ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 7/2

ณ โรงแรมจุลภักดิ์
โชฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขกห้องกว้างพอที่จะให้คนนอนได้ถึงสองคน ซึ่งตอนแรกก็มีคนนอนอยู่คนเดียวแต่ตอนนี้กลับมีสองคนเสียแล้ว และเมื่อไกรวิทย์รู้สึกว่าต้นคอของเขาเหมือนถูกพาดด้วยอะไรบางอย่างทั้งเนื้อทั้งตัวรู้สึกอึดอัด ขยับเนื้อขยับตัวไม่ค่อยสะดวก จนในที่สุดชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว จำต้องลืมตาตื่นทั้งที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม เนื่องจากเมื่อคืนอยู่คุยกับทนายจนดึกดื่น
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย”ไกรวิทย์สะดุ้งร้องเสียงหลงเมื่อลืมตาตื่นมาแล้วพบว่ามีร่างบอบบางของเพื่อนสาวก่ายอยู่ข้างๆ แขนกลมกลึงของหล่อนก็พาดอยู่บนลำคอของเขาอย่างเหมาะเจาะและเมื่อเจ้าของร่างนั้นได้ยินเสียงนั้นก็สะดุ้งตื่นเช่นกันและก็พบว่าตัวเองนั้นกำลังกอดชายหนุ่มอยู่เต็มไม้เต็มมือ
“ว้าย! ตายแล้วอะไรเนี่ย นายแอบลวนลามเราเหรอไง ไกรวิทย์” รมณว่าพลางรีบดีดตัวลุกนั่งอยู่อีกฝั่งของโชฟา แต่ทว่าไกรวิทย์ก็ยังจ้องหน้าของหญิงสาวอย่างหาเรื่อง
“นี่มณ เธอคิดดีๆนะ เมื่อคืนคุณบดินทร์เขายกที่นอนตรงนี้ให้ฉัน ส่วนเธอเข้าไปนอนในห้องว่างตรงนั้นไม่ใช่เหรอ!” ไกรวิทย์พูดเตือนสติ รมณมองหน้าชายหนุ่มพลางเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจริงอย่างที่ไกรวิทย์พูด ที่นี่มีห้องว่างห้องเล็กอยู่ข้างๆห้องนอนของคุณทนายกับภรรยา ที่เธอได้อภิสิทธิ์นอนในห้อง ส่วนไกรวิทย์นอนที่โชฟาตัวใหญ่ อาจเป็นเพราะห้องนั้นอากาศร้อนหรือเธอละเมออย่างไรไม่ทราบทำให้ออกมานอนที่โชฟากับไกรวิทย์ได้จนกระทั่งเช้าเลย
“เออ จริงด้วย เราละเมอมาเอง แฮ่ๆๆ” รมณยิ้มแห้งกลบความขวยเขิน ไอร้อนจากใบหน้านวลจู่ๆก็เพิ่มขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ไกรวิทย์เองก็ลอบยิ้มเช่นกันแต่เป็นหลังจากที่เขาลุกขึ้นและหันหลังให้รมณแล้ว
“อ้าว! ตื่นกันแล้วเหรอคะ” เสียงทักทายดังขึ้นจากวรรณวิภา ศรีภรรยาของทนายบดินทร์ ที่หลบลี้หนีภัยตามสามีมาอยู่ที่นี่
“ครับคุณวรรณ ขอโทษด้วยนะครับที่พวกผมส่งเสียงดังรบกวน”ไกรวิทย์ออกตัวอย่างนอบน้อมเพราะรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้เขาร้องเสียงดังทีเดียว
“อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ เชิญตามสบายเลย พวกเราอยู่กันเงียบเหงา มีเสียงอะไรขึ้นมาบ้างก็ดูตื่นเต้นดีนะคะ” วรรณวิภาพูดตามความรู้สึกจริงของเธอเอง จากนั้นก็ยิ้มให้คนทั้งคู่
“เดี๋ยวทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วเชิญที่โต๊ะเลยนะคะ อาหารเช้าเสร็จแล้ว” สาวใหญ่กล่าวเชิญชวนอย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินจากไป ไกรวิทย์หันมามองรมณแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปเช่นกัน แต่แล้วก็ถูกรมณดึงแขนเสื้อไว้
“ฉันจะเข้าห้องน้ำก่อน” รมณบอกกึ่งบังคับทำให้ไกรวิทย์จำต้องถอยให้โดยดี
เมื่อทั้งคู่ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปยังโต๊ะอาหารที่ทางภรรยาของบดินทร์จัดอาหารเช้าไว้ให้ ทนายบดินทร์ในวัย 48 ปีรุ่นราวคราวเดียวกับภากรบิดาของพิชชาอร ได้คุยกับทั้งไกรวิทย์และรมณถึงที่มาของการมาพบเขาถึงที่นี่อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ว่าตอนนี้ทายาทเพียงคนเดียวของภากรกำลังเดือดร้อนเพราะน้ำมือของคนชั่วที่เห็นแก่ตัวหวังจะฮุบเอามรดกทั้งหมดทั้งที่มิใช่ของตน และพินัยกรรมที่ภากรเขียนไว้ก่อนตายนั้นอยู่ที่เขานี่เองเพราะตอนที่เขียนพินัยกรรมนั้นตัวเขาเองก็เป็นพยานอยู่ด้วย โดยพินัยกรรมนั้นทำไว้สองฉบับ ฉบับจริงภากรเป็นคนเก็บไว้ ส่วนสำเนาทนายบดินทร์เป็นคนเก็บไว้ แต่หลังจากที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของภากรได้ไม่นานตัวบดินทร์เองก็ถูกไล่ล่า อย่างหนักจนต้องพาครอบครัวหนีมาอยู่ที่นี่ เพราะทางฝ่ายนงลักษณ์นั้นรู้ดีว่า บดินทร์นั้นเป็นทนายประจำตระกูลเธอจึงไม่ต้องการให้เขาหายใจอีกต่อไป เพราะรู้ว่าหากทนายบดินทร์ยังอยู่ ความหวังที่จะได้ครอบครองทรัพย์สินนับพันล้านอาจไม่มี และนงลักษณ์ยังรู้อีกว่า หากมีพินัยกรรมก็คงไม่มีชื่อเธอหรือสามีและลูกของเธอเป็นชื่อผู้ได้รับมรดกแน่นอน เพราะเธอ สามี และลูกไม่มีใครเชื้อสายเดียวกับภากรเลย นงลักษณ์จึงต้องจัดการด้วยวิธีนี้ ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่เธอจะได้ครอบครองมรดกมหาศาลอย่างที่ต้องการ นงลักษณ์และพิพัฒน์จึงแจ้งต่อศาลว่าภากรเสียชีวิตกะทันหันและไม่ได้มีการทำพินัยกรรมใดๆ และผู้สืบสันดานหรือทายาทที่แท้จริงของภากรก็หายไปไม่มีใครพบ ดังนั้นพิพัฒน์จึงยื่นคำร้องต่อศาลโดยขอเป็นผู้จัดการมรดกทั้งหมด ซึ่งศาลก็อนุมัติเพราะไม่มีหลักฐานหรือใครใดๆๆมาโต้แย้งเลย
“ตอนนี้ป้าอ้วนแม่นมของทับทิมได้ร่วมมือกับนายนพพลลูกน้องของนงลักษณ์ที่แอบเป็นใส้ศึกให้กับพ่อเลี้ยงอินทัชที่ทับทิมอาศัยอยู่ตอนนี้ครับ”ไกรวิทย์อธิบายเพิ่ม
“พ่อเลี้ยงอินทัชเหรอ..” บดินทร์ทวนคำ ก่อนทำหน้าครุ่นคิด เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน
“ค่ะคุณอินทัชคือน้องชายบุญธรรมของคุณนงลักษณ์ ที่เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพี่สาวและยินดีจะช่วยเหลือเต็มที่ค่ะ” รมณขยายคำพูดของไกรวิทย์ให้กว้างเข้าไปอีก จนกระทั่งบดินทร์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“ตอนนี้คุณหนูทับทิมอยู่ในที่ปลอดภัยผมก็ดีใจด้วย ถึงแม้เธอจะโชคร้ายเรื่องคุณพ่อและเรื่องทรัพย์สินที่มีแต่คนปองร้ายแต่ผมว่าเธอโชคดีมากนะครับที่มีเพื่อนดีดีอย่างพวกคุณ”บดินทร์พูดออกมาจากใจจริงของเขาและรู้สึกนับถือในความกล้าหาญและความรักเพื่อนของเขาทั้งสองมากที่ทุ่มเทเพื่อเพื่อนรักขนาดนี้ และคำชมของเขาก็เรียกรอยยิ้มของทั้งคู่ได้
“ทับทิมเป็นเพื่อนที่ดีของพวกเรา และคอยช่วยเหลือพวกเราด้วยความจริงใจเสมอเธอมีน้ำใจกับทุกคน เป็นผู้หญิงที่น่ารักทั้งหน้าตาแล้วก็นิสัยเลยค่ะ เธอเป็นที่รักของเพื่อนทุกคนค่ะ ที่มหาลัยแทบไม่มีใครไม่ชอบเธอเลย ยกเว้นก็แต่พวกที่อิจฉาในความสวยของเธอซึ่งมีไม่กี่คนเท่านั้นแหละค่ะ” รมณกล่าวชื่นชมในความดีงามของเพื่อนด้วยความภาคภูมิใจ ทั้งบดินทร์และวรรณวิภาต่างก็ยิ้มและนึกเห็นด้วยในใจ แม้พวกเขาจะเคยเจอพิชชาอรไม่กี่ครั้งแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความน่ารักของเธอ
“และคราวนี้เพื่อนรักเรากำลังเดือดร้อน พวกเราก็ต้องช่วยเหลือเต็มที่ครับ”ไกรวิทย์พูดหนักแน่น ทนายบดินทร์ได้ยินดังนั้นเขาก็เอือมมือไปหยิบซองสีน้ำตาลขนาดเท่ากระดาษ เอ 4 ที่เขาเตรียมไว้ขึ้นมาชูขึ้น
“พินัยกรรมฉบับจริงนั้นผมไม่รู้ว่าคุณภากรเอาเก็บไว้ที่ไหน แต่ที่อยู่ในมือผมนี้คือพินัยกรรมฉบับสำเนาที่ผมเก็บรักษาอย่างดี และผมก็จะเปิดอ่านเมื่อผมอยู่ต่อหน้าคุณทับทิม คุณพิพัฒน์ คุณเลอลักษณ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นครับ” สิ้นคำบอกของทนายไกรวิทย์และรมณยิ้มให้กันอย่างดีใจที่พวกเขาได้พบพินัยกรรมเสียที คราวนี้ก็เหลือแต่การนำตัวคนผิดมาลงโทษ
“แล้วเรื่องการตายของคุณภากรล่ะครับ เรื่องนี้ผมคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้รับความยุติธรรมเลยนะครับ”ไกรวิทย์ย้ำถึงเรื่องการตายที่ไม่มีหลักฐานมามัดตัวว่าใครคือฆาตรกรซึ่งถูกสรุปอย่างง่ายๆว่าคือการฆ่าตัวตาย
“ครับ ตอนนี้ตำรวจยังไม่ได้สรุปคดีนะครับ แต่เขากำลังหาหลักฐานหรือพยานเพิ่มเติม ซึ่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์อาจเป็นคุณทับทิมที่หายไปก็ได้ ถ้าหากได้ตัวคุณทับทิมกลับมาให้ปากคำกับคุณตำรวจ คดีอาจจะพลิกก็เป็นได้”ทนายบดินทร์เล่าเท่าที่เขาพอรู้มาเพราะก่อนหน้านั้นเขาเองก็สืบเรื่องราวนี้กับตำรวจอยู่
“งั้นผมว่าพวกเราไปพาตัวทับทิมกลับมาดีกว่านะครับ ทุกอย่างจะได้คลี่คลาย”ไกรวิทย์สรุปอย่างใจร้อน แต่บดินทร์ยกมือห้าม
“คุณอย่าเพิ่งรีบร้อนไปเดี๋ยวทางคุณนงลักษณ์กับคุณพิพัฒน์จะรู้ตัวเสียก่อน ผมว่าให้คนของพ่อเลี้ยงนั่นน่ะส่งข่าวไปให้ทางพ่อเลี้ยงอินทัชก่อนแล้วให้เขาตอบกลับมาก่อนดีไหมว่าจะให้ความช่วยเหลือเราได้อย่างไร” บดินทร์ให้คำแนะนำซึ่งทุกคนที่ได้ฟังก็ต่างเห็นด้วยกับความคิดนี้

ณ ไร่บริรักษ์ศักดา
อินทัชกำลังเดินสำรวจบริเวณอาณาเขตที่ติดกับไร่สิรเวชที่ยังคงเป็นปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันมานานหลายปี
“ทำไงดีน้า..ตัวโฉนดที่ดินตรงนี้ก็หายไปพ่อก็ไม่รู้ไปเก็บไว้ที่ไหน”ชายหนุ่มรำพันกับตัวเอง แล้วเขาก็ได้ยินเสียงห้อม้าตะบึงเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มจึงหันไปดูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อำพลลูกน้องคนสนิทนี่เอง
“มีไรพล หน้าตาตื่นมาอีกแล้ว” อินทัชร้องถาม อำพลกระโดดลงจากหลังมาแล้วจึงบอกเจ้านาย
“มีแขกมาพบครับพ่อเลี้ยง เขาบอกมาจากสมาคมเกษตรกรไร่ชาน่ะครับตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับรองที่เรือนใหญ่แล้วครับ” ได้ยินแล้วอินทัชถึงกับสะดุดใจไม่น้อยที่อยู่ๆคนที่สมาคมมาหาเขาถึงที่ไร่ ไม่รู้ว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่รอช้ากระโดดขึ้นหลังม้าคู่ใจของเขาไปยังเรือนใหญ่ทันที
“แหม! ยังมาดเท่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะพ่อเลี้ยง”เสียงของหญิงเลยวัยสาวไปแล้วดังขึ้นทักทายทันทีที่เห็นชายหนุ่มย่างกรายเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม อินทัชหันไปแล้วต้องตะลึงด้วยความไม่เชื่อสายตาว่าประธานสมาคมจะมาเอง
“อ้าวคุณกนกรัตน์ สวัสดีครับ”ชายหนุ่มยกมือไหว้นอบน้อม กนกรัตน์ แม่ม่ายสาวใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสมาคมเกษตรกรไร่ชาต่อจากสามีที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานและเธอยังเป็นนักสังคมสงเคราะห์ชื่อดังของภาคเหนืออีกด้วย
“คุณกนกรัตน์มาถึงที่นี่ไม่บอกล่วงหน้า ผมเลยไม่ได้เตรียมอะไรมาต้อนรับเลย และก็ขออภัยด้วยนะครับที่แต่งตัวไม่เรียบร้อย” อินทัชออกตัวด้วยอาการอายนิดๆ ที่วันนี้ประธานสมาคมพบเขาในชุดชาวไร่แบบเต็มๆทั้งเสื้อลาย
สก็อตเก่าๆกางเกงยับยู่ยี่หน้าตาก็ค่อนข้างมอมแมมเหตุเพราะเขาเพิ่งไปช่วยคนงานลอกท่อที่ท้ายไร่มาเมื่อครู่นี้ ซึ่งปรกติแล้วเวลาไปที่สมาคมเขาจะใส่สูทและแต่งกายอย่างภูมิฐานจนสาวน้อยสาวใหญ่ที่สมาคมแทบใจละลาย
“โฮะๆๆๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากหรอก ว่าแต่พ่อเลี้ยงแต่งตัวอะไรก็ไม่น่าเกลียดหรอกนะคะ อย่างว่าแหละ คนหล่อใส่อะไรก็หล่อ” คำบอกปนชมของสาวใหญ่ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มได้เล็กน้อย
“แหมคุณกนกรัตน์ก็พูดไปผมน่ะ 35 ย่าง 36 แล้วนะครับแก่แล้วไม่หล่อเท่าไหร่หรอกครับ”อินทัชถ่อมตัวแต่เรียกเสียงหัวเราะจากคุณประธานสมาคมดังลั่น
“ใครว่าล่ะ ผู้ชายน่ะยิ่งแก่เขาว่ายิ่งหล่อนะ ไม่เหมือนกับผู้หญิงหรอก แก่แล้วก็แก่เลย ฮ่าๆๆๆๆ”อินทัชอดหัวเราะน้อยๆไปกับความช่างพูดของสาวใหญ่ไม่ได้ เธอช่างเป็นคนอารมณ์ขันเสียจริง
“เอ้านี่จ้ะ” เมื่อเลิกหัวเราะกนกรัตน์ก็ยื่นซองจดหมายสีขาวล้วนให้ชายหนุ่ม อินทัชจึงรับมาแล้วเปิดซองอ่านเนื้อความในจดหมายนั้น
“โอ้..นี่ผลิตภัณฑ์จากไร่ของผมได้รับรางวัลด้วยหรือนี่”อินทัชอุทานขึ้นหลังจากที่ได้อ่านเนื้อความในจดหมายที่บอกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไร่บริรักษ์ศักดานั้นได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ดีเด่นประจำจังหวัดของปีนี้
“ยินดีด้วยนะคะ พ่อเลี้ยง แต่ดิฉันไม่แปลกใจหรอกค่ะที่ผลิตภัณฑ์ของคุณจะได้รับรางวัล ก็ผลไม้แปรรูปแล้วก็น้ำชาของคุณอร่อยและมีคุณภาพออกอย่างนี้”กนกรัตน์ชมไม่ขาดปาก เรียกความภาคภูมิใจของชายหนุ่มได้อย่างดี และเขายังตื้นตันใจเป็นล้นพ้น ไม่เสียแรงที่เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีคุณภาพออกมา
“ผมดีใจมากเลยครับคุณกนกรัตน์”อินทัชบอกด้วยน้ำเสียงดีใจและยังคงอ่านข้อความในจดหมายนั้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยกลัวว่าอ่านผิดไปหรือเปล่า
“ค่ะ แล้วพ่อเลี้ยงก็อย่าลืมไปรับรางวัลและโล่ประกาศที่งานชาวไร่ชาวสวนประจำปีของพวกเราเกษตรชาวไร่นะคะ”กนกรัตน์พูดถึงงานประจำปีของเหล่าบรรดาคนเกษตรที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี กิจกรรมในงานก็คล้ายงานวัดทั่วไป มีการละเล่นต่างๆ มีร้านค้ามาออกบูทขายของซึ่งส่วนใหญ่เป็นของที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร และไฮไลท์ของงานคือการประกาศรางวัลต่างๆเพื่อเป็นกำลังใจแก่ชาวไร่ชาวสวนทุกคน ซึ่งอินทัชเองก็ให้ความร่วมมือกับงานนี้เป็นประจำทุกปีเช่นกัน
“แต่ปีนี้พิเศษหน่อยนะคะพ่อเลี้ยง”กนกรัตน์เกริ่นขึ้นมาทำเอาอินทัชเลิกคิ้วเข้มขึ้นด้วยความใคร่รู้
“มีอะไรพิเศษหรือครับ”



พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ค. 2555, 13:03:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2555, 13:03:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1311





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 7/3 >>
ตรีจิตร 19 ก.ค. 2555, 16:11:38 น.
รอติดตามคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account