วังวนริษยา
แรงรัก แรงริษยา เกาะเกี่ยวเวียนวนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๕

ตอนที่ ๕

กลับมาถึงบ้านปวรินก็อาละวาดอย่างไม่พอใจ ข้าวของอะไรที่อยู่ใกล้มือก็ขว้างปาจนแม่เอี่ยมเก็บแทบไม่ทัน

“คุณแป๋วคะ ไปโกรธอะไรมาอีกล่ะคะ” ถามอย่างเป็นห่วงเพราะเลี้ยงกันมาตั้งแต่เด็กๆ

“อย่ามายุ่งกับแป๋ว แป๋วจะโกรธจะเกลียดใคร มันเกี่ยวอะไรกับป้าเอี่ยมด้วย” พาลแถมยังอาละวาดไปยังคนที่อุตส่าห์จะเข้ามาปลอบอีก ป้าเอี่ยมหน้าเจื่อน ก่อนจะถอยออกมาในที่สุด

“อ๊าย ฉันเกลียดแกนังพี่แป้ง ฉันเกลียดแก”

กรอบหน้าสวยแดงก่ำ ดวงตาคู่สวยเขียวปัด ในยามตวัดมองภาพถ่ายของปรียาซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเป็นเป้าหมายของปวรินในการกวาดสิ่งนั้นขว้างลงบนพื้นแล้วกระทืบซ้ำอย่างสาแก่ใจ

“แก...นังตัวมาร ฉันเกลียดแก ฉันสัญญาจะทำให้แกออกไปจากบ้านหลังนี้ให้ได้ คอยดู...นังพี่แป้ง ฉันนี่แหละจะกำจัดแกออกไปจากชีวิตฉันและคุณพ่อ”

“เกิดอะไรขึ้นน่ะแป๋ว แม่ได้ยินเสียงดังไปทั้งบ้าน” คุณกชกรลงมาจากชั้นสองของบ้านหลังจากได้ยินเสียงอาละวาดของบุตรสาว

ยังดีที่วันนี้คุณปรีชาไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นคงจะได้ยินในสิ่งที่บุตรสาวแสดงออกว่าเกลียดผู้เป็นพี่สาวเป็นแน่...ซึ่งท่านไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด

“นังพี่แป้งค่ะคุณแม่ นังพี่แป้ง” จัดการฟ้องมารดาในทันที “มันและพวกว่าแป๋วค่ะ”

“มันว่าอะไรลูก ไหนบอกแม่มาซิ”

สองแม่ลูกเข้ากันได้เป็นอย่างดี คุณกชกรพาบุตรสาวมานั่งสงบอารมณ์บนโซฟา พร้อมกับมองบุตรสาวอย่างค้นหา

คนอย่างเธอยินดีจะให้ท้ายบุตรสาวคนนี้เสมออยู่แล้ว...

“มันว่าแป๋วเป็นคนนิสัยอันธพาลค่ะ คุณแม่คะมันว่าแป๋ว ได้ยินไหมคะว่ามันว่าแป๋วเป็นอันธพาล”

ฟ้องยังไม่พอ แถมยังใส่ความต่างๆ นานา จนคุณกชกรซึ่งเห็นดีเห็นงามแถมยังเข้าข้างบุตรสาวอยู่เป็นทุนพาลเดือดไปด้วยอีกคน

“นังปรียา แก!! มาว่าลูกสาวของฉัน” คนเป็นแม่โกรธแทนลูกสาว เช่นเดียวกับปวรินเมื่อเห็นว่าเชื้อไฟของมารดาได้ที่แล้ว เธอก็ยิ่งเติมเชื้อเหล่านั้นเข้าไปอีก

“มันยังว่าคุณแม่มาแย่งของของมันอีกนะคะ”

“จริงหรือลูก หน๋อย นังลูกเด็กนอกคอก ว่าลูกสาวของฉันยังไม่พอ มาว่าฉันอีกหรือยะ”

“ใช่ค่ะ มันว่าคุณแม่ ทั้งว่าคุณแม่แกล้งทำมารยาใส่คุณพ่ออีกค่ะ” ผู้เป็นลูกยิ่งเพิ่มความเดือดให้มารดาอีก ยิ่งเห็นแม่ตนเองหน้าแดงก่ำและแทบจะกรีดเสียงให้ดังลั่นบ้านแล้วปวรินยิ่งพอใจ

“คุณแม่คะ คุณแม่จะต้องทำอะไรสักอย่างไม่ให้มันอยู่ที่บ้านหลังนี้นะคะ แป๋วเกลียดมันค่ะ แป๋วเกลียดมัน”

“ใช่...แม่ก็เกลียดมัน แม่เกลียดทั้งมันทั้งแม่ทั้งลูกเลยล่ะ คอยดูแม่จะไม่ยอมให้มันอยู่บ้านหลังนี้อย่างสนุกหรอก”

“จริงด้วยค่ะ คุณแม่จะต้องทำให้มันออกจากบ้านของเราให้ได้นะคะ”

เห็นมารดาโกรธแทนปวรินก็เริ่มจะเย็นลงบ้าง เธอมีความสุขกับการใส่ร้ายปรียา และมีความสุขที่เห็นแม่กำลังโกรธและเตรียมจะแก้แค้นปรียาให้กับเธอ

เชื่อว่าเย็นนี้ นังนั่นจะต้องถูกแม่ของเธอด่าแหลกแน่...คอยดู เธอจะต้องช่วยเสริมมารดาและจะทำให้นังนั่นกระเด็นออกจากบ้านที่เป็นของแม่และของเธอไปให้ได้

“ตอนนี้แป๋วดีขึ้นแล้วใช่ไหม” คุณกชกรมองหน้าบุตรสาวที่เหมือนจะอารมณ์เริ่มทุเลาลง

“ค่ะ...” ปวรินยิ้มเย็น “แป๋วได้พูดให้คุณแม่รับรู้ แค่นี้แป๋วก็พอจะหายโกรธแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณคุณแม่มากนะคะที่เข้าใจแป๋ว แต่แป๋วจะสัญญาค่ะว่าจะเกลียดนังพี่แป้ง ตลอดไป”

“ใช่...แม่ก็เกลียดมัน แล้วแกกับฉันจะได้เห็นดีกันนังปรียา...นังเด็กจองหอง”

////////

ห่างจากตรงนั้นไม่มากนัก ป้าเอี่ยมแอบได้ยินสิ่งที่สองแม่ลูกพูดคุยกันก็นึกหวั่น เธอเห็นเหตุการณ์มาตลอดทั้งยี่สิบกว่าปี ไหนเลยว่าเธอจะไม่รู้ภูมิหลังของสองแม่ลูกนี้เป็นแบบไหน

ห่วงแต่ปรียานั่นแหละว่าไม่รู้จะเจอกับสิ่งเหล่านี้ไปอีกนานมากแค่ไหน...อยากจะช่วย ทว่าเธอกลับทำไม่ได้ เพราะรู้ตนอยู่ในฐานะขี้ข้า ไม่ใช่เจ้านาย แม้ว่าจะเลี้ยงกันมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กทั้งสองคน แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน

เธอไม่ปรารถนาเลยที่จะเห็นพี่น้องสองคนต้องมาห้ำหั่นกันเพียงเพราะความริษยาที่มีในหัวใจของคุณกชกรและปวรินเท่านั้น

“คุณแป้งคะ ป้าไม่รู้ว่าจะช่วยคุณอย่างไรจริงๆ ป้าขอโทษนะคะ”

////////

กลับจากข้างนอกในเย็นวันนั้น ปรียาต้องทนเห็นใบหน้าบูดบึ้งและเชิดอย่างหยิ่งผยองของปวริน เห็นดังนั้นเธอจึงเฉยเสียและเดินเข้าไปในห้องรับแขกก็พบกับสายตาฟาดฟันของคุณกชกร แต่ก็ยังดีหน่อยที่พ่อของเธอนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย แม่เลี้ยงจอมมารยาจึงไม่แสดงท่าทีอะไรออกมามากนัก

“อ้าวแป้งมาพอดีเลย พ่อมีเรื่องจะพูดด้วย” เห็นบุตรสาวเดินเข้ามา คุณปรีชาจึงเอ่ยทัก “นี่ทานอะไรมาหรือยัง”

“ทานมาแล้วค่ะคุณพ่อ”

“เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนกลับค่ำๆ มืดๆ แล้วหรือคะหนูแป้ง” แม้สิ่งที่ถามนั้นจะเหมือนหวังดี ทว่าปรียาก็มองออกว่านั่นคือการเสแสร้งและอีกฝ่ายกำลังว่าเธออย่างเห็นๆ

“แป้งไปกับเพื่อนๆ ที่เป็นผู้หญิงค่ะคุณอา ไม่ได้ไปเที่ยวกับผู้ชาย” เธอพูดด้วยรอยยิ้มบาง และนั่นก็สามารถทำให้รอยยิ้มเหยียดของคุณกชกรหุบฉับลงไปในทันที

“คุณพ่อมีอะไรกับแป้งหรือคะ”

หันมาทางบิดาเพราะไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับคุณกชกรให้มากความ แค่นี้เธอก็เหมือนคนไม่ดีไปมากแล้ว อย่าให้เธอแสดงความเกลียดผู้หญิงที่ทำมารยาต่อหน้าของพ่อเธอให้มากกว่านี้เลย

“พอดีวันนี้พ่อได้ไปประชุมกับคณะกรรมการของทางจังหวัดมาน่ะ พวกเราสรุปกันว่าปีนี้จะจัดงานสืบสานตำนานไทลื้อขึ้นที่จังหวัดเราเป็นครั้งแรก”

“ดีเลยสิคะคุณพ่อ เพื่อจะได้เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวของบ้านเมืองเราด้วย” ปรียาเห็นด้วยกับสิ่งที่บิดาว่า

“แล้วมีอะไรอีกหรือคะคุณพี่” คุณกชกรเบิกตาอย่างใคร่รู้จึงเอ่ยแทรกขึ้น

“พอดีทางจังหวัดเค้าต้องการแสดงแสงสีเสียงในตอนกลางคืนด้วยน่ะ พ่อก็เลยคิดว่าอยากจะให้แป้งร่วมแสดงในครั้งนี้ด้วย”

“แสดง ให้ลูกแป๋วแสดงก็ได้นี่คะ” สบโอกาสคุณกชกรจึงยกเรื่องลูกสาวขึ้นเสนอทันที

“จะดีหรือคุณบัว แป๋วทำอะไรเป็นเสียที่ไหน อย่างลูกแป้ง ตอนเรียนมัธยมก็เคยแสดงอะไรหลายๆ อย่างกับทางโรงเรียนบ่อยๆ”

“ไม่เป็นแต่ก็ฝึกซ้อมได้นี่คะ หรือคุณพี่ไม่อยากจะให้ลูกแป๋วได้แสดง”

ทำเสียงกึ่งงอนให้คุณปรีชาสนใจและให้บุตรสาวของเธอแสดงแทนปรียา ซึ่งยิ่งนับวันสามีของเธอจะเห็นมันดีกว่าปวริน ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น

เพียงแค่ปรียากลับมาแค่ไม่กี่วัน คุณปรีชากลับจะมอบหมายงานให้มันได้ทำงานใหญ่เลยหรืออย่างไร

“แล้วแป้งว่าอย่างไรล่ะ...” ประมุขของบ้านไม่พูด หากกลับมองมาทางบุตรสาวซึ่งนั่งนิ่งอยู่

“แล้วแต่คุณพ่อเถอะค่ะ ให้แป้งทำอะไรแป้งก็ยินดี”

“ถ้าอย่างนั้นแป้งรับงานนี้นะ คุณบัวถ้าคุณอยากจะให้แป๋วทำด้วยก็ให้มาซ้อมฟ้อนรำกับแป้งก็แล้วกัน”

////

“มันจะดีหรือคะคุณแม่ จะให้แป๋วไปฝึกฟ้อนรำหรือคะ” ปวรินโวยในทันที เมื่อได้รับฟังความจากมารดาที่รีบมาบอกเธอในเย็นของวันนั้น

“ดีสิลูก หรือลูกจะยอมให้นังแป้งได้หน้าไปคนเดียว” มารดาเริ่มยุ

“แต่แป๋วรำไม่เป็นอย่างนังนั่นนี่คะ” ปวรินเบ้หน้า กับเรื่องฟ้อนรำเธอทำได้เสียที่ไหนล่ะ

“รำไม่เป็นก็ซ้อมได้นี่ลูก” มารดายังไม่ยอมลดละ ยุบุตรสาวอีกครั้ง

“แต่...” ไม่แน่ใจ แถมยังจะให้มาฝึกซ้อมกับคนที่ตนเองเกลียดอีก แบบนี้แล้วเธอจะทำได้อย่างไรกัน “...ให้แป๋วทำอย่างอื่นไม่ได้หรือคะคุณแม่ แป๋วไม่อยากจะฝึกกับนังนั่น แถมได้รำกับมันอีกแป๋วยิ่งไม่ชอบ”

“ชอบไม่ชอบก็ต้องลองดูนะแป๋ว ลูกของแม่สวยอยู่แล้ว ดีไม่ดีเด่นกว่านังแป้งเสียอีก” เข้าไปโอบกอดบุตรสาวเป็นเชิงปลอบ “หรือลูกไม่อยากเด่นกว่ามัน ไหนว่าแป๋วเกลียดมันนักไม่ใช่หรือ หนูก็ใช้โอกาสนี้แกล้งมันด้วยสิ แม่สัญญาว่าแม่จะช่วยหนูอีกแรง”

ยุยังไม่พอ มารดายังจะเข้าร่วมวงอีก อย่างนี้แล้วก็ยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับปวรินเป็นที่สุด เรื่องชิงดีชิงเด่นกับปรียาเธอชอบอยู่แล้ว สิ่งไหนที่เหนือกว่านังพี่สาวของเธอได้ เธอย่อมจะต้องทำ

และ...จะต้องทำให้ได้ด้วย บัดนั้นจึงจะสาแก่ใจ

/////

เช้าวันต่อมาปรียาได้มาปรึกษากับเหล่าเพื่อนๆ ถึงกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า เธอได้ชวนแวววรรณ ตาลแก้ว และจักจั่นร่วมด้วย ทว่าจักจั่นกับแวววรรณขอบาย เพราะเรื่องนี้ทั้งสองไม่ค่อยถนัด

จะมีแต่ตาลแก้วเก่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชอบจับใจอยู่แล้ว

“แหม...นี่ถ้าจันทร์เจ้าอยู่นะ ฉันจะให้ฟ้อนแทนฉันแล้วล่ะ” แวววรรณเอ่ยพร้อมระบายยิ้มสดใส

“พูดแบบนี้อยู่เรื่อยยายแวว ฉันชวนเธอตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเอาด้วยสักที”

“ถ้าให้ตีกลองสะบัดชัย หรือฟ้อนดาบ ฉันก็พอจะโอๆ นะ อ้อ เล่นดนตรีไม่ว่าอะร็พอได้” ทางเรื่องที่ดูเข้มแข็งและองอาจอย่างที่ผู้ชายเขาทำกัน เป็นสิ่งที่แวววรรณชอบมากที่สุด

“ชิ...ทำเป็นพูดยายแวว พอจะให้เอาจริงก็ทิ้งไปเสียดื้อๆ” จักจั่นอดจะแขวะเพื่อนสาวไม่ได้

“ก็ฉันทำไม่เป็นจริงๆ นี่ ฝึกซ้อมยังไงก็ไม่เป็น” แวววรรณแก้ต่างให้กับตัวเองอย่างหน้าตาเฉย ก่อนจะพากันหัวเราะอีกครั้ง

“เออ ว่าแต่จะให้ใครมาเป็นครูฝึกให้น่ะ ฉันว่าเราไปติดต่อทางคณะกรรมการก่อนดีไหมว่าเขาใช้การแสดงอะไรบ้าง เราจะได้เสนองานออกมาได้พ้องกับเขายังไงล่ะ”
ตาลแก้วเสนอ ก่อนทุกคนจะเห็นพ้อง และในวันนั้นทั้งหมดจึงพากันตระเวนติดต่อเหล่าคณะกรรมการ ทั้งผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย จนได้ข้อสรุปถึงผู้ที่รับผิดชอบในส่วนของการแสดงนี้

“เรื่องนี้สบายมาก อาจารย์ที่รับผิดชอบงานนี้เคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมของพวกฉันเองล่ะ” แวววรรณพูด หลังรู้รายชื่อว่าคนที่รับผิดชอบส่วนของการแสดงบนเวทีคืออาจารย์จากมหาลัยเดิมที่เธอและเพื่อนๆ เพิ่งจบมาไม่กี่เดือนก่อน และเวลานี้ทั้งแวววรรณและเพื่อนของเธอก็ยังเข้าออกกับทางมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกันเพื่อติดต่อทั้งเรื่องขอจบและการรับปริญญาซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้เหมือนกัน

กับเรื่องติดต่องานร่วมกันแบบนี้ถือว่าไม่เป็นปัญหากับพวกเธอ

ทั้งหมดไปพบกับอาจารย์ท่านนั้น ซึ่งรับผิดชอบงานกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยและร่วมรับผิดชอบงานแสดงแสงสีเสียงบนเวทีซึ่งจะจัดในงานสืบสานตำนานไทลื้อครั้งที่หนึ่ง ซึ่งทางจังหวัดได้ร่วมกับหลายๆ หน่วยงานจัดขึ้น เพื่อจะส่งเสริมการท่องเที่ยวให้มากกว่าเดิม

หลังติดต่อและพูดคุยปรึกษากับอาจารย์ท่านนั้นแล้ว จึงได้ข้อสรุปที่ว่า การแสดงบนเวทีจะใช้ทั้งหมด ยี่สิบชุด คนร่วมแสดงเกือบสองร้อยคน และชุดของปรียา ซึ่งมีตาลแก้วและปวรินร่วมด้วย เป็นหนึ่งในนั้น และหญิงสาวได้เสนอว่าขอแสดงชุดฟ้อนสาวไหม

“จะดีหรือแป้ง...” แวววรรณถามเพื่อนสาวอย่างไม่แน่ใจ ขณะมองอาจารย์ท่านนั้นอย่างเกรงใจ

“ดีสิ...ฉันเคยรำมาแล้วพวกเธอก็รู้”

“เธอกับยายตาลฉันไม่ห่วงหรอกนะ แต่กับน้องสาวของเธอ...”

ปรียายอมรับ อุปสรรคในครั้งนี้หากจะคิดกันจริงๆ ก็อยู่ที่ตัวของปวรินน้องสาว ซึ่งไม่เคยแม้จะฟ้อนรำมาก่อน ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า

“ใช่...ฉันเห็นด้วยกับแววนะ” จักจั่นเห็นด้วยกับเพื่อนสาวพูด

“ถ้าอีกคนไม่ได้ ก็แสดงแค่สองคนก็ได้นะ” อาจารย์สาวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มบาง

“แต่ มันจะดีหรือคะอาจารย์” แวววรรณเอ่ยถาม เพราะรู้ว่ามันอาจจะไม่ง่ายอย่างที่อาจารย์พูดเท่าไรนัก

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า บอกครูได้นะ เดี๋ยวครูช่วยดูให้”

“ปัญหาใหญ่ มันไม่ค่อยมีหรอกค่ะอาจารย์ แต่เป็นปัญหาเล็กๆ จุกจิกจุกจิกน่ะค่ะ” แวววรรณยิ้มแหย และเลยไปมองปรียาเป็นเชิงถามว่าจะเอาอย่างไร

เกิดปวรินมาทำเรื่องขึ้นในงานนี้ การแสดงชุดนี้จะพากันพังไปด้วย เพราะการแสดงชุดสาวไหมถือว่าเป็นตัวหลักของการแสดง เพราะจะเป็นทั้งการฟ้อนรำที่บอกเล่าเรื่องราว และการแสดงที่อ่อนช้อย ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นต้องการให้เป็นไฮไลท์ของงาน

ดีเสียอีกที่มีลูกสาวของท่านผู้ว่าปรีชา อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเมื่อปลดเกษียรตัวเองแล้วยังเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยงานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ของทางจังหวัดจนบัดนี้ เพราะถ้ามีปรียาช่วยแล้ว คนทั้งหมดก็จะสนใจโชว์ชุดนี้มากยิ่งขึ้น

“เอาเป็นว่าเรื่องนี้แป้งขอปรึกษาคุณพ่อดูนะคะ ถ้าน้องแป๋วทำไม่ได้ แป้งก็จะรำกับตาลแค่สองคน”

ปรียาสรุปในที่สุด แม้จะหนักใจเพราะรู้อย่างไรแล้วปวรินคงไม่ยอมเป็นแน่ แต่อย่างไรเอาเรื่องนี้ไปคุยกับบิดาก็ถือว่าดีไม่ใช่หรือ

//////////

“แป๋วไม่ยอมนะคะคุณพ่อ แป๋วจะรำด้วย” ปวรินโวยในทันที เมื่อบิดาเรียกเข้าไปพูดในเรื่องของการแสดงชุดของปรียา ว่าจะมีปัญหาเพราะกลัวว่าปวรินฟ้อนสาวไหมไม่ได้

การแสดงชุดนี้ต้องใช้ความอ่อนช้อย งดงาม ทั้งเรื่องการอ่อนตัวของร่างกาย คนที่ไม่เคยฟ้อนรำอย่างปวรินคงจะทำไม่ได้อย่างแน่นอน ขนาดอย่างปรียาซึ่งว่าตนฟ้อนรำเป็นยังต้องห่วงตัวเองว่าจะสามารถกลับมารำหลายๆ ท่าในการฟ้อนชุดนี้ได้ไม่ดีพอ

ฟ้อนสาวไหม ต้องใช้ทั้งไหวพริบและความอ่อนตัวของร่างกายในยามฟ้อนรำ เอวของคนรำจะต้องอ่อนตัวและโอนเอนไปตามท่วงท่าให้ได้ นี่ถ้าเธอได้ฝึกโยคะด้วย คงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายไปเลย

แต่เพราะยังมีพื้นฐานอยู่บ้าน แม้ว่าจะห่างไปเกือบสี่ปีเต็ม เธอยังยืนยันตนจะต้องทำได้...

งานนี้บิดาฝากความหวังให้กับเธอ ไหนเลยที่เธอจะยอมทิ้งมันไปง่ายๆ

แต่ปัญหามันก็อยู่ที่ปวริน เพราะจะอย่างไรแล้วก็จะทำตามความปรารถนาของตนเองให้ได้

“แต่มันยากนี่คะน้องแป๋ว” ปรียาเอ่ยแทรกขึ้น

“พี่แป้งไม่อยากจะให้แป๋วรำด้วยก็พูดมาตรงๆ เถอะ” ปวรินเม้มเรียวปากแน่นอย่างไม่พอใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะน้องแป๋ว พี่กลัวว่าน้องจะบาดเจ็บในระหว่างซ้อม เพราะต้องฝึกกันอีกมากกว่าจะให้ออกมาได้ดี ยิ่งน้องไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนแป้งก็ยิ่งห่วงค่ะ คุณพ่อ”

“ใช่...เอาไว้ครั้งต่อไปก็ได้นะแป๋ว” คุณปรีชาเริ่มห่วงบุตรสาวคนเล็กตามที่คนโตบอกไม่ได้

“ไม่ค่ะ อย่างไรแล้วแป๋วก็จะฟ้อน กับแค่ฝึกนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป พี่แป้งกลัวว่าแป๋วจะได้ดีกว่าใช่ไหมคะ ถึงต้องกีดกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจน้องแป๋วเถอะค่ะ” ปรียาถอนใจ อย่างไรแล้วเธอก็ไม่สามารถห้ามอีกฝ่ายได้อยู่ดี

////

เช้าวันรุ่งขึ้นกานต์มาหาคุณปรีชาตามคำสั่งซึ่งท่านต้องการให้หน่วยงานของเขาช่วยดูแลในด้านความปลอดภัย

ชายหนุ่มเดินทางมาถึง ก่อนจะไปพบท่านยังศาลาริมท่าน้ำ และเริ่มพูดคุยถึงงานต่างๆ ให้เขาได้ฟัง จนเวลาผ่านไปงานทั้งหมดได้ข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ เรื่องต่อไปจึงเป็นการพูดคุยตามประสาของคนรู้จักกัน

“ท่านครับ ผมเห็นว่าทางด้านโน้นดูร่มครึ้มดี มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด” ชายหนุ่มถาม พลางทอดสายตามองเลยไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างค้นหา

“อ้อ...ที่นั่นเป็นเรือนเจ้านางแก้วคำแปงน่ะ เจ้านางรุ่นสุดท้ายของราชวงศ์น่าน เป็นแม่ยายของผมเองแหละ”

“อ้าวหรือครับ เอ่อ แล้วทำไมถึงปล่อยให้รกร้างไปล่ะครับ น่าจะจัดเป็นเรือนรับรองหรือแหล่งให้ความรู้ของคนทั่วไป ดูร่มรื่นน่าอยู่ดีนะครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ความรู้สึกบอกกับเขาเช่นนั้น เรือนไทยทรงล้านนา แม้ว่าจะดูเข้มขลังไปหน่อย แต่อย่างไรแล้วเขากลับรู้สึกว่านั่นเป็นสถานที่ซึ่งดูน่าอยู่มากกว่าน่ากลัวนัก

“เป็นเรือนของลูกแป้ง ลูกสาวของฉันเองน่ะ หลังจากที่เจ้ายายและแม่ของเธอเสียไป แป้งก็ไม่ยอมให้ใครไปยุ่งเกี่ยวกับที่นั่น ประกอบกับคนแถวนี้มักจะเจอผีบ่อยๆ ก็หาว่าเป็นผีของคนบนเรือนหลังนั้น”

คุณปรีชาพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกมากกว่าจะจริงจัง เพราะอย่างไรแล้ว ผี...หรือสิ่งที่ชาวบ้านบอกว่าเห็นกันนั้น เขากลับไม่เคยเห็น ทั้งๆ ที่ก็อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน

“ผีหรือครับ...”

กานต์เอ่ยถามเสียงเรียบเย็น นึกแปลกใจว่าบริเวณนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีบนเรือนล้านนา หรือเรือนโบราณหลังเก่าอยู่อีกหรือ

เทคโนโลยี มันน่าจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เหล่านั้นนะว่ามันไม่มีจริง...เวลานี้มันเป็นสมัยไหนแล้ว ที่จะเชื่อเรื่องผีๆ เหมือนสมัยก่อน

“ทางฉันไม่เชื่อหรอกนะ เพราะก็ไม่เคยเจอ จะมีแต่คนเพ้อเจ้อน่ะแหละที่ว่าโน้นว่านี่แล้วก็ใสสีตีไข่กันไปต่างๆ นานา” คุณปรีชาบอกอย่างขบขันอีก

“ใช่ครับ...ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าผีมีจริง สมัยนี้มันยุคไหนแล้ว ใช่ไหมครับท่าน”

“ใช่ๆ นี่ขนาดกลัวจนจะรื้อไปขายทิ้งเลยนะ ดีที่ฉันห้ามได้ทัน เพราะอย่างไรนั่นมันคือสมบัติลูกสาวของฉัน”

“เออ...ผมว่าจะถามท่านครับ เมื่อกี้ท่านบอกว่าคุณแป้ง นี่แสดงว่าท่านมีลูกสาวอีกคนหรือครับ” กานต์ยิ้มระหว่างสอบถาม รู้สึกอยากจะรู้จักคนในความหมายนั้นมาทุกขณะอย่างไม่รู้สาเหตุ

“ใช่ แป้งเป็นลูกสาวคนโตของฉันเอง ไปเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ นี่ก็เพิ่งจบและกลับมาอยู่บ้านนี่แหละ อ้อ...ว่าจะแนะนำให้ผู้กองรู้จักกันเอาไว้ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”

ว่าแล้วคุณปรีชาก็หันไปเรียกคนสวนซึ่งอยู่แถวนั้นให้ไปบอกกับแม่เอี่ยมและเรียกให้ปรียามาหาเขาในเวลานั้นเพื่อตนจะได้แนะนำบุตรสาวให้รู้จักกับนายทหารหนุ่มยศร้อยเอก นามว่ากานต์ อิศรา

“จะดีหรือครับ” กานต์เริ่มอึดอัด จะอย่างไรแล้วเขาก็ยังไม่ลืมกับครั้งก่อนในยามที่คุณปรีชาแนะนำให้ตนรู้จักกับปวรินไม่ได้ เวลานั้นเหมือนตนต้องหมดอิสรภาพเมื่อปวรินชอบทึกทักว่าเขาคือแฟนของตัวเองและป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่านายทหารหนุ่มนามผู้กองกานต์ คือแฟนตัวจริงของเธอ

เพียงเพราะรูปร่างหน้าตาของเขาเป็นเหตุแท้ๆ ในการจะไปไหนมาไหนกับบ้านของคุณปรีชาจึงต้องรีบหลบปวรินที่ตนเองบอกอยู่เสมอว่าคือตัวอันตราย ครั้นจะแสดงออกว่าไม่ชอบปวรินอย่างโจ่งแจ้งก็กลัวว่าคุณปรีชาจะไม่พอใจเพราะท่านเป็นคนแนะนำให้รู้จัก

“ไม่เป็นไรหรอก ลูกแป้งไม่เหมือนกับลูกแป๋ว” คุณปรีชาบอกด้วยรอยยิ้มบาง เขารู้ว่ากานต์อึดอัดขนาดไหน ทว่ามันก็ผิดที่เขาเองที่แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน ทั้งปวรินก็ทำงามหน้านักไปบอกคนอื่นว่ากานต์เป็นแฟนที่พ่อแนะนำให้ แม้ท่านจะเอ่ยเตือนมากแค่ไหนถึงความไม่สมควร หากปวรินกลับไม่เชื่อ

“เอ่อ...”

เห็นท่านว่าอย่างนั้น กานต์จึงได้แต่นิ่งเงียบ จะคิดขัดไปก็ไม่อาจทำได้ เพราะตามมารยาทแล้วเมื่อผู้ใหญ่แนะนำ ตนก็ย่อมจะอดทนรับรู้เอาไว้

เพียงไม่นานปรียาก็เดินเข้ามายังที่แห่งนั้น เพียงแค่การสบตากัน ทั้งสองก็จำกันได้ เพราะการพบกันมันผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเท่านั้น แถมภายในหัวใจของแต่ละคนยังรู้สึกแปลกๆ แถมยังถวิลหากันอย่างไม่รู้ตัว

“คุณ...” ทั้งสองเผลอพูดออกมาพร้อมกัน ในยามที่เห็นหน้ากันอย่างชัดเจน

คุณปรีชายิ้ม เห็นทักกันแบบนี้ท่านก็คงจะไม่ต้องแนะนำอะไรมาก แต่กระนั้นท่านก็ยังเงียบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เช่นเดิม

“นี่รู้จักกันแล้วหรือ...” คุณปรีชาเอ่ยถามเสียงเย็น จากลักษณะท่าที่ของทั้งสองทำให้ท่านเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณบางอย่างของบุตรสาว

“ใช่ครับ เมื่อวานผมเจอคุณปรียาที่วัดพระธาตุแช่แห้งครับ ผมไปไหว้พระเลยได้เจอกับเธอ” กานต์บอกตามความเป็นจริง

“แป้งไม่รู้เลยนะคะว่าคุณกานต์จะรู้จักกับคุณพ่อของแป้งด้วย” ปรียาระบายยิ้ม

“ใช่...พ่อก็เพิ่งรู้ว่าพ่อตกข่าว ว่าลูกกับผู้กองกานต์รู้จักกันมาก่อน” คุณปรีชาเอ่ยแซว มองหน้าบุตรสาวกับผู้กองหนุ่มสลับกัน”

“ก็เพิ่งรู้จักกันค่ะคุณพ่อ”

“ผมดีใจมากครับที่ได้เจอกับคุณปรียาอีกครั้ง” กานต์บอกทั้งรอยยิ้มยินดี

“เรียกแป้งก็ได้ค่ะ” ปรียาบอกด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เป็นครั้งแรกที่คุณปรีชามองเห็นริ้วรอยความสุขของบุตรสาวที่แสดงบนใบหน้าหลังจากกลับมาจากกรุงเทพฯ คราวนี้

ลูกมีความสุข...ท่านก็มีความสุขไปด้วย

“ว่าแต่คุณกานต์รู้จักกับคุณพ่อของแป้งได้ยังไงล่ะคะ”

“ผู้กองกานต์เขาจะดูแลในด้านความปลอดภัยในงานแสดงบนเวทีงานสืบสานตำนานไทลื้อน่ะ เมื่อกี้พ่อเพิ่งจะคุยธุระกับเขาเสร็จไป”

“จริงหรือคะ...”

“เห็นทีผมคงจะต้องฝากลูกสาวเอาไว้กับผู้กองให้ช่วยดูแลกับเรื่องงามเหล่านี้ด้วยอีกคนเสียแล้วล่ะ” สบโอกาสคุณปรีชาจึงเริ่มฝากฝังบุตรสาวในทันที

กานต์เป็นนายทหารหนุ่มอนาคตไกล เพียงแค่อายุไม่ถึงสามสิบปีเสียด้วยซ้ำเขาก็ได้รับยศที่นายทหารคนอื่นๆ ต่างได้มาอย่างยากลำบาก ทว่ากับชายหนุ่มผู้นี้เขาได้ยศเหล่านี้มาด้วยความสามารถของตนเองหลายๆ อย่างจนผู้บังคับบัญชาพอใจและเลื่อนยศให้ แถมยังเสียดายในครั้งที่เขาขอย้ายมาประจำการยังที่แห่งนี้ ซึ่งไกลต่อท่านมาก

มันเป็นความต้องการของชายหนุ่มที่ต้องการจะมาพัฒนาที่แห่งนี้ เขาจึงเลือกมายังจังหวัดน่านเพื่อจะคอยดูแลในเรื่องต่างๆ ที่ตนรับผิดชอบ เพราะเขาได้เคยสัญญาต่อพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ในวันที่ได้เข้ารับราชการวันแรกว่า...ตนจะขอรับใช้รองบาททุกชาติไป แม้ชีพวายขอใจได้สู้อย่างสุดฝีมือ

คุณปรีชามองชายหนุ่มตรงหน้าสลับกับบุตรสาวอย่างค้นหา มองแล้วปรียาลูกสาวของเธอกับกานต์ผู้กองหนุ่มดูจะเหมาะสมกันเป็นยิ่งนัก หากว่าเป็นไปได้เขาอยากจะได้ชายหนุ่มมาเป็นเขยขวัญเสียด้วยซ้ำ

และจากท่าทางที่ดูจะสนิทสนมกันของทั้งสอง ทำให้ท่านเริ่มมั่นใจ สิ่งที่เขาอยากจะให้เป็น มันคงจะไม่ทอดยาวไกลอีกต่อไป



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2555, 20:41:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ส.ค. 2555, 20:41:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1279





<< ตอนที่ ๔   ตอนที่ ๖ >>
ทองหลาง 13 ส.ค. 2555, 15:02:34 น.
สำนวนดีขึ้น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account