ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 4

อะแฮ่ม แฮ่ๆๆๆ หายไปนานเลยค่ะ พอดีติดภารกิจสอบอันยิ่งใหญ่อยู่อ่ะค่ะ เลยหายไปนานนิ๊ดนึง ต้องขอโทษด้วย พูดมากไปเดี๋ยวจะเข้าตัว ยังไง ฝากเรื่องทะเลหวาน ไว้ด้วยนะคะ แอบกระซิบนิิดนึงว่าเขียนจบแล้วด้วย ฮี่ๆๆ ถูกใจไม่ถูกใจยังไง บอกกันได้ค่า ยินดีรับฟัง ^______^

=================================================

เมทินีนั่งกดโทรศัพท์มือถือเล่นอยู่เบาะหลัง มีณัฐเป็นสารถีและศตวรรษเป็นคนบอกทางอยู่ข้างหน้า หญิงสาวคนเดียวในรถยังคงจดจ่อสมาธิกับของที่อยู่ในมือ หัวเราะคิกคักไม่ในสนใจเสียงของเพื่อนทั้งสองที่คอยตั้งหน้าตั้งตาแขวะตั้งแต่ขับรถออกกรุงเทพฯ มาจนเกือบจะถึงที่หมาย

“นี่พวกแก ฉันให้พี่แพทเขาตามมาได้ไหม เขาอยากมาเที่ยวทะเล”

น้ำเสียงฟังดูมีความสุขของเมทินี ทำเอาณัฐเกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมานึกอยากจะเอามือยื่นไปดึงแก้มป่องๆ ให้หุบยิ้มสักพักหนึ่ง พี่แพทที่หญิงสาวพูดถึงคือแฟนหนุ่มที่เธอคบได้ไม่นานมานี้ ชายหนุ่มนักธุรกิจที่ดูดีไปเสียทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว บุคลิกภาพหรือแม้กระทั่งคำปรึกษาที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากๆ ครบสูตรผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลายๆ คนเลยก็ว่าได้

“ตกลงแกจะมาอยู่เป็นเพื่อนไอ้มลมัน หรือแกจะมาที่เดทกับแฟนแกกันแน่ ไอ้เม”

คำพูดที่ศตวรรษแย้งขึ้นมาทำเอาเมทีนีเถียงไม่ออก เธอหน้ามุ่ยลงทันควันกลายเป็นว่าเธอผิดที่นึกถึงแต่คนรักจนลืมนึกไปว่ามีเพื่อนรออยู่ที่นู่น

“แกว่าฉัน”

“ฉันเปล่า”

“จะเปล่าได้ยังไง แกด่าฉันอยู่เมื่อกี้ว่าสนใจแต่แฟน” คราวนี้ถึงกับต้องวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัวแล้วกระเถิบตัวเองให้ใบหน้ายื่นไปอยู่ระหว่างเบาะของเพื่อนทั้งสอง “แกได้ยินใช่ไหนณัฐ ไอ้วัตมันว่าฉัน”

“แกอย่ามาหาพวก ปล่อยไอ้ณัฐมันขับรถไป แล้วมือถือแกน่ะหยุดกดซักพักได้ไหม ไม่งั้นฉันจะปามันทิ้งนอกรถ”

เมทีนีอ้าปากค้างเหวอกับสิ่งที่เพื่อนเธอกำลังขู่ การที่เธอกดโทรศัพท์มือถือเพื่อแชทกับแฟนมันผิดมากหรือไงกันนะ ถึงได้ขู่เธอเหมือนกันเธอกำลังจะเผาบ้านมันยังไงยังงั้น มือขาวรีบเอื้อมไปคว้ามือถือตัวเองเอามาไว้ให้ใกล้ตัวมากที่สุด กลัวเหลือเกินว่าอยู่ๆ มันจะพลิกตัวมาข้างหลังแล้วกระโดดตะครุบโทรศัพท์ของเธอไว้

เอ่อ... โอเค นั่นเธอคิดไปเอง เพราะอ่านนิยายแฟนตาซีมากไปหน่อย

คนติดโซเชียลแอบเบ้ปากใส่คนที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ ขยับปากขึ้นลงเหมือนกำลังพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ภาพนั้นทำให้ณัฐที่เหลือบมองสงครามอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วหันกลับมาสนใจทางข้างหน้าต่อ

“วัต เปิดเพลงให้หน่อยสิ อยากฟังเพลง”

“ไม่ ฉันจะนอน” คำปฏิเสธแบบไม่แคร์สิ่งใดแถมด้วยกริยานอนหลับตานิ่งพร้อมกับกอดอก ทำเอาคนขอร้องเมื่อครู่ถึงกับเคี้ยวฟัน

ได้... ไม่เปิดให้ เปิดเองก็ได้ ว่าแล้วร่างของหญิงสาวที่ไม่ได้ผอมนักก็พุ่งทะยานมาข้างหน้าเพื่อกดปุ่มเปิดเครื่องเล่นซีดีของรถเพื่อนแถมยังค้างอยู่อย่างนั้น เลือกเพลงที่อยากฟังโดยกดข้ามไปเรื่อยๆ อย่างที่ไม่คิดเลยว่าเสื้อของเธอที่ใส่อยู่มันคอกว้างมากแค่ไหน

“ไอ้เม ถอยกลับไป” ณัฐเอ่ยเสียงต่ำอย่างข่มขู่ เมื่อเขาหันมาดูว่าหญิงสาวกำลังทำอะไรกับเครื่องเล่นซีดีแต่สายตาเจ้ากรรมดันเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นไปด้วย ความจริงเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่เสื้อของเมทินีจะคอกว้างมากแค่ไหน ถ้ามันไม่ได้หลุดลาดลงมาทำให้เขาเห็นไหล่ขาวของเพื่อนอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

ยังดี... ยังดีที่เห็นแค่ไหล่ ณัฐนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เขานึกได้ว่าต้องทำหน้าที่ขับรถ เพื่อพาเพื่อนไปให้ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ ไม่อย่างนั้นเขาคงขยับสายตาอีกนิดเพื่อให้ไปถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเสื้อ แม้จะเห็นว่ามันเป็นเพื่อนมากแค่ไหน แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายแม้นิ่งหรือเรียบร้อยปานใดย่อมมีสัญชาตญาณของบุรษเพศอยู่แล้ว

“ไอ้เม ฉันบอกให้ถอยกลับไปนั่งไงวะ จะเอาเพลงอะไรเดี๋ยวหาให้ ไป” คราวนี้คนขับรถต้องทำเสียงดุสู้ เพราะไม่อย่างนั้นเพื่อนคงยังไม่ยอมกลับไปนั่งแล้วดึงคอเสื้อที่หลุดลงให้เข้าที่ ปากก็เอ่ยสั่งเจ้าของรถให้กดข้ามเพลงไปจนถึงเพลงที่เธอต้องการแล้วนั่งฟังอย่างสบายใจพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเหมือนก่อนที่จะโดนศตวรรษเหน็บ

ณัฐมองกระจกมองหลังแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เมทินีเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันเขาจึงไม่อยากจะคิดอกุศลกับเพื่อนสาวสักเท่าไหร่ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เขาพูดคุยกับเพื่อนสาวได้อย่างบริสุทธิ์ใจ อย่างที่เคยเป็นมาตลอด

ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธเลยว่าเพื่อนของเขาสวยขึ้นมากกว่าสมัยเรียนเยอะ ตอนรู้จักกันใหม่ๆ เมทินียังเป็นยัยแว่นหนาเตอะ ยัยเด็กเรียนจอมโก๊ะที่เดินอยู่ข้างหลังนฤมลและปีเตอร์ ใครจะรู้ว่าเด็กเคร่งเรียนในวันวานจะกลายมาเป็นผู้หญิงเปรี้ยวในวันนี้ แม้ไม่ได้เปรี้ยวเข็ดฟันเหมือนผู้หญิงคนอื่น แม้เสื้อหลวมโพรกที่ผ่าหน้าผ่าหลังตามแฟนชั่นพร้อมกับกระโปรงสั้นเหนือเข่าขึ้นมาล่อสายตาผู้ชาย แต่ด้วยหุ่นอวบนั้นทำให้ความเซ็กซี่ที่ควรจะมีหายวับไปกับตาเลยทีเดียว

“ยังไม่ถึงท่าเรืออีกเหรอณัฐ มันนานแล้วนะเว้ย” น้ำเสียงเบื่อหน่ายมีขึ้นจากเบาะหลังอีกครั้ง เมื่อรถวิ่งมาได้อีกพักหนึ่งแต่ยังไม่ถึงท่าเรือที่เป็นจุดหมาย คนขับรถกลอกตาขึ้นลงกับพวงมาลัยก่อนจะพูดตอบกลับด้วยเสียงเบื่อหน่ายไม่แพ้กัน

“มีหน้าที่นั่ง แกก็นั่งไปเฉยๆ เถอะน่า ที่ฉันขับอยู่มันก็ไม่ได้ช้าหรอกนะไอ้อ้วน” ‘ไอ้อ้วน’ ถลึงตามองคนที่บอกว่าตัวเองไม่ได้ขับรถช้า แต่ยังไม่ได้พูดอะไรออกไป นึกอยากจะหาอะไรฟาดปากนั่น เอาให้พูดไม่ได้ไปสักสองอาทิตย์ แต่มันก็ติดอยู่ที่ว่าณัฐทำหน้าที่ขับรถพาเธอไปหานฤมลนี่สิ

เอาไว้ถึงเกาะที่มลมันไปเที่ยวก่อนก็ได้... แกเสร็จฉันแน่ ไอ้เตี้ย!


ในที่สุดทั้งสามคนก็มาถึงเกาะจนได้ เมทินีกระโดดลงจากเรือเป็นคนแรกก่อนจะตามด้วยณัฐ และศตวรรษเป็นคนปิดท้าย สัมภาระทั้งสามคนมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบเท่านั้น ทั้งหมดยกกระเป๋าขึ้นสะพายที่หลังก่อนจะเดินตามพนักงานที่มาต้อนรับเพื่อมานั่งรอนฤมลที่ล็อบบี้ของทางรีสอร์ต

ศตวรรษกดหมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็วก่อนจะรอให้ปลายสายรับโทรศัพท์ ชายหนุ่มพูดอยู่สองสามคำ บอกเพื่อนแค่ว่าพวกเขามาถึงที่รีสอร์ตเรียบร้อยแล้ว ให้ทางนฤมลปูพรมแดงมาต้อนรับด้วย เขาได้หัวเราะจากการต่อปากต่อคำของเพื่อนอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสายแล้วนั่งรออยู่ที่เดิมรวมกับเพื่อนอีกสองคน

รอเพียงไม่นานนฤมลก็โผล่มาพร้อมกับรอยยิ้ม เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่เธอใส่บอกถึงความพร้อมในการเที่ยวของวันนี้ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

“ไม่มากันซะพรุ่งนี้ไปเลยล่ะ” แทนที่นฤมลจะทักทายเพื่อนอย่างดีใจ กลับกลายเป็นว่าไอ้คนที่รอคำทักทายสวยหรูอยู่ถึงกลับต้องอ้าปากค้าง เหวอไปตามๆ กันกับอารมณ์ของเพื่อนที่พวกเขาไม่รู้สาเหตุ

“แหม ไอ้มลนี่ไอ้ณัฐมันก็ร้อยสี่สิบมาตลอดทางแล้วนะ โอ๋ๆ อย่างงอนเลยน่า พวกฉันไม่ได้มาสายอะไรมากมายเสียหน่อยเพิ่งจะเอ่อ...บ่ายโมงเอง”

ศตวรรษได้ยินเสีย ‘ฮึ’ เบาๆ จากเพื่อนที่กำลังงอน อย่างที่ไม่ได้คิดเลยว่า กริยานั้นมันน่าถีบมากกว่าน่ารัก ยังไงเสียทั้งสามคนต่างรู้ดี เพื่อนเขาต่อให้งอนหรือโกรธมากแค่ไหน เรื่องแค่นี้ห้านาทีมันก็หายโกรธแล้วกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิมอยู่ดี

“ไหนอ่ะบ้าน นอนกันหมดเปล่าวะ”

ระหว่างทางที่เดินอยู่ ณัฐซึ่งเป็นผู้กล้าในกลุ่มตัดสินใจเดินตีคู่เพื่อนสาวที่ทำตัวราวกับเจ้าของถิ่น นฤมลเลยตอบกลับด้วยเสียงนิ่มๆ อย่างที่คนฟังฟังแล้วต้องอ้าปากค้าง

“นอนไม่พอแกก็นอนหน้าบ้าน มันจะไปยากอะไร”

ไม่ยากเลยสักนิด... ณัฐตีหน้ามุ่ยลงทำท่าสำนึกผิดอย่างสุดๆ เพราะเกรงว่าจะต้องย้ายมานอนนอกห้องจริงๆ ทำเอาสองคนที่เดินตามมาข้างหลังหัวหน้ามองกันแล้วแอบหัวเราะเบาๆ กับวิธีง้อผู้หญิงที่ไม่ได้ความของเพื่อน ทั้งที่คนอย่างนฤมลไม่ต้องง้อเลยสักนิด เพียงแค่ทำตัวเงียบๆ เจี๋ยมเจี้ยมแค่ไม่กี่นาทีก็พอ

บ้านพักของนฤมลที่จองไว้เผื่อเพื่อนจะมา ความจริงแล้วบ้านหลังนี้อยู่ได้เพียงสองคนเท่านั้น เตียงที่มีอยู่ในห้องมีเพียงเตียงเดียว เป็นเตียงที่เธอขยับมันมาติดกันเองสองเตียง ตั้งแต่วันแรกที่มา แต่คราวนี้เพื่อนมากันถึงสามคนรวมเธอด้วยเป็นสี่

จะทำยังไงดี... หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ใช้ความคิด

“ฮ้า สบายจริงๆ” ณัฐปล่อยกระเป๋าเสื้อผ้าลงพื้น แล้วกระโดดลงไปที่กลางเตียงอย่างไม่แคร์เพื่อนอีกสามคนที่หันรีหันขวางหาที่วางของกันอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ นอกจากจะกระโดดลงไปที่เตียงนุ่มๆ แล้ว แขนขาที่ดูยาวเก้งก้างนั้นยังกางออกเต็มกำลังแล้วปัดไปปัดมาขึ้นลงตามความรู้สึกของคนที่อยากนอนพักเพราะขับรถมาหลายชั่วโมง จนคนที่ยืนมองอยู่นึกหมั่นไส้

เมทินียืนกอดอกมองอยู่ด้วยสายตามุ่งร้าย แต่คนที่หลับตาเคลิ้มดื่มด่ำอยู่บนเตียงยังคงไม่รู้ถึงลางร้ายนั้น หญิงสาวค่อยขยับตัวไปหยิบหมอนและผ้าห่มผืนหน้าที่อยู่อีกฝั่งของเตียง จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้เพื่อนอีกสองคนเตรียมพร้อม เธอนับหนึ่งสองสามไม่ออกเสียง พร้อมๆ กับโยนทั้งหมอนและผ้าห่มลงไปทับคนที่นอนอยู่เต็มตัว ภาพที่ได้เห็นต่อจากนั้นคือทั้งศตวรรษและนฤมลต่างพร้อมใจกันกระโดดลงไปเต็มแรงที่พื้นสีขาวเหมือนไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างล่างอีกชั้นหนึ่ง

เสียงโอดโอยดังลอดออกมาจากผ้าห่ม สิ่งที่อยู่ข้างใต้ยังคงดิ้นดุ๊กดิ๊กหาทางรอดออกมาจากสงครามนั้น เมทินีมองแล้วยืนหัวเราะเสียงดังอยู่ข้างๆ มือกุมท้องไว้อย่างไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วย จนในที่สุดคนโดนแกล้งก็หลุดพ้นออกมาได้ ณัฐทำหน้าตาขึงขังแล้วใช้นิ้วชี้ ชี้เรียงตัว ใบหน้าเจ็บแค้นนั้นยิ่งทำให้สามคนที่เหลือหัวเราะกันอีกชุดใหญ่

“แถวนี้หาดสวย ใครจะไปเดินเล่นกับฉันรึเปล่า”

“กูจะนอน ขับรถเหนื่อย พวกมึงจะไปไหนก็ไป” ท้ายเสียงสะบัดเล็กน้อย ทำเอาอีกสามคนแอบหัวเราะกับความดัดจริตของเพื่อน ณัฐมักทำตัวเหมือนผู้หญิงขี้งอนเสมอเมื่อโดนเพื่อนแกล้ง แต่ทุกคนรู้ดี เพื่อนแค่แกล้งงอนเล่นๆ เท่านั้นเพื่อนสร้างสีสัน

“ไม่ไปแน่นะ ฝรั่งแจ่มๆ นอนอาบน้ำกันเต็มหาดเลยนะ เปลี่ยนใจไหม” คราวนี้นฤมลแอบเห็นแววตาลังเลเล็กน้อย แต่ณัฐก็ยังคงยืนยันคำเดิมอย่างที่คนสำรวจพื้นที่มาหมดแล้วยักไหล่ไม่ใส่ใจ แล้วหันไปชวนสองคนที่เหลือเดินออกไปดูทะเลพร้อมกล้องที่ขโมยมาได้จากกรกฎ


“มาอยู่ก่อนตั้งหลายวัน แกไปที่ไหนมาบ้าง” เมทินีถามเพื่อน เท้าก็เขี่ยทรายไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหนังสือแล้วก็เหวี่ยงเท้าลบออกก่อนจะวาดใหม่ ส่วนศตวรรษก็ยืมกล้องเธอไปถ่ายรูป อย่างคนโลกส่วนตัวสูง

“เมื่อวานไปดำน้ำมา ทะเลแถวนี้สวยมาก น้ำใส ประการังก็สวย”

“จริงหรือ ยังไปได้อยู่ไหม”

นฤมลพยักหน้ารับ “ไปได้สิ ทริปดำน้ำมีทุกวันแต่ว่าต้องจองล่วงหน้านะ เพราะนับเป็นหัว” คนอยากไปยิ้มกว้าง หญิงสาวไม่ได้มาทะเลนานมากเพราะหน้าที่ที่ต้องทำงาน โดยเฉพาะตอนนี้เธอเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นกลายเป็นผู้จัดการฝ่ายที่ทำอยู่ เวลาที่สามารถเที่ยวได้เลยน้อยลง ขัดแย้งกับงานที่เพิ่มมากขึ้น บางอาทิตย์เจ็ดวันเธอไม่มีเวลาส่วนตัวไปเที่ยวที่ไหนกับคนรักเลยด้วยซ้ำ

“ได้เที่ยวอย่างนี้บ้าง หัวโปร่งดีเหมือนกันเนอะ คิดอะไรได้หลายอย่าง”

“ใช่ ถึงแดดจะแรงไปหน่อยก็เถอะนะ แต่บางทีมันก็ทำให้ฉันคิดอะไรได้หลายอย่าง แล้วก็เลิกคิดอะไรได้หลายอย่างเหมือนกัน”

เท้าที่เขี่ยทรายอยู่เมื่อครู่หยุดชะงัก เมทินีหันหน้ามองเพื่อนสาวที่แววตาสลดลงอย่างเช่นทุกครั้งที่คิดถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่ม เพื่อนที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้อีกแล้ว อาการของนฤมลยังคงเป็นเหมือนเดิมทุกครั้งที่เจอกัน เธอพอเข้าใจได้ว่าเพื่อนเธอมันเป็นประเภทรักเดียวใจเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

แต่นี่มันชักจะมากไปแล้วนะ... แม้แต่มาเที่ยวนฤมลก็ไม่ยอมลบภาพปีเตอร์ออกจากหัว

“ตกลงที่แกมาเที่ยวนี่ เพื่อจำไอ้พีทมันมากขึ้นหรือแกพยายามจะลืมมันกันแน่”

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากขอเพื่อน เมทินีถอนหายใจเฮือก เพื่อนทุกคนทราบดี หญิงสาวเป็นคนดื้อเงียบ ไม่ว่าเพื่อนจะพูดให้คิด เตือนสติอย่างไร หรือมากแค่ไหน นฤมลก็ไม่มีวันทำตามถ้าเธอไม่ตัดสินใจอยากทำมันด้วยตัวเอง

“พอเถอะเม ฉันว่าเราไปหาที่นั่งกันดีกว่า เรียกไอ้วัตมาด้วย เดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้”

ในเมื่ออีกคนหาทางหลบเลี่ยง เมทินีจึงได้แต่ส่ายหน้าระอา แล้วเดินไปทางที่ศตวรรษเดินถือกล้องไป ทิ้งให้นฤมลหาเก้าอี้ที่ทางรีสอร์ตเตรียมไว้ให้แขกมานั่งรอ พร้อมกับสั่งน้ำผลไม้จากพนักงานที่อยู่แถวนั้นด้วย ร่มไม้และลมทะเลช่วยให้หญิงสาวผ่อนคลายไปได้มาก แต่กับคำถามที่เพื่อนถามเมื่อครู่มันก็ยังคงวิ่งวนอยู่ในหัวไม่ไปไหน

อันที่จริงแล้วตั้งแต่เธอมาที่นี่ยังไม่มีสักครั้งที่เธอนึกถึงปีเตอร์ อาจเป็นเพราะกิจกรรมที่มีให้เธอทำตลอดเวลา ทั้งดำน้ำ ถ่ายรูป และคงต้องขอบคุณคุณเวศน์กับคุณอรทัย บิดาและมารดาของธนิตาลูกศิษย์เธอ ที่คอยชวนเธอคุย ไม่ปล่อยให้ฟุ้งซ่านอยู่กับเรื่องทุกข์ใจอยู่คนเดียว ไหนจะผู้ชายบ้าๆ ลูกชายพวกท่านอีกคนที่ทำให้เธออารมณ์เสียและคอยจดๆ จ้องๆ อยู่กับเขาตลอดเวลาจนลืมคนที่ควรคิดถึงไปเสียสนิท

นึกขึ้นมาแล้วมันก็น่าโมโห หากเธอไม่ได้เจอกับตัวเองคนไม่เชื่อไม่ลงว่าเขาเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ คนอะไรหน้าตาก็เอ่อ... พอดูได้ล่ะนะ แต่ปากนี่สิร้ายเสียจนผู้หญิงอย่างเธอยังอาย ชอบเหลือบมองเธอเหมือนเธอกำลังจะก่อการร้ายกับครอบครัวเขาอย่างนั้นแหละ

“มล มล” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย หันไปทางศตวรรษที่เรียกเธอเสียงเบา “เป็นอะไร คิดอะไรอยู่หรือเปล่า”

“เปล่า ไม่ได้คิดอะไร”

“แกนิ่งเหมือนจิตหลุดไปแล้วเนี่ยนะ ไม่ได้คิดอะไรอยู่” ชายหนุ่มหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด พอจะรู้ล่ะว่าเพื่อนต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ในหัว แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมา

“คิดถึงเรื่องผู้ชายอยู่ล่ะสิ” เมทินีเสริมเข้าไปอีก หัวข้อที่พูดขึ้นมาทำเอานฤมลตกใจกับสิ่งที่เพื่อนเดาราวกับมานั่งอยู่ในใจเธอ

“เฮ้ย แกจะบ้าเหรอไอ้เม ผะ ผู้ชายที่ไหนกัน ไม่มี๊”

“แกไม่ต้องพิรุธเสียงสูงขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ถามทะลุไปถึงชื่อของคนที่แกกำลังคิดถึงหรอก”

นฤมลค้อนเพื่อนตากลับ คำประชดที่เมทินีพูดนั้นทำเอาเธอนึกโทษไปถึงต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนเธอต้องมานั่งจับผิดอยู่เช่นนี้ แทนที่จะได้นั่งคุยกันอย่างสบายใจ อย่างที่เคยทำเสมอเวลามาเที่ยวทะเลด้วยกัน ส่วนศตวรรษก็ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดจา กล้องถ่ายรูปที่ตอนนี้อยู่ในมือชายหนุ่มถูกยกขึ้นมาส่องหันซ้ายบ้างขวาบ้าง กดชัตเตอร์บ้างแล้วแต่สิ่งที่ผ่านเข้ามาในเลนส์กล้อง

“ถ้าจะถ่ายฝรั่งกับบิกินนี่ล่ะก็ หยุดอยู่ตรงนี้เลยนะไอ้วัต เปลืองเมม” แม้จะโดนปราม แต่นฤมลก็รู้ดีกว่าเพื่อนคนนี้ดื้อไม่แพ้เธอเลยสักนิด


ณัฐที่ยอมแลกระหว่างสาวๆ ที่เดินอยู่ริมหาดกับเตียงนอนแสนนุ่ม กำลังตกอยู่ในความฝันแสนหวาน สาวหุ่นดีนุ่งน้อยห่มน้อยต่างกำลังนั่งปรนนิบัติพัดวีเขา ราวกับชายหนุ่มเป็นราชา ทั้งขนมหวานและผลไม้ถูกป้อนเข้าปากไม่มีหยุด อีกทั้งยังมีสาวสวยอีกกลุ่มหนึ่งกำลังเต้นรำให้เขาดูอยู่เบื้องหน้า แต่แล้วจู่ๆ ก็มีทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว แล้วยกมือขึ้นเคาะหัวเขาอย่างแรงติดกันสามที แล้วเว้นช่วงให้เขาสงสัยเล็กน้อยก่อนจะลงมืออีกครั้ง จนชายหนุ่มรำคาญ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกที เมื่อเสียงที่เกิดขึ้นมันเหมือนเสียงเคาะประตูจนเกินไป

ณัฐขมวดคิ้วมุ่นเมื่อถูกรบกวนฝันแสนหวานด้วยเสียงเคาะประตู กลุ่มเพื่อนเขาคงลืมกุญแจไว้ในห้อง... ความคิดหยุดลงพร้อมกับความฝันที่มลายหายไป แต่เสียงเคาะประตูยังคงอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มขยี้ตาพร้อมกับหาวอ้าปากกว้าง กระพริบตาปรับโฟกัสเล็กน้อยเพื่อเรียกสติคืน

“เออๆ รู้แล้วน่า เคาะกันจังวะ” เขาตะโกนออกไปบอกคนที่ยืนอยู่ข้างนอก แต่ทว่าเสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่เป็นระยะ “กวนตีนละไอ้พวกนี้”

บ่นอย่างไม่จริงจังนักแล้วจึงลุกจากเตียงเพื่อไปเปิดประตู แต่เขาดันพบว่าประตูไม่ได้ล็อก นั่นยิ่งทำให้เขาคิดว่าเพื่อนต้องแกล้งอะไรอย่างแน่นอน คำต่อว่าต่างๆ นานาเริ่มจ่อที่ปากอย่างช่วยไม่ได้ เพราะอยู่กับไอ้พวกนี้ถ้าไม่ปากจัดจริงๆ คงคบกันไม่ยืดขนาดนี้

“เคาะหาพระแสงอะไรนักหนาวะ ประตูก็ไม่ได้ล็อค... อ้าว”

ด่าออกไปเรียบร้อย... แต่คนที่ยืนอยู่กลับไม่ใช่ใครที่มีหน้าคล้ายเพื่อนเขาสักคน

“เอ่อ เคาะผิดห้องหรือเปล่าครับ” ณัฐเกิดอาการงงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามไปตามมารยาท เพราะอย่างน้อยคนที่ยืนอยู่ก็เป็นคนแปลกหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนอย่างแน่นอน

“คิดว่าไม่ผิดนะครับ ผมมาหายัย...เอ่อ คุณมลน่ะครับ” กรกฎกระแอมเบาๆ กลืนคำว่ายัยตัวแสบลงคอไปอย่างรวดเร็ว นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ เกิดมีผู้ชายปริศนาโผล่มาในห้องของนฤมล แถมหน้าตาเหมือนเพิ่งตื่นนอนเสียด้วย

“อ๋อ มล มลอยู่ที่หาดน่ะครับ เห็นบอกว่าไปเดินเล่น คงไปถ่ายรูปตามประสามันน่ะครับ ผมเห็นเอากล้องไปด้วย มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมจะมาใหม่ ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวน”

ณัฐพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เขายืนมองชายหนุ่มคนนั้นเดินห่างจากบ้านไปทางชายหาด คงไปหานฤมลอย่างที่เขาบอก จากนั้นเขาจึงเดินกลับเข้าห้องพร้อมอาการที่ง่วงงุนเหมือนเดิม แต่พอล้มตัวลงนอนเท่านั้นแหละ ภาพที่เขาเห็นบนรถตอนขับรถมาที่ท่าเรือก็เกิดโผล่เข้ามาในความคิด

ถึงแม้เขาจะเคยชินกับผู้หญิงอย่างเมทินีและนฤมล ไม่ว่ามันสองคนจะทำอะไรก็ไม่เคยเก็บเอามาคิดเลยเถิด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นผู้ชายและไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน ความไม่ระวังของเมทินีทำให้เขาดันไปเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า

ไม่ได้สิ... ณัฐพยายามสลัดความคิดไม่ซื่อนั้นออกไป เขาจะคิดลามกแบบนั้นกับเพื่อนไม่ได้ ในเมื่อเพื่อนไว้ใจเขาจนไม่ระวังตัวใดๆ เขาก็ไม่ควรจะใช้ความไม่ระวังตัวของเพื่อนมาทำร้ายกันเอง มันจะมองหน้ากันไม่ติดเสียเปล่าๆ

ชายหนุ่มอาจใช้เวลาคิดมากไปหน่อย เขารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันเสียงดังหน้าห้องพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดเข้ามา ณัฐเหลือบมองทั้งสามคนอย่างงุนงง เมื่อทั้งหมดเข้ามาพร้อมกันในสภาพเปียกโชกแต่กล้องถ่ายรูปที่นฤมลเอาคล้องคอออกไปด้วยหายไป

“กล้องแกหายไปไหนวะ มล”

“กล้อง... กล้องฉันก็อยู่นั่นไง” หญิงสาวยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังตำแหน่งที่ตนวางกล้องไว้ ตั้งแต่รู้ว่ามันใช้งานไม่ได้อีกต่อไป

“ไม่ใช่ ตัวที่แกเอาออกไปด้วยเมื่อกี้สิวะ”

“อ๋อ เจ้าของเขายึดไป เดี๋ยวค่อยไปเอาคืน”

คำบอกเล่าจากนฤมลไม่ได้ไขความกระจ่างให้ณัฐมากนัก ดูเหมือนเพื่อนคอยแต่จะกั๊กไว้แล้วปล่อยให้เขาได้รู้ทีละนิดๆ เท่านั้น แต่พอจะหันกลับมาถามอีกครั้ง เจ้าตัวก็ดันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเสียแล้ว ชายหนุ่มเลยได้แต่หันหน้าที่มีแต่คำถามไปยังคนที่เหลือแทน

“เจ้าของคือผู้ชายคนนึง ที่แกบอกเขาว่ามลมันอยู่ที่หาด” เมทินีไขข้อข้องใจให้เพื่อนจนณัฐร้องอ๋อออกมา เมื่อนึกได้ว่าเขาเป็นคนบอกตำแหน่งเพื่อนเอง

“แล้ว... ทำไมมันไม่ใช้กล้องมัน”

“พังสิวะ ไม่พังมันจะใช้ของคนอื่นทำไม แกนี่ถามอะไรแปลกๆ กล้องมันตกน้ำ แล้วคุณซีเจ้าของกล้องน่ะ เขาก็เลยให้ยืมมา”

มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ... ณัฐยกมือขึ้นลูบคางแล้วครุ่นคิด หันหน้าไปมองทางศตวรรษเห็นเพื่อนมองมาแล้วทำท่ายักไหล่ราวกับจะบอกว่ามันก็รู้แค่นั้นเหมือนกัน

“มันบอกแกแค่นั้นหรือไอ้เม” คนถูกถามพยักหน้าตอบรับ พอดีกับที่คนทำกล้องพังเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เขากับเมทินีเลยไม่ได้คุยกันต่อเพราะหญิงสาวเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำต่อจากนฤมลที่เดินออกมาทันที

“กล้องแกพังหรือมล” เข้าของกล้องตอบรับด้วยเสียงอือในลำคอแล้วเดินมานั่งบนเตียงข้างๆ ณัฐ มือข้างหนึ่งคอยเช็ดผมที่เปียกอยู่ให้แห้ง เหลือบไปเห็นศตวรรษกำลังกดมือถือคิ้วขมวดจนแทบจะเป็นเส้นเดียวกัน

“เป็นอะไรไอ้วัต มือถือมันทำให้แกเครียดขนาดนั้นเลยหรือวะ”

“อือ เครียดมากด้วย น้องแพรวเค้าเป็นอะไรนักหนาก็ไม่รู้ แค่บอกว่ามาเที่ยวทะเลกับแก ฉันก็บอกไปแล้วว่ามีไอ้เมกับไอ้ณัฐมาด้วยก็ไม่เชื่อ”

นฤมลเลิกคิ้ว... ไม่แปลกใจมากนักกับสิ่งที่เพื่อนพูดถึงแฟนสาว เพราะคราวก่อนที่ศตวรรษพามาแนะนำให้รู้จัก น้องแพรวของเพื่อนทำหน้าตาไม่ค่อยอยากสานสัมพันธ์กับเธอเท่าไหร่นัก ไม่รู้เธอเคยไปเหยียบตาปลาน้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

“หึงล่ะมั้ง แกไปพูดอะไรเกี่ยวกับฉันให้น้องเขาระแวงหรือเปล่าวะ” ศตวรรษส่ายหน้า นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปพูดอะไรไว้ ซึ่งความจริงแล้วแฟนสาวของเขาไม่มีสิทธิ์หึงหวงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำเพราะเพิ่งคบกันได้ไม่นาน

“ช่างเถอะ มีปัญหามากนักก็เลิกๆ ไปซะก็ได้”

ณัฐหรี่ตามองคนที่ทำท่าทางมั่นใจในเสน่ห์ตัวเองเสียเหลือเกิน ถึงจะเป็นเพื่อนกันแต่ก็อดหมั่นไส้ศตวรรษไม่ได้ เพื่อนเขามีประวัติที่ดีถึงดีมาก ดึงดูดหญิงสาวให้สนใจได้ไม่ยาก ไหนจะฐานะทางบ้านที่มีโรงงานเป็นของตัวเอง แม้จะไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ทำให้เพื่อนเขาสามารถบินไปเที่ยวยุโรปได้เป็นอาทิตย์โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ไหนจะหน้าที่การงานที่ต้องบริหารธุรกิจของที่บ้านและบางครั้งทางมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็เชิญตัวไปบรรยายประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจอีก นับว่าทั้งชีวิตมันขาดอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือคนรักที่สามารถทำให้มันยอมหยุดหัวใจไว้โดยไม่มีข้อแม้

เสียงเปิดประตูห้องน้ำเรียกให้ศตวรรษหันไปมอง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ น้ำทะเลที่เล่นมาเมื่อครู่ชักจะทำให้เขาเหนียวตัวมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดในการมาทะเล

“เมื่อกี้คุยอะไรกันอยู่” เมทินีเดินเช็ดผมเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง หันหน้าซ้ายขวาสำรวจผิวหน้าตัวเองว่าถูกเผาไปมากน้อยแค่ไหน

“กำลังช่วยกันหาทางลดขาไอ้มลให้เล็กลง” ณัฐมีสิทธิ์พูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อมือที่ไม่เบานักของนฤมลซัดลงมาเต็มๆ ที่กลางหลังของเขา ส่วนเมทินีทำหน้าที่เพียงหัวเราะร่วนด้วยความสะใจเมื่อเห็นเพื่อนถูกทำร้าย

“ก็เพราะปากแบบนี้ไง น้องอะไรนั่นถึงทิ้ง” คนโดนทิ้งค้อนราวกับตนเองเป็นผู้หญิง ก่อนจะพลิกตัวมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม ไม่อยากรับฟังคำพูดแทงใจใดๆ จากเพื่อนทั้งนั้น

“อ้าว นี่โดนทิ้งแล้วหรือ”

หากเปรียบคำพูดเหมือนดั่งมีด ตอนนี้เมทินีกำลังทำหน้าที่กดมีดเล่มนั้นเข้าไปที่ตัวของณัฐซ้ำๆ เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหากไม่ใช่เรื่องทุกข์ขนาดน้ำตาตกหรือเดือดร้อนมากมาย คำปลอบใจจะไม่มีทางหลุดออกจากปากเพื่อนในกลุ่มอยู่แล้ว และการที่ณัฐถูกผู้หญิงทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสมาชิกในกลุ่ม เพื่อนชายของพวกเธอคนนี้โดนทิ้งบ่อยเสียจนทุกคนชินและเอือมระอามาตั้งแต่สมัยเรียน

“ก็ปากมันหมะ... อ่า ปากเสีย หน้าตาไม่ดี บ้านจน การงานก็ยังไม่ถึงไหน อะไรอีกนะมล แกช่วยฉันคิดหน่อย”

เมทินียังคงสนุกกับการดึงมีดออกมาแล้วเสียบเข้าไปใหม่ เพิ่มแผลให้กับณัฐอย่างไม่ยั้งมือ จนนฤมลชักจะกลัวใจ กลัวณัฐความอดทนขาดผึงแล้วลุกขึ้นมาทะเลาะกับเพื่อนสาวจริงจัง แต่พอเหลือบดูก้อนผ้าห่มกลมๆ ยังคงนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ทำให้เบาใจไปเปราะนึง หวังว่าเพื่อนเธอคงไม่เป็นอะไรมาก

“พอแล้วเม กลั้นใจตายในผ้าห่มไปแล้วมั้งนั่น” ว่าแล้วนฤมลก็พยักเพยิดไปทางก้อนกลมๆ กลางเตียง จนเมทินีต้องมองตาม แต่พอเห็นแล้วดันเกิดไอเดียขึ้นมาอีกครั้ง

นฤมลนั่งมองเพื่อนด้วยหน้าตาสงสัย เมื่อเมทินีส่งสัญญาณมาให้เธอเงียบเสียงห้ามพูดใดๆ แล้วยกมือขึ้นปัดไปปัดมาเป็นเชิงไล่เธอออกจากการกีดขวางจราจร เสร็จแล้วคนมีแผนอยู่ในใจก็ยิ้มออกมาอย่างที่ใครเห็นก็ต้องบอกว่าราวกับแม่มดชั่วร้ายในนิทานไม่มีผิด

มือเล็กผลักก้อนกลมๆ ไปจนเกือบสุดเตียงอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายที่อยู่ในก้อนนั้นสักนิด พอถึงจุดที่นึกไว้ก็หยุดมือ จากนั้นเธอจึงขึ้นไปยืนบนตียงพยักหน้าให้นฤมลจับก้อนกลมนั้นให้นิ่งไว้ ไม่ให้คนอยู่ข้างในสามารถหาทางออกมาได้ เท้าเล็กๆ ถูกยกขึ้นมาพร้อมกับยกมือเท้าเอวข้างหนึ่ง หญิงนับหนึ่งถึงสามในใจก่อนจะดีดเท้าตัวเองไปข้างหน้าอย่างเร็วและแรง ก้อนกลมๆ กลิ้งหลุนๆ ตกเตียงดังโครมใหญ่ ก่อนจะแตกออกมาเป็นร่างของณัฐนอนแผ่อยู่ด้วยใบหน้างอเป็นตะหลิว

“กูโป้งพวกมึงแล้ว อย่ามายุ่งกับกูนะ”

สองสาวไม่ทำอะไรนอกจากยืนหัวเราะด้วยความสะใจ อาการแบบนี้ใช่ว่าณัฐไม่เคยเป็น แต่มันกลับเป็นบ่อยพอๆ กับการที่เพื่อนหนุ่มเจอผู้หญิงบอกเลิก ทั้งนฤมลและเมทินีจึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยขณะที่ชายหนุ่มตะเกียกตะกายขึ้นเตียงพร้อมผ้าห่มผืนนั้น

นั่งคุยกันอีกสักพัก ศตวรรษก็เดินออกจากห้องน้ำมาพร้อมกับใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นฤมลจึงหันมาบอกกับเพื่อนอีกคนที่ยังไม่ได้อาบน้ำอยู่คนเดียว แต่ณัฐกลับอ้างเรื่องอากาศที่ร้อน แม้ว่าลมทะเลที่พัดแรงเย็นสบาย แต่พอกลับเข้าห้องเนื้อตัวก็ต้องเหนียวจนนอนไม่ได้ เลยยังไม่อยากอาบน้ำ แม้นฤมลจะบอกว่าต้องไปเจอเจ้าของรีสอร์ต แต่ณัฐกลับตอบกลับมาเพียงสั้นๆ

“ต่อให้มึงพากูไปเจอนายกฯ กูก็จะอาบตอนก่อนนอนอยู่ดี”

ป่วยการจะขอร้อง นฤมลถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับเพื่อนของตนเอง วันไหนเกิดนึกอยากจะดื้อ ณัฐก็จะดื้อแบบหัวชนฝา ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น แม้แต่เพื่อนอย่างพวกเธอก็ห้ามมันไม่ไหว

“นัดแม่คุณซีไว้กี่โมงนะมล” เมทีนีเอ่ยถาม หลังจากรอศตวรรษแต่งตัวเล็กน้อยก่อนออกไปข้างนอก

“ประมาณหกโมงเย็นน่ะ ไปทานข้าวเย็นนู่น”

“อะไรวะ ทานข้าวเย็นนู่น นู่นไหน” ณัฐซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะตัวเองมัวแต่นอนอยู่ในห้องถึงกับเหวอ ตอนนั่งๆ กันอยู่เมื่อครู่ก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไร “ตกลงเราไม่ได้กินข้าวที่รีสอร์ตหรือ”

“เออ ไอ้มล ความจริงฉัน ไอ้ณัฐแล้วก็ไอ้เมหาที่กินร้านแถวนี้ก็ได้นะ เจ้าของบ้านยังไม่รู้จักพวกฉันเสียหน่อย ทำตัวไม่ถูก”

นฤมลกัดริมฝีปากครุ่นคิด นึกอยู่เหมือนกันว่าทั้งสามยังไม่รู้จักคุณเวศน์กับคุณอรทัย แล้วเธอก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรมากมายเสียด้วย แต่ตอนที่นายนั่นมาบอกให้ไปกินข้าวเย็นเธอดันปากไว ตอบตกลงเขาไปแล้วนี่สิ... สงสัยต้องไปคนเดียวเสียแล้ว

“อือ เอางั้นก็ได้ พวกแกก็หาข้าวกินแถวๆ นี้แล้วกันนะ เดี๋ยวฉันไปเอากล้องเสร็จแล้วจะโทรหา”


เย็นนั้นทั้งสี่แยกกันไปเป็นสองทางคือ นฤมลมุ่งไปยังบ้านของเจ้าของรีสอร์ตตามที่ได้บอกกรกฎไว้ ส่วนอีกสามก็มุ่งหน้าไปยังชายหาด เพื่อหาร้านอาหารนั่งทานอาหารเย็น และดื่นด่ำกับเสียงคลื่นยามพระอาทิตย์ตกดิน

นฤมลเดินเข้าไปในตัวบ้านอย่างเคยชิน เพราะนี่ก็ปาเข้าไปครั้งที่สามที่สี่แล้ว ที่เธอเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ หญิงสาวเดินเข้าไปพร้อมกับตะโกนทักทายเจ้าของบ้านด้วยเสียงที่ดังและท่าทางที่สดใส สร้างความเอ็นดูให้กับเจ้าของบ้านได้ไม่ยาก คุณอรทัยยิ้มแย้มกับหญิงสาวก่อนจะยกมือขึ้นรุนหลัง เพื่อตรงไปยังโต๊ะรับประทานอาหารที่แม่บ้านกำลังจัดเตรียมของอยู่

“หนูช่วยนะคะป้า” หญิงสาวเสนอตัวอย่างเต็มใจ ยื่นมือไปจับจานที่มีข้าวอยู่ในนั้นสองทัพพี แต่ป้าแจ่มแม่บ้านผู้ที่กำลังจัดโต๊ะอยู่กลับไม่ยอมปล่อยให้นฤมลถือจานไปวางได้ง่ายๆ

“ไม่เป็นไรค่ะคุณ เดี๋ยวป้าจัดเอง อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว คุณอยู่คุยเป็นเพื่อนคุณผู้หญิงเถอะค่ะ”

“คุณ เคิน อะไรกันคะป้า เรียกหนูว่ามลก็ได้ค่ะ หนูยังไม่อยากอายุสั้นนะคะ” แม่บ้านผู้อาวุโสไม่พูดอะไรต่อนอกจากส่งยิ้มให้ อย่างคุณป้าใจดี แล้วหันมาจัดของบนโต๊ะต่อ

“หนูมล ปล่อยให้แจ่มจัดไปก็ได้ เราไปตามสองหนุ่มนั้นดีกว่า สงสัยจะนั่งคุยกันอยู่หน้าบ้าน”

จริงดังคิดไว้ คุณอรทัยเห็นสองพ่อลูกนั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน คุณเวศน์นั่งหัวเราะเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใครจนคนเป็นภรรยาอดสงสัยไม่ได้ ถึงกับต้องเดินไปใกล้ๆ ชะโงกดูของที่วางอยู่บนโต๊ะมีเพียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวเท่านั้น คนอยากรู้ขมวดคิ้วแทบชนกัน หันมามองนฤมลอย่างเป็นคำถาม แต่ถึงอย่างนั้นนฤมลที่เดินมาด้วยกันก็ไม่สามารถบอกอะไรได้ จึงได้เพียงแต่ส่งยิ้มแหยไปให้

“หัวเราะอะไรกัน สองพ่อลูก”

เสียงหัวเราะหยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณเวศน์กลับหัวเราะขึ้นมาอีกหน เมื่อเหลือบไปเห็นคนที่เดินมากับภรรยาตนเอง ทำเอานฤมลทำหน้าไม่ถูกไปชั่วครู่ ยิ่งหันไปเจอกรกฎที่มีรอยอมยิ้มอยู่บนใบหน้ายิ่งงงเข้าไปใหญ่ ราวกับทุกคนกำลังหัวเราะเธอ

“คุณ ขำอะไร” หญิงสาวเข้าไปกระซิบใกล้ๆ ไม่ให้ คุณอรทัยได้ยินว่าเธอแอบเรียกกรกฎว่าคุณ ไม่ได้เรียกพี่เหมือนที่คุณอรทัยเคยบอกไว้ แต่ถึงถามออกไปอย่างนั้นเธอก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอที่บอกได้ว่าเขาได้ยินที่เธอพูด “นี่คุณ หยุดขำแป๊บนึงได้ไหม”

กรกฎไม่ได้ตอบอะไร นอกจากยื่นโทรศัพท์ให้คนถามดูเอาเองว่ามีอะไรขึ้นอยู่ที่หน้าจอ นฤมลยื่นหน้าเข้าไปมองอย่างงงๆ ไม่ได้รับโทรศัพท์มาถือเอง หน้าตาไม่ได้บอกถึงความกระจ่างแจ้งในการกระทำชายหนุ่มเลยสักนิด


ตาโตๆ เบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นรูปที่โชว์อยู่ที่หน้าจอ ผู้หญิงทาสีดำทั้งตัวอย่างไม่ใช่สีผิวธรรมชาติ ทำผมฟูคล้ายทรงอัฟโฟ ทัดหูด้วยดอกชบาสีแดง ดูยังไงก็ไม่พ้นเงาะป่าในวรรณคดีไทย นฤมลคงไม่ตกใจขนาดนี้หากผู้หญิงที่อยู่ในนั้นไม่ใช่เธอ หญิงสาวไม่นึกว่าลูกศิษย์ตัวเองจะทรยศหักหลังกันได้ขนาดนี้

ภาพนี้ถูกถ่ายหลังจากที่การแสดงเสร็จไปแล้ว เธอถูกลูกศิษย์ในคณะขอร้องให้ช่วยแสดงเพื่อเพิ่มสีสันเล็กน้อย เพราะหาคนเล่นบทนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ คราวนั้นนฤมลยังเป็นอาจารย์ที่เพิ่งเริ่มสอนได้ไม่ถึงปี และด้วยอายุที่พอใกล้ๆ กับลูกศิษย์อยู่บ้าง ยิ่งเจอลูกอ้อนของพวกเด็กนักศึกษาเข้าไป จึงตอบตกลงเล่นด้วยความนึกสนุกขึ้นมา

ยัยลูกศิษย์ตัวแสบของเธอไปหามาได้ยังไงนะ...

มือขาวพยายามคว้าสิ่งที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถือมาเพื่อกดลบภาพที่โชว์หราอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ทัน...คราวนี้กรกฎรีบดึงมันกลับพร้อมกับส่งให้มารดาตนเองดูว่าเขากำลังหัวเราะอะไรกับบิดา

คุณอรทัยเบิกตากว้างเล็กน้อยอ้าปากค้างแล้วหันมาทางเธอ เท่านั้นแหละ... เสียงหัวเราะอีกเสียงถึงดังก้องสนามหญ้าหน้าบ้าน ทำเอาป้าแจ่มถึงกับโผล่หน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านาย ถึงหัวเราะกันเสียงดังลั่นบ้านขนาดนั้น เสียงหัวเราะดังอยู่นานจนนฤมลแทบจะหมุดตัวกลับแล้วเดินออกจากบ้านไป ทั้งสามไม่มีใครสนใจเธอเลยสักนิด ต่างชี้ชวนกันให้ดูรูปในโทรศัพท์ของกรกฎ... หญิงสาวเข่นเขี้ยว นึกอาคาดทั้งพี่ทั้งน้องที่เอารูปเธอมาแฉกับผู้อาวุโสทั้งสอง อย่าให้ถึงทีเธอเอาคืนบ้างแล้วกัน นฤมลคนนี้จะฝังให้จมดินไปเลย

“น่ารักออกนะหนูมล” มารดาของกรกฎเอ่ยออกตัวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่ฟังอย่างไรก็ไม่นึกชอบ “อย่าคิดมากเลยจ้ะ ยัยทรายคงจะส่งมาเล่าให้ตาซีเขาฟังว่าอาจารย์เคยทำอะไรบ้าง”

หญิงสาวเหลือบมองคนต้นเรื่อง ที่นั่งตรงข้ามเธอ ตักข้าวเข้าปากโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการกระทำทั้งหมด ชายหนุ่มไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเธออับอายกับเรื่องนี้แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปตั้งแต่ตอนเห็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ยัยธนิตา ยัยลูกศิษย์ตัวแสบ กลับไปจะหักคะแนนเสียไม่ให้เหลือเลยคอยดู

“ค่ะคุณป้า รูปนั้นก็หลายปีแล้ว มลไม่คิดมากหรอกค่ะ” กรกฎกลั้นหัวเราะแทบตาย คนไม่คิดมากคงไม่รู้ตัวว่าตนเองพูดด้วยถ้อยคำกัดฟันเพียงไหน อาการแบบนี้มันน่าแกล้งน้อยเสียเมื่อไหร่

“เออ ได้ข่าวว่าวันนี้เพื่อนหนูมาพักด้วยหรือ หนูมล” คุณเวศน์เอ่ยขึ้น พยายามเปลี่ยนเรื่องให้ไกลเรื่องที่แล้วเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเด็กสาวที่นั่งอยู่ทำไม่หยุดส่งสายตาคมราวมีดไปทางลูกชายตน “มากันกี่คนล่ะ ห้องที่หนูมลพักพอหรือเปล่า”

“มากันสามค่ะคุณลุง รวมมลก็เป็นสี่ มลใช้วิธีเอาลากเตียงมาติดกันคงนอนพอค่ะ แต่ก็ต้องขอโทษคุณลุงคุณป้าด้วยนะคะ ที่ไม่ได้จองห้องเพิ่มทั้งที่ห้องนั้นเป็นห้องสำหรับสองคน”

เรื่องนี้เธอทำผิดจริง ขนาดห้องที่เอาไว้สำหรับพักเพียงสองคน โดยปกติแล้วทางโรงแรมหรือรีสอร์ตไหนก็ตาม ไม่มีทางให้พักเกินนั้นนอกจากจะเพิ่มเตียง แต่ก็อีกนั่นแหละ เพราะทำกันแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนเลยติดนิสัยแย่มาทำกับที่นี่ด้วย โดยหญิงสาวไม่ทันคิดว่าเธอจะมารู้จักกับเจ้าของรีสอร์ตใกล้ชิดขนาดนี้

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะหนูมล ป้ากับลุงไม่ว่าอะไรหรอก ว่าแต่ที่มานั่น ขอโทษนะจ๊ะ เพื่อนผู้หญิงหมดเลยหรือเปล่าหนูมล”

“อ๋อ เปล่าค่ะ มีเพื่อนผู้ชายสองคน อีกคนเป็นผู้หญิง เอ่อ... แต่คุณป้าไม่ต้องห่วงนะคะ พวกหนูเป็นเพื่อนกันมานาน มันไม่ทำอะไรหนูหรอกค่ะ”

เมื่อรู้ว่านฤมลไม่ได้มีเพียงเพื่อนผู้หญิง คุณอรทัยใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวเหลือเกินว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นคนรักของเด็กที่เธอหมายตาตำแหน่งลูกสะใภ้ไว้ ใจเร็วเท่าความคิด คนเป็นคิดอยากได้ลูกสะใภ้จึงเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่แฟนหนูใช่ไหมจ้ะ หนูมล”

“ไม่หรอกค่ะ เพื่อนกันทั้งนั้น หนูรักมันไม่ลงหรอกค่ะ” คนถูกถามปฏิเสธทันควัน ไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกันว่ากลัวผู้อาวุโสหรือใครอีกคนที่นั่งฟังอยู่เข้าใจผิดกันแน่

คุณนายของบ้านก็แอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ให้ทั้งว่าที่ลูกสะใภ้และลูกชายตัวเองรู้ตัวว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ได้ยินที่ว่าที่ลูกสะใภ้พูดอย่างนี้แล้วค่อยเบาใจลงหน่อย

“ถ้างั้นเอาอย่างนี้ไหมหนูมล หนูกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนก็มีอยู่เสียที่บ้านป้านี่แหละ ปล่อยให้ผู้ชายเขาอยู่บ้านหลังนั้นไป เวลานอนหรือทำอะไรจะได้ไม่อึดอัด” คนถูกชวนกำลังจะอ้าปากปฏิเสธอยู่แล้วเชียว หากลูกชายเจ้าของบ้านไม่สะกิดต่อมท้าทายเธอเสียก่อน

“อย่าไปชวนเขาเลยครับแม่ มาอยู่บ้านเราเขาจะอึดอัดเปล่าๆ” เสียงเปรยเนิบๆ ทำเอานฤมลต้องถลึงตาแทนคำพูดจนแทบหลุดออกจากเบ้า

“อึดอัดอะไรกันจ๊ะ คนกันเองทั้งนั้น ห้องที่บ้านนี่ก็เหลืออยู่ตั้งสองห้อง ให้แจ่มเขาทำความสะอาดสักห้องจะเป็นอะไรไป นะจ๊ะหนูมล หนูกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนมาพักที่นี่กันดีกว่า”

“เอ่อ...”

นฤมลนึกจนปัญญาที่จะพูดปฏิเสธ ความหวังดีของเจ้าของบ้านทำเอาเธอไม่อยากทำร้ายความหวังดีนั้น หญิงสาวเข้าใจดีว่าการที่ผู้หญิงกับผู้ชายจะนอนห้องเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่ดูไม่ดีสักเท่าไหร่ในสายตาคนนอก ถึงแม้จะยืนยันให้หนักแน่นอย่างไรก็ตามว่าไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นในนั้น ยิ่งสายตาคะยั้นคะยอแกมขอร้องของคุณอรทัยที่ส่งมานั่นอีก เธอจะปฏิเสธลงได้อย่างไร

“มาเถอะหนูมล ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเองจะได้มาอยู่คุยเป็นเพื่อนป้าเขาด้วย” หญิงสาวนิ่งไปนานพอควรจนคุณเวศน์ต้องเอ่ยปากอีกครั้ง นฤมลจึงตอบตกลง

“เอ่อ... ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณลุงคุณป้า”

“จ้ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวป้าจะให้แจ่มไปทำความสะอาดไว้ให้ ทานข้าวเสร็จหนูมลไปเก็บของที่บ้านพักมานะจ๊ะ ให้เพื่อนหนูอีกคนมาด้วยกันเลย ซี เดี๋ยวลูกไปช่วยน้องเก็บของมาที่บ้านด้วยนะ เข้าใจไหม” ยังไม่ทันที่กรกฎจะแย้งอะไรได้ มารดาของเขาก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นเสียแล้ว เขาเกิดมาเพื่อให้คุณนายบ้านนี้โขลกสับเสียจริงๆ

==========================

เจอกันวันศุกร์นะค้า ^^



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ย. 2555, 13:13:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ย. 2555, 13:13:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1523





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account