ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า
ตอน: ตอนที่ 7
ตอนที่ 7
ยามค่ำคืนอันเงียบสงัดท่ามกลางขุนเขาอันอบอุ่น ไร้ซึ่งแสงจันทร์ที่เคยส่องแสงนวลตา เพราะคืนนี้เป็นเดือนแรมนั่นเอง ฉับพลันก็ปรากฏเป็นแสงสว่างวาบภายในห้องนอน แสงนั่นสว่างแบบแจ้งแต่ๆไม่ร้อนเช่นแสงอาทิตย์ ไม่อ่อนนวลเช่นแสงจันทร์ หากแต่แสงนั้นสว่างและเปล่งประกายกระพริบระยิบระยับราวกับแสงแห่งดวงดาว และเมื่อแสงนั้นมากระทบร่างบางที่นอนนิ่งก็ปลุกหล่อนให้หลุดจากนิทราได้ในทันที
พิชชาอรลืมตาขึ้นช้าๆแต่แล้วต้องหรี่ตากันแสงสว่างนั่นเข้าตามากไปอาจทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัด เมื่อม่านตาปรับเข้ากับแสงภายนอกได้แล้ว หญิงสาวก็ค่อยๆเบิกตากว้างขึ้นเพื่อมองสิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้า แสงนั้นเริ่มลดลงช้าๆ แล้วปรากฏเป็นร่างของคนที่เธอคุ้นตา
“คุณพ่อ !”หญิงสาวร้องด้วยความดีใจก่อนจะพยุงร่างลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปร่างนั้นและสวมกอดผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจที่ได้พบกันอีก พิชชาอรดีใจจนน้ำตาไหลพรากทีเดียว
“ทับทิมคิดว่าจะไม่ได้เจอพ่ออีกแล้ว พ่อยังไม่ตายใช่ไหมคะ พ่อสบายดีใช่ไหม หน้าพ่อดูสดใสจัง”พิชชาอรพูดทั้งน้ำตาพลางสังเกตใบหน้าและการแต่งตัวของบิดา ซึ่งหน้าตานั้นแลดูอ่อนกว่าวัยไปหลายสิบปีทีเดียวและยังหล่อขึ้นด้วยจนพิชชาอรแอบคิดเล่นๆว่าพ่อไปศัลยกรรมหน้ามาหรือเปล่า การแต่งตัวเล่า ก็ดูดีมีราคาเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อใด้สัมผัสแล้วนิ่มนวลราวกับใช้ผ้าเนื้อดีที่สุดในโลกมาถักทอ
“ทับทิม พ่อไม่ได้อยู่ภพเดียวกับลูกอีกแล้ว ตอนนี้พ่ออยู่ในที่สบายและมีความสุขมาก สืบเนื่องมาจากบุญกุศลที่พ่อได้ทำไว้คราวที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก” ภากรกล่าวกับลูกสาวเสียงกังวานทว่านุ่มนวล ก่อนใช้มือลูบหัวลูกสาวเพียงคนเดียวด้วยความรัก
“พ่อ ทับทิมคิดถึงพ่อเหลือเกิน พ่อไม่น่ามาด่วนจากไปเลย ลูกยังไม่มีโอกาสทดแทนพระคุณพ่อให้สมกับที่พ่อให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกมาเลย”พิชชาอรร่ำไห้อยู่ในอ้อมกอดของบิดา ภากรยังคงลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเรื่องธรรมดาลูก และทุกคนก็มีกรรมกันทั้งนั้น พ่อเองก็มีกรรมที่ต้องชดใช้ ชะตาชีวิตพ่อจึงได้จบแบบนี้ ลูกเองก็ยังต้องชดใช้กรรมต่อไป แต่พ่อขอให้ลูกอดทน อีกไม่นานลูกจะได้พบกับสิ่งที่ลูกรอคอย”
“พบพินัยกรรมใช่ไหมคะ พ่อบอกลูกได้ไหมคะ ว่าพินัยกรรมอยู่ไหน” พิชชาอรเงยหน้าถามด้วยความอยากรู้
“ลูกไม่ต้องห่วงอีกไม่นานลูกจะเจอ ลูกจงอดทนรอ อยู่ที่นี่ ที่นี่คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูก”พูดจบภากรก็ตบไหล่ลูกสาวเบาๆเป็นการให้กำลังใจ พิชชาอรสังเกตเห็นร่างบิดาถอยห่างไปเรื่อยๆ เธอจึงร้องเรียกเสียงดัง
“คุณพ่อเดี๋ยว อย่าเพิ่งไป อยู่คุยกับลูกก่อน คุณพ่อ”
“คุณพ่อ!” พิชชาอรสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาเห็นเพียงเพดานไม้ภายในห้องนอนเท่านั้น มองเพดานอยู่นานจึงเริ่มเข้าใจว่าเมื่อสักครู่นี้ภาพที่เธอเห็นเป็นเพียงความฝันนั่นเอง แต่ก็น่าแปลกใจยิ่งนัก ช่างเป็นความฝันที่เหมือนจริงมากๆ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่ากลิ่นน้ำหอมแปลกๆจากร่างของพ่อเมื่อครู่นี้มันยังอบอวลอยู่เลย
หญิงสาวหันไปมองนาฬิกา ก็เป็นเวลาเกือบตี 5 แล้ว เหลือบไปเห็นกระแตที่ลุกขึ้นมาทั้งที่ยังสะลึมสะลืออยู่เพราะสะดุ้งกับเสียงละเมอของเธอ
“คุณทับทิมละเมอก่อเจ้า อู้เสียงดังขนาด” กระแตถามเสียงอู้อี้ในขณะที่เปลือกตายังเปิดไม่เต็มที่
“ทับทิมฝันเห็นคุณพ่อน่ะ คุณพ่อมาเข้าฝัน” พิชชาอรตอบโดยไม่มองหน้ากระแตเพราะใจยังคงติดตากับภาพในฝันเมื่อสักครู่นี้ ว่าแล้วก็ทำให้เธอไม่สามารถนอนหลับต่อได้อีก หญิงสาวจึงลุกจากเตียงไปอาบน้ำชำระร่างกายดีกว่า ทำให้กระแตซึ่งยังคงงัวเงียอยู่จำต้องลุกขึ้นเก็บที่หลับที่นอนของตัวเองและบนเตียงของพิชชาอรอย่างจำใจแม้จะไม่ใช่เวลาตื่นของเธอก็ตาม
เมื่อลงมาข้างล่างพิชชาอรก็ไม่พบใครเลยโดยเฉพาะบนโต๊ะอาหาร ซึ่งปกติแล้วจะเห็นพ่อเลี้ยงจอมเข้มนั่งรอกินข้าวอยู่เกือบทุกวัน วันนี้เธอเองก็ลงมาเช้ากว่าปกติ จึงไม่เห็นใครเลยแม้แต่แม้นวาด
“สงสัยพ่อเลี้ยงยังไม่ตื่นแน่เลย ส่วนป้าแม้นคงเตรียมอาหารอยู่ที่บ้าน” หญิงสาวรำพึงเบาๆ ก่อนเดินไปยังนอกบ้าน ก็พบว่าเป็นเวลาใกล้รุ่งเต็มที ท้องฟ้ายังเป็นสีครามปนมืดอยู่ พิชชาอรนึกขึ้นได้ว่าคนงานที่นี่เขาเก็บชากันตอนเช้ามืดนี่แหละ หล่อนจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้
“ไปช่วยคนงานเก็บชาดีกว่า”ว่าแล้วก็เดินตัวปลิวออกจากบริเวณบ้าน แต่เมื่อเนื้อนุ่มของเธอได้สัมผัสกับอากาศยามเช้ามืดที่ค่อนข้างเย็นทำให้หญิงสาวชะงัก คิดอะไรบางอย่างได้หล่อนจึงหันหลังกลับเข้าไปในบ้านครู่อึดใจเดียวก็ออกมาพร้อมหมวกคาวบอยใบโต หญิงสาวลองสวมดูก้พบว่าพอดีหล่อนจึงใส่หมวกกันน้ำค้างไปยังไร่ชาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เดินมาไม่นานหล่อนก็ได้พบกับคนงานมากมายกำลังขะมักขะเม้นทำงานตามหน้าที่ของตน แม้ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเลยพวกเขาก็ออกมาทำงานกันแล้ว พิชชาอรเริ่มห่อตัวเข้าหากันเมื่อสายลมยามเช้าพัดมากระทบ อากาศยามเช้าที่นี่ค่อนข้างหนาวทีเดียว
หล่อนเดินตามคนงานกลุ่มหนึ่งไปยังไร่ชาบนเชิงเขาที่ปลูกแบบขั้นบันใด เมื่อเดินมาถึงก็พบว่ามีคนงานกำลังเก็บชาอยู่หลายคนและมีอีกหลายคนที่เดินตามกันมาเพื่อเก็บชา คนงานทุกคนที่มาเก็บชานั้นจะอยู่ในชุดมิดชิดใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว สวมหมวกปีกกว้างบางคนก็ไม่สวม ด้านหลังของทุกคนจะสะพายตะกร้าทรงกระบอกใบใหญ่ไว้เพื่อใส่ใบชานั่นเอง พิชชาอรเห็นแต่ละคนเก็บชากันอย่างขมักเขนม้นแล้วท่าจะสนุกดีเธอจึงอยากไปเก็บด้วย หญิงสาวจึงมองซ้ายมองขวาเพื่อหาอุปกรณ์ และแล้วก็เห็นตระกร้าที่มีสายสะพายหลังวางอยู่ไม่ไกล ในตระกร้านั้นว่างเปล่า พิชชาอรยิ้มเบาๆก่อนจะคว้าตะกร้าไปนั้นสะพายใส่หลังทันที
แต่เมื่อจะไปเก็บจริงๆหญิงสาวก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันมีวิธีเก็บอย่างไร เธอคิดว่าควรจะถามคนงานข้างๆถึงวิธีเก็บดีกว่า
“ลุง ลุงจ๊ะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่าลุงเงยหน้ามามองตามเสียงใส จึงได้เห็นใบหน้าหวานภายใต้หมวกใบใหญ่ที่ชายหนุ่มจำได้ว่าเป็นของเขาจ้องมองมาที่เขาด้วยอยากรู้อยากเห็น พิชชาอรมองหน้าคนที่หันมาสบตากับตัวเองก็รู้สึกคุ้นกับดวงตาคู่นี้จัง แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ใบหน้าก็มองไม่ชัดเลยเพราะเขาสวมทั้งหมวกทั้งมีผ้าปิดจมูกเป็นเพียงแต่ลูกตากับสันจมูกโผล่มานิดๆ
“เอ่อ ลุงช่วยสอนทับทิมเก็บชาหน่อยได้ไหมคะ ทับทิมอยากช่วยเก็บชาค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงหวาน ผู้ที่ถูกเรียกว่าลุงซ่อนรอยยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าปิดจมูกนั้น พลันนึกในใจว่าแปลกจังวันนี้นึกยังไงตื่นแต่เช้ามาช่วยเก็บชา แต่เอาเถอะวันนี้จะสอนแม่สาวน้อยคนนี้ให้เป็นคนเก็บชาจริงๆเลย
“ดูนะ ที่เห็นใบชาตูมๆยังไม่บานนั่นน่ะ เก็บเลย ”คุณลุงจำเป็นอธิบายพลางชี้ให้ดูยอดของต้นชาต้นหนึ่งที่กำลังตูม ก่อนจะเด็ดขึ้นมาอย่างเบามือและโยนใส่ตะกร้าที่สะพานหลังอย่างชำนาญ พิชชาอรมองและทำตามอย่างที่คุณลุงแนะนำ เมื่อได้ลองเก็บแล้วหล่อนก็เห็นว่ามันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสนุกด้วยได้สูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย
“ทำไมเก็บแต่ดอกตูมล่ะคะ”พิชชาอรมีคำถามขึ้นมา
“เพราะใบชาที่ตูมๆ ยังไม่บานนั้นเราจะเอาไปทำเป็นชาขาว ถ้าเราเก็บตอนเช้ามืดอย่างนี้จะได้ชาที่หอมอร่อยและมีคุณภาพมาก” ลุงจำเป็นอธิบาย พิชชาอรพยักหน้าเข้าใจและก็ตามด้วยคำถามต่อมา
“แต่บางครั้งหนูเห็นคนงานก็มาเก็บชากันตอนสายหรือไม่ก็ตอนเย็นๆน่ะคะ”
“ช่วงนั้นเป็นช่วงแดดอ่อนๆไม่แรงมาก เหมาะแก่การเก็บยอดอ่อนใบชา ที่เราจะนำไปนำชาเขียวไงล่ะ”เขาตอบอย่างเต็มใจ จากนั้นพิชชาอรก็เข้าไปช่วยคุณลุงคนนั้นเก็บชาใกล้ๆกันแต่ยิ่งใกล้หญิงสาวเหมือนได้กลิ่นที่เธอคุ้นจมูก
กลิ่นยูคาลิปตัสนี่นา หญิงสาวเงยหน้ามองคนข้างๆอย่างสงสัย ว่าลุงคนนี้เป็นใครกันแน่นะทำไมกลิ่นตัวเหมือนใครคนนั้นเลย ทว่าเจ้าของกลิ่นหอมชื่นใจนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจยังคงก้มตาก้มตาเก็บชาโดยไม่สนใจสายตาซุกซนของหญิงสาว
และคนงานในไร่ก็ช่วยกันเก็บชาจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเป็นเวลาของแสงอาทิตย์ได้ทำหน้าที่เสียที บางคนก็หยุดไปนั่งพักเมื่อได้ชาจนเต็มตะกร้า บางคนก็เก็บต่อ เมื่อแสงแดดจางๆสาดมากระทบไร่ชาและร่างบอบบาง หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ไม่หนาวเย็นเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา พิชชาอรหันมาดูตะกร้าใส่ใบชาก็พบว่าเธอเองก็เก็บเกินครึ่งตะกร้า สร้างความภูมิใจให้ตัวเองยิ่งนัก และแล้วเธอก็แลเห็นชายหนุ่มร่างโตที่คุ้นหน้าเดินเข้ามาทักทาย
“อ้าว! คุณทับทิม มาช่วยเก็บชาหรือครับ”อำพลเอ่ยถามหลังจากที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาถึงตัวเธอ
“ค่ะ พอดีทับทิมตื่นเร็วก็เลยอยากมาช่วยน่ะค่ะ”พิชชาอรตอบ
“แสดงว่าปรกติแล้วตื่นสายมากเลยหรือครับ”อำพลถามติดแซว
“ไม่ได้สายหรอกขนาดนั้นค่ะก็ประมาณ เจ็ดโมง แต่วันนี้ตื่นก่อนตีห้าอีก” หญิงสาวตอบยิ้มๆ อำพลยิ้มให้ตอบไป ทว่าท่าทางเหนื่อยหอบเนื่องจากวิ่งมาไกล และกำลังมองหาใครบางคนอยู่นั้นทำให้พิชชาอรสงสัยและเลิกคิ้วสูงส่งไปแทนคำถาม
“เห็นพ่อเลี้ยงไหมครับ” อำพลจึงเอ่ยถามขึ้น เล่นเอาพิชชาอรงงกับคำถาม อีตาพ่อเลี้ยงจะมาอยู่ที่ไร่ชานี่ได้ยังไงคงนอนหลับอยู่ที่เรือนใหญ่น่ะสิ
“พ่อเลี้ยงอินยังไม่ตื่นหรอกค่ะ นอนหลับที่เรือนนู้นแน่ะ”พิชชาอรพูดอย่างมั่นอกมั่นใจพลางชี้นิ้วเรียวไปยังเรือนไม้หลังงามอันเป็นเคหาสน์ของพ่อเลี้ยงแห่งไร่บริรักษ์ศักดา ทว่าหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกชนเข้าที่ไหล่จนเซ หล่อนจึงหันไปดูว่าใครกันหนอที่แกล้งชน หล่อนก็ได้เห็นลุงคนเก็บชาที่เก็บชาด้วยกันอยู่เมื่อครู่นี้ยืนจ้องเธอด้วยแววตาดุ และเมื่อเขาถอดหมวกและผ้าปิดจมูกออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นเล่นเอาเธอต้องอ้าปากค้าง
พ่อเลี้ยงอินทัช!
“มีอะไรหรือพล” อินทัชหันไปถามอำพลโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของสาวน้อยข้างๆทั้งที่ความจริงแล้วตรงกันข้าม เขาสนใจแต่เพียงเธอและมองเธอมาตลอด
“พังดาวเด่นมันกำลังตกลูกครับพ่อเลี้ยง ตอนนี้มันกระวนกระวายใหญ่เลย” อำพลบอกอย่างตื่นเต้น อินทัชได้ยินดังนั้นก็ถอดตะกร้าใส่ใบชาฝากให้คนงานอื่นจัดการแล้วเขาก็ทำท่าจะตามอำพลไปแต่แล้วเขาก็หันกลับมามองหน้าสาวน้อยหน้าใสที่กำลังยืนอึ้งอยู่ก่อนส่งเสียงถามหล่อน
“จะไปด้วยกัน..กับลุงไหมหนู”ประโยคท้ายเขาเน้นเสียงออกแนวเย้ยๆ พิชชาอรเม้มมุมปากอย่างเคืองใจที่หน้าแตกยับโดนหลอกว่าเป็นคนงานเก็บชาที่ไหนได้ก็เป็นตาพ่อเลี้ยงนี่เอง มิน่าคุ้นๆนัก แต่เอาเถอะเรื่องแค่นี้ เธอไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟหรอกน่ะ ถ้าไม่แซวกันมากๆนะ
“ว่าไงจะไปไหมเดี๋ยวไม่ทันดูช้างตกลูกนะ” อินทัชถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นพิชชาอรยังเอาแต่จ้องหน้าเขา
“ไปค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงดังฟังชัดแต่แววตายังติดเคืองๆเขาอยู่ก่อนจะวางตะกร้าที่สะพายหลังลง และตามชายหนุ่มทั้งคู่ไป
อำพลล่ามม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ไว้ใต้ต้นหูกวางใกล้ๆกัน อินทัชจึงถือโอกาสกระโดดขึ้นคร่อมม้าตัวนั้นทันทีอย่างชำนาญ พิชชาอรอรมองตามอย่างแปลกใจ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าเขาขี่ม้าเป็นด้วย
และแล้วอินทัชก็ยื่นมือแกร่งมารับเป็นการเชิญชวนหญิงสาวให้ขึ้นมาด้วยกัน พิชชาอรไม่ลังเลใจเลยที่จะส่งมือบางนุ่มเนียนให้และรับเอาร่างเธอไปนั่งอยู่ด้านหน้าร่างของเขา ถึงแม้นี่จะเป็นการขึ้นนั่งบนหลังม้าครั้งแรกในชีวิต แต่หญิงสาวก็ไม่นึกหวาดกลัวเลยเมื่อได้มาอยู่ภายใต้การบังคับม้าของเขา
อินทัชควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วนี่เองทำให้ชายหนุ่มได้สัมผัสเรือนผมนุ่มสลวยของหญิงสาวที่ปลิวมาปะทะใบหน้าสลับกับกลิ่นหอมอ่อนๆของกายสาวที่ทำให้หัวใจแกร่งของเขาสั่นสะเทือน
พิชชาอรเองก็จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าที่ควร ทุกครั้งที่แผ่นหลังสัมผัสกับแผงอกหนานั่นทำให้เลือดในกายมันไหลขึ้นไปรวมกันที่ใบหน้าเป็นจุดเดียว
ฝ่ายอำพลเองก็ควบม้าตามมาเช่นกันแต่ถูกอินทัชทิ้งห่างพอสมควร
ไม่ถึงสามนาทีอินทัชก็ควบม้ามายังโรงเลี้ยงช้าง ชายหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้าและไม่ลืมที่จะหันไปรอรับสาวน้อยนั้นเพื่อประคองให้เธอลงมาอย่างสะดวกด้วย
เมื่อทั้งคู่ลงมาและล่ามม้าเรียบร้อยแล้วก็พากันเดินไปยังคอกของช้างพังที่ชื่อว่าดาวเด่น ที่ซึ่งสังเกตได้จากผู้คนมากมายที่มามุงรอดูการตกลูกของช้างตัวนี้
นี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่พิชชาอรได้มีโอกาสเห็นช้างกำลังจะตกลูกจะจะ เต็มๆตา ช้างพังส่งเสียงร้องแปร๋นๆเป็นระยะ ที่ช่องคลอดของมันเริ่มมีก้อนเมือกสีขาวปนม่วงโผล่ออกมาและค่อยๆหลุดออกมาเรื่อยๆจนกระทั่ง
“โพล๊ะ!” ลูกช้างตัวน้อยก็หลุดออกมาจากท้องแม่ เมือกที่หุ้มตัวลูกช้างอยู่ก็ขาดและมีน้ำเมือกไหลออกมาจนเจิ่งนอง สักครู่แม่ช้างก็ใช้ขาสะกิดลูกไปทางโน้นทีทางนี้ที เพื่อกระตุ้นให้ลูกมันลุกขึ้นเดิน แม่ช้างใช้งวงตัวเองรัดงวงลูกน้อยเพื่อประคองให้ลุกขึ้น ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจจริงๆ
“น่ารักอ่ะ! อยากถ่ายภาพแล้วนำไปโพสต์ในเฟซบุ้คจังเลย” พิชชาอรรำพันเบาๆพลางนึกถึงสังคมออนไลน์ที่เธอชอบเล่นประจำ แต่ช่วงนี้ไม่ได้เข้าไปเล่นเลยไมรู้ว่าเพื่อนๆจะคิดถึงกันบ้างหรือเปล่า
“ป้อเลี้ยงเจ้า มาดูจ๊างเหมือนกั๋นก่อเจ้า” ทั้งอินทัชและพิชชาอรหันไปยังเจ้าของเสียง ซึ่งก็คือใบบัวนั่นเอง อันที่จริงหล่อนนั้นก็เพิ่งมาถึงเช่นกันเพราะเห็นอินทัชควบม้าพาพิชชาอรผ่านหน้าไปก็เลยตามมาดู ด้วยความอยากรู้ว่าพ่อเลี้ยงที่หล่อนหมายปองนั้นเหตุใดจึงขี่มามาพร้อมกับสาวน้อยผู้นี้
“อืม..ใช่ ไม่ค่อยบ่อยนักที่ไร่เราจะมีลูกช้างเกิดใหม่ ตัวนี้รู้สึกจะเป็นตัวแรกในรอบ 5 ปีเลยนะ” อินทัชบอก ในขณะที่ใบบัวแทบไม่ได้สนใจฟังเลยหากแต่จ้องหน้าชายหนุ่มตาวาวระยับ จนเป็นที่สังเกตของพิชชาอร
“พังดาวเด่นก็ต้องงดต้อนรับนักท่องเที่ยวไปสักพักนะครับ ให้มันอยู่ดูแลลูกมันสักพัก” อำพลเข้ามาแทรก หลังจากได้เห็นท่าทางสนิทสนมของใบบัวที่มีต่อพ่อเลี้ยงแล้วรู้สึกหมั่นใส้
“เอ้อ..นี่ใบบัว เมื่อกี้ปี้หันเจ้ากำลังตรวจดูสปริงเกอร์พ่นน้ำอยู่ที่แปลงพืชผักสวนครัวอยู่บ่ใจ้รึ ยะหยังมาอยู่ตี้นี่ได้” อำพลแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าทำไมหล่อนจึงมาอยู่ตรงนี้
“ก็เฮาแจ้งฮื่อช่างมาซ่อมตั้งแต่เมื่อวานแล้วเน้อ เฮาแค่ไปทดสอบดูว่ามันใช้ได้ก่อ ปี้พลนี้อย่าอู้นักนะ เดี๋ยวโดน”พูดพลางกำหมัดขึ้นชูใส่หน้าอำพล เล่นเอาชายหนุ่มหลบแทบไม่ทัน
หลังจากดูช้างประคองลูกที่เพิ่งคลอดได้สักครู่ ลุกช้างตัวนั้นก็ลุกขึ้นและเดินได้ด้วยสี่เท้าของตน ทุกคนในที่นั้นต่างประทับใจพากันตบมือให้กับความน่ารักของช้างแม่ลูกกันใหญ่
จากนั้นเหล่าคนงานก็พากันทยอยกลับไปทำหน้าที่ของตนปล่อยให้ช้างแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ซึ่งก็เป็นเวลากินข้าวเช้าพอดี เหล่าคนงานพากันไปกินข้าวเช้ากันที่โรงครัวประจำไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ทางด้านอินทัชนั้นก็หันมาชวนพิชชาอรไปกินข้าวด้วยกันที่เรือนใหญ่ แล้วทั้งคู่ก็ขึ้นไปบนหลังมาและควบออกไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นที่ตลบ และสายตาอิจฉาของใครบางคน
“ป้อเลี้ยงเปลี่ยนไปขนาด ตั้งแต่มีแม่หญิงทับทิมเข้ามาอยู่นี่”ใบบัวรำพึงกับตัวเอง แต่ทว่าอำพลที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้ยินด้วย
“เปลี่ยนหยังใบบั๋ว ปี้บ่หันป้อเลี้ยงจะเปลี่ยน เปิ้นก็เหมือนเดิม” อำพลพูดพลางจ้องหน้าใบบัวอย่างสงสัยในคำพูดของเธอ
“ป้อเลี้ยงบ่เกยมีท่าทีอ่อนโยนกับแม่หญิงคนใดเท่ากับแม่หญิงทับทิมเลยก่ะ” ใบบัวพูดตามความรู้สึกที่ตัวเองสัมผัสได้ เพราะเธออยู่กับพ่อเลี้ยงมานาน ขนาดไหมทองที่ว่าสนิทสนมกันเธอยังไม่เคยเห็นแววตาอ่อนโยนแบบนี้ที่พ่อเลี้ยงมีให้พิชาอรเลย หรือแม้แต่เธอเอง ก็ไม่เคยได้แม้แต่หางตาของพ่อเลี้ยง แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ เธอหวังว่าความจงรักภักดีของเธอจะทำให้อินทัชหันมาสนใจ แม้จะไม่เคยมีหวังเลยก็ตาม
อำพลเองก็เริ่มเห็นด้วยกับใบบัวแต่เพราะว่าเขาเองก็รู้สึกว่าอินทัชนั้นมีความรู้สึกที่พิเศษกับแม่สาวน้อยหลงทางคนนั้น สังเกตได้ชัดเลยจากแววตาที่อินทัชชอบมองใบหน้าของพิชชาอรอยู่เป็นระยะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พิชชาอรคงไม่สังเกตเห็นเพราะ เอาแต่ดูช้างอยู่ จะว่าไปเพราะว่าหล่อนสวยอย่างเดียวคงไม่ใช่เพราะอินทัชไม่ได้ชอบใครที่หน้าตา สังเกตจากเหล่าบรรดาสาวที่มาชอบอินทัชก็สวยๆกันทั้งนั้น อินทัชยังไม่สนใจใครเท่าสาวคนนี้เลย
เมื่ออินทัชควบม้ามาถึงยังเรือนใหญ่ เขาก็กระโดดลงจากหลังม้าและมารับร่างแน่งน้อยของหญิงสาวลงเช่นเคย ทว่าคราวนี้พิชชาอรนึกสนุกขึ้นมาจึงคิดแก้แค้นที่ถูกเขาแกล้งทำเป็นคนเก็บชามาหลอกเธอ พิชชาอรจึงคิดว่าจะแกล้งทำให้เขารับตัวเองพลาดและตกลงที่พื้นแกล้งร้องโอดโอยนิดหน่อย พอเขาเข้ามาช่วยก็ทำลุกขึ้นทำตัวเหมือนปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หุ หุ หุ คงจะสะใจน่าดู คิก คิก พิชชาอรคิดแล้วก็เหยียดยิ้มเล็กๆ ว่าแล้วหล่อนก็ทำเป็นยื่นมือส่งให้ชายหนุ่ม มืออีกด้านจับแผงคอม้าไว้ แล้วจู่ๆหล่อนก็วางบนมืออากาศแทนที่จะวางบนมือหนาของชายหนุ่มแล้วเหตุการณ์ไม่คาดผันก็เกิดขึ้นขึ้นเจ้าม้านั้นเกิดพยศดีดตัวสะบัดอย่างแรง ส่งผลให้ร่างบางถูกสลัดหลุดจากหลังม้าและกำลังจะตกสู่พื้น ทว่าร่างบางน่าทนุถนอมนั้นถูกอ้อมแขนแข็งแรงรับไว้ได้ทัน
ภาพที่ปรากฏในตอนนี้ พิชชาอรจึงมาอยู่ภายในอ้อมกอดของชายหนุ่มเสียแล้ว และสายตาของทั้งคู่ก็ประสานกันเข้าอย่างใกล้ชิด อินทัชเริ่มได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากทั้งเรือนผมและกายสาวอีกทำให้ภายในกายของเขามันแทบระเบิด ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วที่ความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับหัวใจเขา
“เอ่อ...อ..อ ปะ..ปล่อยทับทิมเถอะค่ะ ทับทิมไม่เป็นไร ละ ..แล้ว” พิชชาอรพูดพลางพยายามดิ้นน้อยๆเพื่อให้เขารู้สึกตัว แต่แล้วก็ได้ผล อินทัชยอมปล่อยหล่อนออกจากอ้อมกอด และทันทีที่หลุดจากวงแขนนั้น พิชชาอรก็รีบวิ่งปรู๊ดเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย
“อ้าวคุณหนูทับทิม ไปไหนมาเจ้า กระแตตามหาตั้งนาน อ้าวเป็นหยังหน้าแดงเป็นแตงโมจะอั้น” นี่คือคำทักทายของกระแตทันทีที่ได้พบหน้าพิชชาอร แต่พิชชาอรก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มให้ก่อนเดินหลบไปยังห้องตัวเองเพื่อทำความสะอาดร่างกาย กระแตจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆยังงอยู่ว่าหล่อนเป็นอะไร แต่งงได้ไม่นานก็เห็นอินทัชเดินเข้ามากระแตจึงเข้าไปตาม
“ป้อเลี้ยง ไปไหนมาเจ้า”
“อ้อ วันนี้ฉันไปช่วยคนงานเก็บชามา”อินทัชตอบ
“แล้วป้อเลี้ยงเห็นคุณทับทิมก่อเจ้า ว่าเปิ้นไปไหนมา กระแตถามกะบ่อตอบ เดินหน้าแดงแจ๋ไปเลย” อินทัชเพียงได้ฟังคำบอกเล่าของกระแตแล้วทำให้หัวใจเขามันสูบฉีดผิดปรกติ แต่แล้วชายหนุ่มก็ยังคงอาการนิ่งเฉยเอาไว้และเดินผ่านกระแตไปโดยไม่พูดอะไร
“เป็นอีกคน ถามกะบ่ยอมตอบ” กระแตได้แต่บ่นอยู่คนเดียว
และแล้วมื้อเช้าของวันนั้นก็ผ่านไปท่ามกลางความทุลักทุเลในหัวใจของคนทั้งคู่ จนแม้นวาดกับกระแตก็ยังสังเกตเห็นว่าวันนี้ทั้งอินทัชและพิชชาอรดูทานข้าวด้วยกันเงียบๆผิดปรกติ จะว่าทะเลาะกันก็ไม่น่าใช่เพราะว่าแววตาทั้งคู่ดูหวานลึกซึ้งอย่างไรก็ไม่รู้
ยามค่ำคืนอันเงียบสงัดท่ามกลางขุนเขาอันอบอุ่น ไร้ซึ่งแสงจันทร์ที่เคยส่องแสงนวลตา เพราะคืนนี้เป็นเดือนแรมนั่นเอง ฉับพลันก็ปรากฏเป็นแสงสว่างวาบภายในห้องนอน แสงนั่นสว่างแบบแจ้งแต่ๆไม่ร้อนเช่นแสงอาทิตย์ ไม่อ่อนนวลเช่นแสงจันทร์ หากแต่แสงนั้นสว่างและเปล่งประกายกระพริบระยิบระยับราวกับแสงแห่งดวงดาว และเมื่อแสงนั้นมากระทบร่างบางที่นอนนิ่งก็ปลุกหล่อนให้หลุดจากนิทราได้ในทันที
พิชชาอรลืมตาขึ้นช้าๆแต่แล้วต้องหรี่ตากันแสงสว่างนั่นเข้าตามากไปอาจทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัด เมื่อม่านตาปรับเข้ากับแสงภายนอกได้แล้ว หญิงสาวก็ค่อยๆเบิกตากว้างขึ้นเพื่อมองสิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้า แสงนั้นเริ่มลดลงช้าๆ แล้วปรากฏเป็นร่างของคนที่เธอคุ้นตา
“คุณพ่อ !”หญิงสาวร้องด้วยความดีใจก่อนจะพยุงร่างลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปร่างนั้นและสวมกอดผู้เป็นพ่อด้วยความดีใจที่ได้พบกันอีก พิชชาอรดีใจจนน้ำตาไหลพรากทีเดียว
“ทับทิมคิดว่าจะไม่ได้เจอพ่ออีกแล้ว พ่อยังไม่ตายใช่ไหมคะ พ่อสบายดีใช่ไหม หน้าพ่อดูสดใสจัง”พิชชาอรพูดทั้งน้ำตาพลางสังเกตใบหน้าและการแต่งตัวของบิดา ซึ่งหน้าตานั้นแลดูอ่อนกว่าวัยไปหลายสิบปีทีเดียวและยังหล่อขึ้นด้วยจนพิชชาอรแอบคิดเล่นๆว่าพ่อไปศัลยกรรมหน้ามาหรือเปล่า การแต่งตัวเล่า ก็ดูดีมีราคาเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อใด้สัมผัสแล้วนิ่มนวลราวกับใช้ผ้าเนื้อดีที่สุดในโลกมาถักทอ
“ทับทิม พ่อไม่ได้อยู่ภพเดียวกับลูกอีกแล้ว ตอนนี้พ่ออยู่ในที่สบายและมีความสุขมาก สืบเนื่องมาจากบุญกุศลที่พ่อได้ทำไว้คราวที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก” ภากรกล่าวกับลูกสาวเสียงกังวานทว่านุ่มนวล ก่อนใช้มือลูบหัวลูกสาวเพียงคนเดียวด้วยความรัก
“พ่อ ทับทิมคิดถึงพ่อเหลือเกิน พ่อไม่น่ามาด่วนจากไปเลย ลูกยังไม่มีโอกาสทดแทนพระคุณพ่อให้สมกับที่พ่อให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกมาเลย”พิชชาอรร่ำไห้อยู่ในอ้อมกอดของบิดา ภากรยังคงลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเรื่องธรรมดาลูก และทุกคนก็มีกรรมกันทั้งนั้น พ่อเองก็มีกรรมที่ต้องชดใช้ ชะตาชีวิตพ่อจึงได้จบแบบนี้ ลูกเองก็ยังต้องชดใช้กรรมต่อไป แต่พ่อขอให้ลูกอดทน อีกไม่นานลูกจะได้พบกับสิ่งที่ลูกรอคอย”
“พบพินัยกรรมใช่ไหมคะ พ่อบอกลูกได้ไหมคะ ว่าพินัยกรรมอยู่ไหน” พิชชาอรเงยหน้าถามด้วยความอยากรู้
“ลูกไม่ต้องห่วงอีกไม่นานลูกจะเจอ ลูกจงอดทนรอ อยู่ที่นี่ ที่นี่คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูก”พูดจบภากรก็ตบไหล่ลูกสาวเบาๆเป็นการให้กำลังใจ พิชชาอรสังเกตเห็นร่างบิดาถอยห่างไปเรื่อยๆ เธอจึงร้องเรียกเสียงดัง
“คุณพ่อเดี๋ยว อย่าเพิ่งไป อยู่คุยกับลูกก่อน คุณพ่อ”
“คุณพ่อ!” พิชชาอรสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาเห็นเพียงเพดานไม้ภายในห้องนอนเท่านั้น มองเพดานอยู่นานจึงเริ่มเข้าใจว่าเมื่อสักครู่นี้ภาพที่เธอเห็นเป็นเพียงความฝันนั่นเอง แต่ก็น่าแปลกใจยิ่งนัก ช่างเป็นความฝันที่เหมือนจริงมากๆ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่ากลิ่นน้ำหอมแปลกๆจากร่างของพ่อเมื่อครู่นี้มันยังอบอวลอยู่เลย
หญิงสาวหันไปมองนาฬิกา ก็เป็นเวลาเกือบตี 5 แล้ว เหลือบไปเห็นกระแตที่ลุกขึ้นมาทั้งที่ยังสะลึมสะลืออยู่เพราะสะดุ้งกับเสียงละเมอของเธอ
“คุณทับทิมละเมอก่อเจ้า อู้เสียงดังขนาด” กระแตถามเสียงอู้อี้ในขณะที่เปลือกตายังเปิดไม่เต็มที่
“ทับทิมฝันเห็นคุณพ่อน่ะ คุณพ่อมาเข้าฝัน” พิชชาอรตอบโดยไม่มองหน้ากระแตเพราะใจยังคงติดตากับภาพในฝันเมื่อสักครู่นี้ ว่าแล้วก็ทำให้เธอไม่สามารถนอนหลับต่อได้อีก หญิงสาวจึงลุกจากเตียงไปอาบน้ำชำระร่างกายดีกว่า ทำให้กระแตซึ่งยังคงงัวเงียอยู่จำต้องลุกขึ้นเก็บที่หลับที่นอนของตัวเองและบนเตียงของพิชชาอรอย่างจำใจแม้จะไม่ใช่เวลาตื่นของเธอก็ตาม
เมื่อลงมาข้างล่างพิชชาอรก็ไม่พบใครเลยโดยเฉพาะบนโต๊ะอาหาร ซึ่งปกติแล้วจะเห็นพ่อเลี้ยงจอมเข้มนั่งรอกินข้าวอยู่เกือบทุกวัน วันนี้เธอเองก็ลงมาเช้ากว่าปกติ จึงไม่เห็นใครเลยแม้แต่แม้นวาด
“สงสัยพ่อเลี้ยงยังไม่ตื่นแน่เลย ส่วนป้าแม้นคงเตรียมอาหารอยู่ที่บ้าน” หญิงสาวรำพึงเบาๆ ก่อนเดินไปยังนอกบ้าน ก็พบว่าเป็นเวลาใกล้รุ่งเต็มที ท้องฟ้ายังเป็นสีครามปนมืดอยู่ พิชชาอรนึกขึ้นได้ว่าคนงานที่นี่เขาเก็บชากันตอนเช้ามืดนี่แหละ หล่อนจึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้
“ไปช่วยคนงานเก็บชาดีกว่า”ว่าแล้วก็เดินตัวปลิวออกจากบริเวณบ้าน แต่เมื่อเนื้อนุ่มของเธอได้สัมผัสกับอากาศยามเช้ามืดที่ค่อนข้างเย็นทำให้หญิงสาวชะงัก คิดอะไรบางอย่างได้หล่อนจึงหันหลังกลับเข้าไปในบ้านครู่อึดใจเดียวก็ออกมาพร้อมหมวกคาวบอยใบโต หญิงสาวลองสวมดูก้พบว่าพอดีหล่อนจึงใส่หมวกกันน้ำค้างไปยังไร่ชาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เดินมาไม่นานหล่อนก็ได้พบกับคนงานมากมายกำลังขะมักขะเม้นทำงานตามหน้าที่ของตน แม้ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเลยพวกเขาก็ออกมาทำงานกันแล้ว พิชชาอรเริ่มห่อตัวเข้าหากันเมื่อสายลมยามเช้าพัดมากระทบ อากาศยามเช้าที่นี่ค่อนข้างหนาวทีเดียว
หล่อนเดินตามคนงานกลุ่มหนึ่งไปยังไร่ชาบนเชิงเขาที่ปลูกแบบขั้นบันใด เมื่อเดินมาถึงก็พบว่ามีคนงานกำลังเก็บชาอยู่หลายคนและมีอีกหลายคนที่เดินตามกันมาเพื่อเก็บชา คนงานทุกคนที่มาเก็บชานั้นจะอยู่ในชุดมิดชิดใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว สวมหมวกปีกกว้างบางคนก็ไม่สวม ด้านหลังของทุกคนจะสะพายตะกร้าทรงกระบอกใบใหญ่ไว้เพื่อใส่ใบชานั่นเอง พิชชาอรเห็นแต่ละคนเก็บชากันอย่างขมักเขนม้นแล้วท่าจะสนุกดีเธอจึงอยากไปเก็บด้วย หญิงสาวจึงมองซ้ายมองขวาเพื่อหาอุปกรณ์ และแล้วก็เห็นตระกร้าที่มีสายสะพายหลังวางอยู่ไม่ไกล ในตระกร้านั้นว่างเปล่า พิชชาอรยิ้มเบาๆก่อนจะคว้าตะกร้าไปนั้นสะพายใส่หลังทันที
แต่เมื่อจะไปเก็บจริงๆหญิงสาวก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่ามันมีวิธีเก็บอย่างไร เธอคิดว่าควรจะถามคนงานข้างๆถึงวิธีเก็บดีกว่า
“ลุง ลุงจ๊ะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่าลุงเงยหน้ามามองตามเสียงใส จึงได้เห็นใบหน้าหวานภายใต้หมวกใบใหญ่ที่ชายหนุ่มจำได้ว่าเป็นของเขาจ้องมองมาที่เขาด้วยอยากรู้อยากเห็น พิชชาอรมองหน้าคนที่หันมาสบตากับตัวเองก็รู้สึกคุ้นกับดวงตาคู่นี้จัง แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ใบหน้าก็มองไม่ชัดเลยเพราะเขาสวมทั้งหมวกทั้งมีผ้าปิดจมูกเป็นเพียงแต่ลูกตากับสันจมูกโผล่มานิดๆ
“เอ่อ ลุงช่วยสอนทับทิมเก็บชาหน่อยได้ไหมคะ ทับทิมอยากช่วยเก็บชาค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงหวาน ผู้ที่ถูกเรียกว่าลุงซ่อนรอยยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าปิดจมูกนั้น พลันนึกในใจว่าแปลกจังวันนี้นึกยังไงตื่นแต่เช้ามาช่วยเก็บชา แต่เอาเถอะวันนี้จะสอนแม่สาวน้อยคนนี้ให้เป็นคนเก็บชาจริงๆเลย
“ดูนะ ที่เห็นใบชาตูมๆยังไม่บานนั่นน่ะ เก็บเลย ”คุณลุงจำเป็นอธิบายพลางชี้ให้ดูยอดของต้นชาต้นหนึ่งที่กำลังตูม ก่อนจะเด็ดขึ้นมาอย่างเบามือและโยนใส่ตะกร้าที่สะพานหลังอย่างชำนาญ พิชชาอรมองและทำตามอย่างที่คุณลุงแนะนำ เมื่อได้ลองเก็บแล้วหล่อนก็เห็นว่ามันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสนุกด้วยได้สูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย
“ทำไมเก็บแต่ดอกตูมล่ะคะ”พิชชาอรมีคำถามขึ้นมา
“เพราะใบชาที่ตูมๆ ยังไม่บานนั้นเราจะเอาไปทำเป็นชาขาว ถ้าเราเก็บตอนเช้ามืดอย่างนี้จะได้ชาที่หอมอร่อยและมีคุณภาพมาก” ลุงจำเป็นอธิบาย พิชชาอรพยักหน้าเข้าใจและก็ตามด้วยคำถามต่อมา
“แต่บางครั้งหนูเห็นคนงานก็มาเก็บชากันตอนสายหรือไม่ก็ตอนเย็นๆน่ะคะ”
“ช่วงนั้นเป็นช่วงแดดอ่อนๆไม่แรงมาก เหมาะแก่การเก็บยอดอ่อนใบชา ที่เราจะนำไปนำชาเขียวไงล่ะ”เขาตอบอย่างเต็มใจ จากนั้นพิชชาอรก็เข้าไปช่วยคุณลุงคนนั้นเก็บชาใกล้ๆกันแต่ยิ่งใกล้หญิงสาวเหมือนได้กลิ่นที่เธอคุ้นจมูก
กลิ่นยูคาลิปตัสนี่นา หญิงสาวเงยหน้ามองคนข้างๆอย่างสงสัย ว่าลุงคนนี้เป็นใครกันแน่นะทำไมกลิ่นตัวเหมือนใครคนนั้นเลย ทว่าเจ้าของกลิ่นหอมชื่นใจนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจยังคงก้มตาก้มตาเก็บชาโดยไม่สนใจสายตาซุกซนของหญิงสาว
และคนงานในไร่ก็ช่วยกันเก็บชาจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเป็นเวลาของแสงอาทิตย์ได้ทำหน้าที่เสียที บางคนก็หยุดไปนั่งพักเมื่อได้ชาจนเต็มตะกร้า บางคนก็เก็บต่อ เมื่อแสงแดดจางๆสาดมากระทบไร่ชาและร่างบอบบาง หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ไม่หนาวเย็นเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา พิชชาอรหันมาดูตะกร้าใส่ใบชาก็พบว่าเธอเองก็เก็บเกินครึ่งตะกร้า สร้างความภูมิใจให้ตัวเองยิ่งนัก และแล้วเธอก็แลเห็นชายหนุ่มร่างโตที่คุ้นหน้าเดินเข้ามาทักทาย
“อ้าว! คุณทับทิม มาช่วยเก็บชาหรือครับ”อำพลเอ่ยถามหลังจากที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาถึงตัวเธอ
“ค่ะ พอดีทับทิมตื่นเร็วก็เลยอยากมาช่วยน่ะค่ะ”พิชชาอรตอบ
“แสดงว่าปรกติแล้วตื่นสายมากเลยหรือครับ”อำพลถามติดแซว
“ไม่ได้สายหรอกขนาดนั้นค่ะก็ประมาณ เจ็ดโมง แต่วันนี้ตื่นก่อนตีห้าอีก” หญิงสาวตอบยิ้มๆ อำพลยิ้มให้ตอบไป ทว่าท่าทางเหนื่อยหอบเนื่องจากวิ่งมาไกล และกำลังมองหาใครบางคนอยู่นั้นทำให้พิชชาอรสงสัยและเลิกคิ้วสูงส่งไปแทนคำถาม
“เห็นพ่อเลี้ยงไหมครับ” อำพลจึงเอ่ยถามขึ้น เล่นเอาพิชชาอรงงกับคำถาม อีตาพ่อเลี้ยงจะมาอยู่ที่ไร่ชานี่ได้ยังไงคงนอนหลับอยู่ที่เรือนใหญ่น่ะสิ
“พ่อเลี้ยงอินยังไม่ตื่นหรอกค่ะ นอนหลับที่เรือนนู้นแน่ะ”พิชชาอรพูดอย่างมั่นอกมั่นใจพลางชี้นิ้วเรียวไปยังเรือนไม้หลังงามอันเป็นเคหาสน์ของพ่อเลี้ยงแห่งไร่บริรักษ์ศักดา ทว่าหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกชนเข้าที่ไหล่จนเซ หล่อนจึงหันไปดูว่าใครกันหนอที่แกล้งชน หล่อนก็ได้เห็นลุงคนเก็บชาที่เก็บชาด้วยกันอยู่เมื่อครู่นี้ยืนจ้องเธอด้วยแววตาดุ และเมื่อเขาถอดหมวกและผ้าปิดจมูกออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นเล่นเอาเธอต้องอ้าปากค้าง
พ่อเลี้ยงอินทัช!
“มีอะไรหรือพล” อินทัชหันไปถามอำพลโดยไม่สนใจปฏิกิริยาของสาวน้อยข้างๆทั้งที่ความจริงแล้วตรงกันข้าม เขาสนใจแต่เพียงเธอและมองเธอมาตลอด
“พังดาวเด่นมันกำลังตกลูกครับพ่อเลี้ยง ตอนนี้มันกระวนกระวายใหญ่เลย” อำพลบอกอย่างตื่นเต้น อินทัชได้ยินดังนั้นก็ถอดตะกร้าใส่ใบชาฝากให้คนงานอื่นจัดการแล้วเขาก็ทำท่าจะตามอำพลไปแต่แล้วเขาก็หันกลับมามองหน้าสาวน้อยหน้าใสที่กำลังยืนอึ้งอยู่ก่อนส่งเสียงถามหล่อน
“จะไปด้วยกัน..กับลุงไหมหนู”ประโยคท้ายเขาเน้นเสียงออกแนวเย้ยๆ พิชชาอรเม้มมุมปากอย่างเคืองใจที่หน้าแตกยับโดนหลอกว่าเป็นคนงานเก็บชาที่ไหนได้ก็เป็นตาพ่อเลี้ยงนี่เอง มิน่าคุ้นๆนัก แต่เอาเถอะเรื่องแค่นี้ เธอไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟหรอกน่ะ ถ้าไม่แซวกันมากๆนะ
“ว่าไงจะไปไหมเดี๋ยวไม่ทันดูช้างตกลูกนะ” อินทัชถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นพิชชาอรยังเอาแต่จ้องหน้าเขา
“ไปค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงดังฟังชัดแต่แววตายังติดเคืองๆเขาอยู่ก่อนจะวางตะกร้าที่สะพายหลังลง และตามชายหนุ่มทั้งคู่ไป
อำพลล่ามม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ไว้ใต้ต้นหูกวางใกล้ๆกัน อินทัชจึงถือโอกาสกระโดดขึ้นคร่อมม้าตัวนั้นทันทีอย่างชำนาญ พิชชาอรอรมองตามอย่างแปลกใจ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าเขาขี่ม้าเป็นด้วย
และแล้วอินทัชก็ยื่นมือแกร่งมารับเป็นการเชิญชวนหญิงสาวให้ขึ้นมาด้วยกัน พิชชาอรไม่ลังเลใจเลยที่จะส่งมือบางนุ่มเนียนให้และรับเอาร่างเธอไปนั่งอยู่ด้านหน้าร่างของเขา ถึงแม้นี่จะเป็นการขึ้นนั่งบนหลังม้าครั้งแรกในชีวิต แต่หญิงสาวก็ไม่นึกหวาดกลัวเลยเมื่อได้มาอยู่ภายใต้การบังคับม้าของเขา
อินทัชควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วนี่เองทำให้ชายหนุ่มได้สัมผัสเรือนผมนุ่มสลวยของหญิงสาวที่ปลิวมาปะทะใบหน้าสลับกับกลิ่นหอมอ่อนๆของกายสาวที่ทำให้หัวใจแกร่งของเขาสั่นสะเทือน
พิชชาอรเองก็จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าที่ควร ทุกครั้งที่แผ่นหลังสัมผัสกับแผงอกหนานั่นทำให้เลือดในกายมันไหลขึ้นไปรวมกันที่ใบหน้าเป็นจุดเดียว
ฝ่ายอำพลเองก็ควบม้าตามมาเช่นกันแต่ถูกอินทัชทิ้งห่างพอสมควร
ไม่ถึงสามนาทีอินทัชก็ควบม้ามายังโรงเลี้ยงช้าง ชายหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้าและไม่ลืมที่จะหันไปรอรับสาวน้อยนั้นเพื่อประคองให้เธอลงมาอย่างสะดวกด้วย
เมื่อทั้งคู่ลงมาและล่ามม้าเรียบร้อยแล้วก็พากันเดินไปยังคอกของช้างพังที่ชื่อว่าดาวเด่น ที่ซึ่งสังเกตได้จากผู้คนมากมายที่มามุงรอดูการตกลูกของช้างตัวนี้
นี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่พิชชาอรได้มีโอกาสเห็นช้างกำลังจะตกลูกจะจะ เต็มๆตา ช้างพังส่งเสียงร้องแปร๋นๆเป็นระยะ ที่ช่องคลอดของมันเริ่มมีก้อนเมือกสีขาวปนม่วงโผล่ออกมาและค่อยๆหลุดออกมาเรื่อยๆจนกระทั่ง
“โพล๊ะ!” ลูกช้างตัวน้อยก็หลุดออกมาจากท้องแม่ เมือกที่หุ้มตัวลูกช้างอยู่ก็ขาดและมีน้ำเมือกไหลออกมาจนเจิ่งนอง สักครู่แม่ช้างก็ใช้ขาสะกิดลูกไปทางโน้นทีทางนี้ที เพื่อกระตุ้นให้ลูกมันลุกขึ้นเดิน แม่ช้างใช้งวงตัวเองรัดงวงลูกน้อยเพื่อประคองให้ลุกขึ้น ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจจริงๆ
“น่ารักอ่ะ! อยากถ่ายภาพแล้วนำไปโพสต์ในเฟซบุ้คจังเลย” พิชชาอรรำพันเบาๆพลางนึกถึงสังคมออนไลน์ที่เธอชอบเล่นประจำ แต่ช่วงนี้ไม่ได้เข้าไปเล่นเลยไมรู้ว่าเพื่อนๆจะคิดถึงกันบ้างหรือเปล่า
“ป้อเลี้ยงเจ้า มาดูจ๊างเหมือนกั๋นก่อเจ้า” ทั้งอินทัชและพิชชาอรหันไปยังเจ้าของเสียง ซึ่งก็คือใบบัวนั่นเอง อันที่จริงหล่อนนั้นก็เพิ่งมาถึงเช่นกันเพราะเห็นอินทัชควบม้าพาพิชชาอรผ่านหน้าไปก็เลยตามมาดู ด้วยความอยากรู้ว่าพ่อเลี้ยงที่หล่อนหมายปองนั้นเหตุใดจึงขี่มามาพร้อมกับสาวน้อยผู้นี้
“อืม..ใช่ ไม่ค่อยบ่อยนักที่ไร่เราจะมีลูกช้างเกิดใหม่ ตัวนี้รู้สึกจะเป็นตัวแรกในรอบ 5 ปีเลยนะ” อินทัชบอก ในขณะที่ใบบัวแทบไม่ได้สนใจฟังเลยหากแต่จ้องหน้าชายหนุ่มตาวาวระยับ จนเป็นที่สังเกตของพิชชาอร
“พังดาวเด่นก็ต้องงดต้อนรับนักท่องเที่ยวไปสักพักนะครับ ให้มันอยู่ดูแลลูกมันสักพัก” อำพลเข้ามาแทรก หลังจากได้เห็นท่าทางสนิทสนมของใบบัวที่มีต่อพ่อเลี้ยงแล้วรู้สึกหมั่นใส้
“เอ้อ..นี่ใบบัว เมื่อกี้ปี้หันเจ้ากำลังตรวจดูสปริงเกอร์พ่นน้ำอยู่ที่แปลงพืชผักสวนครัวอยู่บ่ใจ้รึ ยะหยังมาอยู่ตี้นี่ได้” อำพลแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าทำไมหล่อนจึงมาอยู่ตรงนี้
“ก็เฮาแจ้งฮื่อช่างมาซ่อมตั้งแต่เมื่อวานแล้วเน้อ เฮาแค่ไปทดสอบดูว่ามันใช้ได้ก่อ ปี้พลนี้อย่าอู้นักนะ เดี๋ยวโดน”พูดพลางกำหมัดขึ้นชูใส่หน้าอำพล เล่นเอาชายหนุ่มหลบแทบไม่ทัน
หลังจากดูช้างประคองลูกที่เพิ่งคลอดได้สักครู่ ลุกช้างตัวนั้นก็ลุกขึ้นและเดินได้ด้วยสี่เท้าของตน ทุกคนในที่นั้นต่างประทับใจพากันตบมือให้กับความน่ารักของช้างแม่ลูกกันใหญ่
จากนั้นเหล่าคนงานก็พากันทยอยกลับไปทำหน้าที่ของตนปล่อยให้ช้างแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ซึ่งก็เป็นเวลากินข้าวเช้าพอดี เหล่าคนงานพากันไปกินข้าวเช้ากันที่โรงครัวประจำไร่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ทางด้านอินทัชนั้นก็หันมาชวนพิชชาอรไปกินข้าวด้วยกันที่เรือนใหญ่ แล้วทั้งคู่ก็ขึ้นไปบนหลังมาและควบออกไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นที่ตลบ และสายตาอิจฉาของใครบางคน
“ป้อเลี้ยงเปลี่ยนไปขนาด ตั้งแต่มีแม่หญิงทับทิมเข้ามาอยู่นี่”ใบบัวรำพึงกับตัวเอง แต่ทว่าอำพลที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้ยินด้วย
“เปลี่ยนหยังใบบั๋ว ปี้บ่หันป้อเลี้ยงจะเปลี่ยน เปิ้นก็เหมือนเดิม” อำพลพูดพลางจ้องหน้าใบบัวอย่างสงสัยในคำพูดของเธอ
“ป้อเลี้ยงบ่เกยมีท่าทีอ่อนโยนกับแม่หญิงคนใดเท่ากับแม่หญิงทับทิมเลยก่ะ” ใบบัวพูดตามความรู้สึกที่ตัวเองสัมผัสได้ เพราะเธออยู่กับพ่อเลี้ยงมานาน ขนาดไหมทองที่ว่าสนิทสนมกันเธอยังไม่เคยเห็นแววตาอ่อนโยนแบบนี้ที่พ่อเลี้ยงมีให้พิชาอรเลย หรือแม้แต่เธอเอง ก็ไม่เคยได้แม้แต่หางตาของพ่อเลี้ยง แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ เธอหวังว่าความจงรักภักดีของเธอจะทำให้อินทัชหันมาสนใจ แม้จะไม่เคยมีหวังเลยก็ตาม
อำพลเองก็เริ่มเห็นด้วยกับใบบัวแต่เพราะว่าเขาเองก็รู้สึกว่าอินทัชนั้นมีความรู้สึกที่พิเศษกับแม่สาวน้อยหลงทางคนนั้น สังเกตได้ชัดเลยจากแววตาที่อินทัชชอบมองใบหน้าของพิชชาอรอยู่เป็นระยะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พิชชาอรคงไม่สังเกตเห็นเพราะ เอาแต่ดูช้างอยู่ จะว่าไปเพราะว่าหล่อนสวยอย่างเดียวคงไม่ใช่เพราะอินทัชไม่ได้ชอบใครที่หน้าตา สังเกตจากเหล่าบรรดาสาวที่มาชอบอินทัชก็สวยๆกันทั้งนั้น อินทัชยังไม่สนใจใครเท่าสาวคนนี้เลย
เมื่ออินทัชควบม้ามาถึงยังเรือนใหญ่ เขาก็กระโดดลงจากหลังม้าและมารับร่างแน่งน้อยของหญิงสาวลงเช่นเคย ทว่าคราวนี้พิชชาอรนึกสนุกขึ้นมาจึงคิดแก้แค้นที่ถูกเขาแกล้งทำเป็นคนเก็บชามาหลอกเธอ พิชชาอรจึงคิดว่าจะแกล้งทำให้เขารับตัวเองพลาดและตกลงที่พื้นแกล้งร้องโอดโอยนิดหน่อย พอเขาเข้ามาช่วยก็ทำลุกขึ้นทำตัวเหมือนปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หุ หุ หุ คงจะสะใจน่าดู คิก คิก พิชชาอรคิดแล้วก็เหยียดยิ้มเล็กๆ ว่าแล้วหล่อนก็ทำเป็นยื่นมือส่งให้ชายหนุ่ม มืออีกด้านจับแผงคอม้าไว้ แล้วจู่ๆหล่อนก็วางบนมืออากาศแทนที่จะวางบนมือหนาของชายหนุ่มแล้วเหตุการณ์ไม่คาดผันก็เกิดขึ้นขึ้นเจ้าม้านั้นเกิดพยศดีดตัวสะบัดอย่างแรง ส่งผลให้ร่างบางถูกสลัดหลุดจากหลังม้าและกำลังจะตกสู่พื้น ทว่าร่างบางน่าทนุถนอมนั้นถูกอ้อมแขนแข็งแรงรับไว้ได้ทัน
ภาพที่ปรากฏในตอนนี้ พิชชาอรจึงมาอยู่ภายในอ้อมกอดของชายหนุ่มเสียแล้ว และสายตาของทั้งคู่ก็ประสานกันเข้าอย่างใกล้ชิด อินทัชเริ่มได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากทั้งเรือนผมและกายสาวอีกทำให้ภายในกายของเขามันแทบระเบิด ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วที่ความรู้สึกนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับหัวใจเขา
“เอ่อ...อ..อ ปะ..ปล่อยทับทิมเถอะค่ะ ทับทิมไม่เป็นไร ละ ..แล้ว” พิชชาอรพูดพลางพยายามดิ้นน้อยๆเพื่อให้เขารู้สึกตัว แต่แล้วก็ได้ผล อินทัชยอมปล่อยหล่อนออกจากอ้อมกอด และทันทีที่หลุดจากวงแขนนั้น พิชชาอรก็รีบวิ่งปรู๊ดเข้าบ้านโดยไม่หันกลับมามองเขาอีกเลย
“อ้าวคุณหนูทับทิม ไปไหนมาเจ้า กระแตตามหาตั้งนาน อ้าวเป็นหยังหน้าแดงเป็นแตงโมจะอั้น” นี่คือคำทักทายของกระแตทันทีที่ได้พบหน้าพิชชาอร แต่พิชชาอรก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มให้ก่อนเดินหลบไปยังห้องตัวเองเพื่อทำความสะอาดร่างกาย กระแตจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆยังงอยู่ว่าหล่อนเป็นอะไร แต่งงได้ไม่นานก็เห็นอินทัชเดินเข้ามากระแตจึงเข้าไปตาม
“ป้อเลี้ยง ไปไหนมาเจ้า”
“อ้อ วันนี้ฉันไปช่วยคนงานเก็บชามา”อินทัชตอบ
“แล้วป้อเลี้ยงเห็นคุณทับทิมก่อเจ้า ว่าเปิ้นไปไหนมา กระแตถามกะบ่อตอบ เดินหน้าแดงแจ๋ไปเลย” อินทัชเพียงได้ฟังคำบอกเล่าของกระแตแล้วทำให้หัวใจเขามันสูบฉีดผิดปรกติ แต่แล้วชายหนุ่มก็ยังคงอาการนิ่งเฉยเอาไว้และเดินผ่านกระแตไปโดยไม่พูดอะไร
“เป็นอีกคน ถามกะบ่ยอมตอบ” กระแตได้แต่บ่นอยู่คนเดียว
และแล้วมื้อเช้าของวันนั้นก็ผ่านไปท่ามกลางความทุลักทุเลในหัวใจของคนทั้งคู่ จนแม้นวาดกับกระแตก็ยังสังเกตเห็นว่าวันนี้ทั้งอินทัชและพิชชาอรดูทานข้าวด้วยกันเงียบๆผิดปรกติ จะว่าทะเลาะกันก็ไม่น่าใช่เพราะว่าแววตาทั้งคู่ดูหวานลึกซึ้งอย่างไรก็ไม่รู้
พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.ค. 2555, 13:52:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.ค. 2555, 13:52:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1127
<< ตอนที่ 6/2 | ตอนที่ 7/2 >> |