวายการต้อนรับ ต่างก็มีหน้าตาเนื้อตัวที่ดำคล้ำด้วยเปลวแดดและลักษณะเด่นทางเชื้อชาติ แต่เหนือกว่ารูปกายภายนอก สาวไทยและทุกคนในที่นั้นก็สังเกตเห็นและสัมผัสได้ หัวหน้าเผ่าและเหล่าบรรดาชาวบ้านทุกคนต่างก็มีความเคารพรักและเทิดทูนบูชาในตัวเจ้าชายเอเดียลมากมายเสียยิ่งกว่าสิ่งใด
“เจ้าชาย” เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าเผ่าทรุดตัวลงทำความเคารพ คนทั้งเผ่าก็รีบน้อมตัวลงพร้อมกันในทันที เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังประสานกันจนแทบจะไม่ได้ศัพท์ เจ้าชายเอเดียลทรงแย้มพระสรวลพร้อมกับโบกพระหัตถ์ทักทาย เป็นครู่ กว่าเสียงก้องกระหึ่มที่ว่าจะค่อยซาและเงียบลงไป
“เป็นยังไงจาวจ์”
เจ้าชายรับสั่งกับหัวหน้าเผ่า ซึ่งเป็นชายอายุเพียงสี่สิบปี นับว่าไม่มาก แต่เขาก็ถือเป็นตัวแทนของทุกคนในที่นี้
“ทุกคนที่บาคาสุขสบายดี เพราะพระบารมีของเจ้าเหนือหัวและเจ้าชายรัชทายาท”
“ดูเหมือนทุกคนจะมีความสุขดีกว่าเมื่อตอนก่อนจะผันน้ำจากเขื่อนมาใช้นะ”
“มีน้ำ ก็เหมือนมีชีวิตเจ้าชาย”
จาวจ์ ชายร่างสูงผอม ผิวหน้าและกายาดำเมี่ยม พยายามจะใช้วาจาที่สุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะคิดหาได้ในการที่จะสนทนากับเจ้าชายแห่งอัลดูซาร์
“อย่างนั้นก็ดี เพราะนี่คือสิ่งที่เราต้องการและพยายามจะทำมาตลอด เห็นโครงการทั้งหมดสำเร็จเป็นรูปธรรมแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง มาคราวหน้า คงจะได้คุยกันเรื่องของอินทผลัมที่กำลังโตวันโตคืนรุ่นนี้เสียที แต่วันนี้ตั้งใจว่าแค่จะมาเยี่ยมเท่านั้น ที่สำคัญคืออยากจะพาใครบางคนจากประเทศไทย ให้มาทำความรู้จักกับอัลดูซาร์ในอีกมุมนึงด้วย”
“ใครบางคน...จากประเทศไทยอย่างนั้นหรือเจ้าชาย...”
คำว่าประเทศไทย ทำให้จาวจ์และอีกหลายคนในชนเผ่าตื่นเต้น เขาเหลือบแลสายตาไปหาจันทร์เจ้า ซึ่งหญิงสาวกำลังยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังองค์รัชทายาท มีทหารองครักษ์และนางกำนัลอีกสองคนยืนประกบอยู่ไม่ห่าง บางอย่างกระซิบบอกในหัวของจาวจ์ ราชินีองค์ก่อน ก็มีเลือดเสี้ยวหนึ่งในตัวเป็นไทย แล้วมาคราวนี้...ท่าจะไม่ผิดเสียแล้วละมัง เจ้าตัวค่อยยิ้มกว้าง ท่าทางมั่นอกมั่นใจในความคิดตน
“เช่นนั้น ข้าพระองค์และพวกเราชาวเผ่าบาคาทุกคน จะขอใช้โอกาสนี้กล่าวคำอวยชัยถวายพระพรทั้งสอง...”
“ไม่ใช่หรอกน่ะจาวจ์ เจ้าคิดไปเองแล้ว”
เจ้าชายเอเดียลโบกพระหัตถ์เป็นเชิงห้าม รู้ล่ะว่าทุกคนคิดอะไร แต่พวกเขากำลังจะพากันเข้าใจผิด อย่างน้อย...ก็ในเวลานี้
“เอ่อ...” ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเริ่มลังเล ทางฝ่ายจันทร์เจ้าก็เช่นกัน หญิงสาวฟังภาษาที่เขากำลังพูดกันไม่ออก แต่ก็พอจะดูรู้ว่าต้องมีบางอย่างที่พาดพิงมาถึงเธอ ตากลมสวยจึงแลกวาดไปหาทุกคน ก่อนจะพุ่งมาจับนิ่งอยู่ที่เอเดียล
“แล้วถ้าข้าพระองค์...ในฐานะของผู้นำเผ่า จะขออนุญาตกล่าวต้อนรับเธอสักเล็กน้อยจะได้หรือไม่เจ้าชาย”
“เอาสิ...จันทร์เจ้า”
เจ้าชายหันไปพยักให้กับหญิงสาว ร่างบอบบางในชุดกางเกงคล่องตัวก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ จันทร์เจ้ายังไม่ทันจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป จาวจ์ก็ค้อมตัวลงต่ำ และกว่าสองร้อยคนในที่นั้นรีบปฏิบัติตาม ก่อนที่ภาษาอังกฤษประโยคสั้นๆ จากปากของคนเป็นผู้นำ จะถูกสื่อสารมาถึงเธอโดยตรงเป็นครั้งแรก
“ในนามของชนเผ่าบาคา ข้าขอต้อนรับท่านสู่ดินแดนแห่งแสงทอง ที่นี่ร้อนจัด...แต่สิ่งที่ท่านจะได้รับกลับคืนไปคือความอบอุ่นและชื่นฉ่ำในหัวใจอย่างแน่นอน คุณ...”
“ฉัน...ชื่อจันทร์เจ้า” สาวไทยบอกออกไปเบาๆ
“คุณจันทร์เจ้า พวกเราชาวบาคาทุกคน ยินดีต้อนรับ”
จาวจ์กล่าว พร้อมทั้งส่งยิ้มอย่างสุภาพและเป็นมิตรมาให้
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวบอกเบาๆ ก่อนหันกลับมาทางเอเดียลอีกครั้ง ด้วยยังไม่รู้ธรรมเนียม ว่าเธอควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป ร่างสูงใหญ่ของเขาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้โอกาสนั้นพูดแทนเธอ
“เป็นอันว่าจันทร์เจ้ารับรู้ถึงความปรารถนาดี และมิตรไมตรีที่ชาวเผ่ามีต่อเธอแล้ว ทีนี้ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานต่อได้แล้วกระมัง”
เท่านั้น ทุกคนในเผ่าก็ทรุดตัวลงเพื่อถวายความจงรักภักดีอีกครั้ง ก่อนจะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำภารกิจประจำวันของตนอย่างขะมักขะเม้น จันทร์เจ้ามองตาม และจึงได้เห็นว่าสมาชิกเผ่าบางคนก็เดินแยกออกไปยังแนวอินทผลัมต้นสูงที่เห็นอยู่ไกลๆ หากบางส่วนก็มุ่งหน้าตรงไปวุ่นวนอยู่ตรงบริเวณแปลงผักขนาดใหญ่ ซึ่งก็สะดุดตาเธอมาตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงเช่นกัน ไม่ช้า...เสียงตะโกนหยอกเย้าโหวกเหวกของเหล่าบรรดาแรงงานรุ่นหนุ่มสาว ก็ดังละล่องมาให้ได้ยินเป็นระยะ เรียวปากที่คงซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมของจันทร์เจ้าจึงค่อยคลี่ออกมาเป็นรอยยิ้ม
“พวกเขาดูมีความสุขนะคะ แม้ว่าจะต้องทนเผชิญอยู่กับสภาพอากาศที่...ค่อนข้างจะร้อนเลวร้ายขนาดนี้”
“ทำยังไงได้ ก็ที่นี่เป็นแผ่นดินเกิด คนเราต้องปรับตัวเข้ากับธรรมชาติแล้วก็ถิ่นที่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว”
เอเดียลให้ความเห็น พร้อมๆ กับที่มือใหญ่ยื่นมาโอบรั้งสะเอวบางของหญิงสาวให้ออกเดินตาม
“ก็คงจริงอย่างที่คุณว่า พวกเขาคงชิน จนไม่รู้สึกว่ามันเป็นความทรมานมากมายอย่างที่จันทร์กำลังรู้สึกอยู่ พูดก็พูดนะคะ ผู้นำเผ่าที่นี่...ดูเหมือนจะอายุยังน้อยเหลือเกิน”
“จาวจ์น่ะหรือ” คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมเลิกขึ้นน้อยๆ
“ก็คนที่คุยอยู่กับคุณล่ะค่ะ”
“งั้นเธอก็เดาเก่ง อายุของเขาไม่มากเท่าไรหรอก แต่ที่ทำให้คนทั้งเผ่ายอมรับและนับถือ จนกระทั่งมั่นใจว่าจะฝากความสุขสงบและอิ่มอดของปากท้องเอาไว้กับเขาได้ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของความกล้าแล้วก็ความสามารถ...เข้าไปนั่งข้างในกันก่อน”
‘ข้างใน’ ของเอเดียลก็คือกระโจมสีอ่อน ซึ่งดูค่อนข้างเก่าและเล็กกว่าหลังที่พักที่เพิ่งจะแวะพักกันมาเมื่อครู่อยู่มาก จันทร์เจ้ามองไปรอบๆ มีเสียงเจ้าชายหนุ่มอธิบายสั้นๆ
“พวกเขาตั้งใจเตรียมเอาไว้สำหรับเรา ทุกครั้งที่ฉันมา ก็จะมาพักแบบนี้”
คนพูดปลดผ้าคลุมหน้าออก หญิงสาวเองก็เช่นกัน เธออุทานเบาๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้
“คุณน่ะหรือคะ...ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ทำไม” ร่างสูงสง่า...จริงๆ นะ เอเดียลดูสง่างามทุกอิริยาบถและทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แปลกเปลี่ยนไปยังไงก็ตาม หญิงสาวมองเพลิน คิดอะไรไปเพลินๆ กระทั่งเขาต้องสะกิดถาม
“ฉันถามว่าทำไม”
“เอ่อ...ก็...คุณเป็นถึงมกุฎราชกุมาร...”
เท่านั้น ก็คล้ายกับเอเดียลจะหัวเราะเบาๆ เขาว่า
“ยศถาบรรดาศักดิ์จะไม่มีความหมายอะไร ถ้าเราไม่มีพวกเขา”
“จันทร์เข้าใจค่ะ แต่แค่...คิดไม่ถึง ว่าคุณจะทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย”
หญิงสาวไม่ทันคิด ในประโยคนั้น มันเหมือนกับเธอกำลังชื่นชมเขาอยู่กลายๆ
“ทำอะไร หมายถึงทำอะไร” เอเดียลซัก ทำเหมือนไม่เข้าใจ
“ก็เดินทางรอนแรม ต้องต่อทั้งรถทั้งม้า แล้วแถมยังจะต้องมาทนนอนในกระโจม ผจญกับสภาพอากาศที่ทารุณเหลือแสนแบบนี้อีกน่ะสิคะ ทั้งหมดนี่คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องแกล้งมาถามกันด้วยก็ไม่รู้”
“นั่นน่ะสิ ทำไมเวลาอยู่กับเธอทุกครั้ง ฉันถึงจะต้องคอยแต่อยากจะคุยอะไร แล้วก็อยากจะทำอะไรๆ ที่จะให้มันยืดเวลาออกไปให้นานเท่านานทุกครั้งเลยก็ไม่รู้”
พูดแล้วก็โฉบเฉียดกายแกร่งเข้ามาใกล้ สาวไทยรีบเอี้ยวตัวหลบ พร้อมกับมองค้อน
“จันทร์ไม่อยากคุยแล้ว คุณกำลังจะเฉไฉไปนอกเรื่อง”
“ไม่อยากคุยก็ไม่คุย ทำอย่างอื่นกันดีกว่านะ”
“เอ๊ะ! คุณนี่ นี่มันกลางดินกลางทรายแท้ๆ ก็ยังจะไม่เว้น...”
“ฉันจะชวนเธอออกไปดูอะไรข้างนอกต่างหาก นี่เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรอย่างนั้นหรือจันทร์เจ้า”
ทั้งน้ำเสียง แววตา และสีหน้านั้นล้อเลียนเธออย่างเปิดเผย
“เจ้าชายเอเดียล!”
จันทร์เจ้าเข่นเขี้ยว เรียกได้ว่าทั้งโกรธทั้งอายเลยทีเดียว เธอรีบพันผ้าขึ้นคลุมหน้า ก่อนที่จะเดินดุ่มออกมาอย่างไม่รีรออะไรหรือใครอีกทั้งนั้น เอเดียลมองตาม เขาหัวเราะเสียงดังตามหลัง พลางเร่งสาวเท้ายาวๆ ก้าวตามคนที่ไหนจะทั้งขี้อายและแสนงอนออกมา




ลียา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2555, 14:29:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2555, 14:29:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 6873





<< ว่าที่พระชายา?   อัลดูซาร์ (ต่อ) >>
หมูอ้วน 22 ก.ค. 2555, 14:49:34 น.
หนูจันทร์เจ้า โดนเจ้าชายแกล้งอยู่เรื่อยเลยอ่ะค่ะ


longah 22 ก.ค. 2555, 16:23:21 น.
จันทร์คิดไปถึงไหนจ๊ะเนี่ย ^^


แว่นใส 23 ก.ค. 2555, 09:14:42 น.
น่าอิจฉาจริงเชียว


tutas 24 ก.ค. 2555, 11:41:15 น.
เหมือนจันทร์เจ้าจะเริ่มเอนเอียงไปหาเจ้าชายเยอะนะเนี้ย ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account