เล่ห์รักชีคร้าย เปลี่ยนชื่อเป็น 'เมียบำเรอรักชีค'(สนพ.สมาร์ทบุคตีพิมพ์)
เจ้าชายเอเดียล มกุฎราชกุมารแห่งรัฐอัลดูซาร์ เกิดมาตกหลุมรักในเสน่ห์ของสาวน้อยชาวไทยนามว่า 'จันทร์เจ้า' เข้าเต็มเปา ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้องต้องการ อุปสรรคกี่มากน้อยเท่าไร เขาก็จะต้องพาเอาตัวเธอข้ามน้ำข้ามทะเลกลับอัลดูซาร์ไปด้วยกันให้จงได้ แม้ว่าสาวน้อยคนที่ว่า จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธ ในความต้องการของเขาเท่าไรก็ตาม...
Tags: ชีค สาวชาวไทย ทะเลทราย เจ้าชาย

ตอน: อัลดูซาร์ (ต่อ)

ตอนที่ 18 อัลดูซาร์ (ต่อ)

“พวกเขาทำยังไงกันหรือคะ ถึงปลูกผักท่ามกลางทะเลทรายแบบนี้ได้”
จันทร์เจ้าถามทันทีที่ถูกส่งขึ้นบนหลังม้าตัวใหญ่อีกครั้ง มาถึงตอนนี้ หญิงสาวไม่ค่อยจะตะขิดตะขวงหรือคอยแต่จะแสดงอาการไม่พอใจในอันที่จะมีเอเดียลนั่งซ้อนประกบอยู่ด้านหลังอีกต่อไปแล้ว จะว่าเธอเริ่มชินแล้วก็คงได้
“แปลงผักที่เธอเห็น ไม่ได้ถูกปลูกอยู่บนผืนทราย แต่ข้างใต้เป็นดินที่ทั้งจาวจ์และหนุ่มๆ อีกหลายคนในหมู่บ้าน ออกไปหาขุดแล้วก็อดทนแบกกลับเข้ามา”
“ดินหรือคะ” หญิงสาวทวนคำเขา ยังเกร็งตัวเล็กน้อย ในยามที่เจ้าม้าผู้แข็งแรงเริ่มจะขยับเดิน
“ใช่ แต่มันอาจจะไกลสักหน่อยนะ เวลาไปกลับทั้งหมด รวมแล้วก็สี่ห้าวันได้”
“เดินทางด้วยเท้ากันหรือยังไง มันถึงได้ใช้เวลานานมากมายขนาดนั้น”
จันทร์เจ้าพูดประชด รู้สึกเห็นใจชนเผ่าบาคา และก็ไม่คิดว่าคำตอบของเขาจะเป็นว่า...
“ถูกแล้ว ก่อนหน้านี้ คนที่นี่ต้องเดินเท้าไปบนผืนทะเลทรายที่กว้างใหญ่อีกเป็นร้อยๆ กิโลเมตร เพื่อที่จะได้ดินมาแค่พอเพาะปลูกอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่หมู่บ้าน”
“โธ่...น่าเห็นใจจังเลยนะคะ แค่ที่จันทร์เห็นอยู่ตอนนี้ ทะเลทรายก็กว้างใหญ่จนไม่รู้จะยังไงแล้ว นี่จะต้องเดินกันไปถึงไหนต่อไหนบ้างก็ไม่รู้ เราไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือคะ”
เอเดียลส่ายหน้า หากก็อธิบาย
“มันไม่ใช่ว่าจะต้องเดินกันทุกวันตลอดเดือนตลอดปีเสียที่ไหน ไปครั้งสองครั้งก็ได้พอที่จะเพาะปลูกพืชกินกันในครัวเรือนได้บ้างแล้ว ที่สำคัญ ระยะหลังมานี้ ซีราห์กับฟาฮัดก็ให้คนขนใส่หลังอูฐเข้ามาให้อยู่เรื่อยๆ”
“อ้อ...แล้วน้ำล่ะคะ พวกเขาเอาแหล่งน้ำที่ไหนมารดต้นไม้แล้วก็ดื่มกินกัน”
“เดิมที พวกชนเผ่าบาคาแล้วก็เผ่าอื่นๆ ที่อยู่กระจัดกระจายโดยรอบ ก็อาศัยน้ำจากแหล่งธรรมชาติอย่างโอเอซิสที่เราเพิ่งจะเดินทางผ่านกันมานั่นล่ะ เธอก็เห็นว่ามันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไร”
เอเดียลบอก พร้อมกับบังคับม้าให้เร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด แต่ยังได้ยินเสียงม้าอีกสี่ห้าตัวค่อยควบตามหลังมาอย่างสม่ำเสมอ เขายังนึกดีใจ ที่หลักแหล่งของชนเผ่าบาคามีลักษณะคล้ายเนินดินที่มีพื้นแข็งในระดับพอควร เพราะอย่างนี้ ถึงมีทางที่ม้าจะสามารถย่ำไปได้อย่างไม่ต้องอาศัยอูฐเป็นพาหนะแต่เพียงอย่างเดียว
“แล้วน้ำในแอ่งเท่านั้นจะพอหรือคะ แล้วต้องเทียวกี่รอบกัน”
“เรื่องพอก็คงจะไม่ค่อย แต่โครงการที่ฉันลองคิดขึ้น แล้วสั่งให้เขาทดลองเอาน้ำจากทะเลสาบเหนือเขื่อนมาใช้ แถมน้ำที่ใช้ ก็ยังสามารถส่งไปปรับสภาพแล้วก็ส่งเข้าเขื่อนหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่มันประสบความสำเร็จ ทำให้ปัญหาเรื่องน้ำสำหรับประชาชนในดินแดนทั่วทั้งแถบนี้บรรเทาลงไปได้มาก การแก่งแย่งกันในเรื่องแหล่งน้ำไม่เคยมีให้เห็นอีกตั้งแต่นั้น”
หลังนิ่งฟังอย่างตั้งใจ จันทร์เจ้าก็ว่า
“คุณเก่งจริงๆ เลยค่ะ เอาเป็นว่าคนส่วนใหญ่ในแถบนี้ได้ประโยชน์ แล้วก็รอดพ้นจากความเดือดร้อนไปได้แบบไม่ยากเย็นอะไร แล้วชนเผ่าเล็กๆ แบบบาคาล่ะคะ พวกเขาอยู่ห่างไกลมามากขนาดนี้ ย่อมต้องมีปัญหาแน่”
“เธอเห็นอะไรโน่นไหมล่ะ” คนพูดพยักเพยิดไปเบื้องหน้า
“ไหนคะ...แล้วนี่เราเดินทางออกมาไกลจากหมู่บ้านแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ มองไปทางไหนก็ทะเลทรายหน้าตาเหมือนๆ กันหมด อย่างนี้เราจะทำยังไง ไม่หลงทางแย่เลยหรือคะ”
“ไม่พาเธอหลงให้เสียชื่อหรอกน่ะ คนที่ใช้ชีวิตในทะเลทราย เขาจะใช้วิธีนับจำนวนสันทราย ทั้งใช้ในกรณีที่หาทิศทางที่จะไป หรือไม่ก็มันก็จะช่วยบอกได้ว่าเราเดินทางมาไกลกันแค่ไหนแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น จันทร์เจ้าก็เกือบจะต้องถอนลมหายใจเฮือกด้วยความท้อแท้ เธอว่า
“งั้นก็คงจะต้องเป็นคนที่มีความชำนาญกันจริงๆ เท่านั้น เพราะถ้าให้จันทร์นับตอนนี้ ก็คงจะยังงง ไม่ได้คำตอบอะไรอยู่เหมือนเดิมนั่นล่ะค่ะ ไม่รู้เขามีหลักหรือว่าจุดสังเกตตรงไหนกัน”
“เอาไว้วันหลังจะสอนให้”
เสียงทุ้มมีเลศนัยดังขึ้นชิดริมหู จะบังเอิญหรือโดยตั้งใจก็ไม่รู้ ที่ริมฝีปากบางของคนพูดค่อยแตะเฉียดฉิวลงกับใบหูบาง หากเมื่อหญิงสาวโยกตัวหนี เขาก็กลับตามมากดจุมพิตลงตรงเต็มแก้มนุ่มนั่นเสียเต็มเหนี่ยว
“เจ้าชาย!” จันทร์เจ้าหันขวับ
“อะไร” เสียงนั้นไม่รู้ไม่ชี้
“ก็...คุณทำอะไรจันทร์ล่ะคะ”
“หอมแก้ม” เอเดียลตอบหน้าตาเฉย
“เอ๊ะ! คุณนี่”
“ก็เธอถาม”
“จันทร์ห้ามต่างหากล่ะคะ”
หญิงสาวเสียงแหลมเข้าใส่ หากฝ่ายที่นั่งกระหนาบชิดหลังยังพูดเรื่อยๆ
“ประโยคคำถามเห็นๆ”
“ก็...ก็นั่นล่ะค่ะ”
“ตกลงเธอถาม ไม่ใช่ห้ามนะ”
คนว่ามือไวใจเร็ว เพราะพอพูดเสร็จ ก็ยังมีหน้าแถมขโมยหอมฟอดใหญ่ไปยังแก้มนวลนั่นอีกข้าง คราวนี้จันทร์เจ้าแทบจะกรีดเสียงเข้าใส่
“เจ้าชาย!”
“อะไรอีกล่ะ” เอเดียลหัวเราะขันอย่างชอบใจ
“ทำไมถึงได้คอยแต่จ้องจะหาโอกาสเอาเปรียบกันอย่างนี้ล่ะคะ”
“ก็ถ้าขอตรงๆ แล้วจะยอมให้ดีๆ หรือเปล่าล่ะ”
ฟังเถอะ ฟังเขาพูดจาเข้า จันทร์เจ้าโมโหจนหัวจะหมุนอยู่แล้วนะนี่
“โอ๊ย! คนอะไรอย่างนี้กันนะ”
“จุ๊ๆ เบาหน่อยเถอะจันทร์เจ้า พวกซีราห์ ฟาฮัด พากันมองมาเป็นตาเดียวแล้ว”
“ดีสิคะ เขาจะได้รู้กันให้หมดเลยว่าจริงๆ แล้วคุณน่ะเป็นยังไง” หากว่าแล้วก็นึกขึ้นได้
“อ้อ...แต่อันที่จริง ใครๆ เขาก็คงรู้กันดีอยู่แล้วทั้งนั้น มีแต่จันทร์ละมัง มาทีหลัง เลยยังเพิ่งจะได้เห็นมาดเจ้าชู้ไก่แจ้ของเจ้าชายอาหรับกับเขาเอาก็ตอนนี้”
“เห็นแล้วเป็นยังไง ชอบมั้ย”
“ไม่มีผู้หญิงที่ไหนจะชอบผู้ชายเจ้าชู้หรอกค่ะ” หางเสียงนั้นสะบัดสูง
“กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น”
“แต่นั่นก็ไม่ใช่จันทร์แน่ๆ”
เจ้าตัวยืนยันหนักแน่น ลูกคางเล็กๆ เชิดสูงขึ้น และอาการนั้นล่ะ ที่เรียกรอยยิ้มจากปากบางเฉียบของเอเดียลได้เป็นอย่างดี
“ดูท่าทางเธอจะมั่นใจเสียเหลือเกินนะ”
“แน่นอนสิคะ ก็จันทร์รู้จักตัวของตัวเองดีนี่”
การโต้เถียงเสียงดังสลับขึ้นๆ ลงๆ ของทั้งสองฝ่าย ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในสายตาของบรรดาผู้ติดตาม โดยเฉพาะซีราห์กับฟาฮัด สององครักษ์มองหน้ากัน ก่อนฝ่ายหนึ่งจะชักม้าเข้ามาเทียบใกล้ๆ
“ดูๆ ไป ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ท่านว่ามั้ย”
“นั่นสิ เจ้าชายรัชทายาท กับผู้หญิงสาวคนแรกที่ทรงโปรดให้เธอขึ้นนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกัน ตั้งแต่เกิดมา ท่านกับข้าเคยเห็นเสียที่ไหนกันเล่าท่านซีราห์” ฟาฮัดว่า
“ท่านอยู่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทมานาน ก็ต้องรู้ใช่ไหม ว่าเจ้าชายไม่ทรงโปรดอะไรที่ได้มาง่ายๆ”
ซีราห์ตั้งข้อสังเกตลึกซึ้งลงไป ทว่าข้อนี้ฟาฮัดไม่เห็นด้วย
“คิดไกลเหมือนจาวจ์อีกคนแล้วท่าน คุณจันทร์เจ้าเธออาจจะยากกว่าหลายๆ คนที่เคยผ่านมาก็จริง แต่ข้าว่าคงจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเร็ววันนี้หรอก เลิกคุยก่อนเถอะ โน่น...รีบตามเสด็จให้ทันดีกว่า ดูเหมือนเราจะทิ้งช่วงมากไปหน่อยแล้ว”

และเมื่อม้าย่างพ้นลงจากเนินกว้างใหญ่ จันทร์เจ้าก็ได้เห็นพุ่มไม้สีเขียวไหวๆ อยู่ข้างหน้า หญิงสาวรู้สึกดีใจราวกับไม่เคยพบเคยมันเห็นมาก่อนในชีวิต
“เดิมทีก็รู้อยู่นะคะ ว่าต้นไม้สำคัญกับชีวิตมนุษย์เรายังไง แต่คิดไม่ออกจริงๆ ว่ามันจะมีความหมายยิ่งใหญ่ขนาดไหนในดินแดนที่แห้งแล้งทุรกันดารอย่างที่นี่ จนกระทั่งได้มีโอกาสมาเห็นด้วยตาตัวเองนี่ล่ะค่ะ”
“ตรงนั้นเป็นบ่อน้ำ” เอเดียลชี้ให้ดู รอบๆ บริเวณกรวดดินแข็งๆ บางแห่งฉ่ำแฉะไปด้วยแอ่งน้ำโคลนสีส้มข้นคลั่ก
“ลงมาดูอะไรสิ”
เขาชวน ก่อนจะรับร่างของเธอให้ลงเดิน แล้วปล่อยม้าทิ้งไว้ให้กับเหล่าบรรดาผู้ติดตามไว้ดูแล
“บ่อน้ำจริงๆ ด้วยค่ะ แต่เอ๊ะ! มันมีท่ออะไรอยู่ตรงนี้ด้วยนะ”
“โครงการที่ฉันคิดขึ้นยังไงล่ะ เมื่อหลายสิบปีก่อน...แผ่นดินตรงนี้เคยประสบภัยน้ำท่วมหนัก และจากนั้นมันก็แห้งขอด จนแม้กระทั่งน้ำสักหยดก็แทบจะไม่มีให้ได้เห็น ชาวบ้านที่นี่ต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้น้ำมาใช้ดื่มกินประทังชีวิตกันไปในแต่ละวัน พวกเขาใช้วิธีขุดบ่อ ตรงจุดที่คิดว่าน่าจะมีน้ำขังหรือไหลผ่านอยู่ข้างใต้ และท้ายที่สุด หลังจากความพยายามอย่างสาหัสนั้นผ่านพ้นไป...”
“เป็นยังไงหรือคะ พวกเขาเจอธารน้ำอย่างที่หวังกันหรือเปล่า”
ไม่ใช่แค่ถาม แต่จันทร์เจ้ายังภาวนา ขอให้โชคชะตาและสภาพภูมิประเทศไม่โหดร้ายกับคนที่นี่จนเกินไปนัก
“เจอ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ธารน้ำแบบที่เธอว่า แต่แค่น้ำโคลนสีขุ่นๆ ก็ทำให้ชาวบาคามีความหวัง”
“แล้วตอนนั้นคุณทำยังไงต่อล่ะคะ”
“ตอนนั้น...ฉันก็...”
สีหน้าและแววตาของคนพูดมีแววรำลึก ค่อนไปทางอารมณ์ดีมีความสุขเสียล่ะมาก จันทร์เจ้านิ่วหน้าไม่เข้าใจ พสกนิกรของตนกำลังเดือดร้อนอดอยาก ไหงผู้ที่มีฐานันดรสูงศักดิ์อย่างเจ้าชายรัชทายาท ถึงได้เอาแต่ยิ้มแย้มมีความสุขอยู่เฉยๆ ได้
“ว่ายังไงล่ะคะ จันทร์กำลังรอฟังอยู่นะ”
“ก็ตอนนั้นฉันยังเด็ก เพิ่งจะเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในอังกฤษ ยังไม่ใช่เจ้าชายรัชทายาทอย่างที่เธอกำลังรู้จักอยู่ในตอนนี้”
“อ้าว อย่างนั้นหรอกหรือคะ”
ฝ่ายที่รับฟังออกจะผิดหวังเล็กๆ ถ้าเอเดียลไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วใครกันที่จะช่วยเหลือพวกกลุ่มชนเผ่าที่ว่า เจ้าเหนือหัวของชาวอัลดูซาร์ เสด็จพ่อของเอเดียลงั้นหรือ เมื่อคิดหาคำตอบไม่ได้ ลงท้ายจึงได้แต่นิ่งฟังเขาเล่าต่อไปด้วยความตั้งใจ
“เวลานั้นฉันยังใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป มันมีความสุข แล้วก็สนุกในแบบที่คงจะไม่มีทางได้เจอเป็นแน่ หากว่าวันๆ ยังเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในราชสำนัก”
“จันทร์ทราบแล้วค่ะ แล้วจากนั้นล่ะคะ” เจ้าชายเอเดียลมองดูความเวิ้งว้างว่างเปล่ารอบๆ กายอย่างช้าๆ
“หลังจากที่ฉันเรียนจบ แล้วก็กลับมาช่วยแบ่งเบาภาระของท่านพ่อในเรื่องของราชการงานเมือง คำว่าเจ้าชายรัชทายาท...มันเป็นเหมือนกับทั้งตราประทับแต่งตั้ง ซึ่งมาพร้อมกันกับหน้าที่และแรงขับให้ฉันต้องลุกขึ้นมาคิด พร้อมกับลงมือทำทุกอย่าง ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อราษฎรชาวอัลดูซาร์ของฉันทุกคน ชาวเผ่าบาคาและชนกลุ่มน้อยอีกหลายพวกที่แทบจะถูกลบลืมไปในชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นปัญหา ที่จะต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนาให้ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเร่งด่วน”
“เอ่อ...แล้ว ทำไมก่อนหน้านั้น ชีคฮิบรานถึงไม่...”
สาวไทยอึกอัก อยากจะถาม แต่ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่พูดลำบาก
“ไม่ใช่ว่ารัฐบาลกับท่านพ่อจะทรงละเลยเรื่องของชาวเผ่าหรอกจันทร์เจ้า อัลดูซาร์อาจจะเป็นรัฐเล็กๆ ก็จริง แต่มันก็มีปัญหาในเรื่องของความไม่ทั่วถึงได้เหมือนกันน่ะ เหตุผลก็เพราะว่าในขณะเดียวกันนั้น ความเจริญเติบโตทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ การศึกษาและอะไรหลายๆ อย่างในสังคมเมือง มันทำให้ท่านพ่อแทบไม่มีเวลาเหลือเป็นส่วนพระองค์เลยก็ว่าได้”
“อ้อ...จันทร์เข้าใจแล้วค่ะ นั่นก็หมายความว่า หลังจากที่คุณกลับมาแล้ว ชนเผ่าที่อยู่ห่างไกลออกมาถึงได้รับการเหลียวแลและเอาใจใส่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใช่ไหมคะ”
“มันก็ใช่ แต่ถึงยังไงเราต้องยอมรับกฎของธรรมชาติด้วย ปัจจุบันเรายังไม่สามารถจะทำอะไรได้มากไปกว่าที่เธอเห็น แต่ก็ถือว่ามันทำให้ชีวิตของชาวเผ่าบาคาดีขึ้นจากเดิมไม่น้อยเลย ส่วนเจ้าท่อที่เธอเห็นอยู่นี่...”
เจ้าของคำพูดย่อตัวลงแตะมือกับวัตถุท่อนยาวที่กำลังพูดถึง
“ฉันลองให้คนขุดลึกลงไปในชั้นใต้ดิน บางจุด เราพบว่ามีทางน้ำเล็กๆ ไหลผ่านจริงๆ พอหลังจากขุดดูหลายๆ จุด ก็ได้แหล่งน้ำตามธรรมชาติที่น่าจะพอน้ำไปใช้ประโยชน์ได้”
“คุณก็เลยให้คนต่อท่อพวกนี้ เพื่อจะเชื่อมบ่อที่มีน้ำให้ไหลผ่านทุกจุดเข้าหากัน และจากแหล่งน้ำขุ่นๆ เล็กๆ เราก็ทำให้มันรวมตัวกันขึ้น จนกลายเป็นการรดน้ำต้นไม้ในระบบน้ำหยดที่ประหยัด แต่ก็ได้ผลล่ะ”
จันทร์เจ้าลำดับและสรุปความเข้าใจของตนเองให้เขาฟัง
“เก่งนี่ แล้วพอจัดการเชื่อมต่อทางน้ำไหลเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เราก็ยังมีการสร้างโอเอซิสขึ้นมาอีกต่อนึง”
“สร้างโอเอซิส?” เป็นอีกครั้งที่สาวไทยตาโตอย่างคิดไม่ถึง
“งั้นสิ ในเมื่อมันไม่ยอมเกิดเองตามธรรมชาติ เราก็สร้างมันขึ้นมาเองเสียเลย ตรงโน้นไง...”
คนพูดชี้มือไปยังทิศทางใกล้ๆ กับบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านของชนเผ่าที่เพิ่งจะออกกันมา
“ตรงที่จันทร์เห็นว่าเผ่าบาคาเขาปลูกอินทผลัมกันน่ะหรือคะ”
“ถูกต้อง และตอนนี้อินทผลัมก็กลายเป็นไม้ผลที่สร้างรายได้ให้กับชาวเผ่าได้มากทีเดียว”
คราวนี้ รอยแย้มสรวลอย่างภาคภูมิของเจ้าชายรัชทายาทปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัด
“ดีจังเลยนะคะ คุณนี่เป็นเจ้าชายนักคิดนักพัฒนาที่เก่งมากจริงๆ จากผืนดินผืนทรายที่แห้งแล้งแทบไม่มีอะไรเปรียบ คุณกลับพลิกมันให้กลับกลายเป็นที่อยู่แล้วก็ที่ทำกินของคนนับร้อยนับพันได้ จันทร์ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครๆ ถึงทั้งรักและเทิดทูนคุณ ไม่ใช่เพราะแค่คุณคือมกุฎราชกุมารหรือเจ้าชายรัชทายาทแห่งอัลดูซาร์เท่านั้น โดยเฉพาะจาวจ์ แววตาของเขามันบอกได้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรเลย”
“ใต้ฝ่าพระบาท...”
หนึ่งในองครักษ์ของเจ้าชายเอเดียลปรากฎตัวขึ้นใกล้ๆ
“มีอะไรซีราห์”
“ตอนนี้ที่หมู่บ้านกำลังจะเริ่มงานกันแล้วพะย่ะค่ะ”
“เริ่มแล้วหรือ...” คนถามเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ราวกับจะกะดูเวลา
“งั้นก็ไปบอกทุกคนให้เตรียมตัวเดินทางกลับหมู่บ้านกัน”
“พะย่ะค่ะ” จันทร์เจ้ามองตามหลังซีราห์ ก่อนจะหันกลับมาหาคนที่ลุกมายืนอยู่ใกล้ๆ
“ที่หมู่บ้านจะมีงานอะไรกันหรือคะ”
“ถือว่าวันนี้เธอโชคดีนะจันทร์เจ้า เพราะงานที่ว่านี่ ต้องนับไปร่วมปีโน่นล่ะ ชาวเผ่าบาคาเขาถึงจะจัดกันเสียครั้งนึง ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ไม่ไปดูเสียหน่อยก็น่าเสียดายนะ”

ไม่ถึงชั่วโมงดี ที่เจ้าชายเอเดียลพาจันทร์เจ้ากลับมาสู่หมู่บ้านของชาวเผ่าอีกครั้ง เวลานี้เริ่มจะเคลื่อนเข้าสู่บรรยากาศในยามบ่ายคล้อย แสงอาทิตย์ที่ทอประกายจัดจ้า ชนิดที่ว่าแทบจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้มอดไหม้นั่นค่อยเคลื่อนดวงเพื่อเตรียมจะล่วงลับลง จันทร์เจ้าจับตาดูผู้คนในวัยตั้งแต่สิบห้าถึงห้าสิบปีที่กำลังยืนตั้งแถวเป็นแนวขนาน ชายแถวหนึ่ง ส่วนหญิงก็อีกแถวหนึ่งอย่างสนอกสนใจ
“นี่พวกเขาไปทำอะไรกันมาคะ”
ครู่เดียว หญิงสาวก็ต้องสะกิดถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงสัย ทำไมผู้คนในหมู่บ้านถึงได้ลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตาให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนกันไปหมดแบบนี้
“เขาก็แต่งตัวสวยหล่อ เพื่อที่จะรอมาร่วมงานที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี่น่ะสิ”
“สวย...หล่อ...หรือคะ?” แน่ล่ะ จันทร์เจ้าต้องงง
“งั้นสิ ที่เธอเห็นสีสันมากมายบนหน้าตาของชายชาวบาคานั่นก็คือโคลนสีที่ได้มาจากทะเลทราย แล้วก็ขนนกนั่นเธอคงจะรู้จักอยู่แล้ว”
“ค่ะ ขนนก โคลนสี เท่านั้นยังไม่พอ ตามเนื้อตัวก็ยังวาดเส้นสีขาวๆ จนด่างดวงลายพร้อยเต็มไปหมดเลย ส่วนผู้หญิง...โอ้โห ต่างหูตั้งห้าห่วงเลยนะคะนั่น อะไรจะหลายใจเท่านี้ เลือกเอาสักอันสองอันไม่ได้เชียวหรือคะ ดูสิ...แถมทุกคนยังใส่เหมือนกันหมดเลย” คนช่างสังเกตชี้ชวน เสียงทุ้มจึงหัวเราะอย่างชอบใจ
“งานจะเริ่มแล้ว เธอคอยดูให้ดีล่ะ”
จบคำพูดของเอเดียล สองแถวแนวขนานระหว่างหญิงชายก็หันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างส่งสายตาเย้ายวนชวนเชิญ มีการตบไม้ตบมือ ตีกลองร้องเพลงเป็นภาษาอะไรที่เธอฟังไม่เข้าใจ แต่ดูท่าทางทุกคนในหมู่บ้าน ช่างล้วนแล้วแต่มีความสุข
“อ้าว...แล้วสองคนนั่นเขาจะไปไหนกันหรือคะ” จันทร์เจ้าเผลอชี้มือตาม
“พอได้คู่แล้ว เขาก็ต้องอยากหาเวลาไปมีความสุขส่วนตัวกันน่ะสิ”
เจ้าชายหนุ่มทรงตอบเรื่อยๆ
“ได้คู่...มีความสุขส่วนตัว นี่หมายความว่า...งานนี้เป็นพิธีเลือกคู่อย่างนั้นหรือคะ”
“ดูมาตั้งนาน เพิ่งจะรู้หรือไงสาวน้อย”
ไม่แค่ตอบด้วยวาจา ทว่าสายตาของคนพูดก็เจ้าชู้กรุ้มกริ่มกับเธอเอาการ จันทร์เจ้าเลยค้อนให้
“ก็คุณไม่ได้บอกจันทร์นี่คะ แล้วดูนั่นสิ คุณป้าคนนั้น...” เอเดียลมองตามที่เธอบอก แต่เขากลับว่า
“ไม่ว่าจะอายุเท่าไร หรือเคยมีใครมากี่คนแล้วก็ไม่สำคัญหรอก เพราะธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเผ่าบาคา ทั้งชายและหญิง สามารถที่จะทิ้ง หรือเลิกรากับคู่ซึ่งตนไม่ปรารถนาแล้วมาเลือกเฟ้นหาคู่ครองคนใหม่ที่ถูกตาต้องใจกว่าในทุกๆ หนึ่งปีได้ ไม่ผิดประเพณี”
“ว่ายังไงนะคะ!” สาวไทยตาโต
“แย่ที่สุดเลย จันทร์...ไม่ชอบพิธีหรือธรรมเนียมแบบนี้เลยสักนิด”
ร่างเล็กบางผุดลุกขึ้นยืนจากตั่งที่นั่ง หากเอเดียลฉุดข้อมือเอาไว้ได้ทัน
“ไม่เคยได้ยินภาษิต เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามบ้างหรือยังไงจันทร์เจ้า”
“ใครจะหลิ่วไม่หลิ่วหรือจะยังไงก็เชิญเถอะค่ะ จันทร์คนนึงที่จะไม่อยู่ดูด้วยหรอก”
จันทร์เจ้าว่าอย่างโกรธๆ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธอะไรมากกว่ากัน ระหว่างธรรมเนียมประเพณี กับพวกผู้คนชนเผ่าที่ยึดถือปฏิบัติกันมาร่วมสิบร่วมร้อยปี
“ทุกอย่างมีความหมายแล้วก็ที่มานะ ไม่นั่งลงแล้วก็ดูให้จบเสียก่อนล่ะ บางที...มุมมองหรือทัศนคติที่เธอมี อาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทันทีที่งานเลิกก็ได้ ใครจะรู้”
“ไม่มีทางค่ะ” สาวไทยยืนยันเสียงสะบัด
“ไหนว่าเป็นครู ทำไมหัวดื้อ”
“เรื่องอะไรคุณมาว่าจันทร์”
คนเถียงแผลงฤทธิ์ไม่ถนัด เพราะเอเดียลเองก็กำลังจ้องมา เขาขู่ว่า
“นั่งลงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากให้ฉันจับเธอเข้าไปยืนในแถวด้วยอีกคน”
“ไม่นะคะ จันทร์จะไม่ยอมทำอะไรอย่างนั้นเด็ดขาด”
หญิงสาวสั่นหน้าจนลูกผมที่ตกระข้างแก้มปลิวสยาย
“ขู่เล่นไปอย่างนั้นล่ะน่า ใครจะยอมให้เมียตัวเองไปเลือกอยู่กับผู้ชายคนใหม่ได้ล่ะ”
“เจ้าชาย!” หญิงสาวตกใจ ก็ผู้คนรอบข้างตั้งมากมาย ใครจะคิดว่าเขาจะกล้าพูด
“นั่งลงเถอะจันทร์เจ้า พวกนั้นมองกันใหญ่แล้ว”
เธอแลกวาดสายตาตามที่เขาว่า ไม่ผิดทีเดียวล่ะ ทั้งซีราห์ ฟาฮัด สองนางกำนัล รวมทั้งองครักษ์และผู้ติดตามคนอื่นๆ ต่างก็พากันมองมาตาแป๋ว เพราะอย่างนั้น ร่างบางจึงค่อยยอมทรุดตัวกลับลงนั่งข้างเขาอย่างเดิม...นานๆ เธอถึงจะเปรยขึ้นครั้ง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าจะยังมีเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ในโลกด้วย”
แต่เอเดียลยังไม่พูดว่าอะไร เขาอยากให้เธอได้ตั้งใจดูต่อไปมากกว่า เวลาผ่านไป...แดดรา ฟ้าเริ่มครึ้ม ใกล้มืดค่ำเข้าไปทุกขณะ และจำนวนเหล่าบรรดาชายหญิงหลายสิบคนตรงลานกว้างด้านหน้าก็เริ่มจะบางตาลงไปเรื่อยๆ...
“เอ๊ะ...แล้วผู้ชายคนนั้น...ทำไมเขาถึงได้กลับออกไปคนเดียวล่ะคะ”
เธอพูด พลางชี้มือไปอีกด้าน
“ก็เพราะว่าผู้หญิงคนที่เขาหมายปอง ได้เลือกคู่ครองเป็นชายคนอื่นไปแล้วน่ะสิ”
“แต่ก็ยังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่อีกตั้งหลายคนไม่ใช่หรือคะ งานยังไม่จบเสียหน่อย อ้อ...หรือนี่คุณกำลังจะบอกจันทร์ว่า...”
สาวไทยทำน้ำเสียงและสีหน้า ราวกับว่าเธอเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ใช่แล้วจันทร์เจ้า พิธีหรือธรรมเนียมปฏิบัติจะเป็นยังไงก็ตามแต่ แต่มันเปลี่ยนใจคนที่มีรักแท้ไม่ได้หรอก ผู้ชายคนนี้มาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในการเลือกคู่ถึงสามครั้งติดกัน ทุกครั้ง...ผู้หญิงคนที่เขามีใจให้ไม่เคยเลือกเขา แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ ยังคงตั้งหน้าตั้งตารอคอยเวลาทุกๆ หนึ่งปีให้เวียนมาบรรจบใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง...”
“แต่เขาก็ผิดหวังอีกจนได้ แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ เธอเลือกผู้ชายคนเดิมทุกปีหรือเปล่า หรือว่า...เปลี่ยนคนใหม่ไปเรื่อยๆ เหมือนคนอื่นๆ”
จันทร์เจ้าถาม ท่าทางดูไม่ชอบใจ เอเดียลเองขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะบอก
“จากที่ได้ยินฟาฮัดเล่ามาอีกต่อ ผู้หญิงคนนั้น...เลือกชายในแต่ละครั้งแบบไม่ซ้ำหน้า แต่บางคนก็ไม่ค่อยจะดูแลเอาใจใส่เธอสักเท่าไร ส่วนบางคน แรกๆ ก็ดี แต่หลังๆ ก็เกียจคร้าน ไม่ยอมทำงานทำการ หนำซ้ำยังมีการลงไม้ลงมือให้ได้เจ็บตัวกันเสียอีกด้วย”
“โธ่เอ๊ย...แล้วเธอไม่รู้หรือยังไง ว่ายังมีใครอีกคนที่รักแล้วก็อดทนรอมาเสมอ บางที จันทร์ก็ไม่เข้าใจผู้หญิงเหมือนกันนะคะ คนที่ควรจะรักควรจะเลือกก็ไม่ยอมเลือก เฮ้อ...ยิ่งพูดก็ยิ่งสงสารผู้ชายคนนั้น ทำไมนะ เขาถึงไม่ยอมไปกับผู้หญิงคนอื่นที่มองเห็นค่าของตัวเองเสียที ชีวิตจะได้มีความสุขกับเขาขึ้นมาบ้าง”
“ความรักก็อย่างนี้ ถ้าลงตัวหรือไม่มีอุปสรรคอะไรเสียเลย มันก็ไร้รสชาติขาดสีสันแย่น่ะสิ”
สาวไทยหันขวับไปหาเจ้าชายรัชทายาท เธอกดเสียงเล็กให้ต่ำลง
“สีสันหรือคะ จันทร์ว่ามันเป็นความเจ็บปวดต่างหาก ถ้ารักแล้วไม่สมหวังเสียทีแบบนี้”
เธอมองตามแผ่นหลังของร่างที่เดินไหล่งอคองุ้มนั่นไปด้วยความรู้สึกที่เกือบจะเป็นหดหู่ ผู้ชายที่มีความรักแท้และมั่นคง ซึ่งหาได้ยากแสนยากในโลกปัจจุบันคนนั้น ต้องเดินทางกลับไปสู่ความโดดเดี่ยวในทะเลทรายเพียงลำพังซ้ำอีกครั้ง เจ้าของความคิดถอนหายใจ ความรัก...มันก็เป็นอย่างนี้ สู้ทำใจ รักคนที่เขารักเรายังจะดีเสียกว่า มันเจ็บน้อยกว่ากันเป็นไหนๆ
“เลิกเศร้าได้แล้วจันทร์เจ้า ดูคู่นั้นดีกว่าน่ะ”
“จันทร์ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีกว่าตรงไหนนี่คะ เขาก็คงเหมือนๆ กับคนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะมาหาคู่ครองเป็นชายคนใหม่อย่างที่ใครๆ ชอบทำกัน”
หญิงสาวบอกปัดอย่างหัวเสียเล็กน้อย เอเดียลเห็นแล้วยิ้มเอ็นดูมาให้
“เธอผิดแล้วจันทร์เจ้า คู่นี้น่ะ เขาเข้าร่วมงานนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้ง ผู้หญิงซึ่งเป็นฝ่ายเดียวที่มีสิทธิ์เลือก เธอก็จะเลือกคู่ครองเป็นชายคนเดิมทุกครั้งไป”
“จริงหรือคะ” คราวนี้ คนที่เพิ่งบอกว่าไม่อยากจะดูแทบต้องรีบกลับคำ
“จริงสิ ก็บอกอยู่ ความรัก...มันไม่ได้มีอะไรตายตัว ไม่ได้ย่ำแย่เสียทุกครั้ง แม้จะไม่มีคนสมหวังเสมอไปก็ตามที ที่สำคัญ...คู่นี้เขามีลูกชายหญิงรวมกันแล้วเกือบสิบคนเลยเชียวนะ”
“มีลูกสิบคนหรือคะ!”
สาวไทยเป่าลมออกจากปากพรู แต่ก็กลับมายิ้มได้ เธอว่า
“นี่เป็นอีกหนึ่งคู่ ที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่าความรักแท้ยังมีอยู่จริง จันทร์ชอบเขาจังค่ะ”
“ถ้าถูกใจล่ะเป็นชอบหมด”
“ไม่เถียงค่ะ” คราวนี้ดวงหน้านวลลอยระรื่น
“ก็จันทร์ชอบจริงๆ นี่ ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่ให้มีรักจริงเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น มันก็น่ายกย่องในหัวใจของเขาแล้ว จะว่าไป งานนี้ก็เหมือนมีขึ้นเพื่อจะพิสูจน์รักแท้ของบางคนเหมือนกันนะคะ”
“ก็มีส่วน แต่ที่มากกว่านั้น มันเหมือนกับจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งด้วย”
“ยังไงหรือคะ” หันไปมองอีกฝ่ายอย่างสนใจ
“ก็คนส่วนมากที่มาเข้าร่วมงานเลือกคู่ มักจะเป็นผู้ที่ผ่านการมีคู่ครองมาแล้วเกือบทั้งนั้น แล้วเธอลองคิดดูสิ ถ้าสามีคนไหน ไม่รักแล้วก็เอาใจใส่ภรรยาซึ่งถือเป็นคู่ของตัวให้มากและสม่ำเสมอ ก็มีหวังล่ะว่าหนึ่งปีต่อมาเขาจะต้องเสียเธอให้กับชายคนอื่นไปแน่ๆ เพราะอย่างนั้น ประเพณีนี้ถึงเป็นการย้ำเตือนกลายๆ ว่าให้ผู้ชายซึ่งถือเป็นหัวหน้าครอบครัว และเป็นเพศที่แข็งแรงกว่า ดูแลเอาใจใส่ภรรยาของตัวให้มากๆ ถ้าเธอมีความสุขเสียอย่างแล้ว ไม่ว่าจะมีผู้ชายคนใหม่มาเรียงแถวรอให้เลือกสักเท่าไร ก็ไม่มีทางที่เธอจะเปลี่ยนใจไปเป็นอันขาด อย่างนี้...สถาบันครอบครัวก็พลอยมั่นคงแข็งแรงไปด้วยยังไงล่ะ”
“นั่นสินะคะ ต้องจริงอย่างที่คุณว่าแน่ๆ เลย เพราะงานนี้ เขาให้สิทธิ์เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่จะเป็นคนชี้นิ้วเลือกได้”
หญิงสาวเห็นด้วยกับบทสรุปนั้นของเขา แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
“แต่อีกมุมมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้า อย่างที่ผู้ชายคนนั้นเจอ ผู้หญิงที่เขารัก...ไม่เคยมองเห็นความรักและความปรารถนาดีของเขาเลยสักครั้ง”
คนพูดยังคงติดใจอยู่กับเรื่องละเอียดอ่อนเรื่องนี้
“มันก็ยังมีครั้งหน้านี่ อีกหนึ่งปีเท่านั้น อย่าเศร้าแทนเขาเลยจันทร์เจ้า จิตใจหดหู่เปล่าๆ เอาล่ะ...ตอนนี้เราก็มาเตรียมตัวเดินทางกลับกันได้แล้วนะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะถึงกระโจมที่พักมืดค่ำจนเกินไป” เอเดียลบอก
“อ้าว เราจะไม่พักค้างกันที่หมู่บ้านนี่หรอกหรือคะ”
“ไม่ ฉันจะพาเธอกลับไปพักที่กระโจมระหว่างทาง ที่นั่นกว้างขวาง แล้วก็สะดวกกว่า”
จันทร์เจ้าฟังแล้วพยักหน้าช้าๆ
“ก็แล้วแต่คุณค่ะ...แต่เอ๊ะ นั่นจาวจ์นี่คะ”
“ใช่ เดี๋ยวเขาจะไปส่งขบวนของเรากลับที่หน้าทางเข้า”
“ไม่ใช่ค่ะ จันทร์กำลังคิดว่า เมื่อครู่นี้ไม่เห็นจาวจ์จะเข้าร่วมงานเลือกคู่กับคนอื่นเขาเลย”
เอเดียลเข้าใจ เจ้าชายหนุ่มตอบกลับเธอมาอย่างอารมณ์ดีว่า
“จาวจ์คงเป็นผู้ชายในอุดมคติของเธอ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่ตัดสินใจเลือกคู่ชีวิต เขาก็ไม่เคยคิดจะปลี่ยนเมียใหม่เลยสักครั้ง เป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน สิบกว่าปีที่ครองคู่กันมา เขาไม่เคยนอกใจภรรยาไปมีผู้หญิงอื่นเลย หลังๆ พอขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า เขาก็เลยรู้กัน ไม่ว่าจะร่วมพิธีหรือไม่ร่วม จาวจ์ก็จะไม่เปลี่ยนใจไปจากภรรยาคนนี้แน่”
“ดีจริง อย่างน้อยๆ คนอื่นจะได้ดูเป็นตัวอย่างบ้าง ไม่นาน ประเพณีแบบนี้คงจะหมดไปเสียที เพราะยังไง จันทร์ว่ามันก็ดูไม่ค่อยจะเข้าท่าเท่าไรค่ะ”
คนพูดรู้สึกดีที่จาวจ์จะเป็นความหวังในทุกเรื่องของชาวเผ่าบาคาได้ และเอเดียลยังขยายความต่อไปอีกว่า
“การศึกษาและวัฒนธรรมภายนอกมีส่วน จาวจ์เป็นคนที่มีโอกาสได้เรียนสูงที่สุดในบรรดาชาวบ้านทุกคนที่นี่ เด็กรุ่นหลังๆ บางคนที่มีโอกาสได้เข้าไปเรียนหนังสือในตัวเมือง พอกลับมาก็จะยึดเอาธรรมเนียมปฏิบัติแบบรักเดียวใจเดียวมาใช้เหมือนกัน”
“นั่นไงคะ จันทร์คิดไม่ผิด ว่าใจจริงแล้วตลอดชั่วอายุขัย ไม่ว่าหญิงหรือชาย ทุกคนย่อมอยากที่จะมีคู่ครองที่อยู่เคียงข้างกันตลอดไปเพียงคนเดียวเท่านั้น”
แล้วเขาล่ะ...จันทร์เจ้าคิดในใจ เธอใคร่จะถามนัก สุภาพบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นเป็นองค์เหนือหัวพระองค์ใหม่ของรัฐอัลดูซาร์ เขาจะมีความคิดแบบเด็กหัวก้าวหน้าของชนเผ่าบาคาด้วยหรือไม่ ‘รักเดียวใจเดียว’ สำหรับเขา...มันจะมีวันเป็นไปได้บ้างไหม




ลียา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ส.ค. 2555, 16:18:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ส.ค. 2555, 16:19:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 7502





<< อัลดูซาร์   ว่าที่พระสนมองค์ใหม่ >>
แว่นใส 7 ส.ค. 2555, 17:15:38 น.
น่านซิจะเป็นไปได้ไหมน๊า


นกขมิ้น 7 ส.ค. 2555, 20:33:20 น.
มาแว้วดีใจจัง


longah 7 ส.ค. 2555, 22:43:50 น.
สนุกมากๆคะ ประเพณีนี้นี่เป็นการทดสอบความรักที่ดีเลยนะคะ อัพต่อไวๆนะคะ ><


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account