ลำนำรักสายลม
และสายลม,
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล

ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า

ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)


(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
Tags: รักโรแมนติก วัยรุ่น ผู้ใหญ่

ตอน: ตอนที่ 2.2

อัจจิมารู้สึกตัวตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันส่องฟ้า ลุกผลุงจากที่นอนแล้วย่องกริบไปยังชานเรือนหลังบ้านซึ่งยายใช้เป็นครัวไฟ หม้อข้าวถูกยกขึ้นตั้งอย่างเบามือ แม้แต่กระเทียมยังไม่กล้าทุบ ได้แต่ใช้สันบังตอกดหนักๆ เพราะกลัวเสียงตุบตับแล่นปลุกคนในห้อง

ถ้าน้าอินตื่น ทุกอย่างคงจบกัน!

อัจจิมารีบทอดเจียวไข่ หล่อนเทไข่เหมือนกลัวกะทะเจ็บ กลิ่นกับข้าวหอมกระจายไปทั่ว แต่ในห้องนอนเล็กยังเงียบเชียบ น้าสาวไม่ตื่นตามคาด งานเสิร์ฟอาหารเป็นงานหนัก คนกลับบ้านเที่ยงคืนตื่นเมื่อตะวันตรงหัวทุกที กินข้าวแล้วเผ่นไปทำงานกะบ่ายต่อ ทิ้งหลานสาวอยู่บ้านหรือเฝ้าแผงมาลัยตามลำพังเสมอ

คว้าฝาชีครอบกับข้าวได้ ใจดวงน้อยก็แทบโลดออกจากตัว

สไบสีทับทิมประดับดิ้นเงินทองวาววับ หล่อนไม่เคยเห็นสไบผืนไหนสวยเท่าผืนเมื่อวานมาก่อน ผ้าเนื้อมันสีแดงและเขียวสด ปักลวดลายละเอียดยิบเข้ากับผ้ายกเยียรบับลงแป้งจนเนียนสวย ยิ่งเมื่อสวมทับทรวงและเครื่องประดับอื่นๆ ความละเอียดของสไบยิ่งฉายเด่น เสียแต่ว่าเสื้อข้างในหลวมโครก ยายเตยสัญญาว่าจะเย็บให้เข้าตัวและสั่งให้ไปลองชุดแต่เช้า

“มันอยู่ในสายเลือด” ปู่แสงสรุปหลังจากนั่งลุ้นการซ้อมจนถึงมืดค่ำ “ทั้งแม่อิ่ม แม่อร ล้วนเป็นนางรำเลื่องชื่อทั้งคู่ แต่ใครว่าแม่อิ่มรำสวยแล้ว ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่อรรำสวยกว่า”

“แม่อรน่ะหรือจ๊ะรำสวย”

“เออ ไม่เคยเห็นล่ะสิ”

อัจจิมาส่ายหน้า นอกจากไม่เคยเห็นรำแล้ว มารดายังปรามไม่ให้ลูกสาวรำอีกด้วย อ้างว่าอยากให้ตั้งใจเรียนอย่างเดียว จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนยาย เหมือนแม่

“ปู่เคยเห็นเหรอ”

“ปุดโธ่ ทำไมจะไม่เคย ปู่ตีระนาดให้ทั้งยายเอ็งทั้งแม่เอ็ง สมัยยายเอ็งสาวๆ นะ ถ้าลองแม่อิ่มรำล่ะก็ ละครชาตรีวิกนั้นคนดูเต็มโรงทั้งพูหญิงพูชาย แกรำตั้งต๊ะเริ่มสาวจนล่วงเกือบสี่สิบ หาเงินส่งลูกเรียนนาฏศิลป์จนได้ แต่แม่อรรำไม่กี่ปีเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าเลิกพร้อมกันทั้งแม่ลูก น่าเสียดายฝีมือฝีไม้”

อัจจิมาจดปลายเท้าย่องเข้าห้องเพื่อผลัดเสื้อ ที่ฟูกมุมห้องยังเห็นร่างน้าสาวขดตัวในผืนผ้านุ่งเก่าซึ่งใช้แทนผ้าห่ม หันหน้าให้ฝาเรือน หล่อนดีใจจนอดยิ้มไม่ได้

น้ายังหลับ ยายยังไม่กลับ และแม่อยู่อยุธยา หนทางปลอดโปร่งเสียกระไร

อีกไม่กี่ชั่วโมง ฉุยฉายน้อยจะได้ออกโรง คนดูจะชอบหล่อนและเขาจะให้ทิปมากๆ เด็กหญิงฝันเฟื่องขณะย่องกลับไปที่ประตู

“ยายยังไม่กลับหรือ!”

เสียงลอยมาจากขดผ้านุ่ง

อัจจิมาสะดุ้ง! ฝันหวานถูกเหวี่ยงหล่นมากองแทบเท้า!!!!
***********************************

“หน้าซีดเหมือนเห็นผี” คนถูกคิดว่าหลับสนิทลุกขึ้นมานั่งหลังตรง “เป็นไรรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรนิ” เด็กหญิงส่ายหน้าในความมืด “น้าอินนอนต่อเหอะ เดี๋ยวหนูกินข้าวเสร็จแล้วจะไปรีบไปเฝ้าแผง”

“ไปทำไมแต่ไก่โห่” คนถูกคะยั้นคะยอให้นอนหรี่ตาเหมือนเวลาซักคะแนนสอบหลาน

“วันนี้เขาว่าจะมีคนมาทำบุญศาลเจ้าแม่แต่เช้า หนูไปล่ะนะ น้าจะได้นอน” อัจจิมาแสดงน้ำใจระหว่างสาวเท้าไปที่ประตู

“ถ้าเป็นเรื่องเฝ้าแผงล่ะขยันจริงนะ การบ้านเสร็จแล้วรึ” มือแตะกลอนชะงัก ทำให้คนเพิ่งตื่นอดไม่ได้

นี่ถ้าตะวันจับฟ้ากว่านี้ คงจะได้เห็นใบหน้าเล็กสลดเป็นมะลิค้างคืน

“การบ้านเสร็จแล้วก็ดี แต่ถ้าไม่เสร็จก็เอาไปทำต่อ อย่าเอาแต่วิ่งเล่น” น้าสาวดักคอขณะม้วนที่นอนไปตั้งชิดฝา ปากก็สอนต่อว่า “มีเวลาว่างก็หัดอ่านหนังสือหนังหา คะแนนจะได้กระเตื้องขึ้นบ้าง แม่เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”

“น้าอิน ถามอะไรหน่อยสิ” คนรอเวลาเผ่นกลับเปลี่ยนใจเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ อินทิราลอบยิ้ม ถ้าลองเจ้าตัวเล็กถาม มันก็ไม่วายเรื่องเรียนนั่นล่ะ ถึงอัจจิมาจะไม่ใช่คนเรียนดีเด่น แต่ถ้าหมั่นถามน้านุ่ง ไม่ปล่อยปละความสงสัยให้ละลายไปกับเวลา ก็พอจะชื่นใจอยู่หรอก

แต่ความชื่นใจของอินทิรามีแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น

“ทำไมยายและแม่ไม่ชอบให้ไปคณะยายเตย”

ลูกไฟลูกเล็กร่วงลงตรงหน้า สว่างวาบพอได้เห็นความผิดปกติบางอย่าง ก่อนจะเลือนลับดับไปในวินาทีต่อมาเมื่ออินทิราสั่งตัวเองฉับให้ตอบสั้นที่สุด น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เขาไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่เกี่ยวกับคณะยายเตยหรอก เขาอยากให้ตั้งใจเรียน คะแนนของเรามันดีนักนิ”

“หนูไปเที่ยวแถบตลาดหรือที่อื่น แม่กับยายไม่เคยว่า แต่ถ้าเฉียดใกล้คณะยายเตยเมื่อไหร่ ยายต้องเอ็ดทุกที ตอนเด็กๆ หนูแอบไปเรียนรำกับยายเตย ยายจับได้คว้าไม้มะยมจะเฆี่ยน ดีที่น้าอินห้ามไว้”

“เขาคงอยากให้ตั้งใจเรียนนั่นแหละ”

“หนูตั้งใจเรียนนะ การบ้านส่งครบ แต่คณะยายเตยไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องเรียนสักหน่อย หนูแค่ไปดูเขาซ้อมรำเพลินๆ”

“แรกๆ แค่ดูเอาเพลิน ตอนหลังก็อยากรำกับเขาใช่ไหมล่ะ” อินทิราลากเสียง พร้อมเอามือจิ้มหน้าผากมนของคนช่างสงสัย “ของสวยงามมีใครบ้างไม่ชอบ ได้แต่งตัว ได้มีคนมองเป็นจุดเด่น”

“ไม่ใช่อย่างงั้นสักหน่อย”

“เตือนเพราะหวังดีน่า ไม่ต้องทำหน้าหุบ ไอ้อาชีพรำมันไม่ยั่งยืนหรอก นึกดูดีๆ เคยเห็นนางรำคณะไหนแก่บ้าง แต่คนเราต้องแก่ใช่ไหม”

“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม ยายและแม่ถึงเลิกรำ”

“ใครเล่าล่ะ” หน้าผากอินทิราย่นยับ ตาพินิจหลานขณะผลัดเสื้อโดยสะบัดผ้าถุงใช้ห่มนอนแล้วสวมทับอย่างชำนาญเพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงและเสื้อยืดรัดกุม

“คนเขาพูดกันทั้งนั้นล่ะ”

“จำไว้นะ” ถึงคราจะต้องปิดการสนทนาเสียแล้ว อินทิราจึงทำอย่างที่เห็นมารดามักทำเสมอ คือเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังเพื่อปรามและหยุดการสนทนาไปในตัวว่า

“ใครจะพูดอะไรช่างเขา คนเรามีปากก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ ขอแค่ได้พูดเพราะปากพาไป อย่าเอาเวลาไปขลุกกับพวกนางรำมาก รู้ไหมล่ะ พวกนั้นว่างเมื่อไหร่ไม่แคล้วนินทาเมื่อนั้น แต่ละเรื่องไร้สาระ ถ้าไม่ใช่เรื่องผู้ชายก็เป็นเรื่องของคนอื่น ขายมาลัยเสร็จแล้วรีบกลับบ้าน อย่าลืมล่ะ”
************

ยายเตยขนเสื้อผ้าชุดใหญ่ออกมาวางเรียงบนตั่งไม้ในห้องเก็บสมบัติตามคำเรียกของพวกนางรำ แกแยกทุกอย่างเป็นหมวดหมู่ ตั้งแต่มงกุฎ ทับทรวง ปั้นเหน่ง กำไลข้อมือข้อเท้าสีทองอร่ามประดับกระจกวับวาว ไปจนถึงเสื้อ ผ้านุ่ง และสไบนางสีทับทิมปักดิ้นเงินดิ้นทองฝีมือประณีตผืนนั้น

ความงดงามของเครื่องแต่งกายทำให้อัจจิมาถึงกับลืมหายใจชั่วขณะ

“สวยจังจ๊ะยาย”

“ร้อยมาลัยเสร็จแล้วรึ” ยายเตยรับไหว้ ถามแล้วจ้องหน้าอัจจิมาเงียบๆ

ก้อนน้ำลายเหนียวแล่นจุกคอ บางที การซ้อมเมื่อคืนคงไม่ดีนัก

“มีอะไรหรือจ๊ะ”

ยายเตยละสายตากลับมาที่ของบนตั่ง

“ช่วยยายเก็บของบนตั่งใส่หีบแล้วยกลงไปข้างล่าง” หญิงชราสั่งเสียงเรียบราวกับพื้นเรือน เด็กหญิงยิ้มแหย วางอุบะมาลัยสดที่ตนร้อยมาเองอย่างถนอมมือ การซ้อมเมื่อวานอาจแย่มากจนถึงขั้นเลวร้าย ยายเตยจึงกำลังสองจิตสองใจว่าจะเปลี่ยนเป็นรำถวายมืออย่างที่ปรึกษาปู่แสงไว้ หรือตามนุชกลับมารำดี

ใจดวงน้อยรัวเป็นจังหวะกลองแขกเบิกโรง ขาแข้งพาลสั่นไปหมด อัจจิมาฝืนยกหีบลงเรือนตามหลังเจ้าของคณะ ลานโล่งใต้ถุนบัดนี้มีนักดนตรีตามมาสมทบเกือบครบวง ปู่แสงนั่งเด่นหลังระนาดเอก ถัดไปเป็นพี่เป่ง มือกลองแขก อาเชื่อม มือฆ้อง อาป้อม คนเป่าปี่

แล้วหล่อนก็เห็นนุช!



อลินน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ค. 2555, 09:25:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ค. 2555, 09:25:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1301





<< ตอนที่ 2.1   ตอนที่ 2.3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account