ลมรักวาเลนไทน์
ในความเหมือน..มีความแตกต่าง ในความแข็งแกร่ง..มีความเยือกเย็น ในความพริ้วพราย..มีความอ่อนแอ แต่สุดท้ายระหว่าง "เพชรกล้า" กับ "น้ำริน" ก็มีความเป็นหนึ่งเดียว

"ความรัก"ที่ดี" จะเกิดขึ้นต่อเมื่อจิตใจคุณถูกฝึกให้มีคุณภาพดีพอจะคู่ควรเท่านั้น
ไม่ใช่ได้มา ในขณะที่กำลังเพลิดเพลิน "หลงทาง"อยู่กับความเหงาจนไม่มีแสงสว่างพอของใจที่จะลืมตาตื่นขึ้นพบคนดีจริงๆสักคน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่๓ งานจำแลง

แม้จะนานครั้งที่น้ำรินได้มีโอกาสมาพักกายพักใจในบ้านสวนหลังนี้ อาจจะบ่อยขึ้นในช่วงเวลาที่พ่อกับแม่ไปทำหน้าที่ของเอกอัครราชทูตในถิ่นยุโรปต่างแดน แต่หญิงสาวก็รู้สึกคุ้นชินกับกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำในแต่ละวัน อีกทั้งยังรู้สึกว่ามันออกจะซ้ำซากจำเจน่าเบื่อไปสักหน่อย ทว่าก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่า จิตใจเธอสงบ สะอาดมากขึ้นกว่าการใช้ชีวิตในเมืองทีมีแต่แสงสีเสียงกระทบหูตา บ้านดินที่มองภายนอกเหมือนเล็กแคบ ทว่าเมื่อเดินเข้ามาสัมผัสในตัวบ้านกลับลึกยาวตลอดแนว จัดสรรปันส่วนห้องหับไว้เพื่อประโยชน์ต่างๆกันไปอย่างชาญฉลาด ระบบถ่ายเทอากาศดีเยี่ยมด้วยช่องลม และหน้าต่างซึ่งมีเกือบรอบตัวบ้าน ..บ้านที่สร้างจากดินเหนียวเกือบทั้งหลัง ถ้าไม่นับรวมหลังคาที่มีหญ้าแฝกปิดทับสังกะสีอีกชั้นหนึ่ง


เช้าวันนี้ น้ำรินกต้องตื่นแต่ไก่โห่ ราวๆตีห้า เพื่อลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์เป็นนกแก้วนกขุนทองตามขั้นตอนของเพชรกล้าผู้เป็นพี่สาว จากนั้นก็ช่วยนำฝักบัวไปรดน้ำพืชผักสวนครัวที่เพิ่งเพาะปลูกใหม่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กวาดเศษใบไม้รอบบ้าน ตักน้ำในคลองหลังบ้านมาเตรียมไว้เพื่อใช้งานอเนกประสงค์ของพี่สาว ทำอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง จนมาสิ้นสุดที่การปูเสื่อน้ำมันจัดจานชาม เตรียมเทกับข้าวที่เพชรกล้าออกไปซื้อที่ตลาดในซอย รวมถึงที่สอยเก็บจากในสวนเช่นพวกชมพู่ ผลไม้หวานเปรี้ยวหลากรส...หญิงสาวบอกกับตัวเองในใจ ถ้าไม่เพราะมากินฟรีอยู่ฟรีขอพื้นที่ในการสร้างสรรค์ผลงานล่ะก็...อย่าหวังเลยว่าเธอจะฝืนใจทำตัวระเบียบจัดอย่างนี้เสียให้ยาก!


ถ้าถามว่าระหว่างน้ำรินกับเพชรกล้าลูกสาวฝาแฝด...คนไหนที่พ่อกับแม่ได้ดั่งใจมากที่สุด คงตอบยากสักหน่อย จริงอยู่ หน้าที่การงานของเพชรกล้าดูมั่นคง และมีเกียรติไม่น้อย หากแต่การที่หญิงสาวแยกตัวออกมาซื้อที่ดินในต่างจังหวัดห่างไกลบ้านเกิดซึ่งอยู่แทบจะกลางกรุงเทพฯ มาปลูกบ้านดินอยู่เองแบบสันโดษด้วยเงินก้อนใหญ่ที่บิดาเคยให้ไว้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย กลับไปเยี่ยมบุพการีในวันหยุดนักขัตฤกษ์สำคัญต่างๆบ้างเท่าที่โอกาสอำนวย แต่บวรศักดิ์ ผู้เป็นพ่อ และนารีรัตน์ผู้เป็นแม่กลับไม่ชอบใจเอาเสียเลย ทั้งสองปลาบปลื้มใจกับความสำเร็จของลูกสาวคนนี้ แต่ก็หวังไว้เป็นมั่นเหมาะว่าจะให้เป็นกุลสตรี สืบทอดธุรกิจร้านอาหารไทยในกรุงเทพฯ แต่งงานมีครอบครัวอยู่กับเรือนอย่างหญิงสาวทั่วไป ไม่ระหกระเหินปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียวเช่นนี้

น้ำรินก็เช่นกัน แต่รายนี้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองไม่เพียงไม่ได้ดั่งใจ หากยังไม่ปลาบปลื้มใจเลยสักนิด ที่ลูกสาวคนเล็กรักในอาชีพนักเขียน เพราะท่านเห็นว่าหาความมั่นคง แน่นอนในชีวิตไม่ได้ อีกทั้งอารมณ์ศิลปินก็เป็นอะไรที่อ่อนไหวและอาจจะกลายเป็นอ่อนแอเกินไปสำหรับสังคมในยุคนี้


"วันนี้ตัวซ้วย สวย นะเพชร" น้ำรินเอ่ยขึ้น หลังจากรับประทานอาหารเช้าจนอิ่มท้อง รวบช้อนส้อมเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรสักอย่าง

"พูดแบบนี้เธอมีอะไรให้ฉันทำอีกล่ะสิ" เพชรกล้ากล่าวเสียงเนือยอย่างรู้ทัน เหลือบมองกิริยาไม่สำรวมของน้องสาวด้วยสายตาตำหนิ

"ไม่มีไรหรอกน้า มะ พู่กันเก็บจานให้ แต่เดี๋ยวเพชรล้างเองนะ อิอิ" ว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบจานของคนที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามมาวางซ้อนจานตัวเอง แล้วลุกขึ้นเดินผลุบหายไปด้านหลังของบ้าน เพชรกล้ามองท่าทีของน้องสาว แล้วเลิกคิ้วแปลกใจ รู้สึกร้อนๆหนาวๆอย่างไรบอกไม่ถูก



"วันนี้พู่กันนัดเพื่อนไว้ที่กรุงเทพฯ แต่เดี๋ยวเย็นๆก็กลับมานอนนี่แหละ ได้เริ่มเขียนพล็อตนิยายเรื่องใหม่ด้วย" น้ำรินตะโกนบอกขณะกำลังสาละวันอยู่กับเศษอาหารข้างอ่างล้ามชาม "แต่พอดีมันตรงกับกำหนดส่งต้นฉบับเรื่องเก่าของพู่กันด้วยน่ะซี"


"แล้วยังไงต่อ?" จิตแพทย์สาวถามพลางจ้องน้องสาวเขม็งเมื่อคนน่าสงสัยเดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายใบเก๋ "ขอแต่เนื้อ..ไม่เอาน้ำ"


"พู่กันรู้ว่าเพชรน่ะเป็นแม่พระ เป็นพี่สาวแสนดี ช่วยพู่กันได้แน่ๆ"


"ให้ช่วยอะไร?"

น้ำรินยังไม่ตอบอะไรพี่สาว แต่เดินเข้ามาใกล้ จับมือพี่สาวขึ้นกุมไว้ ก่อนจะล้วงหยิบแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋า เอี้ยวหลังไปคว้าแฟลตไดรฟ์ที่วางรอท่าอยู่บนชั้นวางของข้างผนัง

"พู่กันอุตส่าห์รื้อค้นวิชามารออกมาวาดแผนที่สำนักพิมพ์อยู่ทั้งคืนเลย หวังว่าเพชรคงจะอ่านรู้เรื่องนะ" นักเขียนสาวว่าพลางพลิกมือพี่สาวหงายขึ้นพร้อมยัดแผ่นกระดาษกับไดรฟ์ตัวจิ๋วใส่ในมือ

"นี่เธออย่าบอกนะ...ว่า" เพชรกล้าเริ่มเดาอะไรออกลางๆ


"ต้นฉบับอยู่ในไดรฟ์ เอาน่า ช่วยเค้าครั้งนึงจะเป็นไรไป" กล่าวจบก็รีบเดินดุ่มๆมาเกาะหน้าประตูทางเข้า ราวกับกลัวพี่สาวจะตามมาลากคอทัน

"ดะ..เดี๋ยวสิ แล้ว.." เพชรกล้าถือโอกาสในวินาทีสุดท้ายเพื่อแย้ง แต่..

"เค้าบอกให้ก็ได้ ว่าเค้าไม่ถูกกะอีตาบก.คนใหม่นี่เท่าไหร่ ช่วยหน่อยน้า แล้วเย็นๆเจอกัน" น้ำรินว่าพลางทำตาบ้องแบ๊วไร้เดียงสา "หน้าเหมือนกัน ฝาแฝดกัน ชื่อเหมือนกันด้วยวันนึงจะเป็นไรไป"


คือประโยคสุดท้ายที่หญิงสาวอ้อนวอน ก่อนจะวิ่งตัวปลิวหายลับไปอย่างรวดเร็ว

"บังคับใช้กันนี่หน่า...ยัยเด็กน้อยเอ๋ย" เพชรกล้าโคลงศีรษะ เธอต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอมให้กับน้องสาวคนนี้อีกนานแค่ไหนกันนะ...แม่คนไหวพริบเป็นเลิศ!


ขับรถมาได้เกือบครึ่งทางไปสำนักพิมพ์เป้าหมาย เพชรกล้าก็เป็นอันต้องตาลายกับหมายเลขซอยที่เรียงรายอยู่ทั้งสองฟากถนนย่านลาดพร้าว พยายามบังคับพวงมาลัยไปเรื่อย เพื่อให้เจอหมายเลย “ลาดพร้าว 60” แต่ดูท่าคงหาเจอยากหน่อย เพราะขณะนี้เส้นทางที่ขับมายังถึงแค่ซอยยี่สิบต้นๆเท่านั้น แล้วเธอเองก็เพิ่งมาทำธุระแถวนี้เป็นครั้งแรกเสียด้วย ถึงแม้แผนที่ในกระดาษยับย่นขงน้องสาวตัวแสบจะค่อนข้างละเอียดสักเพียงใด กว่าจะหาเจอได้คงเหงื่อตกกันน่าดู

จิตแพทย์สาวค่อยๆหยุดรถเทียบฟุตปาธข้างทางเพื่อตั้งสติสำรวจเส้นทางเลี้ยวลับซับซ้อนของกระดาษในมืออีกครั้ง แต่ขณะที่กำลังขมวดคิ้วเป็นรูปโบว์ผูกผมสวยเช้ง นัยน์ตารูปหงส์คมกริบก็เหลือบไปเห็นข้อความตัวแดงมุมขวาล่าง หมายเหตุไว้ว่า..

“ถ้าหาไม่เจอยังไง โทรถามคุณทัศน์ บก.จอมกวนคนใหม่ที่เบอร์นี้ 081-569-89xx ขอให้โชคดีนะเพชร ^^”

ดวงหน้าหวานเคลือบประกายจริงจังในแววตาค่อยผ่อนคลายลง มุมปากเบะยิ้มอย่างนึกหมั่นไส้น้องสาวฝาแฝดขึ้นมาติดหมัด..จะโชคดีหรือไม่อย่างไร เธอก็ต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นอย่างไม่มีข้อต่อรองใดๆ อยู่แล้ว!

ยกข้อมือข้างซ้ายขึ้นดูเวลาจากหน้าปัดนาฬิกาเรือนสวยราคาย่อมเยาเห็นเกือบเที่ยงตรงพอดี ร้านอาหารข้างทางก็ชวนให้น้ำลายสอใช่เล่น หญิงสาวกลอกตาอย่างชั่งใจชั่วครู่ก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดเลขหมายในกระดาษอย่างไม่รอช้า ..เอาเถอะ สอบถามเส้นทางให้รู้เรื่องกันเสียก่อน จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวแกะรอยสมบัติกันภายหลัง

“สวัสดีค่ะ ขอเรียนสายบรรณาธิการค่ะ” เพชรกล้ากรอกเสียงลงไปอย่างนุ่มนวลตามแบบฉบับของคนใจเย็น และมีมารยาท เธอเลือกที่จะเอ่ยถึงตำแหน่งของบุคคลในกระดาษแทนชื่อเรียกสั้นๆที่น้องสาวให้มา ด้วยมิได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และปกติเมื่อคุยโทรศัพท์กับใครเป็นครั้งแรก เธอก็จะถามอย่างเป็นพิธีการแบบนี้เสมอ ผิดกับน้ำริน นักเขียนผู้มีอารมณ์อ่อนไหว ซึ่งจะทักทายด้วยชื่อเล่นของปลายสายอย่างเป็นกันเองตั้งแต่ครั้งแรกที่เจรจา ตามสไตล์ของคนไม่คิดมาก หรือมีระเบียบระบบอะไรนัก

“เจ้าของหมายเลขนี้มีแต่คนชื่อทัศน์นะครับ ไม่มีคนชื่อบรรณาธิการ หึๆ นั่นน้องพู่กันใช่ไหม?” ปลายสายตอบกลับมาอย่างยียวนเล็กๆ หากเป็นน้ำรินคงโดนแหวกลับไปอย่างเผ็ดร้อนเสียแล้ว แต่นี่คือ..เพชรกล้า หญิงสาวอารมณ์เย็น ปราศจากความวู่วาม

“ใช่ค่ะ ดิฉัน..น้ำเอง” เมื่อปลายสายเงียบไปผิดปกติ จิตแพทย์สาวจึงรีบแก้อย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า น้ำรินไม่เคยใช้ชื่อเล่นของตนกับใคร “อ้อ..พู่กันนั่นแหละค่ะ พอดีอยากสอบถามเส้นทางคุณทัศน์ให้แน่ใจเสียหน่อย”

“ฮะๆ วันนี้มาแปลก พูดจาเพราะผิดผู้ผิดคนเชียวครับ...ว่าแต่มีปัญหาอะไรหรือ ทำไมวันนี้มาออฟฟิศไม่ถูกล่ะ” น้ำเสียงเขายังฟังดูกวนประสาทและขี้เล่นเหมือนเดิม

“เอ่อ..คือ ดิฉัน..อืม..พู่กันเดินทางไปทำธุระมาหลายที่มากเลยค่ะเช้านี้ เลยเกิดอาการสับสนนิดๆ แถมเข้าลาดพร้าวมาคนละทางกับที่เคยเข้า ก็เลยหลงทางน่ะค่ะ” เพชรกล้าพยายามสรรหาเหตุผลที่ฟังขึ้น และปรับโทนเสียงการพูดจาให้ใกล้เคียงน้องสาวเท่าที่จะทำได้

“อืม..เข้าใจ สงสัยมัวแต่ไปทำไซ้ไลจนเบลอ” ทัศน์จิกกัดเล็กๆอย่างที่เคยทำ “มัวแต่แต่งสวยไปเดินแบบอยู่ที่ไหนล่ะครับคราวนี้”

จิตแพทย์สาวพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ก่อนจะกรอกเสียงลงไปว่า

“พู่กันว่า..คุณทัศน์ช่วยบอกเส้นทางมาดีกว่านะคะ เดี๋ยวต้นฉบับจะไปไม่ถึงสำนักพิมพ์กันพอดีค่ะวันนี้”

ปลายสายอึ้งไปพักใหย่กับความเปลี่ยนแปลงของนักเขียนสาวที่มักจะโต้ตอบรับมุขเขาอย่างดุเด็ดเผ็ดมันทุกครั้งที่คุยกัน หากคราวนี้เธอสงบไปเยอะ และเป็นผู้ใหญ่จนหน้าใจหายเลยทีเดียว ชายหนุ่มเองก็ฝืนทำเสียงให้ฟังเป็นงานเป็นการมากขึ้น ก่อนจะอธิบายเส้นทางให้กับหญิงสาวตามคำเรียกร้อง



รถเก๋งคันเก่าเคลื่อนตัวมาจอดอยู่หน้าประตูอัลลอยด์บานใหญ่ หลังจากชัดเจนในเส้นทางของสำนักพิมพ์ “เดอะ เบสท์” เรียบร้อยดีแล้ว หญิงสาวก็ตัดสินใจมุ่งหน้ามายังจุดหมายปลายทางทันที ความหิวในยามเที่ยงถูกเจือจางไปไหนหมดไม่รู้ หลังจากเจรจากับคนจอมกวนอย่าง “ทัศน์” เสร็จสิ้น..หญิงสาวบอกตัวเอง...ผู้ชายคนนี้ไม่น่าคบ!

มาถึงสถานที่ที่ต้องการ จิตแพทย์สาวก็ต้องแปลกใจไม่น้อย เมื่อพบว่า “ออฟฟิศ” ที่ชายหนุ่มพูดถึง มีสภาพไม่ต่างจากบ้านพักส่วนตัวของคนในซอยนี้เท่าใดนัก หลังคาสีแดงยังคงความใหม่ และโดดเด่น ตัวบ้านสีขาวสองชั้นก็ดูเหมือนทาวน์เฮ้าขนาดใหญ่ดีๆนี่เอง รวมไปถึงเสียงสุนัขที่เห่าต้อนรับออกมาจากด้านในอยู่เป็นระยะๆ

ไม่กี่อึดใจต่อมา ประตูถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติ รถกระบะคันใหญ่จอดสนิทในโรงรถที่แบ่งเป็นสัดส่วน ชายหนุ่มในชุดลำลองแต่งกายตามสบายใจฉัน เดินออกมาจากมุมหนึ่งของตัวบ้าน เสื้อยืดสีฟ้าสดกับกางเกงยีนส์สีเทาเข้มทำให้เพชรกล้าต้องเลิกคิ้วประหลาดใจกับตัวเองอีกรอบ..สถานที่ก้ไม่เหมือนสำนักงาน..ตัวคนยังไม่เหมือนคนทำงานอีกหรือนี่? ทำไมเขาถึงไม่มียูนิฟอร์มใส่ให้เป็นระเบียบกว่านี้นะ หญิงสาวตั้งคำถามขึ้นในใจ แต่ก็พยายามมองนิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หลุกหลิกให้เสียภาพพจน์ หญิงสาวอยู่ในท่าทีสำรวม แต่งชุดกระโปรงสีขาวเรียบร้อยแต่ก็มีสไตล์เหมาะกับบุคลิกของตน ทว่าแปลกตาไปมากจากนักเขียนนิยายรักชื่อดังคนเดิมในสายตาของ “ทัศน์”

“เชิญครับ..หวังว่าคงเคยชินกับเสียงเห่าของคุณเบสท์แล้วนะ อืม แล้วเดี๋ยวอยู่ทานกลางวันกับพี่ๆเขาด้วยเลย พี่บุญเพิ่งทำอาหารเสร็จพอดี” บรรณาธิการหนุ่มบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม จนตัวคนพูดเองยังอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ “เงียบๆอย่างนี้ หิวข้าวอยู่ล่ะสิ ยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่ไหม?”

เพชรกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของเสียง หลังจากถอดรองเท้าคัชชูวางเข้าที่เรียบร้อย เห็นแววตาซุกซนขี้เล่นของเขาแล้วต้องแอบลอบถอนใจ...นึกว่าจะทำขรึมไปได้ตลอดรอดฝั่ง!

มองไปทีข้างประตูกระจกก็เห็นเจ้าสี่ขาที่ถูกเรียกว่า “คุณเบสท์” กำลังสนุกสนานกับการเห่ารับแขกด้วยเสียงที่ดังไม่ใช่น้อยอย่างต่อเนื่อง แวบแรกที่ได้เห็นเจ้าหมาขนยาวสีน้ำตาลเข้มหน้าตาบ้องแบ๊วตัวนี้ เพชรกล้าก็รู้สึกถูกชะตาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อเธอถูกชะตากับอะไรก็ตาม ประกายตาที่ทอออกไปจะเคลือบเต็มไปด้วยความรัก มีนัยน์ตาที่ยิ้มได้ไม่ต่างจากลักยิ้มที่แก้มบุ๋มสองข้าง เสริมความหวานให้กับใบหน้าได้เป็นอย่างดี ตาใสของคนและสัตว์มองตอบกัน “คุณเบสท์” นิ่งสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนจะหมอบลงข้างประตู หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือก้มลงไปลูบหัวมันอย่างนึกเอ็นดู

“พิลึกแฮะ วันนี้คุณเบสท์เห่าน้อยจัง ทุกทีจะเห่าไม่เลิกจนกว่าคุณน้องจะเดินเข้าออฟฟิศไปจนไม่เห็นเงาหัว เอ้ย! เงาหลัง” บก.หนุ่มเอ่ยทักอย่างประหลาดใจ หญิงสาวหันมายิ้มให้อย่างสำรวมแล้วผลักประตูเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรอีก

“สงสัยกินยาลืมเขย่าขวดแหงๆ” ทัศน์พึมพำกับตัวเองเมื่อคล้อยหลังหญิงสาว

อาหารเที่ยงมื้อนั้นผ่านไปด้วยความอิ่มท้องและอิ่มใจของจิตแพทย์สาว สำนักพิมพ์เล็กๆแห่งนี้ดูเป็นกันเอง และอบอุ่นกว่าที่เธอคิด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้ำริน น้องสาวของเธอจึงอยู่เป็นนักเขียนประจำให้กับที่นี่ไม่ยอมไปไหน นอกจากจะแต่งนิยายเพื่อส่งประกวดชิงรางวัลสำคัญต่างๆเท่านั้น

พี่ทีมงานแต่ละคน เธอก็ต้องใช้ไหวพริบส่วนตัวในการกวาดสายตาอ่านป้ายชื่อที่ติดไว้หน้าโต๊ะแต่ละตัวอย่างรวดเร็ว ห้องทำงานในชั้นล่างจะแบ่งเป็นสองฝั่ง มีกระจกกั้นกลางระหว่างห้อง ฝ่ายที่เป็นแผนกบัญชีและการตลาดหญิงสาวยังไม่ค่อยได้ทำความรู้จัก แต่ฝ่ายที่เป็นบรรณาธิการและฝ่ายศิลป์เธอพอจะได้พูดคุยมากกว่า


ระหว่างรับประทานมื้อกลางกันในห้องอาหารถัดจากห้องทำงานในชั้นเดียวกัน จิตแพทย์สาวก็สัมผัสได้ถึงมิตรไมตรีที่แต่ละคนหยิบยื่นให้กันอย่างไม่แบ่งชั้นวรรณะ ตั้งแต่ฝ่ายที่ทำงานกับตัวหนังสือจนกระทั่งแม่ครัวคนเก่งอย่าง “พี่บุญ”

กับข้าวที่นี่อร่อยทีเดียว แทบไม่ต้องเติมเครื่องปรุงรสใดๆทั้งสิ้น พนักงานที่นี่ทุกแผนกแต่งตัวกันตามสบายใจฉันเหมือนอยู่กับบ้าน ครั้งแรกที่เห็น เพชรกล้าก็รู้สึกไม่ค่อยคุ้นตานัก แต่พอดูๆไป มันก็ทำให้บรรยากาศตึงเครียดของการทำงานผ่อนคลายลงได้ไม่น้อย ทุกคนเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนสนิทกันมากกว่าที่จะเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน

หญิงสาวถูกชะตากับ “พี่เก๋” บรรณาธิการหญิงอีกคนในออฟฟิศ และก็รู้สึกสนิทใจกับพี่ทีมงานคนอื่นเกือบทุกคน ยกเว้นหนึ่งเดียวที่เธอยังทำให้ให้ชอบไม่ได้นั่นก็คือ “ทัศน์” ตลอดเวลา เขาช่างกวนประสาทเธอได้สมกับที่น้องสาวของเธอจะไม่ชอบขี้หน้าเป็นพิเศษ

อย่างขากลับเขาก็ยังไม่วายยั่วเธอได้อีก เพชรกล้ายื่นแฟลตไดร์ฟที่บันทึกต้นฉบับนิยายเรื่องล่าสุดของน้ำรินให้เขา ก่อนเอ่ยถามอย่างเป็นพิธีตามสไตล์ของเธอ

“นี่คือต้นฉบับที่คุณต้องการ..ยังมีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกไหมคะ”

ใบหน้าคมเข้ากับดวงตาขี้เล่นเจือรอยยิ้มยียวนก่อนเอ่ยตอบ

“ก็แล้วแต่ว่าน้องจะเสนออะไรให้พี่อีกล่ะครับ...มีไหมล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นดิฉัน..เอ่อ..พู่กันขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันค่ะ ยังมีธุระ..” หญิงสาวยิ้มเย็น มองลึกเข้าไปในดวงตาที่ปราศจากความจริงจังของชายหนุ่มอย่างจะบอกให้รู้ว่าเธอทำอะไรจริง..ไม่มีเล่น “ ที่เป็นสาระ ให้ต้องทำอีกมากค่ะ” หญิงสาวเน้นคำว่า “สาระ” ให้ชัดเจนเป็นพิเศษจนทัศน์ถึงกับหน้าเสียไปชั่วขณะ...ก็น้ำรินเคยพูดจาประชดประชันแบบดูดีมีระดับอย่างนี้เสียที่ไหน!

“ครับ...งั้นเดี๋ยวน้องเอาเมลล์พี่กับพี่เก๋ไปด้วยนะ” ชายหนุ่มว่าพลางดึงกระดาษแผ่นเล็กบนโต๊ะทำงานออกมาจดที่อยู่อีเมลล์ให้หญิงสาว “ตอนนี้สนพ.มีนโยบายประหยัดงบค่าโทรศัพท์น่ะ ...น้องเองก็ทำงานไปด้วยออนเอ็มไปด้วยเลยละกันนะ มีอะไรก็คุยกันในนั้นเลย ประหยัดงบไปได้เยอะ”

“เอ็มเอสเอ็นน่ะหรือคะ?” เพชรกล้าเลิกคิ้วถาม

“สงสัยเอ็มแอ่นเอ็มมั้งน้อง หึหึ” ทัศน์ตอบกวนส่งท้าย พร้อมยื่นกระดาษส่งให้หญิงสาว

และแทนที่จะแสดงท่าทีโกรธเคืองเหมือนที่ชายหนุ่มเคยเห็นจนชินตา หญิงสาวกลับยื่นมือรับกระดาษมาถือไว้พร้อมรอยยิ้ม และคำพูดก่อนเดินทางกลับที่ทำให้เขาต้องมึนงงไปอีกระลอก



“เอ็มแอ่นเอ็มก็อร่อยดีนะคะ..แต่ทานมากๆระวังเบาหวานและโรคอ้วนจะถามหา!”



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ค. 2555, 06:51:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ค. 2555, 06:51:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1570





<< บทที่ ๒ ความขัดแย้ง   บทที่ ๔ ฝนอุ่น >>
หมีสีชมพู 25 ก.ค. 2555, 06:48:07 น.
M&M อร่อยนะคะ แต่หวานไปหน่อย กินมากๆ จะอ้วนจริงๆ แหละ


ศิลาริน 25 ก.ค. 2555, 18:11:07 น.
^__^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account