วังวนริษยา
แรงรัก แรงริษยา เกาะเกี่ยวเวียนวนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๔

ตอนที่ ๔

เมื่อเบื่อจะอยู่บ้านปวรินจึงนัดกับเพื่อนเพื่อออกไปเที่ยวกันตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งเคยไปกัน

กลุ่มคุณหนูวัยรุ่นของเธอมีด้วยกันสามคน ทั้งสามคนเป็นลูกสาวของคนใหญ่คนดังในจังหวัดกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น สุครียา หรือครีม ลูกสาวของท่าน ส.ส. คนดังของจังหวัดนี้ แต้มดาว ลูกสาวสุดสวาทของผู้บริหารโรงเรียนชื่อดังระดับจังหวัด และ ปางติรา ลูกสาวของนักธุรกิจก่อสร้างรายใหญ่

หลังรวมตัวกัน ทั้งสี่สาวก็นัดเจอกันที่ท่าน้ำน่าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่กลุ่มวัยรุ่นมักจะนัดรวมตัวกัน ทั้งเพื่อจัดกิจกรรมหลายๆ ด้าน และทั้งเพื่อพบปะพูดคุยกันไปตามประสาลูกชายลูกสาวของผู้มีอันจะกินหลังจากไม่คิดจะทำอะไรที่บ้าน

กลุ่มของปวรินคือกลุ่มหลัง และเมื่ออยู่กันครบเซตแล้วพวกเธอก็เปิดประเด็นนินทาคนโน้นคนนี้ตามพื้นนิสัยไม่เคยสนใจใครของลูกสาวคนดังระดับจังหวัด

“นี่พวกเธอ ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง” แต้มดาวเปิดประเด็นที่สองขึ้น หลังประเด็นแรกจบไปสักระยะหนึ่ง

“อะไร...” เหล่าเพื่อนๆ ต่างหันมามองแต้มดาวเป็นจุดเดียว

“เมื่อวานฉันผ่านที่หน้าค่ายนะ เจอพี่ทหารคนหนึ่งน่ารักมากๆ เลย”

พูด ทั้งๆ ที่ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเขาคนนั้นเป็นใคร หรือแม้กระทั่งชื่อก็ไม่รู้ ขอให้ได้พูดและจุดประเด็นความสนใจของเหล่าเพื่อนๆ ได้ก็เพียงพอแล้วล่ะ

“ทหารเกณฑ์ล่ะสิ” ปางติราเอ่ยเสียงเหยียด มองเพื่อนสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างค้นหา หรือรสนิยมแม่นี่จะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จากนักโทษในคุกซึ่งทางมหาลัยพาไปดูเมื่อปีก่อน มาเป็นทหารเกณฑ์ที่กวาดใบไม้อยู่หน้าค่าย

“คราวก่อนไหนว่าเธอบอกว่าผู้ชายในคุกหล่อไง...” ปวรินแขวะอีกตามนิสัย

“เปล่า พี่เขาไม่ใช่ทหารเกณฑ์หรอก แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นผู้คุมนะ” แต้มดาวแก้ต่างคำพูดตัวเอง

“ผู้คุม แหวะ...ผู้คุมแก่ๆ หรือยะ” สุครียาเสริมอีก

“ไม่ใช่...ไม่ใช่ผู้คุมแก่ๆ หรือทหารเกณฑ์ที่พวกเธอเข้าใจหรอก แต่เป็นพี่ผู้คุมสุดหล่อ หน้าขาวตี๋ น่ารักอ่ะ” แต้มดาวเอามือกุมระหว่างกัน พร้อมทำสายตาชวนฝัน

“ชิ...เป็นคนอื่นฉันไม่ว่าหรอกนะ แต่ห้ามมาเป็นพี่กานต์ของฉันเด็ดขาด” ปวรินเชิดหน้าบอกเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้

“ใครยะ พี่กานต์ของเธอ แป๋ว” แต้มดาวเบิกตาอย่างใคร่รู้ ดูเหมือนเรื่องนี้เธอจะตกข่าวไปถนัดตา หลังจากไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัวเมื่ออาทิตย์ก่อนและเพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่กี่วัน

“ครีม ปาง บอกฉันมาสิว่าพี่กานต์ของยายแป๋วคือใครอ่ะ” หันมาทางเพื่อนสาวอีกสองคนพลางเค้นถาม ขณะปวรินอมยิ้มกับความภาคภูมิใจของตนที่ได้รู้จักกับ
กานต์ นายทหารซึ่งเพิ่งย้ายมาประจำการที่ค่ายในจังหวัดและได้เข้ามาติดต่องานกับบิดาของเธอ

“ฉันว่าเธอถามยายแป๋วเองดีกว่า ดูเหมือนว่าจะภูมิใจกับการบอกมากนะ” ปางติราโบ้ยมาทางปวรินทั้งตั้งหน้าฟังคำตอบจากเพื่อนสาว

“พี่กานต์น่ะหรือ...” ยกมือขึ้นกุมกัน ดวงตาคู่สวยฉายแววเพ้อฝัน “เค้าก็เป็นแฟนของฉันน่ะสิ ถามได้”

“ห๊ะ...แฟน” แต้มดาวเสียงดัง มองเพื่อนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ก็ใช่น่ะสิ หล่อด้วยนะ” ปางติราช่วยเสริม แม้ว่าจะมองอย่างไรแล้วกานต์ไม่ได้แสดงออกว่าเป็นแฟนกับเพื่อนสาวของเธอสักเท่าไร แต่ปวรินน่ะสิแสดงจนออกหน้าออกตาเสียอย่างนั้น

“แล้วไปคบกันตอนไหนน่ะ ทำไมฉันไม่รู้ นี่ฉันตกข่าวไปตั้งแต่เมื่อไหร่นี่” แต้มดาวมองเพื่อนพลางเค้น

“แล้วเธอเคยถามฉันไหมล่ะ” ปวรินเชิดหน้าตอบ

“ชิ...นำเพื่อนไปแล้วนะเธอ”

“คนนี้คุณพ่อฉันแนะนำให้รู้จักย่ะ เราก็เลยเป็นแฟนกัน”

“ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่เล้ย...นี่แสดงว่าเธอทึกทักว่าพี่เขาเป็นแฟนอีกแน่ๆ” แต้มดาวยังไม่เชื่อ และก็เชื่อว่าสิ่งที่ปวรินพูดนั้นคือสิ่งที่เพื่อนสาวของเธอคิดเพียงฝ่ายเดียว เพราะหลายครั้งมาแล้วที่บิดาของปวรินแนะนำคนให้กับลูกสาวได้รู้จัก และเมื่อไรที่ปวรินถูกใจก็มักจะทึกทักว่าคนนั้นเป็นแฟน

อย่างรายล่าสุด ขนาดหนุ่มธนาคารคนหนึ่งเขามีภรรยาอยู่แล้ว ปวรินก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาคนนั้นจนเกิดเป็นเหตุความหึงหวงขึ้น ภรรยาของหนุ่มคนนั้นมา
อาละวาดถึงบ้านท่านผู้ว่า และนั่นจึงทำให้ความจริงเปิดเผยและบิดาของปวรินต้องมาห้ามบุตรสาวอย่างเด็ดขาดไม่ให้ไปยุ่งกับคนนั้นอีก

อย่างนายทหารคนนี้ แต้มดาวก็เชื่อเช่นกันว่าเพื่อนสาวของเธอคงจะคิดไปเองอย่างทุกครั้งแน่นอน

แต่ก่อนที่ทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้ พลันสายตาของสุครียาก็เหลือบไปเห็นปรียา ซึ่งเธอรู้จักเป็นอย่างดีว่าเป็นพี่สาวของปวรินเดินเข้ามายังที่ตรงนั้นพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน

“แป๋ว...นั่นพี่สาวของเธอนี่ ใช่หรือเปล่าน่ะ”

ทุกสายตาหันไปตามสุครียาชี้ ก่อนจะเห็นเป็นเช่นนั้น ปวรินแบะปากนิดหนึ่ง แล้วรีบตรงเข้าไปหาเรื่องในทันที

“ตามฉันมา...ฉันมีอะไรเด็ดๆ จะให้ดู”

////////////////

ปรียากางมือรับลมเย็นซึ่งพัดมาจากลำน้ำน่านที่ไหลผ่านตรงหน้าไปอย่างเชื่องช้า นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้มาที่นี่ แล้วก็นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่มีความสุขกับการที่ได้มายังที่แห่งนี้กับเพื่อนๆ อีกครั้ง

สถานที่ซึ่งเธอและเพื่อนเคยมาฝึกซ้อมหรือทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เมื่อยามว่างงาน ไม่ว่าจะมานั่งเล่นพูดคุยกัน ทั้งเล่นดนตรีไทยและการฝึกซ้อมฟ้อนรำต่างๆ ในยามที่มีงานของโรงเรียน

วันนี้เธอได้กลับมายังที่แห่งนี้พร้อมกับเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นแวววรรณ จักจั่น และตาลแก้ว แม้ว่าจะขาดจันทร์เจ้าซึ่งเธอได้รับการเล่าเรื่องราวของเพื่อนสาวในระยะที่ผ่านมาและบัดนี้จันทร์เจ้าเพื่อนของเธอคงจะมีความสุขกับการได้ท่องเที่ยวไปกับแฟนและครอบครัวไปแล้วล่ะ

“อิจฉายายจันทร์จังเนอะ มีแฟนกับเค้าแล้ว” ปรียาเอ่ย พร้อมกับทอดสายตามองพื้นน้ำไหลเย็น ขณะเพื่อนของเธอต่างทยอยกันเดินลงมานั่งตามขั้นบันไดท่าน้ำไม่ห่างมากนัก

“เธอล่ะแป้ง ไปอยู่กรุงเทพฯ เสียนานมีแฟนกับเค้าหรือยัง” แวววรรณถามอย่างใคร่รู้

“ยังเลย ฉันไปศึกษาเล่าเรียนนะ ไม่ใช่ไปหาแฟน” ปรียาตอบด้วยน้ำเสียงขบขันมากกว่าจะจริงจัง

“ตอแหล”

ยังไม่ทันที่เหล่าเพื่อนสาวของปรียาจะทันได้พูดอะไร พลันเสียงของปวรินก็ดังขึ้น จึงทำให้ทุกคนต่างหันไปมองผู้พูดเป็นตาเดียว

“นึกว่าเสียงใครที่ไหน ที่แท้ก็น้องแป๋วนี่เอง” แวววรรณเอ่ยเสียงเยาะ เจอกันทุกครั้งเธอกับน้องสาวของเพื่อนเป็นต้องปะทะกันทุกครั้งเช่นกัน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปวรินและผองเพื่อนมาหาเรื่องปรียาตามนิสัยอันธพาล ทว่านี่เป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมังที่ปวรินมักจะโผล่มาแหวะเพื่อนสาวของเธอแบบนี้

“แล้วคิดว่าใครล่ะ นางฟ้าจากสวรรค์หรือคะ พี่แวว”

“ไม่ใช่หรอกค่ะน้องแป๋ว ที่พี่ว่ามันหมายถึงเสียงของ....อะไรนะยายจั่นที่มันชอบเห่า ชอบกัดน่ะ” โยนกลองไปให้เพื่อน ซึ่งจักจั่นก็รับช่วงอย่างรวดเร็ว

“หมาน่ะ แวว”

“อ๊าย นี่พวกแกว่าฉันหรือยะ”

โดนว่ากระทบแบบนั้น ปวรินซึ่งเป็นฝ่ายหาเรื่องคนแรกกลับเป็นเดือดในทันที สุครียาที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนสาวจึงเข้ามาแทรกกลางอย่างรวดเร็ว

“ที่ว่านี่ ตัวเองหรือเปล่าคะ คุณพี่...”

“ไม่ได้ว่าตัวเองหรอกค่ะคุณน้อง พี่แค่เปรียบเทียบกับบุคคลซึ่งไร้มารยาทและเข้ามาหาเรื่องคนอื่นก่อนเท่านั้นแหละค่ะ” แวววรรณตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานพลางมองหน้าสาวรุ่นน้องอย่างเหยียดหยัน

“ที่แกว่าอยู่นี้มันไม่ใช่ฉันหรือยะ” ปวรินขึ้นเสียงอีก

“แกเลยหรือคะน้องแป๋ว น้องแป๋วก็รู้นี่คะว่าถ้าใครแรงมาก่อน พี่ก็จะแรงตอบ คราวก่อนจำไม่ได้หรือคะ หรือว่านานเกินไปอยากจะฟื้นความจำ” แวววรรณลอยหน้าตอบ

“พอเถอะแวว มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เราไปที่อื่นกันเถอะ”

ไม่อยากจะมีปัญหากับกลุ่มนี้อีก แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นคนในครอบครัวของเธอ แม้ว่าจะนึกหยันต่อพื้นนิสัยของปวรินและเพื่อนๆ แค่ไหน แต่เธอก็ไม่อยากจะเอาอะไรไปแลกกับความไร้สาระพวกนี้ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ากลุ่มนี้เขามีนิสัยอย่างไร ปรียาจึงดึงแขนแวววรรณจะให้เดินแยกไปอีกทาง ทว่าปวรินกลับเข้าไปขวางเอาไว้เสียก่อน

“จะไปไหนหรือ นังพี่แป้ง”

“พี่จะไปเที่ยวต่อ แป๋วหลีกไปดีกว่า” ไม่อยากมีเรื่องจึงพยายามเลี่ยงอย่างเป็นที่สุด ทว่าปวรินก็ใช่ย่อย ผลักอกปรียาที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดท่าน้ำจนเสียหลักล้มลง ดีที่จักจั่นและตาลแก้วรับไว้ทัน

“มันจะมากไปแล้วนะน้องแป๋ว นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ” เห็นเพื่อนสาวถูกแกล้ง แวววรรณจึงเดือดในทันที

“ก็หาเรื่องนี่ หรือว่าพี่แววไม่รู้ภาษาคน จนไม่รู้ว่าแป๋วทำอะไร”

ปวรินกอดอกเชิดหน้ามองปรียาและเพื่อนๆ ของพี่สาวอย่างเยาะหยัน แวววรรณที่เส้นความอดทนขาดผึงไปนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นเพื่อนสาวถูกผลัก จึงเข้าไปผลักอีกฝ่ายให้ล้มลงตามทันที

“ใครต่ำมา ฉันก็ต่ำให้ได้เช่นกัน”

“อ๊าย นี่แกกล้าผลักฉันหรือ” ปวรินโวย มองแวววรรณตาเขม็งอย่างเคียดแค้น

“ก็ทำน่ะสิ หรือน้องแป๋วไม่รู้ว่านี่คือผลัก พี่จะให้ตอบสนองให้อีกครั้ง”

“หยุด หยุดเลยนะ” ปางติราและแต้มดาวเข้ามาขวางด้วยดวงตาเขียวปัด

“นี่คิดจะเล่นหมู่เลยหรือคะน้องๆ” เอ่ยพลางยิ้มเหยียดมองสี่สาวซึ่งขยับเข้ามาบังปวรินและพร้อมจะปกป้องกันได้ทุกเมื่อ

“หยุดเถอะแวว...ฉันว่าเราไปทางอื่นกันดีกว่า”

ปรียาลุกขึ้นโดยการพยุงของตาลแก้วและจักจั่น หญิงสาวเดินเข้ามาขวางแวววรรณที่เดือดจัดเกือบจะปิ๊ดขาดในเวลานั้นพลางลากแขนของเพื่อนสาวให้เดินออกมาในที่สุด

“หยุดนะนังพี่แป้ง กลับมาเดี๋ยวนี้นะ”

ปวรินไม่พอใจที่เห็นปรียาลากแขนพาเพื่อนเดินจากไป โดยไม่โต้ตอบเธอเหมือนแต่ก่อนที่มักจะจบด้วยการรุมตบรุมตีกันจนเรื่องถึงโรงพัก

ปรียาหันมายิ้มเหยียดมองหน้าน้องสาวนิดหนึ่งแล้วพูด “นิสัยของพี่และตระกูลของคุณพ่อไม่ได้เป็นอันธพาล จำเอาไว้ปวริน”

คำพูดอันเจ็บแสบยิ่งทำให้ปวรินเนื้อเต้นอย่างแค้นสุดแสน เธอมองตามกลุ่มปรียาซึ่งเดินจากไปโดยไม่ตอบโต้อะไรอีกก็ยิ่งแค้นจัด เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้จึงได้แต่กระทืบเท้าลงพื้นและเค้นเสียงออกมาอย่างโกรธจัด

“อ๊าย ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ นังแป้ง แกกับฉันแล้วเราจะได้เห็นดีกัน”

/////////

หลังแยกจากกลุ่มของปวรินมาได้ ปรียาก็ถอนใจกับการที่ตนสามารถข่มอารมณ์ได้และไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“เธอจะห้ามฉันทำไมแป้ง ฉันอยากจะเอาเลือดปากน้องแป๋วออกสักหยดสองหยด ข้อหาที่ไม่ยอมเคารพความเป็นพี่เป็นน้องกัน” แวววรรณเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ อารมณ์โกรธซึ่งคุกรุ่นส่งผลให้กรอบหน้าเธอแดงก่ำอย่างน่ากลัว

“ทำไปแล้วมันมีประโยชน์อะไรแวว” ตาลแก้วเข้ามาปลอบ “สุดท้ายมันก็จบลงที่เรื่องเดิมๆ คือขึ้นโรงพัก แม้ว่ามันจะไม่ร้ายแรงอย่างกับคนอื่นๆ ที่ต้องนอนคุกสักคืนสองคืน แต่มันก็ดีไม่ใช่หรือที่เราสามารถแยกออกมาได้โดยไม่มีเรื่องพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง”

“แต่ฉันแค้นนี่ตาล คนอะไรนิสัยเสียสุดๆ”

“อันนั้นฉันก็เห็นด้วยนะแวว แต่ก็บอกแล้วไงมันมีประโยชน์อะไร ทำกันไปแก้แค้นกันมา มันไม่มีประโยชน์มากไปกว่าที่จะทำให้เราลงไปจมอยู่กับวังวนเดิมๆ หรอก”

พยายามจะให้เพื่อนสาวเข้าใจ ตาลแก้วจึงเริ่มอธิบายอีกครั้งอย่างนิสัยที่ต้องการช่วยให้เพื่อนสาวมีอารมณ์ที่ลดน้อยลง

“แล้วเธอว่ายังไงล่ะ แป้ง” พออารมณ์ที่ลดลงบ้างแล้ว แวววรรณจึงหันไปทางเพื่อนสาวที่นั่งนิ่งอยู่

“ฉันขี้เกียจมีปัญหาน่ะแวว จึงพยายามหลีกๆ ไป”

“ดูเธอเปลี่ยนไปมากนะแป้ง กลับจากกรุงเทพฯ คราวนี้ ดูเธอจะนิ่งเย็นลง” จักจั่นมองเพื่อนสาวอย่างค้นหา ปรียานอกจากจะนิ่งลงแล้ว ทว่าในแววตาแม้ว่าจะลดทอนความเศร้าไปได้บ้าง แต่จักจั่นก็มองออกว่ามันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างแฝงอยู่ในนั้น

เหมือนกับว่าปรียากำลังมองหาโอกาสของอะไรสักอย่างเพื่อจะกระทำสิ่งเหล่านั้นโดยที่พวกเธอไม่รู้ตัว

มองดูอีกที...เหมือนจะยิ่งสร้างความน่ากลัวขึ้นภายในตัวของเพื่อนสาว

“เปล่านี่ ฉันคือยายแป้งคนเดิมน่ะแหละ ไม่มีอะไรหรอกน่า เราไปเที่ยวกันต่อเถอะนะ” ปรียาคลี่ยิ้ม ก่อนจะกลบเกลื่อนบางสิ่งบางอย่างให้อยู่ลึกที่สุดและดึงเพื่อนสาวให้ขึ้นรถไปทันที

//////////

วัดพระธาตุแช่แห้ง...ศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองน่านอีกแห่งหนึ่ง ปรียาเดินเข้าไปไหว้พระภายในอุโบสถหลังกว้างพร้อมกับเพื่อนๆ เธอดีใจที่ได้กลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง

สถานที่ซึ่งเธอมีความสุขกับการได้เข้ามาไหว้พระ และมีความสุขกับการได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยทะนุถนอมพระพุทธศาสนา

หญิงสาวได้ทำบุญ ทั้งได้ทำในสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสถานที่แห่งนี้ เมื่อหลายปีก่อน เธอได้เป็นยุวทูตของสถาบันพร้อมกับเพื่อนๆ ในกลุ่มแนะนำสถานที่แห่งนี้ให้กับคนนอกจังหวัดได้รู้จัก ทั้งได้ปลูกต้นไม้ ทั้งได้เข้ามานั่งสมาธิวิปัสสนายังสถานที่แห่งนี้บ่อยๆ ซึ่งแน่นอนมันคือกิจกรรมที่กลุ่มของเธอซึ่งเป็นตัวแทนของนักเรียนในการพาเพื่อนๆ มาจัดกิจกรรมยังที่แห่งนี้

ความใกล้ชิดของเธอกับวัดแห่งนี้ ทำให้ปรียาและเพื่อนมีความสุขกับการได้กระทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนา

ในวันนี้เธอกลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้ง ก็ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา

หลังไหว้พระแล้ว ปรียาและเพื่อนๆ อีกสามคนก็พากันเดินออกมาไหว้องค์พระธาตุสีทองเหลืองอร่าม ศิลปะล้านนาน่าน พระธาตุแห่งวัดนี้ในอดีตเปรียบเสมือนอนุสรณ์ความรักและความสัมพันธ์ที่เจ้าผู้ครองนครน่านกับเมืองสุโขทัย

ประวัติศาสตร์บางส่วนลอยเข้ามาในหัว หญิงสาวคลี่ยิ้มกับความสุขที่ได้ศึกษาและเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบในสิ่งเหล่านี้

การอนุรักษ์...คือคำที่คุณครูผู้สอนเคยพร่ำสอนให้พวกเธอตลอดเวลา เพราะเมืองน่านมีหลากหลายสิ่งหลากหลายอย่างที่ยังคงความดั่งเดิมเอาไว้ สถานที่แห่งนี้มีมนต์เสน่ห์ และสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงความเข้มขลังของวัฒนธรรมท้องถิ่นเอาไว้อย่างแนบแน่น

เธอและเพื่อนๆ ทั้งผู้คนในจังหวัด จึงจำต้องอนุรักษ์ให้กับชนรุ่นหลังได้รับรู้รับทราบต่อไปถึงความเป็นมาของบรรพบุรุษที่ได้สร้างเอาไว้

ปรียาเงยหน้ามององค์พระธาตุนิ่งนาน จนไม่รู้เลยว่าบัดนี้เหล่าเพื่อนๆ ของเธอได้เดินแยกไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ แล้ว โดยทิ้งให้เธอนั่งเช่นนั้นเพียงลำพัง

หญิงสาวไม่รู้เลยว่า บัดนี้ผู้ที่นั่งเคียงข้างของเธอและกำลังก้มลงกราบองค์พระธาตุด้วยท่าทางองอาจนั้นจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้จะเห็นเสี้ยวหน้าเพียงครึ่งกลับเกลี้ยงเกลา ผิวสีขาวยิ่งขาวในยามสะท้อนแสงแดด เรียวปากได้รูปแย้มยิ้มอย่างปีติในหัวใจ เขาก้มลงกราบพระเรียบร้อยแล้วก็นั่งนิ่งมององค์พระธาตุเช่นเดียวกับเธอ

“ตาล...นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้มาที่นี่ อ่ะ” เธออุทานอย่างตกใจ เพราะแทนที่จะเป็นเพื่อนสาวของเธอ หากแต่กลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งกรอบหน้าหล่อใส เขายิ้มและมองมายังเธออย่างขบขัน

“ขอโทษค่ะ ฉันนึกว่าเพื่อน”

“ผมเพิ่งมานั่งครับ เพื่อนๆ ของคุณคงจะไปเดินไหว้พระแถวๆ นี้”

กานต์ยิ้ม ทั้งเอ่ยบอกหญิงสาว เพียงวูบแรกการสบตาเท่านั้น ชายหนุ่มกลับไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดหัวใจของตนถึงได้สั่นไหวกับกรอบหน้าสวยหวานนี้ได้
เพียงแค่แรกเห็น กลับยิ่งทำให้ชายหนุ่มอยากพูดคุย ทั้งอยากรู้จักอย่างไม่รู้ตัว

“ค่ะ...ขอโทษจริงๆ นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ ว่าแต่คุณก็มาเที่ยวเหมือนกันหรือครับ” ปรียาลุกขึ้น ชายหนุ่มจึงลุกตามและเป็นฝ่ายชวนเธอคุยเสียเอง

“ค่ะ...ไม่ได้มาที่นี่นาน ดูทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยนะคะ”

“ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกครับ เลยไม่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงยังไง คุณเป็นคนจังหวัดนี้หรือครับ หรือว่าเป็นนักท่องเที่ยว” ชายหนุ่มถามอีก ตนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้อยากทำความรู้จักกับผู้หญิงคนนี้อย่างไม่รู้ตัว

“ผมชื่อกานต์ครับ เพิ่งมาเป็นทหารประจำการที่ค่ายฯ ไม่นานนี้ครับ เลยกะว่าจะมาไหว้องค์พระธาตุแช่แห้งเพื่อเป็นศิริมงคลกับตัวเองสักครั้ง อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อจะฝากเนื้อฝากตัวกับสถานที่แห่งนี้ด้วยครับ”

นายทหารหนุ่มแนะนำตัวอย่างไม่ขัดเขิน ขณะปรียามองกรอบหน้าขาวใสของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อเลยว่า ใบหน้าหล่อทั้งหุ่นอย่างกับนายแบบของเขาไม่น่าจะมาเป็นนายทหารเลยสักนิด

ทั้งใบหน้าและกิริยาที่สุภาพมันขัดกับอาชีพของเขาเป็นที่สุด...

หล่อเกินไปไหมคุณ...เธออดจะวิจารณ์เขาด้วยรอยยิ้มเขินไม่ได้

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันปรียาค่ะ บ้านของฉันอยู่ที่นี่ แต่เพิ่งกลับจากการไปเรียนที่กรุงเทพฯ จึงมาไหว้พระธาตุอีกสักครั้ง แต่มาคราวนี้อาณาบริเวณโดยรอบพัฒนาไปเยอะจริงๆ นะคะ”

“ครับ...ผมก็ว่าที่นี่สวยนะ เคยเห็นแต่ในหนังสือหรือสารคดีท่องเที่ยว อยากจะมาเที่ยวนานแล้วล่ะครับ แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที จนได้ย้ายมาประจำการที่นี่จึงถือว่าเป็นบุญหัวจริงๆ”

กานต์ยิ้มระหว่างพูด ปรียายอมรับรอยยิ้มของเขาดูมีเสน่ห์เป็นยิ่งนัก

ทั้งสองหนุ่มสาวพากันเดินไหว้พระซึ่งอยู่ภายในบริเวณแห่งนั้นจนครบ ก่อนจะแยกย้ายกันไป ปรียามองตามร่างนั้นไปด้วยหัวใจที่สั่นไหว ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน กับแค่คนที่พบเจอกันแล้วก็จากไปจะมีอิทธิพลในหัวใจของเธอมากขนาดนี้

เวลานั้นตาลแก้ว แวววรรณ และจักจั่นก็เดินเข้ามายังที่เพื่อนสาวยืนอยู่ ก่อนรายการสอบถามจะตามมาอีกเป็นชุด

“เมื่อกี้ใครน่ะแป้ง ที่เดินคุยกับเธอเพื่อกี้น่ะ คนรู้จักหรือเปล่า” แวววรรณตั้งคำถามขึ้นจนเพื่อนสาวเริ่มหน้าแดงด้วยความเขิน

“เปล่าหรอก เพิ่งเจอกันเมื่อครู่นี่เอง” เจ้าตัวปฏิเสธด้วยรอยยิ้มบาง

“แต่ที่พวกฉันแอบดู เอ้ย...มองเห็น เธอกับเขาดูสนิทกันมากเลยนะ” ตาลแก้วถามอย่างใคร่รู้ ขณะมองเพื่อนสาวอย่างจับผิด

“ไม่ใช่จริงๆ ก็ตอนที่ฉันไหว้พระอยู่ คิดว่าพวกเธอก็เลยพูดด้วย แต่ที่ไหนได้เล่นหนีกันไปไม่บอกไม่กล่าว” ค้อนเพื่อนสาวด้วยดวงตาไหวระริก และพยายามเป็นที่สุดจะเก็บความรู้สึกของตนเองไม่ให้เพื่อนๆ เห็น

“ก็เห็นเธอซาบซึ้งในรสพระธรรมนี่ ก็เลยปล่อยให้นั่งแบบนั้น” แวววรรณแซวอีก
แล้วก็พากันหัวเราะออกมาอีกอย่างมีความสุข ก่อนจะออกมานอกวัดและนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟข้างวัด ร้านประจำที่พวกเธอมักมาคุยกันอย่างสม่ำเสมอ

“ดูเค้าหล่อดีนะ แค่เห็นจากที่ไกล พวกเราก็นึกว่าแฟนของเธอตามมาจากกรุงเทพฯ เสียอีก”

“บ้า...พวกเธอก็ว่าไป ฉันยังไม่มีแฟน จะให้บอกสักกี่ครั้งล่ะ แม่คุณถึงจะเข้าใจ อีกอย่างคนเพิ่งเจอกันจะไปเป็นแฟนกันได้อย่างไรล่ะ บ้าแล้ว” ปรียาระบายยิ้มระหว่างพูด เช่นเดียวกับยิ่งเขินเมื่อถูกเพื่อนๆ แซวแบบนั้น

“หรือว่าเขากับเธอจะเป็นเนื้อคู่กัน เจอกันระหว่างไหว้พระแบบนี้ แถมยังได้เดินเที่ยวด้วยกันจนทั่วทั้งวัดอีก แบบนี้ในนิยายเค้ามีเยอะแยะไป เจอกันครั้งแรกอย่างไม่ได้ตั้งตัว พอนานๆ เข้าก็เจอกันอีกครั้งและก็รักกัน”

ตาลแก้วตั้งข้อสังเกตตามที่เธอเคยอ่านในหนังสือนิยาย กับเรื่องราวของจันทร์เจ้าเพื่อนของเธออีกล่ะ เจอกันโดยบังเอิญแท้ๆ ไปๆ มาๆ เป็นแฟนกันไปซะอย่างนั้น
นี่พวกเธอได้ข่าวว่างานแต่งงานของเพื่อนสาวกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกไม่นานนี้เหมือนกัน

นั่นก็เพราะเจอกันโดยความบังเอิญ...อย่างที่ปรียาว่าน่ะแหละ

“บ้า...พวกเธอน่ะแหละ บ้ากันทั้งนั้น มันมีที่ไหนกัน” ค้อนเพื่อนสาวแล้วก็หันไปทางอื่น ไม่อยากจะเสวนาอะไรให้มากความอีก

เพราะรู้พูดไปก็เอาแต่จะเข้าตัวของเธอฝ่ายเดียว ดีไม่ดีเพื่อนๆ ของเธออาจจะเอาสิ่งนี้มาแซวเธออยู่ร่ำไปก็เป็นได้

ทว่า...เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน หากว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างที่เพื่อนพูด เธอจะทำตัวอย่างไร...



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ค. 2555, 19:52:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ค. 2555, 19:52:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1434





<< ตอนที่ ๓ วรรค ๒   ตอนที่ ๕ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account