ทิวาเลือน
เรื่องราวของการสืบหาความจริงที่ยังคลุมเครือของการเลิกราของเมฆาและเริ่มทิวาจนนำไปสู่อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตฝ่ายหญิง

โดยรวี ที่อยากจะช่วยญาติให้หลุดพ้นความเศร้าโศก ชักชวน อรุณงามญาติฝ่ายหญิงให้มาช่วยกันสืบด้วยความไม่เต็มใจนัก

ยิ่งสืบยิ่งยุ่ง อะไรหนอหรือใครกันที่เป็นสาเหตุอันแท้จริง


Tags: ชิตา ทิวาเลือน รักโรแมนติค

ตอน: ๑๓

พ่อเลี้ยงเอนกขึ้นมาจากกรุงเทพทันทีเมื่อฟังคำบอกเล่าด้วยความโกรธของเมฆา
ระหว่างหลานชายที่เพิ่งกลับมาจากแดนไกลกับหลานชายที่อยู่ใกล้ชิดตลอด ท่านจะเชื่อใครและห้ามใคร

“เมฆากลับมาแล้ว แกก็หยุดเลิกสืบเรื่องหนูทิวาเสียที มันจะได้อยู่อย่างสงบ”

พอมาถึงบ้านก็เรียกหลานชายและว่าที่หลานสะใภ้เข้าพบ และออกคำสั่งทันทีที่พบหน้า

“ลุงอนุญาตผมแล้วนี่ครับ”

“นั่นมันเพื่อให้เจ้าเมฆกลับบ้าน ตอนนี้มันก็กลับมาแล้ว จะสืบไปทำไมอีก”

“แล้วเรื่องผมกับอรุณงามล่ะ ไม่ครับ ผมสืบมาจนป่านนี้แล้ว จะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทางบ้านอรุณงามจะได้เข้าใจบ้านเราเสียที”

“ฉันจะไปพูดกับคุณรุ้งแพงให้แกเอง” ท่านเสนอ

“หรือจะให้ไปสู่ขอเลยก็ได้”

“เอ่อ คุณลุงคะ คือเราไม่ได้.....” อรุณงามตะกุกตะกักตกใจจนหน้าซีด

“เราไม่ได้รีบร้อนครับ”

“หนุ่มสาวสมัยนี้อยู่ด้วยกันก่อนแต่ง ฉันก็เข้าใจ แต่ถึงอย่างไร ในฐานะผู้ใหญ่ฝ่ายแกฉันก็ควรไปพูดจาทาบทามให้รู้ว่า แกรักจริงหวังแต่ง ยิ่งเรามีเรื่องคาราคาซังกันอยู่”

“ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้อง ผมตั้งใจว่าจะคุยกับเมฆสองสามวันนี้แหละ รอผมไปคุยกับคนอีกสองสามคนก่อน”

“มันคงยอมหรอกนะ เท่าที่มันไม่เอาแกตายในร้านอาหารก็บุญแล้ว”

“อ้อ มันฟ้องลุงแล้ว”

“เออ รวี นึกว่าเห็นแก่ลุงเถอะ” รู้ว่าไม้แข็งไม่ได้ผล ท่านก็ต้องใช้ไม้อ่อน

“ที่ผมทำทุกวันนี้ ก็เพื่อลุง เพื่อเมฆ เพื่อผมและอรุณงาม” หลานชายไม่ยอม

“ไอ้หลานหัวดื้อ จะไปทำอะไรก็ไป” ท่านไล่ดื้อๆ อารมณ์เสียทันที พูดจากับหลานแต่ละคนไม่ได้ดั่งใจเลยจริงๆ

“ครับ แล้วถ้าเมฆตกลงเมื่อไหร่ จะโทรบอกลุง เราจะได้คุยกันต่อหน้า ให้รู้ดำรู้แดงกันไป”

“แกจะบ้าหรือรวี”

“ผมไม่ได้บ้า คนที่บ้าคือ คือเจ้าเมฆต่างหาก ลุงครับ ผมขอร้อง ลุงลองสังเกตุเมฆมันดีๆ สักครั้ง แล้วลุงจะเห็นเอง ว่ามันผิดปกติ ผมก็บอกไม่ถูกว่าทำไมผมจึงรู้สึกอย่างนั้น แต่ถ้าเราไม่แก้ไข เมฆคงจะเสียหายสุดเยียวยา”

“เสียหายสุดเยียวยา”

“ใช่ครับ โดยเฉพาะความเสียหายที่ใจ” รวีพูดส่งท้ายให้หัวใจคนเป็นลุงนึกหวั่นขึ้นมากกว่าเดิม



“เป็นอะไร นั่งเงียบไม่พูดไม่จา”

“เปล่าค่ะ” อรุณงามตอบเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ สายตาเหม่อมองนอกหน้าต่างรถ ระหว่างทางที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน

“กลุ้มใจเรื่องอะไร”

“เปล่า”

“โกหก”

อรุณงามชักโมโห

“แล้วจะซักให้ได้อะไรขึ้นมา”

“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ”

“ก็ดี” คำว่าก็ดีนั้น ห้วนสั้นและสั่นเครือ อรุณงามยิ่งเบือนหน้าหนีรวีมากขึ้น

“แล้วยังไงต่อ”

ก็ไม่ยังไงต่อหรอก ฉันแต่โดนตัดญาติขาดมิตร โดนตราหน้าว่ามาอยู่กับผู้ชายโดยไม่ได้ตบไม่ได้แต่ง แค่นั้นเอง

ปลอบใจตัวเองว่ามันไม่เป็นความจริง อย่าไปเดือดร้อน เราไม่ได้ขอข้าวใครกิน แต่ด้วยความที่ถูกเลี้ยงมาด้วยความเข้มงวด ความรู้สึกผิดจึงตกตะกอนทับถม แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจแต่การที่แม้แต่พี่ชายก็ไม่ติดต่อมา ก็ทำให้อรุณงามน้อยใจ ประกอบกับอนาคตข้างหน้าก็ยังมองไม่เห็น งานการก็ไม่มีทำ บางเวลาอย่างเช่นตอนนี้ หล่อนจึงรู้สึกเคว้งคว้าง ยิ่งคำพูดพ่อเลี้ยงเอนกวันนี้ก็ทำให้สะเทือนใจ

เหม่อมองอาคารบ้านเรือนและรถราทิ่วิ่งสวนทางแล้วก็ยิ่งสะท้อนสะท้านใจ

“คิดอะไรอยู่” รวีมองเห็นอาการนั้นก็เลยถามเสียอ่อนลง

“เปล่าค่ะ ช่างมันเถอะ” ปากปฏิเสธ แต่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว

“ช่างได้ยังไง ก็คุณ....”

“เย็นนี้กินอะไรกันดี แวะตลาดเลยไหม จะได้ไม่ต้องออกมาอีก พรุ่งนี้ล่ะคะอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” อรุณงามเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว แต่รวีส่ายหน้า

“ผมไม่ใช่เด็กที่คุณจะมาล่อด้วยของกิน” เขาบอกแต่ในใจยอมรับว่า เคยชินที่จะนั่งทานข้าวด้วยกัน ทั้งๆที่หล่อนก็ทำอาหารธรรมดา รสชาติก็ไม่ได้เลิศเลอ แต่น่าแปลกที่เขาชอบความรู้สึกที่ตื่นมาแล้วกินข้าวกับหล่อน หลังเลิกงานก็รีบกลับบ้านไปทานข้าวเย็นด้วยกัน

“งั้นฉันขอลง” เสียงยังสะอื้นอยู่

“จะไปไหน”

“ไปไหนก็ช่าง”

“งั้นนั่งในรถนี่แหละ ผมจะพาคุณขับรถเล่น” เขาบอกเสียงอ่อนโยน กลับรถมุ่งหน้าสู่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ผ่านแยกการจราจรติดขัดสองสามแยก มุ่งหน้าสู่อีกจังหวัด เมื่ออรุณงามไม่คัดค้าน หรือให้ความเห็น เขาก็ขับไปเรื่อยๆ ผ่านนิคมอุตสาหกรรมประจำภาค ก่อนจะเลี้ยวรถไปตามทางแยกเล็กแคบแห่งหนึ่ง ขับไปได้สักพักเขาก็จอดรถตรงวัดเล็กๆ ข้างทาง เมื่อลงจากรถก็พบกับบรรยากาศร่มรื่นของยามสายันต์ เสียงพระเณรกำลังทำวัตรเย็นคลอเคล้ากับเสียงนกกาที่กำลังบินกลับรัง

ก็ไม่ได้ถามว่าเขาพามาทำไม แต่อรุณงามก็หันหน้าไปทางวิหารพนมมือและยกจรดหน้าผากสามครั้ง ก่อนจะเดินไปหยอดเหรียญทำบุญที่ตู้รับบริจาคในศาลาด้านข้างวัด เขาเดินตามไปเงียบๆ ไม่ได้ซักไม่ได้ถาม ปล่อยให้หล่อนทำบุญให้สบายใจ

“พ่อเลี้ยงรวี ทำไมมาแลงแต๊แลงว่า” มรรคนายกผู้รู้จักคุ้ยเคยกันดีเดินเข้ามาทักทายว่าทำไมถึงได้มาค่ำๆ

“พาแฟนมาทำบุญครับ”

อรุณงามหันขวับทันที

“ดีครับ เข้าวัดเข้าวา อ้อ พอดีทางวัดก็มีเรื่องจะปรึกษาพ่อเลี้ยงเอนกเหมือนกันบ่รู้ว่าจะฝากผ่านพ่อเลี้ยงรวีไปได้ก่อ”

“ได้ครับ ได้”

“จะมีผ้าป่ามาจากกรุงเทพครับ ก็เลยจะบอกบุญให้พ่อเลี้ยงเป็นเจ้าภาพร่วม บ่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะว่าจะใด”

“ดี ครับดี ผมจะบอกให้ เอ่อ พ่อหนานครับ ผมเองก็มีเรื่องจะรบกวนพ่อหนานเช่นกัน เดี๋ยวก่อนกลับผมจะขอคุยกับพ่อหนานสักครู่ได้ไหม”

“ได้ครับ บ่มีปัญหา”

รวีขอบคุณพ่อหนาน ก่อนจะกึ่งจูงกึ่งประคองอรุณงามให้เดินตามเขาไปด้านหลัง

“พาฉันไปไหน”

“ชมวิว”

วิวที่ว่า คือบริเวณท้องนารกร้างด้านหลังวัดที่กว้างไกลจรดดอยลิบๆ
เบื้องหน้า ดวงตะวันกลมโตสีส้มระเรื่อกำลังจะหย่อนตัวลับฟ้า ลมเย็นพัดผ่าน เป็นภาพที่สะอาดบริสุทธิ์ขัดกับภาพนิคมอุตสาหกรรมอันวุ่นวายซึ่งอยู่ไม่ห่างกัน

“เวลาไม่สบายใจ ผมชอบมาที่นี่ มองตะวัน มองทุ่งนาร้าง นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่น่าเชื่อว่าสมองผมมันจะปลอดโปร่งโล่งสบาย ปัญหาที่แก้ไม่ตก มันก็จะค่อยๆ คลี่คลายในหัว ทั้งๆ ที่ทิวทัศน์ที่นี่มันก็ไม่ได้สวยงามอะไรมากมาย”

“แสดงว่าคุณมีความสุขกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายๆ”

“งั้นมั้ง แล้วคุณล่ะ”


“ฉันก็คล้ายๆ คุณ แต่ฉันชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่า”

“เพราะคุณชื่ออรุณงาม”

“งั้นมั้ง” หล่อนตอบเลียนแบบเขา ก่อนจะยิ้ม

“ขอบคุณที่พามาที่นี่ ฉันดีขึ้นเยอะเลย”

“อยากระบายไหม”

“ฉันแค่คิดฟุ้งซ่าน ตอนนี้หายแล้ว”

“เก็บเอาไว้ มันไม่ดี อยากด่าผมที่ทำให้คุณลำบากใจก็ด่าได้ตามสบาย”

อรุณงามหัวเราะ ก้าวไปยืนเคียงข้างเขา ตาสบตา

“ในเขตวัดเนี่ยนะ ไม่ล่ะ บอกแล้วไงว่าหายแล้ว”

“งั้นผมจะพูดบ้าง แต่ห้ามหัวเราะนะ”

“มาแปลก”

“สัญญาก่อนว่าห้ามหัวเราะ”

“ก็ได้ ว่ามา” สีหน้าขึงขังนั้น ทำให้อดยิ้มไม่ได้ แต่รวีขมวดคิ้วพูดเสียงเข้ม

“คุณเชื่อเรื่องคนทรงไหม”

“เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทำไมหรือคะ”

เขาถอนหายใจ

“แต่ก่อนผมไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ จนวันหนึ่งสร้อยของแม่ที่ให้ผมก่อนตายหาย หาแล้วหาอีก แทบจะรื้อบ้านก็ไม่เจอ ประจวบเหมาะพอดีลุงผมมาเป็นเจ้าภาพสร้างโบสถ์ที่นี่และรู้จักกับพ่อหนาน ไม่รู้ว่าคุยกันยังไง จู่ๆ ลุงก็ให้ผมถือดอกไม้ธูปเทียน ตามพ่อหนานไปบ้านหลานของท่าน บอกท่านว่าสร้อยหาย ท่านก็ถามวันเดือนปีเกิด ถามลักษณะของสร้อย แล้วหลานชายพ่อหนานก็เพ่งสมาธิมองดอกไม้ธูปเทียนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกผมละเอียดยิบว่าผมลืมสร้อยไว้ที่เสื้อโค้ทตัวหนึ่งที่เก็บเข้าตู้อย่างดีไปแล้ว ผมเสียค่าครูแค่ยี่สิบบาท”

“คุณก็เลยเชื่อศาสตร์นี้หรือคะ”

“ผมเชื่อและศรัทธาอย่างเงียบๆ “ เขาหัวเราะ

“คุณรู้ไหม เขาก็คนทำมาหากินธรรมดา เพียงแต่ตอนเย็นก็ช่วยชาวบ้านไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เก็บเงินแค่ยี่สิบบาท ผมว่ามันน่าศรัทธามากนะ”

“คุณเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังทำไม”

“ผมดูออกนะว่า คุณอึดอัด และไม่สบายใจมาก “ เขากล่าว สีหน้าท่าทางเป็นห่วงเป็นใยอรุณงามมาก

“คุณคิดยังไง ถ้าเราจะไปถามคนทรงเรื่องอุบัติเหตุคราวนั้น ให้เรื่องมันจบๆ ไปเสีย”

เขาคงรำคาญแล้วกับการที่ต้องมาคอยดูแลผู้หญิงที่ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ญาติคนนี้แล้วกระมัง

“คุณคงเบื่อฉันแล้ว”


“เฮ้ย ผมไม่ได้พูดว่าเบื่อคุณ”

“ก็คำพูดคุณมันตีความได้อย่างนั้น” ชายหนุ่มถอนใจ เราเป็นห่วง อยากให้หายกลุ้ม อุตส่าห์ยอมเสียหน้าเล่าเรื่องคนทรง ก็ยังมาหาว่าเราเบื่อ ผู้หญิงหนอผู้หญิง หาความแท้ๆ

“ฉันอยากรู้ความจริงก็จริงอยู่ แต่ฉันไม่เห็นด้วย ถ้าคุณจะเอาเรื่องนี้ไปถามคนทรง ฉันไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องนี้กับคนนอก ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องเริ่มทิวา ฉัน ฉัน...” เสียงหล่อนตะกุกตะกัก น้อยอกน้อยใจเขาปนเปกับความกลัว น้ำตาจะไหลร่วงราวกับสายน้ำ

“ฉันแต่อยากให้ทิวาได้อยู่อย่างสงบ เท่านี้ฉันก็รู้สึกผิดมากแล้ว ฉันเคยคิดนะว่าหากรู้ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องเสียหายสำหรับคนตายล่ะ ฉันคงเสียใจไปจนตาย”

“แล้วคนผิดล่ะ” เขาเข้าไปประคองห่างๆ

“ก็เพราะนึกถึงคนผิดไง ฉันถึงยอมสืบกับคุณ ฉันสับสนคุณรู้ไหม อยากรู้ก็อยาก กลัวก็กลัว ไม่ว่าความจริงจะเป็นไง ป้ากับพี่ก็คงไม่นับญาติกับฉัน แล้วฉันก็จะไร้ญาติขาดมิตร เหลือตัวคนเดียว แล้วทำไมฉันยังทำล่ะ ก็เพราะอยากให้ความจริงปรากฏ แต่เราอย่าใช้วิธีนั้นเลยนะ หากอยากทำจริงๆ คุณหรือไม่ก็ลุงคุณก็ถามคนทรงไปนานแล้วใช่ไหม”

“ใจเย็นๆ อรุณ ผมถามความเห็นเฉยๆ ไม่ก็ไม่”

“แล้วพูดทำไมล่ะ”

“ก็เห็นคุณเบื่อเต็มทีนี่นา ไม่เอาน่าอย่าร้องไห้ เช็ดน้ำตาเสียก่อน เดี๋ยวใครมาเห็นจะหาว่าผมเอาสาวมารังแกถึงในวัด”

“เรื่องของฉัน”

“ผมขอโทษ”เขายิ้มล้อ ก่อนจะกระชับมือของอรุณงามทีหนึ่ง และรีบปล่อย

“เชื่อผมนะ เรื่องมันต้องคลี่คลายไปในทางที่ดี”



“เมฆลุงมีเรื่องจะคุยด้วย” พ่อเลี้ยงเอนกเรียกหลานชายทันทีที่เมฆาก้าวเข้าประตูมา

“ครับ” เขารับคำ หย่อนตัวลงนั่งประจันหน้ากัน

ท่านมองหลานชายที่เป็นความหวังอีกคนพร้อมถอนใจ สีหน้าเศร้าหมอง แววตาซึมเศร้า ต่างจากคนเดิมลิบลับ

หลานชายสองคนดื้อรั้นๆหัวชนฝาพอๆกัน เอาแต่ใจตัวก็เท่านั้น โทษใครก็ไม่ได้นอกจากพ่อเลี้ยงกับภรรยาที่เสียไปแล้วตามใจจนเหลิง

“เรื่องรวีใช่ไหมครับ”

“ลุงคุยกับรวีแล้ว” คนเป็นลุงตอบพลางเพ่งมองหน้าหลานชายด้วยสาตาพินิจกว่าเคย ตามที่รวีบอก ซูบไปนิด ผอมไปหน่อย แต่ที่น่าตกใจคือแววตา หมดอาลัยตายอยาก ไม่มีชีวิตชีวา เช่นหนุ่มเพลย์บอยในอดีตเคยเป็น

ความรักความเป็นห่วงท่วมท้นหัวใจ ท่านเข้าใจทันทีว่า ความเสียหายเกินเยียวยาที่รวีกลัวนั้นหากไม่จัดการในเร็ววันมันต้องเป็นความจริงแน่นอน

“ดีครับ งั้นผมขอตัว” เมฆาลุกหนีทันที

“เดี๋ยว ฟังลุงก่อน” แต่หลานชายไม่ฟัง เดินหนีจะขึ้นเรือน พ่อเลี้ยงเอนกผุดลุกขึ้นทันที

“หยุดอยู่ตรงนั้น ไอ้เมฆ” ท่านตะคอก

“ป้ากับลุงเลี้ยงพวกแกสองคนมาอย่างลูก รักและดูแลอย่างดี แกเจ็บแกปวด ลุงก็เจ็บก็ปวดด้วย แกคิดบ้างไหมว่า ที่แกเจ็บแกปวดเพราะรักอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยที่ไม่ยอมเปิดใจให้คนอื่นช่วย ไม่ยอมระบายความทุกข์ให้ใครฟัง มันกำลังทำลายแก ทำลายลุง แล้วที่สำคัญ วิญญาณหนูทิวาจะเธอจะเสียใจแค่ไหน แกบอกลุงได้ไหมเมฆ ว่าทำไม เพราะอะไร แล้วลุงต้องทำอย่างไร แกถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ท่านตะคอก เสียงดัง แต่หลายชายก็แค่ยักไหล่ ไม่แยแส

“ไอ้เมฆ มึงคิดว่ามึงแน่นักหรือ ไม่เห็นหัวลุง หันหน้ามาพูดกับลุงเดี๋ยวนี้”

หลานชายยังเฉย

“หันหน้ามาพูดกับลุงเดี๋ยวนี้ เรื่องจะได้จบเสียที” ท่านเริ่มโมโหเพราะความที่กลัวว่าหลานชายจะยิ่งไร้สุขกว่านี้

“ไม่ ผมจะตายก็ช่างผม”

“ไอ้เมฆ มึง ไอ้เป็น ไอ้คำ” ท่านเรียกลูกน้องคนสนิทซึ่งรับใช้ใกล้ชิดตั้งแต่สมัยทำไม้ในป่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องตามคำสั่งทันที

เมฆาหันขวับ

“ลุงจะทำอะไร”

“จับพ่อเลี้ยงเมฆขังไว้ในห้อง เดี๋ยวนี้” ชายแก่กว่าสองคนที่ยังแข็งแรง จับชายหนุ่มเกือบจะไม่พอแรง พ่อเลี้ยงเรียกลูกน้องแถวนั้นอีกสองคนมาช่วยกันจับเมฆาไปที่ห้องนอน ปิดประตูล็อกห้อง บนเรือนไม้สักสูง ใส่เหล็กดัดที่หน้าต่าง ไม่มีทางไหนหนีรอดไปได้

“ลุง ปล่อยผม เอาผมมาขังทำไม ปล่อย” เมฆาตะโกนก้อง ดวงตาแดงก่ำ

“สงบจิตสงบใจในนั้น คิดตรึกตรองให้ดี แกจะพูดความจริง หรือจะโกหกตัวเอง ต่อไป”

“ผมไม่มีความจริงจะพูด ลุงปล่อยผมได้แล้ว เอ้ยใครอยู่ข้างนอก ปล่อยกู”

เมฆาตะโกน ทุบประตูอยู่โครมๆ

“ใครกล้าปล่อยพ่อเลี้ยงเมฆ กูจะไล่ออกให้หมด เข้าใจไหม”

ลูกน้องพยักหน้ารับทราบ หญิงรับใช้ในบ้าน สองสามคนตัวสั่นงันงกเข้ามาดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อเลี้ยงสั่งสำทับ

“เอาน้ำเอาข้าวให้มันด้วย แต่อย่าให้หลุดออกมา”

พ่อเลี้ยงเอนก ไม่ได้สำแดงอำนาจอดีตพ่อเลี้ยงปางไม้มานาน คราวนี้แหละ เรื่องจะได้จบสิ้นกันเสียที
....................................................................

an-o - อิอิ

หมูบิน - ดีใจที่เครียดนิดเดียว แต่อย่าเครียดมากนะคะ

lovely - รอตอนต่อไปค่ะ

lovely - ดีใจที่ติดตามค่ะ

แมงปอ - ช่วงนี้อัพทุกวันค่ะ


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านและขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ


ชิตา



โดย : ชิตา วันที่ : [ 21 มี.ค. 2554 ] 19:55:31 น.




>> ความคิดเห็นที่ 1

รอตอนต่อไปจ้า
โดย : สายลม [ 21 มี.ค. 2554 ] 20:47:36 น.




>> ความคิดเห็นที่ 2

อ่านตอนนี้แล้วชอบพ่อเลี้ยงรวีจัง อบอุ่นมากเลย ชอบๆ
เป็นกำลังใจให้น้องนางเอกนะจีะ กำลังเคว้งคว้าง สู้ๆๆ นะ

ปล. นิยายคุณชิตา ส่วนใหญ่พระเอกจะมาในแนวอบอุ่นนะ อ่านแล้วคิดถึงพี่ไตร
โดย : หนอนแว่นตาโต [ 21 มี.ค. 2554 ] 21:51:59 น.




>> ความคิดเห็นที่ 3

:)
โดย : natee [ 21 มี.ค. 2554 ] 22:02:41 น.




>> ความคิดเห็นที่ 4

ลุ้นระทึกมากๆ ค่ะ อยากให้คลี่คลายไวๆ มากๆ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ

โดย : หมูบิน [ 22 มี.ค. 2554 ] 05:13:46 น.




>> ความคิดเห็นที่ 5

พระเอกน่ารักค่ะ พอเหมาะพอดีไม่ฉวยโอกาสด้วย รอลุ้นต่อไป
โดย : บุษ [ 22 มี.ค. 2554 ] 06:40:21 น.




>> ความคิดเห็นที่ 6

รวีอบอุ่นมากเลยค่ะ
ถ้าเติมน้ำตาลอีกหน่อย รับรองว่าเคลิ้มแน่ๆ ^^
โดย : lovely [ 22 มี.ค. 2554 ] 07:46:51 น.




>> ความคิดเห็นที่ 7

พ่อเลี้ยงเมฆต้องรู็ความจริงแต่ไม่ยอมปริปรากบอกแน่ๆเลย O:
โดย : pattisa [ 22 มี.ค. 2554 ] 10:36:16 น.




>> ความคิดเห็นที่ 8

อิอิ ที่ตอบเม้นท์มา แสดงว่าเราเดาถูกแน่เลย
แต่ก็ยังอยากรู้นะ ว่าผูกเรื่องไว้ยังไง
เมฆต้องรู้เรื่องทั้งหมดแน่ ตั้งแต่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ
โดย : an-o [ 22 มี.ค. 2554 ] 14:43:03 น.






ชิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2554, 21:51:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2554, 21:51:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1684





<< ๑๒   ๑๔ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account