พระพรหมสีชมพู
เรื่องพระพรหมสีชมพู เรื่องล่าสุดที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ

จะมีประเทศที่ติ๊ต่างขึ้นมาเองนะคะ ผู้แต่งให้ชื่อว่าประเทศกรีนนา

...เป็นเรื่องของสาวน้อยคนไทยที่ไปตามหาพี่ชายต่างสายเลือดที่เธอรักและหวงแหนมาก พอพี่ชายจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นเธอเลยยอมไม่ได้ ความบังเอิญจากอุบัติเหตุทำให้เธอเจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดีแห่งกรีนนา ที่ถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นของหล่อนก็คือพี่ชายต่างสายเลือดของแม่สาวน้อยคนไทยนี่เอง

เธอถูกจับมาเป็นตัวประกันชั่วคราวของเขา และอะไรไม่ซวยเท่ากับการที่จู่ ๆ เธอก็เกิดสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ได้ล่วงหน้าเหตุการณ์จริง 1 นาที จากแค่ตัวประกัน เลยกลับกลายเป็นต้องอยู่คอยคุ้มภัยเขาราวผูกตัวติดกันซะอย่างนั้น...

..."เมื่อพี่ชายของคุณเป็นคนทำให้ผมถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน คนที่น่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ก็เห็นที่ว่าคงต้องเป็นคุณซะแล้วแหละ แม่หนูน้อยหมวกแดง"

..."ไม่เอา...ปล่อยฉันนะ อีตาเฒ่าทารก"

..."ภายในสองเดือน ถ้าคุณทำให้พี่ชายของคุณถอนหมั้นกับแจนได้ ผมจะปล่อยคุณไป"

Tags: น่ารัก+บู๊เล็ก ๆ

ตอน: ตอนที่ 8 พระพรหมสีชมพู

ตอนที่ 8
เนรัญในชุดเดรสชมพูสีหวานยาวกรอมเข่าลับกับใบหน้าซึ่งแต่งแต้มสีสันอ่อน ๆ และผมถักเปียเก็บครึ่งศีรษะดูสวยหวานทั้งยังสดใสในเวลาเดียวกัน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่การิมลอบมองอย่างชื่นชมกับความใสน่ารัก แต่กระนั้นก็นึกหมั่นไส้ยามนึกถึงผู้ชายที่ทำให้เนรัญเสียเวลาแต่งหน้าแต่งตัวเป็นระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงเพื่อมาอวดโชว์ให้ดู ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นร่างบางเยื้องย่างกายออกมาจากห้องนอนเขาก็เผลอใจแกว่งแรงเอาการ จวบจนพาเธอมาถึงหน้าบ้านพักเอกอัครราชทูตไทย แล้วมองตามคนที่ดีใจเนื้อเต้นเดินจ้ำเท้าฉับ ๆ ลงจากรถจนชายชุดเดรสไหวไปตามแรงก้าวนั้น ก็ให้นึกใจหาย ราวกับไม่อยากจะให้เธอได้พบกับพี่ชายต่างสายเลือดของเธอเลย อยากจะพาเธอกลับไปกักขังไว้ในปราสาทหลังงามของเขาขึ้นมาตงิด ๆ

เรียวปากบางเคลือบสีชมพูใสที่คลี่ยิ้มกระจ่างมาแต่ไกล มีอันต้องหยุดชะงักงัน ฝีเท้าเล็กที่สาวก้าวถี่ตามจังหวะความตื่นเต้นของหัวใจก็พลอยยึดนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาโตวาวมีน้ำรื้นขึ้นช้า ๆ มือเรียวกุมกันไว้แน่นคล้ายจะสะกดเสียงครวญครางแหบสะอื้นไว้ให้ลึก ความรู้สึกของคำว่าคนนอกและส่วนเกินเข้าเกาะกินทั่วโพรงอก ทั้งยังสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมิอาจห้าม ด้วยภาพของสองร่างที่พัวพันกันอยู่เบื้องหน้า…

อ้อมแขนกำยำตวัดรัดร่างอ้อนแอ้นให้แนบสนิทกายแกร่ง หากแม้หญิงสาวในชุดพยาบาลจะดิ้นรนหนีจากอ้อมกอดมากเท่าไหร่ ทว่ากลับถูกดึงเข้าหาให้บดเบียดกายใหญ่ร้อนรุ่มขึ้นทุกขณะ เสียงหวานวอนร้องขอการปลดปล่อยพร้อมขยับหนีห่าง แต่ไม่พ้นพอขัดแรงกายกำยำพร้อมวงแขนแข็งแกร่งที่ฉุดรั้งโอบรัดไว้ได้แต่น้อย เรียวปากหนาร้อนราวกับโหยหาเร่งเร้าบดเคล้าปิดกั้นเสียงเว้าวอนให้กลืนหาย กันกริชไม่สนใจอาการดิ้นรนขัดขืนของหญิงสาวในอ้อมกอด ทั้งยังเบียดผิวกายร้อนใต้ผืนผ้าให้แนบแน่นความนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายมากขึ้น ผลักร่างสมส่วนของจารินรัตน์จนแผ่นหลังของหล่อนชิดติดกำแพงรั้วบ้าน ปิดกั้นทุกทางเพื่อไม่ให้หล่อนได้หลบหลีกจากจุมพิตซ่านทรวงของเขาได้เลย

คนที่ยืนมองกลั้นสะอื้นอยู่กะพริบตาถี่ไล่น้ำตาอุ่นให้ไหลเป็นทางตามพวงแก้มเย็นชืด บทพิศวาสของคู่หมั้นคู่รักบอกได้ดีทุกอย่าง ว่ามีเพียงพี่ชายของเธอที่เป็นฝ่ายรุกช่วงชิงจูบหวามหวานจากจารินรัตน์ฝ่ายเดียว ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะไม่ต้องการไม่ได้ยินยอมพร้อมใจสักนิด และเช่นนี้ถึงแม้เธอจะเข้าไปขัดขวางหรือสร้างเรื่องให้จารินรัตน์เข้าใจผิดเพียงไหน ก็คงไร้ประโยชน์อีกต่อไป เมื่อคนที่มีใจและคงหลงใหลคู่หมั้นคนสวยเอามากคือกันกริชพี่ชายของเธอเท่านั้น เนรัญยกมือปาดน้ำตาลวก ๆ แม้จะคิดได้แบบนี้ก็ตามที กระนั้นเธอก็ไม่อยากจะยอมแพ้และเสียพี่ชายสุดที่รักไป เธอยอมรับการสูญเสียในครั้งนี้ไม่ได้ เพราะนั้นหมายถึงคนที่สำคัญอันดับหนึ่งอย่างเธอจะต้องตกเป็นรองหรือไม่ก็หมดค่าในสายตากันกริชไปเลย มือเล็กเรียวกำหมัดแน่นจนปลายเล็บคมจิกเข้ากับฝ่ามือ เชิดหน้าขึ้นสูงประดุจกำลังจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงของรักที่สุดมาให้จงได้ นัยน์ตาแดงก่ำฉายทั้งแววหมองเศร้าและมุ่งหมาดในเวลาเดียวกัน ขาเรียวข่มความสั่นเกรงขยับก้าวออกไปอีกครั้ง หากเพียงแค่ครึ่งก้าวไม่ทันพ้น ไหล่บางก็ถูกดึงจากมือใหญ่อุ่นทางด้านหลัง ก่อนร่างอรชรจะถูกหมุนตามแรงและซุกซบหน้าเปียกชุ่มน้ำตาลงกับอกกว้าง รับรู้ถึงความอบอุ่นจากสองแขนที่รัดรั้งร่างกายสั่นเทาไว้มั่นคง

“คุณกำลังจะไปไหน จะไปทำลายความสุขของพวกเขาอย่างงั้นรึ” เสียงทุ้มดังก้องเข้าสู่โสตประสาท คุ้นหูอย่างที่ไม่ต้องเงยดูก็รู้ว่าคือการิม

“ใช่ซิฉันจะไปลากยายแจนมาให้คุณไง” ตะโกนอู้อี้อยู่กับอกแกร่ง สะอื้นถี่และปล่อยน้ำตาฟูมฟายยกใหญ่ ทั้งยังตัดพ้อต่อว่า “คุณเห็นใช่ไหม แล้วไม่รู้สึกรู้สาอะไรบางเหรอ คุณไม่เจ็บปวดหรือไงที่เห็น
ว่าที่เจ้าสาวจูบกับผู้ชายคนอื่น ทำไมไม่ไปลากตัวยายแจนของคุณมา”

“แล้วจะมีประโยชน์อะไร” เขาถามกลับเสียงเข้มลึก มองตรงไปยังภาพที่เขาแอบมายืนดูอยู่ก่อนแล้ว และเห็นเกือบจะเห็นพร้อม ๆ กับเนรัญเลยก็ว่าได้ แต่แปลกอยู่อย่าง ที่ความรู้สึกของเขาวันนี้กลับไม่มีคำว่าเสียใจหรือหงุดหงิดหัวเสียมากอย่างคราก่อนที่รู้ว่าจารินรัตน์มีคู่หมั้น อาจเป็นเพราะความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่าชอบได้ลดน้อยลงแล้วหลังจากได้ห่างไกลและทำใจ หรือเป็นเพราะว่าเขาเคยคิดไปเองว่าชอบผู้หญิงคนนั้น มันเป็นความเข้าใจผิดในความรู้สึกของตัวเองเช่นนั้นนะหรือ ?

“คุณเป็นผู้ชายนะยอมแพ้อะไรง่ายจัง” คนตัวเล็กยังคงร้องไห้และตะคอกเสียงใส่ชายหนุ่มแหบแห้ง “ทำอะไรสักอย่างซิ ทำซิ ฉันไม่อยากเสียพี่ตั้งไป”

ประโยคพูดท้ายสุดของหญิงสาว กลับทำให้การิมเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น ก่อนพูดเสียงเย้ยด้วยฉุนขาดประดุจว่ากำลังโกรธเจ้าหล่อน

“กัดปากกันไม่ปล่อยขนาดนั้น ไอ้พี่ชายของคุณคงยอมยกแจนคืนให้ผมง่าย ๆ หรอกนะ หันกลับไปดูพวกเขาใหม่ซิ จูบกันดูดดื่มรักกันปานจะกลืน คุณคิดว่าคุณกับผมยังมีความหวังอีกงั้นรึ”

“แต่...แต่ก่อนหน้านี้ คุณโกรธพี่ตั้งจะเป็นจะตายถึงกับลากฉันไปด้วยเพราะคุณรู้ว่าฉันเป็นน้องสาวเขาไม่ใช่เหรอ แล้ววันนี้ทำไมถึงยอมแพ้ ถ้ายอมตัดใจง่ายแบบนี้แล้วจะลากฉันไปทำไม ถ้าคุณไม่ลากฉันไปด้วยป่านนี้ฉันก็อาจกลับไปเมืองไทยกับพี่ตั้งแล้ว...”

“คำก็ไอ้ล่ำสองคำก็ไอ้ล่ำ คุณนี่มันก็งี่เง่าไม่ต่างจากผมหรอกนะ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำที่ยังตาบอด เห็นเต็มสองตายังจะหลงรักมันเข้าไปได้อีก” การิมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผลักร่างบางออกก่อนรวบแขนเล็กลากอย่างไม่ปรานีปราศรัย พลางตะคอกขู่ “ไปกับผม เลิกสนใจไอ้ล่ำซะ เลิกร้องไห้ด้วย”

“ไม่...ไม่ไป พี่ตั้ง...อุ๊บ !” การิมที่มองผ่านไปยังคู่รัก และเห็นว่าเจ้าของชื่อที่เนรัญเรียกผงะ หันมองตามเสียงแหลมของหล่อน เขารีบใช้มือปิดปากช่างส่งเสียงหนวกหูไว้แน่น ล็อกตัวกึ่งจูงกึ่งลาก สองเท้าเล็กปัดป่ายอยู่กับเพียงลมเมื่อคนตัวสูงกว่ายกร่างเธอให้ลอยขึ้นเหนือพื้น โดยไม่ให้เธอได้มีโอกาสหันมามองหญิงชายคู่รักได้อีก

++++++++++++++++++++

บนทางเท้าซึ่งปูด้วยบล็อกคอนกรีตสลับสีลายสวยบริเวณย่านร้านอาหารภายในเมืองกรีนนา เนรัญกระแทกเท้าเดินฉับ ๆ แทบกลายเป็นวิ่งตัวปลิว ยิ่งคนตัวสูงสาวเท้าตามมาติด ก็ให้นึกอยากจะวิ่งหนีไปเลยเสียจริง การิมเร่งฝีเท้าตามคนตัวเล็กซึ่งยามกรุ่นโกรธมาก ๆ อย่างเวลานี้ หลับหูหลับตาเดินไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมเลยก็ว่าได้ เขาเดินเลยขึ้นมาขวางทางเนรัญ แล้วเลือกที่จะฉีกยิ้มยียวนให้ แทนการใส่อารมณ์ร้ายอย่างทุกคราว

“คุณจะเดินหนีผมไปไหนเล่า ผมพาคุณมาหาอะไรกินนะ เลือกสักร้านซิชอบร้านไหน บรรยากาศดีอาหารอร่อยทุกร้าน เชื่อไกด์อย่างผมแล้วคุณจะไม่ผิดหวัง”

“ไม่ ! ฉันไม่หิว ไม่กิน ไม่อยากเห็นหน้าคุณด้วย ฉันจะกลับเมืองไทย ไปให้พ้นหน้าจากทุกคนเลย” เนรัญตวาดโวยวายหน้าตาแดงก่ำ โมโหนักคนที่ชอบลากเธอไปนั้นไปนี่จนทำให้เธอคลาดจากพี่ชายเสมอ เกลียดจารินรัตน์ด้วยที่แย่งกันกริชไป แล้วคนที่ทำให้เสียใจน้อยใจที่สุดก็คือกันกริช เพราะเขาจูบผู้หญิงคนอื่นให้เธอเห็น ทำให้เธออยากกลับไปบ้านซบอกบิดามารดาร้องไห้เสียจริง แต่ทว่าถ้าคิดให้ดีอีกที การที่เธอกลับไปอย่างผู้แพ้ บิดามารดาคงหัวร่องอหายให้กับเด็กดื้อด้านดื้อรั้นอย่างเธอเป็นแน่ ยิ่งคิดก็หัวเสียมองตายาว ๆ ของอีตาลุงบ้าก็พาลพาโล “หลบ ! ถ้าไม่หลบฉันจะกัดหูคุณให้ขาดเลย”

“หมาน้อยทำตัวอวดเก่ง ตัวเล็กแค่นี้มีแรงกระโดดถึงใบหูผมรึเปล่าก็ไม่รู้” มือใหญ่ขยี้กลางกลุ่มผมนุ่มจนยุ่งกระเจิง เนรัญปัดมือที่วางบนศีรษะกลมออกแรง ๆ พลางตวัดหางตาค้อนขวับ

“อย่ามายุ่งกับหัวของฉัน”

“เชอะ ! ผมก็เห็นไอ้ล่ำมันทำแบบนี้ ไม่เห็นคุณจะว่าอะไร ออกจะชอบด้วยซ้ำ”
คนถูกแขวะไม่โต้ตอบด้วยคำพูดหากขมวดคิ้วกริ้ว ค้อนวงใหญ่ไปอีกวง ก่อนเดินเลี่ยงผ่านร่างโปร่งไปต่อ

การิมพ่นลมหายใจพรืดราวเหน็ดเหนื่อยกับการเล่นบทพ่อแง่แม่งอน แต่กระนั้นก็ยังเดินตาม เขาอยากให้เธอใจเย็น ทั้งที่ในอกของเขาเองตอนนี้ยังคงงุ่นง่านไม่น้อย และถ้าเป็นเมื่อก่อน คนอย่างเขาไม่มีความอดทนกับการง้อผู้หญิงขี้งอนมากนัก แต่ว่ากับเนรัญรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยให้ตาย ที่ต้องเห็นหน้าบูด ๆ พร้อมคราบน้ำตาของเจ้าหล่อน

“ป่านนี้ใครต่อใครเขาคงนึกว่าผมกำลังง้อแฟนตัวเองอยู่แน่เลย ดูซิคนเขาพากันหันหน้ามาดูพวกเราเต็มหมดแล้วนะคุณ” ตะโกนไล่หลังบาง ก่อนรีบเร่งฝีเท้าใหญ่วิ่งเหยาะ ๆ ไปหาคนที่ชะงักกึก บางทีเธอคงอาจสะดุดกับคำพูดของเขากระมัง ถึงได้ก้าวขาเดินต่อไม่ออก “ว่าไงครับที่รัก หายงอนผมแล้วเหรอ” เขายังกระเซ้าเย้าแหย่ รวบเอวคอดแนบข้างกาย ก้มมองเสี้ยวหน้าที่เบือนหลบ การิมมองตามสายตาละห้อยของแม่สาวน้อยจนหยุดนิ่งอยู่กับสิ่งหนึ่ง เขาถึงได้รู้ว่าที่เธอหยุดเดินไม่ใช่เพราะด้วยคำพูดของเขาแต่อย่างใด ทว่าเธอกำลังเหม่อมองให้ความสนใจเค้กในร้านเบเกอรี่ต่างหาก

เฮ้อ ! เสียงถอดทอนใจยาวเหยียดดังออกมาจากปลายจมูกเล็ก น้ำตาที่เหมือนจะแห้งเหือดไปเมื่อนาทีก่อนพรั่งพรูกลับมาอีกครั้ง เธอแกะมือไม้แข็งที่จับเอวเธอออกช้า ๆ ลากเท้าเดินเอื่อย ๆ ไปยืนเกาะกระจกใสของร้าน ดวงตาชื้นน้ำมองดูเค้กหน้าตาสวยหลากหลายเรียงรายประดุจเด็กตัวน้อยที่อยากทานขนม

การิมมองตามอาการเศร้าสร้อยเงื่องหงอยของหญิงสาวไปสุดหางตา ก่อนจะรีบสาวเท้าตามติดมาหยุดยืนเคียงคู่

“โธ่เอ้ย...ที่แท้ก็อยากจะกินเค้ก แล้วก็ไม่บอกตรง ๆ ละครับ มายืนร้องได้ยังกับเด็กหลงทางไปได้ เอาซิเราไปดูข้างในร้านกัน เผื่อคุณกินของหวาน ๆ เข้าไปแล้วจะได้เลิกทำหน้าบูดหันมายิ้มหวานให้ผมบ้าง” พูดจบก็คว้าแขนเล็กดึง ข้างในร้านเบเกอรี่ที่ฉาบสีผนังเย็นตา อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมอบนานาชนิด ตากลมโตฉ่ำน้ำส่ายมองช้า ๆ สุดท้ายมาจบลงที่ใบหน้าคมคายซึ่งคลี่ยิ้มรอท่าอยู่ก่อนแล้ว เนรัญหวังใจจะบอกปัดแต่แค่เพียงขยับปาก ก็ถูกคนตัวสูงรีบชิงพูดขึ้นก่อน “ชอบกินอะไร ร้านนี้เขาดังนะ ผมเห็นพวกผู้หญิงทั้งเด็กทั้งแก่แห่กันเยอะทุกวัน ผมว่ารสชาติมันคงไม่เลวนักหรอก ดูจากหน้าตาก็สวยดี เสียดายที่ผมเป็นผู้ชายไม่สันทัดเรื่องของหวาน คุณเลือกเองแล้วกัน”

หญิงสาวหันกลับมามองตู้เค้กชั่งใจอยู่พัก อันที่จริงพวกมันน่าทานเกือบจะทุกก้อนเลย และทั้งที่คิดว่าจะปฏิเสธอยู่ก่อนแล้ว แต่พอเหลือบเห็นเค้กก้อนหนึ่งที่รูปร่างสวยงามราวกลีบกระทงจากดอกไม้รอบทั้งก้อนเค้กกลม เธอจึงเผลออ่านป้ายเล็ก ๆ

“ฟรุตโยเกิร์ตเค้ก” เรียวปากตกงอ ยามนี้ยกยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นเค้กก้อนสวยตรงหน้า

“ตกลงคุณเอาอันนี้นะ” คนยืนรอฟังอยู่แล้ว ชี้มือไปยังเค้กก้อนดังกล่าวทันที ไม่นานเกินรอพนักงานก็หอบกล่องเค้กที่จัดการแพ็คใส่ถุงซึ่งตีตราชื่อร้านเรียบร้อยส่งให้

การิมยื่นมือไปรับถุงเค้กมาหิ้วไว้ ขณะที่ฝ่ามือใหญ่อีกข้างดุนหลังบางให้เดินออกจากร้านเมื่อจ่ายเงินให้แก่พนักงานแล้ว แต่มือเล็กกลับกระตุกชายเสื้อทำให้เขาหันมอง สายตากลมใสออดอ้อนก่อนเอื้อนเอ่ย

“คุณขอเทียนเขาด้วยซิคะ”

“เอาไปทำไม จะกินเค้กยังต้องมีพิธีรีตองด้วยเหรอ” เขาเห็นหน้าสวยงอง้ำลงอีก เลยต้องยอมตามใจแต่โดยดี หันกลับไปบอกพนักงานในร้านขอเทียนแท่งเล็กมากำใหญ่ และเชื่อได้เลยว่านี่เธอเป็นคนแรกที่ใช้เขาให้ทำนั่นทำนี่ได้ ปกติไม่มีซะละที่คนอย่างเขาต้องทำตามใคร ถ้าไม่ใช่คุณปู่ออกคำสั่ง เขามีมาร์คมีบอดี้การ์ดและคนรับใช้ที่พร้อมใจจะปรนนิบัติพัดวีแทบจะเคยตัวด้วยซ้ำ

ชายหญิงเดินออกมาจากร้านเบเกอรี่ แค่ได้เค้กมาก็เหมือนอารมณ์โกรธของเนรัญจะเบาบางลงในบัดดล ราวกับเด็กที่ได้รับของเล่นถูกใจแล้วหยุดร้องไห้ไปเฉย ๆ ก็ไม่ปาน การิมลอบมองแล้วอมยิ้ม ระหว่างนั้นก็หันซ้ายแลขวาว่าจะพาเนรัญไปทานอาหารร้านใด แต่ด้วยสายตาคมกริบกลับไปเหลือบเจอดอกไม้ที่ร่วงโรยโปรยปรายมาจากชั้นสูงของร้านขายดอกไม้ซึ่งตั้งอยู่ในตึกบล็อกถัดไป และด้วยความอยากให้หญิงสาวอารมณ์แจ่มใสกว่านี้จึงคะยั้นคะยอพาเธอเดินไปยังร้านขายดอกไม้ร้านใหญ่ที่เห็นตรงหน้า

ทั้งสองก้าวไปใกล้จะถึงร้านขายดอกไม้ที่ว่าเต็มที หากแล้วเท้าเล็กก็ต้องขืนตัวหยุดยืนนิ่ง โสตประสาทอึงอลก่อนจะบังเกิดภาพราวมีใครกำลังเปิดจอสี่เหลี่ยมผืนใหญ่ในโรงภาพยนตร์ เธอเห็นภาพในสิ่งไม่คาดคิดอีกแล้ว เนรัญส่ายหน้าไล่สิ่งที่ไม่อยากรับรู้ออกจากสมองหวังให้หายแต่เปล่าเลยเมื่อมันกลับสว่างชัดมากขึ้น ผู้ชายปิดบังดวงตาใต้แว่นกันแดดอันใหญ่สีดำกับหน้ากากปิดปากสีดำเช่นกัน เขาคนนั้นคิดจะทำอะไรสักอย่างจากข้างบนดาดฟ้าของร้านขายดอกไม้
เขาอยู่ที่นั่น ! เนรัญมองขึ้นไปยังบนดาดฟ้าหากไม่เห็นร่างผู้ชายในภาพของส่วนสมอง ก่อนมองตามหลังใหญ่ของการิมที่ก้าวนำห่างไปก่อนทีละก้าว ทีละก้าว...เสียงเต้นของหัวใจดวงเล็กเร่งถี่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ เธอยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เธอเห็นมันไม่ใช่สัมผัสพิเศษมันเป็นแค่ความบังเอิญและคราวนี้มันจะไม่บังเอิญอีก การิมจะได้รู้สักทีว่าเขาเข้าใจผิด เธอหวังจะให้เป็นแบบนั้น ทว่าในเวลานี้เธอก็กลับนับถอยหลังไปพร้อม ๆ กับเข็มวินาที

เรียวปากบางยังปิดสนิทไม่ตะโกนเรียกหรือบอกการิมให้รู้ตัวล่วงหน้าอย่างทุกครั้ง นี่เธอกำลังจะทดสอบสิ่งเหนือธรรมชาติด้วยความเสี่ยงจากชีวิตของชายหนุ่ม จวบจนถึงวินาทีที่...

‘สิบ...เก้า...แปด...เจ็ด...’ ตากลมวาววาบยามเหลือบมองขึ้นไปยังดาดฟ้าอีกครั้ง คราวนี้ผู้ชายคนที่เธอเห็นก่อนหน้าปรากฏตัวขึ้นแล้ว เขากำลังลากบางสิ่งที่ใหญ่มากมาใกล้ขอบเหล็กกั้นดาดฟ้า เธอมองไม่เห็นว่าสายตาคู่ไกล ๆ นั้นจ้องมองที่ใครกัน แต่ถ้าสิ่งนั้นล่วงลงมาหนึ่งคนที่จะต้องบาดเจ็บหรือไม่ก็อาจถึงตายก็คือการิมแน่นอน

ผู้คนซึ่งไม่รู้เรื่องราวเดินขวักไขว่ไปมา เข้าออกร้านดอกไม้เป็นว่าเล่น แล้วถ้าสิ่งที่เธอเห็นกำลังจะคือความจริง หลายชีวิตต้องเจ็บหรือจบลงอย่างไม่สมควรแก่เวลา แต่ถ้าเธอแค่ตะโกนบอกออกไป แล้วเกิดไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อย่างมากเธอก็ถูกมองว่าเป็นคนบ้า

‘สี่...สาม...สอ...’

“ทุกคนระวังข้างบน...!!” เสียงแหลมวี๊ดร้องบอกดังสุดขีด สายตาของคนเกือบทุกคู่มองมายังเธอและรีบเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าด้านบนอย่างเนรัญบอก กระจกใสหนาแผ่นใหญ่ลอยลงมาจากดาดฟ้า ผู้คนแตกตื่นวิ่งอลหม่านหนีเจ็บหนีตายชุลมุนชุลเก

โครม ! เพล้ง !! กระจกตกกระแทกกับพื้นคอนกรีตแตกกระจายไม่เหลือสาก เศษบางส่วนกระเด็นบาดผู้คนที่วิ่งหนีได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน ยังโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีคนได้รับอันตรายมากกว่านี้
เนรัญยกมือปิดปาก นัยน์ตาแดงรื้นน้ำ สะเทือนในความรู้สึกผิดอย่างที่สุด ถ้าเธอบอกให้ไวกว่านี้อาจไม่มีคนต้องเจ็บเลยสักคนก็ได้ ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเขาต้องการอะไรกันแน่ พอนึกก็อดจะเงยกลับมองขึ้นไปยังดาดฟ้าอีกไม่ได้ และเธอก็พบว่าชายคนนั้นราวกับมองมาทางเธอ แม้ซ่อนดวงตาไว้มิดชิดแต่เธอรู้สึกว่าเขามองเธออยู่แน่ แถมยังพยายามส่ายหน้า ไล่เธอไปจากตรงนี้ ก่อนที่เขาจะหันหลังวิ่งหนีหายไปจากมุมเดิม

ร่างบางรวบรวมความกล้าหวังจะขึ้นไปกระชากหน้ากากผู้ร้ายใจมาร ทว่าเสียงร้องโอดโอยและมือใหญ่ที่เหนียวคว้าแขนเธอไว้ ขณะที่เธอเขย่งเก็งกอยกำลังเหยียบย่ำเศษแก้วให้น้อยที่สุดเพื่อจะเข้าไปยังในร้านขายดอกไม้ ทำให้หญิงสาวต้องหันมอง

“คุณการิม !” เนรัญรีบประคองคนตัวใหญ่ ที่ถูกสาวนักเรียนมัธยมวิ่งชนล้มพับกอดกล่องเค้กของเธอไว้แน่น เค้กมีสภาพคงดูไม่เหลือดี ไม่ใช่สิ่งที่เนรัญหวาดกลัว เธอกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บมากกว่า ตากลมตกตระหนักสำรวจทั่วกายของเขาอย่างร้อนรน ยามที่เขาเริ่มยืนขึ้นได้เต็มสองเท้า “คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม โดนเศษแก้วบาดตรงไหนบ้าง”

“ไม่” เขาตอบขณะที่มือก็ปัดเศษฝุ่นเศษแก้วชิ้นเล็ก ๆ ที่ติดตามเสื้อผ้าออก โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าตรงช่วงข้อศอกของเขาเป็นแผลยาวและมีเลือดซึม

“ไม่อะไรกัน นี่ไงเลือดเต็ม ๆ” เขายกข้อศอกขึ้นมองแวบเดียวตามนิ้วเรียวที่ชี้บอกอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนหรี่ตามองผ่านแสงแดดไปยังต้นทางสาเหตุของบานกระจกแผ่นใหญ่หล่นลงมา

“คุณตะโกนบอกแสดงว่าคุณรู้ แล้วทำไมถึงพึ่งบอก มีคนจงใจจะฆ่าผมให้ตายไปพร้อมกับคนพวกนี้ ทำไมคุณไม่บอกให้เร็วกว่านี้” สายตาที่ลดลงมองหน้าเธอเต็มไปด้วยความสับสน

“ฉะ...ฉันแค่ไม่แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ ขะ...ขอโทษนะคะ” ห่อไหล่ความรู้สึกหลายด้านทำให้เธอกล่าวคำขอโทษ ทั้งที่จริงมันไม่ใช่ความผิดของเธอแต่น้อย และยังคงคิดว่าถ้าบังเอิญการิมไม่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นี้ เธอเองจะสามารถมองเห็นหรือรับรู้ล่วงหน้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่นไหม

“ผมมั่นใจว่าต้องฝีมือคนเดิม มันอยากให้ผมตาย โดยไม่สนใจเลยว่าอาจจะทำให้คนอื่นต้องตายไปพร้อมผมด้วย คน ๆ นั้นทำทุกอย่างเพื่อแค่ให้ผมหายไปจากโลกนี้ได้ คน ๆ นั้นไร้ซึ่งหัวใจ ชั่วช้ามากกว่าสัตว์นรก !” เขาสบถเดือดดาล เป็นเวลาเดียวกับที่เหลือบไปเจอบางสิ่งซึ่งล่วงตกลงมาช้า ๆ บนพื้น
ชายหนุ่มเดินไปเก็บเศษผ้ายาว ๆ ลวดลายสีสันบ่งบอกว่าไม่ใช่ของผู้ชายทั้งแท่งแน่ มันสีเหมือนกับเคยเห็นที่ไหน ระหว่างที่ตาคมมองผ้าผืนในมืออย่างใช้ความคิด หลายคนที่อยู่ในร้านดอกไม้ก็วิ่งกรูออกมาดูอุบัติเหตุด้วย แต่ใครก็ไม่ได้สร้างความตกใจเท่ากับชุดบอดี้การ์ดและป้ายแขวนคอคุ้นตาที่วิ่งนำออกมาเคลียร์ทาง ก่อนที่ท่านประธานาธิบดีและสตรีหมายเลขหนึ่งจะเดินตามออกมา

“พ่อ โรสลีนา” การิมบดกรามแน่น กำผ้าในมือราวอยากให้แหลกกระจุย ย่างสามขุมไปขวางทางผู้ที่พึ่งออกมาจากร้าน พร้อมชูผ้าในมือใกล้ตามารดาเลี้ยง “รู้สึกจะเหมือนที่ผูกแขนเสื้อของคุณเลยนะ”
โรสลีนาก้มมองแขนเสื้อทั้งสองข้างหน้าเหวอ ข้างขวายังผูกเป็นโบว์สวยงามอยู่ทว่าข้างซ้ายหายไป “คุณเอาไปได้ยังไง”

“ผมมากกว่าละมั้งต้องถามว่ามันหล่นลงมาพร้อมกับไอ้กระจกบ้านี่ได้ยังไง หรือจะบอกว่ามีคนจงใจใส่ร้ายอุบัติเหตุครั้งนี้ว่าเป็นฝีมือคุณ” ตาคมกริบถลึงแทบทะลักจากเบ้า ตวัดมองบิดาซึ่งเอ่ยปากต่อว่าเขาขึ้นมาทันทีเช่นกัน

“เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโรสลีนา แกควรจะหุบปากได้แล้ว” บิดาเค้นเสียงเข้ม ไม่ต่างจากสีหน้าจริงจังแข็งกร้าว มองรอบ ๆ กายเห็นประชาชนชี้ชวนกันให้มองมาทางพวกเขา และมากกว่านั้นเริ่มจะมีนักข่าวและตำรวจทยอยมาดูเหตุการณ์

“ปกป้องกัน หรือว่าที่จริงแล้วพ่อก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วย ถ้าอยากจะฆ่าผมมากนักเพื่อสมบัติบ้าบอนั่น เอาเลยเชิญฆ่าให้ตาย แต่อย่าหวังว่าคนอย่างผมจะยอมถอย ตราบใดไม่ตายพ่อกับนังนี่ก็อย่าหวังได้สมบัติของคุณปู่แม้แต่ชิ้นเดียว”

ประธานาธิบดีส่ายตาเลิ่กลั่ก บุตรชายตัวดีกำลังจะสร้างความเสื่อมเสียมาสู่ท่าน เลยรีบออกปากไล่ “หุบปากฌานแล้วก็รีบไปจากที่นี่เลย แกอยากจะให้พ่อขายหน้าคนอื่นเขาใช่ไหม”

บุตรชายหันมองผู้คนรอบด้าน ก่อนจะจ้องเขม็งกร้าวประสานตาโกรธเกรี้ยวให้กับสายตาตกตื่นของโรสลีน่า ผู้หญิงที่เหมือนอสรพิษร้าย ซึ่งถ้าเขาไม่ตายหล่อนก็คงยังจะไม่คิดหยุดแผ่รังสีความเลวร้ายลง ชำเลืองมองบิดาอีกครั้งก่อนถากถางด้วยสายตาเหน็บแนมด้วยคำพูดว่า

“เชิญสร้างความดีรับเอาหน้าเต็มที่เลยนะครับ ประชาชนเขาจะได้ซาบซึ้งในน้ำใจ !” พูดจบก็หันไปคว้าข้อมือเนรัญลากตามเร็ว ๆ ร่างบางถลาก้าวไปตามแรงหากเธอก็ไม่ลืมที่จะก้มไปคว้าถุงเค้กที่นอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นติดมือไปด้วย

++++++++++++++++++++
ศาลาสีแดงบนหาดทรายขาว ณ บ้านพักชายทะเลนอกตัวเมืองของการิม

“คุณอยู่นี่เอง ฉันกับคุณมาร์คตามหาแทบแย่” เนรัญเดินมายวบตัวนั่งข้างชายหนุ่มพร้อมวางกล่องยาปฐมพยาบาลสีขาวลงตาม เอียงคอมองคนนั่งนิ่งหน้าตึงเครียด เห็นแววตาคมกริบคู่สีเทาลดความก้าวร้าวที่มีต่อบิดาและมารดาเลี้ยงเมื่อสองชั่วโมงก่อนลง ทว่านัยน์ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรวดร้าวหมองเศร้าเข้าแทนที่

การิมเลือกให้มาร์คขับรถพามาที่บ้านพักตากอากาศส่วนตัว โดยไม่แม้จะแวะทำแผลที่โรงพยาลก่อนเลย ตลอดการเดินทางมาถึงที่นี่เขาก็เอาแต่เงียบผิดกับการิมจอมโวยวายคนเดิม เนรัญแอบเห็นเงาน้ำตาลูกผู้ชายตัวโตที่ข่มไม่ให้ไหล เขาคงเสียใจมากเมื่อคิดไปว่าผู้เป็นบุพการีที่รักและเคารพมีส่วนรู้เห็นในการจะปลิดชีพก้อนเลือดก้อนหนึ่งอย่างเขาทิ้ง

มือเรียวเอื้อมไปแตะแขนใหญ่ของคนที่เบือนมองไปยังท้องทะเลสีคราม ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มจริงใจ “ทำแผลหน่อยนะคะ ปล่อยแผลเปิดนาน ๆ เกรงว่าเชื้อโรคจะเข้า”

“ไม่ต้องยุ่งกับผม คุณก็เป็นอีกคนที่อยากให้ผมตายไม่ใช่เหรอ เพราะว่าถ้าผมตายไป ชีวิตคุณก็คงไม่ต้องมาอยู่บนความเสี่ยง ได้กลับเมืองไทยไปกับไอ้พี่ชายของคุณ”

เสียงแข็งกระด้างหากแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้คนฟังสะท้อนในใจยิ่งนัก หน้าสวยซีดเผือดลงพลัน แม้ที่การิมพูดไม่ได้ถูกทั้งหมดแต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ใจเธอคิด ถึงได้เลือกจะตะโกนบอกเขาในนาทีสุดท้าย แต่ว่า...เธอแค่อยากจะกลับบ้านไม่เคยคิดอยากจะให้ใครตายต่อหน้าต่อตาสักหน่อย และพอมานั่งนึกตอนนี้รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ เห็นสายตาปวดร้าวของอีกฝ่ายยิ่งสงสารเพิ่มอีกเป็นเท่าทวี การิมคงกำลังเจ็บปวดหัวใจอย่างแสนสาหัสอยู่ก็เป็นได้ ที่เขารับรู้ว่าคนในครอบครัวไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย มิหนำซ้ำเธอที่เขาหวังพึ่งพาก็กลับคิดจะไม่ช่วยเหลือขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

เนรัญเลือกที่จะไม่ต่อคำหรือโกรธในสิ่งที่เขาต่อว่า หากดึงแขนใหญ่ข้างที่ถูกเศษแก้วบาดมาเช็ดคราบเลือด แต่การิมกลับรั้งกลับ

“คุณการิม เลือดยังซึมอยู่เลยนะคะ มันไม่แห้งแสดงว่าคงเข้าลึกอยู่ ถ้าคุณไม่ยอมไปหมอทำแผล คุณก็ให้ฉันทำความสะอาดแผลสักหน่อยก็ยังดี” ตามไปคว้าแขนข้างเดิมของเขาคืน มือนิ่มนวลพร้อมกับสายตากลมอ่อนโยนคล้ายมีความห่วงใย ทำให้คนตัวใหญ่ผ่อนแรงผละหนี แต่ปากก็ยังคงพึมพำตัดพ้อเธอไม่จบ


“เคยมีสักนาทีไหมที่คุณรู้สึกดีหรือห่วงผม ถ้าวันนี้ผมตายไปจริง ๆ คุณคงหัวเราะชอบใจมีความสุขใช่ไหม”

“พูดบ้าอะไรของคุณ ถึงคุณจะไม่ใช่ญาติพี่น้องของฉัน แต่คุณคือเพื่อนร่วมโลก ทุกชีวิตมีค่า ไม่ว่าจะคุณหรือใครตายก็เป็นเรื่องน่าเสียใจทั้งนั้นแหละ ฉันไม่ใช่คนไร้สติไม่มีหัวใจนะคุณถึงจะได้หัวเราะคนที่ตาย” น้ำเสียงที่ปลิวมาพร้อมลมชายทะเลไม่ได้เบาหวิวหากหนักแน่น สบตาคู่คมกริบที่รอทีจ้องสบอยู่แล้วปราดหนึ่ง ก่อนรีบก้มทำแผลให้เขาต่อเพราะสายตาเขม็งตรึงแค่ดวงหน้าเรียว สร้างความหวิวหวามให้หัวใจคนถูกมอง เนรัญเก็บอุปกรณ์และยาใส่กลับเข้ายังกล่องสีขาวหลังจากทำแผลให้การิมเสร็จ ก่อนจะอุ้มกล่องปฐมพยาบาลแนบอก ขยับตัวลุกยืนแล้วบอกเขาว่า “คราวนี้จะนั่งอยู่ที่ศาลาพักใจต่อจนมืดจนค่ำก็ไม่มีใครว่า เชิญใช้เวลาส่วนตัวตามสบายค่ะ”

หญิงสาวประสานตากับดวงตาคมวาบวับ ซึ่งนัยน์ตาสีเทาของการิมไม่ได้มีความหมายว่าขอบคุณหรือซาบซึ้งที่เธอช่วยทำแผลให้ แต่สายตานั้นราวกับมีมนต์ดึงให้เธอจ้องลึกลงไปอย่างไม่มีทางเบือนหนี ประกายเสน่หาร้อนที่ฉายจากเขาสู่เธอทำร่างบางร้อนวูบวาบได้อย่างน่าแปลก

มือใหญ่เอื้อมมาจับมือบางเย็นเยียบกุมไว้ สายตายังไม่ทิ้งหายจากดวงตาสุกสกาววาวสวย เสียงที่เปล่งจากริมฝีปากหนาแผ่วเบา “ผมอยากจะมีใครสักคนที่รักผมอย่างจริงใจ...”

“เออ...ฉันจะขึ้นไปช่วยคุณมาร์คในครัว อาหารเย็นคงเป็นอะไรง่าย ๆ หวังว่าคุณคงกินได้ไม่เกี่ยงนะคะ” เธอปัดเรื่องพลางดึงมือออกจากเขารวดเร็ว สาวเท้าเดินตัวปลิวขึ้นบันไดที่ทอดยาวถึงตัวบ้าน และหายไปนานกว่าครึ่งชั่วโมง

ด้วยเหตุใจจูงใจไม่ทราบได้ แต่ที่สุดเนรัญก็กลับลงมาตามการิมอีกรอบ เธอรู้ว่าเวลาที่คนเราโดดเดี่ยวอยู่ลำพังในขณะที่หัวใจอ่อนแรงและเจ็บปวดมันน่ากลัวมากแค่ไหน ด้วยความปรารถนาดีกระมังทำให้เธอไม่อยากให้เขานั่งห่อเหี่ยวอยู่คนเดียวนานไปกว่านี้ คราวนี้เธอมาพร้อมกับกล่องเค้กในมือ วางมันลงกับเก้าอี้ข้างชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะนั่งยอง ๆ อยู่ด้านล่าง ปักเทียนที่ตั้งใจถือมาด้วย พร้อมจุดติดไฟ

การิมมองนิ่งงุงงง แสงประกายไฟสีส้มจากเทียนไขอันเล็กสวยแข่งกับตะวันดวงใหญ่ที่กำลังเลื่อนลงลดลับกับผิวน้ำ แต่ทั้งสองสวยสู้ประกายความงามและรอยยิ้มหวานที่จุดอยู่ใต้แสงเทียนยามนี้ไม่ได้เลยสักนิด เขาหัวใจเต้นแรงหรี่ตามองดวงหน้าสวยเปื้อนยิ้มไม่คลาดคลา

“คุณทำอะไร”

“ก็ชวนคุณกินเค้กไง ถึงมันจะเละไปหน่อย แต่ฉันแอบชิมมาแล้วนะ ว่ารสชาติอร่อยมากไม่ได้เละเทะเหมือนหน้าตาตอนนี้หรอก” หันมายิ้มตาใสใส่ตาคู่คมกริบที่ยังคงฉงนไม่หาย “ก็เผื่อว่าบางทีการกินอะไรหวาน ๆ ลงไปจะทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นไง”

“แล้วทำไมต้องจุดเทียน” ชายหนุ่มนิ่วหน้ามอง อยากจะคิดว่าเด็กน้อยหาเรื่องเล่นอะไรไปตามประสา แต่ถึงยังไงเธอก็ไม่ได้เด็กขนาดที่ชอบเล่นอะไรแบบนี้หรอกมัง

“เอาเถอะน่า...ฉันชอบจุดก่อนกินเค้กทุกครั้งนั้นแหละ มันให้ความรู้สึกที่ดี” เธอตอบ ขณะที่ก้มมองแสงเทียนจากเค้ก คนที่จ้องจับตาอยู่กับการกระทำแปลก ๆ สังเกตเห็นรอยยิ้มพร้อมแววตาใสเศร้าลง เนรัญกลืนน้ำลาย สูดลมหายใจลึก เกลี่ยนิ้วเรียวไปกับขอบตาล่างลวก ๆ ก่อนหันมาปั้นยิ้มกว้างกับคนที่นั่งเหนือศีรษะอยู่บนเก้าอี้ “อีกอย่างร้องเพลงด้วยนะ ร้องจบถึงจะกินได้ เอ้า...คุณก็ช่วยร้องด้วยสิ”

“เหอะ ! ไม่เอาหรอก ผมไม่ใช่เด็ก ขนาดวันเกิดผม ผมยังไม่คิดอยากจะเป่ามันด้วยซ้ำ”

หญิงสาวหลุบตาเศร้าหมอง ฝืนยักไหล่คล้ายไม่ยี่หระ “ก็แล้วแต่คุณ ฉันร้องคนเดียวก็ได้” พูดจบเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ก็ดังขึ้นตามท่วงทำนองสากลคุ้นหูไปเรื่อย ๆ จวบจนท่อนสุดท้ายที่เสียงหวานแหลมแผ่วลงและแทนที่คำว่ายูเป็นมี แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูมี...

ก้อนสะเอื้อนไหลเลื่อนขึ้นมาจุกลำคอ น้ำตาแห่งความน้อยใจที่พยายามข่มไว้พรั่งพรูเป็นสาย มือเรียวสองข้างกุมปิดดวงตา ไม่อยากให้คนที่เธอคิดจะมาปลอบใจได้เห็น แต่มันห้ามไม่ไหวแล้วจริง ๆ เนรัญทรุดตัวนั่งกับพื้นศาลามือยังคงกุมหน้าไว้มิดไหล่บางสั่นสะท้านตามแรงสะอื้นในลำคอ วันเกิดทุกปีเธอมีครอบครัวมีกันกริชร่วมอวยพร มีรอยยิ้มและความอบอุ่นไม่ห่างหาย แต่วันนี้ครบยี่สิบปีเต็มเธอจะเป็นหญิงสาวเต็มตัว พี่ชายแสนรักแสนหวงกลับหลงลืม ไม่มีแม้แต่ข้อความส่งผ่านมาให้

“เฮ้ย ! คุณเน่ย์ คุณเป็นอะไรของคุณ” ชายหนุ่มที่นั่งกลัดกลุ้มเรื่องตัวเองอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งปั้นหน้ายากตามอารมณ์แม่สาวน้อยไม่ถูก ถ้าเขาได้ยินเพลงที่เธอร้องจบไปไม่ผิดเพี้ยนและเดาตามอาการของเธอที่เห็น วันนี้เนรัญคงไม่ได้อยากทานเค้กธรรมดาเป็นแน่ แต่ด้วยสาเหตุแท้จริงที่หญิงสาวเสียน้ำตาเขารู้ไม่แน่ชัด เลยไม่แน่ใจว่าควรจะปลอบจากจุดไหนก่อน หันไปเจอครีมเค้กจึงเลือกที่จะใช้นิ้วชี้ใหญ่ปาดป้ายติดมา แล้วเรียกให้เธอเงยหน้าขึ้น “นี่อยากกินเค้กก็กินซิคุณ ก้มหน้าก้มตาทำไม” โน้มตัวใช้มือข้างที่ว่างดึงมือเรียวออกจากหน้า หวังป้ายครีมเค้กให้ติดแก้มใส แต่ระหว่างที่นิ้วป้ายครีมในมือลงกับพวงแก้มข้างหนึ่งไปแล้ว ก็ต้องตกใจที่เห็นหยาดน้ำตาเป็นทาง ร่างโปร่งลุกจากเก้าอี้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหญิงสาวอย่างรีบร้อน ช้อนคางมนให้เงยสบตา “คุณร้องไห้ทำไม ?”

“ฉัน...ฉันแค่...” ก้อนแข็ง ๆ ที่จุกแน่น ทำให้เปล่งเสียงพูดต่อไปได้ ส่ายหน้าปฏิเสธแทนคำพูด การิมเคลื่อนสายตาทั่วดวงหน้าแดงระเรื่อ ทั้งคราบน้ำตาทั้งครีมเค้กที่เขาหวังแกล้งเธอยามนี้เลอะเปรอะเต็มสองพวงแก้ม เขาเริ่มมั่นใจว่าสิ่งที่คาดเดาน่าจะเป็นตามนั้น

“สุขสันต์วันเกิด” ริมฝีปากยักลึก เลื่อนมากระซิบแนบขมับเล็ก “วันนี้วันเกิดคุณใช่ไหม ผมขอโทษนะ ที่ทำให้วันดี ๆ กลับกลายเป็นวันแย่ ๆ ผมไม่น่าพาคุณออกไปพบกับเรื่องแย่ ๆ พวกนั้นเลย” เห็นคนตัวเล็กนั่งสั่นสะอื้น ก็ราวกับเขาจะทนเห็นไม่ไหว การิมดึงร่างบางเขามากอดไว้ด้วยสองแขนอุ่น นี่เขา...ต่อว่าเธอไปมากแค่ไหนแล้ว หนึ่งในความเสียใจให้เธอมีน้ำตาตอนนี้ คงเกิดขึ้นเพราะเขาด้วยใช่ไหม
คนที่ร้องไห้พอถูกปลอบก็กลับกลายเป็นฟูมฟายหนักขึ้นเรื่อย ๆ แขนเล็กสอดรั้งกายแกร่งเข้าหา ซบหน้าเปียกชื้นกับไหล่กว้าง

“พี่ตั้ง...พี่ตั้งลืม...เขาลืม...วันเกิดฉันแล้ว” เสียงขาดห้วง บอกความเสียใจปนน้ำตา แม้ยากลำบากที่จะพูดแต่เธอก็อยากจะปลดปล่อยความอัดอั้นใจให้หมด “ไม่เคยมีสักปีที่เขาลืม เขามีคนอื่นที่รักมากกว่า ฉันเลยกลายเป็นคนไม่สำคัญ...”

การิมอึ้ง นี่เธอไม่ได้เสียใจให้กับคำพูดต่อว่าของเขาเลยรึนี่ แต่ยามนี้คำพูดของเธอกำลังคล้ายดังเศษแก้วที่บาดลึกกรีดเจ็บกลางอก ช่างแปลกเหลือเกิน ที่เธอมีอิทธิพลมากขนาดที่ทำให้ความเจ็บนี้มันเกิดขึ้นได้กับเขา

ชายหนุ่มผลักร่างเล็กที่ซุกอยู่กลางอกออกห่างช้า ๆ สบตาเธอนิ่งราวกับหยั่งลึกก่อนเอ่ยเสียงเบาหวิว “คุณช่วยเลิกรักเขาได้ไหม เลิกรักเขาเถอะนะ...แล้วให้ผมรักคุณเอง”

ตาแดงก่ำเบิกค้าง กับคำพูดที่ไม่คิดว่าน่าจะได้ยิน เห็นชัดว่ากลีบปากหนาคล้อยต่ำมาหาพวงแก้ม จรดจูบเบา ๆ หากรู้สึกถึงความอุ่นที่ทาบซับน้ำตาแทนมือ ก่อนเรียวปากที่เริ่มร้อนจะย้ายมาประกบแนบกับกลีบปากบางสั่นเทา จุมพิตนี้ช่างอ่อนโยนกว่าครั้งไหน ๆ และแม้เนรัญพยายามจะบอกตัวเองให้ผลักไสและหักห้ามใจไม่ให้หลงใหลไปกับจูบวามหวานของเขาแต่เหมือนร่างกายเธอไม่เชื่อฟังแถมยังสะท้านวาบหวามซึมแทรกถึงกลางใจ ก็คนที่ช่วงชิงจูบแรกคือเขา พร้อมกันนั้นเขาก็เป็นคนสอนบทสวาทให้เด็กอย่างเธอเรียนรู้ นาทีนี้ก็ยังคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ดื่มด่ำความหวานจากกลีบปากแสนหวงแหนไปจากเธอ

มือเรียวยึดเกาะไหล่กว้างทั้งสองเมื่อร่างกายเริ่มอ่อนระทวย และคล้ายกำลังจะละลายซึมลงไปกับพื้นที่นั่งอยู่ แม้ร่างกายไม่หลบหลีก หากเนรัญยังท่องเตือนตัวเองว่า สิ่งที่เขามอบให้มันไม่ใช่เรื่องจริง...และเธออย่าได้หลงเชื่อกับคำแค่บางคำของเขา

‘ขอร้องละหัวใจ อย่าใจอ่อนให้เขาเลยนะ’
รอยจูบอบอุ่นคลอเคลียเรียวปากบางเนิ่นนาน ก่อนการิมจะยอมถอนห่างอย่างอ้อยอิ่งไม่ต่างกับดวงตะวันที่ตกลับ หายลงสู่ใต้แผ่นผืนทะเล เขาคลี่ยิ้มจาง ๆ ดีใจที่หญิงสาวรับจุมพิตนี้อย่างเต็มใจ ไม่ต้องปลุกปล้ำโหยหาแต่เพียงผู้เดียว

“เค้กร้านนี้รสชาติเค็มปะแล่ม ๆ จัง” กระซิบเย้ากับปากเล็ก ซึ่งกำลังจะก้มงุดหลบหนี หากมือใหญ่ตามไปตรึงคางมนไว้แน่น ก่อนพูดเสียงแผ่วซ่านต่อ ฉบับที่คนฟังหน้าร้อนอยากวิ่งหนีอายลงทะเลไปเลย “คุณรู้ไหม ว่าจูบของคุณเหมือนน้ำแข็ง มันทำให้ความโกรธร้อนในใจผมเย็นลง ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนในร่างกายของผมที่มันรุ่มร้อน คับแน่นจนอึดอัดทรมานบ้างก็เถอะ แต่ผมก็ชอบจูบของคุณนะ”



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ค. 2555, 17:57:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ค. 2555, 18:03:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1585





<< ตอนที่ 7 พระพรหมสีชมพู   ตอนที่ 9 พระพรหมสีชมพู >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account