ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๑๓


“พี่ทัช! ”

เสียงกังวานใสตะโกนลั่นจากระเบียงบ้านในยามสาย ให้เจ้าของชื่อที่กำลังนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ในสนามหญ้าชะงักงัน ก่อนเหลียวสายตาไปตามเสียงเรียกเห็นร่างเล็กๆของอรดีกำลังโบกไม้โบกมือพร้อมตะโกนมาอีกครั้ง

“พี่ทัช เดี๋ยวพาแอ้มไปหาพี่โม้นาหน่อยสิ”

ใบหน้าที่แหงนเงยตอบทันควัน “เรื่องอะไรล่ะ อยากไปหาก็ไปเองสิ มาวุ่นวายอะไรกับพี่เล่า”

และคนที่ก้มหน้ามาคุยก็โอดครวญอ้อนวอน
“ก็แอ้มไม่อยากนั่งแท็กซี่ไปนี่นา ที่บ้านก็ไม่เหลือคนขับรถสักคน แอ้มเลยมาขอให้พี่ทัชช่วยพาไปไงล่ะ..นะพี่ทัชคนดี้ คนดี” พร้อมยกมือไหว้ปลกๆ

“แล้วเราไม่คิดจะถามเลยเหรอว่าพี่ว่างรึเปล่า”

หญิงสาวโบกมือว่อน “โอ้ย ถ้าพี่ทัชไม่ว่าง ป่านนี้แอ้มก็ไม่เห็นหัวพี่แล้วล่ะ..ตกลงไปกันเลยนะ” พูดมัดมือชกเสร็จก็ผลุบหายไปจากระเบียง ไม่สนใจเสียงโวยวายของญาติผู้พี่ที่ตะโกนไล่หลังขึ้นมา

“เฮ้ย! ยัยแอ้ม พี่ยังไม่ตกลงเลยนะ”

และไม่กี่นาที อรดีก็มายืนฉีกยิ้มหน้าแป้น ดวงตาใสแจ๋วตรงหน้า ในมือหิ้วกระเป๋าสะพายเตรียมพร้อมเดินทางเสร็จสรรพ ส่วนมืออีกข้างกำลังยื่นกุญแจรถยนต์ของญาติหนุ่มที่หยิบมาจากจานเซรามิคข้างประตูบ้าน ซึ่งเขาชอบวางกุญแจไว้ในนั้น และแม้ว่าฉันทัชจะยืนเท้าเอวเพ่งสายตาดุใส่ เธอก็ทำเป็นไม่เห็น ได้แต่ส่งยิ้มใสซื่อให้เท่านั้น..และไม่กี่นาทีต่อมา ฉันทัชก็พ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจก่อนคว้ากุญแจจากมือเธอหันเดินไปยังโรงเก็บรถ

“ให้ตายเถอะ! ทำไมเราไม่ขอพ่อเราซื้อรถให้สักคันล่ะ จะได้เลิกวุ่นวายกับพี่เสียที”

อรดีก้าวยาวๆเพื่อเดินเคียงข้างเขา
“แอ้มขอแล้ว แต่พ่อไม่ให้ บอกว่าสิ้นเปลือง” นอกจากจะไม่ให้แล้ว บิดาของเธอยังพูดว่า “ถ้าอยากได้นักก็ไปขอกับอาชัชสิ เผื่อเขาจะให้” ซึ่งเธอรู้ดีมาโดยตลอดว่า หนี้บุญคุณที่ชนาธิปมีต่อเธอและบิดานั้นมากมายเกินพอแล้ว เธอคงไม่กล้าเรียกร้องขออะไรมากไปกว่านี้หรอก แค่ที่ได้รับทุกวันนี้ก็เกินพอแล้ว..

สองเรียวแขนของหญิงสาวยื่นไปเกาะเกี่ยวแขนญาติหนุ่ม
“เพราะฉะนั้น แอ้มเลยต้องมีเรื่องรบกวนพี่ทัชต่อไปแบบนี้ล่ะ” และฉีกยิ้มทะเล้นใส่ จนถูกเขายื่นมือมาบีบจมูกอย่างหมั่นไส้

“ทีหลังก็หัดอ้อนพี่ภาบ้างสิ”

หญิงสาวผละแขนออกพลางคลำปลายจมูกที่โดนบีบเมื่อครู่ป้อยๆ ขณะเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ “โอ้ย! รายนั้นน่ะ อ้อนยังไงก็ไม่ยอมใจอ่อนหรอก ต่อให้แอ้มลงไปนอนชักดิ้นชักงอด้วย”เพราะชญาภานั้นค่อนข้างไว้ตัว เวลาพูดคุยเธอก็รู้สึกถึงช่องว่างที่บางครั้งก็สร้างความอึดอัด ไม่ได้รู้สึกสนิทใจเหมือนเวลาอยู่กับฉันทัชหรือราโมน่า

ฉันทัชไม่ได้พูดอะไรอีก เขาสตาร์ทเครื่องพลางถามจุดหมายปลายทาง
“ไปหาที่คอนโดใช่มั้ย”

“เปล่า ไปหาที่สตูดิโอน่ะ วันนี้พี่โม้นามีถ่ายแบบ”

“เฮ้อ งั้นบอกทางมาก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจอีกครั้ง ก่อนขับไปตามเส้นทางที่ญาติสาวบอก




ปริพันธ์นั่งบนเก้าอี้ผ้าแบบพับในมุมห้อง มองร่างงดงามในเสื้อผ้าสวยหรูขยับท่วงท่าต่อเนื่องผสานเสียงกดชัตเตอร์ตามความต้องการของช่างภาพหนุ่มระดับแนวหน้า จนเซ็ตสุดท้ายเสร็จสิ้นด้วยความพอใจของทุกฝ่าย ราโมน่าจึงถูกปล่อยให้เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง เธอจึงเดินมาหาชายหนุ่มที่นั่งรออยู่นาน

“เห็นมั้ยคะ โม้นาบอกแล้วว่านาน พี่ปอเลยต้องเสียเวลารอโม้นาไปตั้งครึ่งค่อนวันเลย”

ชายหนุ่มอมยิ้ม
“แต่พี่ว่าไม่เสียเวลาเลยนะ เพราะอย่างน้อย พี่ก็ได้เห็นโม้นาตลอด”

“หึ ถ้าพี่คิดแบบนั้นก็ตามใจ งั้นเดี๋ยวโม้นาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” เธอว่ายิ้มๆ ก่อนหันเดินเข้าห้องแต่งตัว..และไม่กี่อึดใจต่อมา หญิงสาวก็กลับมายืนตรงหน้าเขาอีกครั้งด้วยเสื้อผ้าของเธอเอง

สองหนุ่มสาวเดินออกมาที่นอกสตูดิโอ ราโมน่าก็เหลียวมองหาอรดีเพราะนัดกันไว้ให้มาเจอกันที่นี่ แต่ก็ไม่เห็นจึงโทรศัพท์ถามหา
“ฮัลโหล แอ้มอยู่ไหนแล้วจ๊ะ”

“ถึงแล้วค่า ถึงแล้ว” เสียงอรดีตอบกลับมา พร้อมกับตัวรถของฉันทัชเลี้ยวเข้ามาจอดด้านหน้า และไม่กี่อึดใจ ร่างเพรียวเล็กบอบบางของหญิงสาวอารมณ์ดีก็เปิดประตูปรี่เข้ามายกมือไหว้ทั้งสองหนุ่มสาว ก่อนเอ่ยถาม
“ถ่ายแบบเสร็จแล้วเหรอพี่โม้นา”

“เสร็จแล้วจ้ะ”

หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าทำหน้าเสียดาย
“หูย อดดูพี่โม้นาโพสท่าเลย”

“ก็เราทำไมมาช้าล่ะ”

“ก็พี่ทัชน่ะสิ ขับรถหลงไปไหนก็ไม่รู้” หญิงสาวโบ้ยไปให้ญาติหนุ่มที่เดินตามมาและเพิ่งจะไหว้ปริพันธ์เสร็จ ก็รีบหันมาแย้งทันควัน

“อย่ามามั่วนิ่มยัยแอ้ม ตัวเองบอกทางผิดเองแล้วจะมาโทษพี่ได้ไง กะอีแค่ชื่อสตูดิโอนี่ยังจำผิดเป็นชื่อร้านอาหารเลย แล้วนับประสาอะไรจะมาบอกทางคนอื่นได้ถูก เฮอะ”

อรดีหน้ามุ่ยกับความจริงที่ถูกเปิดเผยให้คนฟังอีกสองชีวิตได้อมยิ้มขำ และราโมน่าก็เอ่ยตัดบทให้
“เอาน่า ไหนๆก็มาถึงจนได้แล้ว” และยื่นถุงกระดาษที่ถืออยู่ในมือส่งให้ญาติสาว “นี่จ้ะ ชุดที่แอ้มอยากได้ พี่ซื้อให้แล้ว”

อรดีดีใจจนแทบเต้น เธอรีบยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะคว้าถุงหมับมาเปิดดูของภายใน ซึ่งเป็นชุดกระโปรง แบรนด์เนมสีสดใสอย่างที่เธอเคยออดอ้อนขอราโมน่าให้ซื้อให้ เพื่อจะใส่ไปงานวันเกิดของเพื่อนสนิท

ฉันทัชนิ่วหน้า
“นี่ยัยแอ้ม อย่าบอกนะว่าให้พี่ขับรถมาตั้งหลายสิบกิโลเนี่ย เพื่อจะเอาเสื้อแค่ชุดเดียวน่ะ”

และหญิงสาวก็พยักหน้ารับตาใส
“ฮื่อ”

ชายหนุ่มถอนใจฟืด
“เฮ้อ! ยัยแอ้ม แค่เสื้อตัวเดียวเนี่ยรอให้โม้นาเอาไปให้เองก็ได้ วันอาทิตย์นี้โม้นาก็กลับไปกินข้าวที่บ้านแล้ว”

“กว่าจะถึงวันอาทิตย์ตั้งอีกสามวัน แต่ชุดนี้แอ้มจะใส่ไปงานวันเกิดลูกหมูพรุ่งนี้แล้วนะ”

ฉันทัชส่ายหน้า ในเมื่อหลวมตัวมาแล้วถึงโวยวายไปก็เท่านั้น
“เออ ๆ งั้นเสร็จธุระแล้วก็กลับกันได้เลย”

“อย่าเพิ่งกลับสิครับ ไปนั่งทานอะไรด้วยกันก่อนดีกว่า ผมกำลังจะไปร้านอาหารพอดี เพราะตั้งแต่เช้าแล้วโม้นาเพิ่งจะทานโยเกิร์ตไปถ้วยเดียวเอง ป่านนี้คงหิวแย่แล้ว” ปริพันธ์เอ่ยชวนอย่างคนคุ้นเคยและคิดว่าถ้ามีคนภายในครอบครัวของหญิงสาวร่วมโต๊ะอาหารด้วย คงทำให้หญิงสาวมีความสุขมากขึ้น

และก็เป็นอรดีอีกครั้งที่รีบรับข้อเสนอด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
“อุ๊ย! ก็ดีสิคะ แอ้มก็กำลังหิวพอดีเลย งั้นเราไปกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา แอ้มรู้จักร้านอร่อยใกล้ๆนี้ด้วย เดี๋ยวแอ้มบอกทางให้นะคะ”

ราโมน่าอมยิ้ม และขัดขึ้น
“ถ้าพาหลงทางล่ะก็ พี่จะกินเราแทนนะ”

อรดีหัวเราะคิก “ไม่หรอกน่า” แล้วก็หันมาทางฉันทัช “แอ้มจะนั่งรถพี่ปอไปกับพี่โม้นานะ พี่ทัชขับตามมาก็แล้วกัน” ก่อนจะหันควงแขนญาติสาวพาก้าวเดินพร้อมพูดคุยเจื้อยแจ้วสร้างโลกส่วนตัวสำหรับสาวๆขึ้นมา ในขณะที่ฉันทัชเอียงคอมองตามอย่างเข่นเขี้ยว ด้วยอาการอยากเขกกะโหลกเล็กๆของอรดีสักโป๊ก สองโป๊ก

ปริพันธ์อมยิ้มและตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องเบาๆ
“แล้วตามมานะครับ” ก่อนเดินไปเปิดประตูรถยนต์ของตนให้สองสาวฝั่งผู้โดยสารตอนหลัง เพราะอรดีนั้นได้ผูกขาดราโมน่าให้นั่งอยู่ด้วยกันอย่างเหนียวแน่น



อาหารมื้อนั้น ราโมน่าทานอย่างมีความสุขสมดั่งที่ปริพันธ์ตั้งใจ และความสดใสเริงร่าของอรดีทำให้ช่วงเวลาอาหารนั้นครื้นเครงเรียกเสียงหัวเราะของคนในวงอาหารได้หลายครั้ง จนกระทั่งมื้ออาหารผ่านไป..ทุกคนจึงเตรียมแยกย้ายกลับ..และเมื่ออรดีกลับขึ้นมานั่งบนรถเคียงข้างฉันทัช สองมือก็ยกขึ้นประกบแนบแก้ม ก่อนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเพ้อฝันของสาวแรกรุ่น

“พี่ปอนี่น่ารักจัง คนอะไรหล่อก็หล่อ แถมยังใจดีอีก อิจฉาพี่โม้นาชะมัดที่มีผู้ชายดีๆอย่างนี้มาหลงรักน่ะ”

ฉันทัชปรายหางตามอง
“เพ้อเจ้ออะไรอีกล่ะยัยแอ้ม” และขับเคลื่อนรถยนต์ของตนมุ่งสู่จุดหมาย ในขณะที่เสียงใสของอรดีก็ยังดังแจ๋วๆ

“ไม่ได้เพ้อเจ้อซะหน่อย แค่ชมพี่ปอว่าเป็นผู้ชายที่น่ารักแล้วก็แสนดีต่างหากล่ะ เพราะแบบนี้ไง คุณป้าถึงได้ปลื้มพี่ปอนักหนา แล้วทางฝั่งแม่ของพี่ปอก็ดูท่าจะชอบพี่โม้นามากเหมือนกันนะ ถึงอยากจะขอหมั้นพี่โม้นาให้พี่ปอเลย”

ฉันทัชนิ่วหน้า
“เว่อร์ล่ะ เรารู้ได้ไงว่าแม่ของคุณปอเขาจะขอหมั้นโม้นาน่ะ”

“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็เมื่ออาทิตย์ก่อน แอ้มแอบได้ยินคุณป้ากับแม่ของพี่ปอคุยกันในห้องรับแขกน่ะสิ”

“สอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้ใหญ่นี่ นิสัยไม่ดีเลยนะเรา”

คนถูกว่ามุ่ยหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยังเริงรื่น “แหม ก็มันไม่ใช่ความลับอะไรเสียหน่อย อีกอย่างแอ้มก็ไม่ได้สอดรู้สอดเห็นนะ ต้องเรียกว่าแอ้มไปอยู่ถูกที่ถูกเวลาต่างหากล่ะ” เธอแก้ต่างให้ตนเอง

“แล้วโม้นารู้เรื่องนี้รึยัง”

“ไม่รู้สิ แอ้มก็ไม่ได้ถามพี่โม้นาเสียด้วย”

“หึ! ทีอย่างนี้ล่ะไม่รู้ นักสืบคนนี้นี่ไม่ไหวเลย..แบบนี้ต้องไล่ออก” ฉันทัชแสร้งส่ายใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้ม

อรดียื่นจมูกให้ ก่อนหันมาหยิบชุดที่ได้มาออกจากถุงกระดาษเพื่อชื่นชมอีกครั้ง พลางพูดออกมาลอยๆ
“เอาน่า เดี๋ยววันอาทิตย์นี้แอ้มจะถามพี่โม้นา..ถ้าไม่ลืมนะ” เธอย้ำทิ้งท้าย จากนั้นก็ไม่สนใจอะไรอีก นอกจากชุดสวยที่อยู่ในมือเท่านั้น..ส่วนฉันทัชก็ขับรถมุ่งกลับบ้าน โดยไม่ใคร่จะสนใจรู้ในคำตอบมากนัก เพราะเดี๋ยวถึงเวลา มารดาก็คงจะกระจายข่าวให้รู้กันถ้วนทั่วอยู่แล้ว



ปริพันธ์ขับรถมาจอดบริเวณด้านหน้าคอนโดมิเนียมของตระกูลรัตนากรที่ราโมน่าพักอาศัย และหันไปพูดด้วย ก่อนที่หญิงสาวจะเปิดประตูรถลงไป
“แล้วพี่จะมารับนะครับ”

“ค่ะ”

ราโมน่ารับปากเขาก่อนเปิดประตูรถลงไปและยืนส่งจนรถยนต์ของเขาแล่นจากไป เธอจึงหันเดินเข้าภายในอาคารผ่านสายตาของพนักงานต้อนรับตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้า ซึ่งเธอไม่รู้เลยว่า การหวาดระแวงของฉันทิกาที่เกรงว่าสามีจะคิดเลยเถิดกับหลานสาวคนสวยคนนี้ นางจึงสั่งการให้พนักงานคอยจับตาทุกการเคลื่อนไหวของราโมน่าและรายงานให้รับรู้ทุกอิริยาบถกันเลยทีเดียว

ไฟทุกวงภายในห้องพักสว่างไสวทันทีที่เสียบคีย์การ์ด เครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานส่งเสียงแผ่วเบาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆให้ราโมน่ารู้สึกผ่อนคลาย หญิงสาวเดินเข้าห้องนอน วางกระเป๋าถือลงปลายเตียงก่อนเดินเข้าห้องน้ำ..และเวลาผ่านไปไม่นานนัก ร่างอวบอิ่มกลมกลึงในชุดคลุมอาบน้ำเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ กลุ่มผมยาวถูกรวบสูงทิ้งปอยเปียกชื้นระลำคอระหง ขณะเจ้าของร่างเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัวที่เต็มไปด้วยสิ่งของแบรนด์เนมมากมาย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า รวมทั้งเครื่องประดับล้ำค่าที่เธอนำออกมาจากเซฟเพียงบางส่วนเพื่อใส่เวลาออกงานสังคมเท่านั้น..และในค่ำคืนนี้ เธอก็ได้รับคำสั่งจากฉันทิกาให้ออกงานร่วมกับปริพันธ์ ซึ่งดูเหมือนว่า ระยะนี้คุณป้าของเธอกำลังเล่นเกมจับคู่ระหว่างเธอกับปริพันธ์ จนบางครั้งก็รู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่อยากจะขัดใจผู้มีพระคุณ จึงได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่ง แต่สำหรับปริพันธ์ เธอยังคงรักษาระดับของความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องเช่นเดิม ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ก้าวเข้ามาใกล้ชิดหัวใจของเธอ เพราะไม่อยากให้เขาเสียความรู้สึกในภายหลัง เมื่อรู้ว่า ต่อให้เขาพยายามทำดีแค่ไหนเธอก็ไม่อาจตอบรับความรู้สึกอันสวยงามของเขาได้ ในเมื่อความรักของเธอได้มอบให้กับชายคนอื่นไปนานแล้ว

หญิงสาวเลื่อนเปิดตู้เสื้อผ้าบิลท์-อินขนาดใหญ่เลือกหยิบชุดราตรีสวยหรูออกมาแขวน และเลือกเครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋าใบเล็กให้เข้าชุดกันออกมาวางเตรียมไว้ ก่อนเดินกลับออกมาสวมเสื้อผ้าชุดกางเกงนอนขาสั้นและหันมาล้มตัวลงนอนบนเตียงหวังผ่อนคลายความตึงเครียดจากชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายสักหน่อยแล้วค่อยตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปงานเลี้ยง ทว่า..ยามที่ร่างกายของเธออยู่โดดเดี่ยวไร้ความยุ่งเหยิงของผู้คน สมองของเธอดึงมโนภาพของอนาวินให้ปรากฏอย่างแจ่มชัด พาให้หัวใจหดหู่และทรมานด้วยความคิดถึงเขาจับใจ ในที่สุด..เธอก็ต้องลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อนอกของเขามาห่มคลุมร่างเรียกหาความอบอุ่นทางใจอีกครั้ง และไม่รู้ว่า..เมื่อไหร่ ความรู้สึกของเธอจะเข้มแข็งพอที่จะโยนเสื้อตัวนี้ทิ้งไปเสียที


...........................

อนาวินกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเข้มเนื้อดีอย่างเชื่องช้า สายตาจดจ่ออยู่กับจอโทรทัศน์ มองภาพของราโมน่ากำลังตอบคำถามจากบรรดานักข่าวบันเทิงซึ่งรุมถามชีวิตส่วนตัว ทั้งเรื่องงานและเรื่องของหัวใจ ซึ่งในเรื่องหลังนี้ทุกสายตากำลังพุ่งเป้าไปยังหนุ่มหล่อไฮโซ ทายาทของนายธนาคารใหญ่ ที่หญิงสาวไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผยและบ่อยครั้ง และไม่เพียงแต่นักข่าวเท่านั้นที่ต้องการรู้ อนาวินเองก็แทบกลั้นใจฟังคำตอบเช่นกัน และถึงแม้ว่าเธอจะยืนกรานกับบรรดานักข่าวว่าระหว่างเธอกับปริพันธ์เป็นเสมือนพี่น้องเท่านั้น แต่ใบหน้าคมเข้มของคนที่ตั้งใจฟังอยู่เบื้องหน้าจอโทรทัศน์นั้นก็ยังไม่คลายความขุ่นมัว และมันกำลังสะสมก่อตัวเป็นความหงุดหงิดงุ่นง่าน ซึ่งจะรู้สึกขวางหูขวางตาไปเสียทุกครั้งที่เขาอ่าน หรือได้ยินข่าวของราโมน่าตามหน้าสื่อบันเทิงต่างๆระหว่างเธอกับปริพันธ์หรือผู้ชายคนอื่นๆ หรือแม้แต่นักแสดงชายที่มีบทละครเดินเรื่องคู่กับเธอ และทั้งๆที่รู้เต็มอกว่าสิ่งที่ปรากฏออกมาทางหน้าจอมันเป็นเพียงการแสดง แต่เขาก็ไม่ชอบที่จะเห็นผู้ชายคนไหนมาส่งสายตาหวานกรุ้มกริ่มสบดวงตาคู่สวยที่เธอเคยมองเขาด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ไม่อยากให้ใครได้แตะต้องร่างกายอ่อนนุ่มหอมละมุนที่เขาได้เคยโอบกอด หรือแม้แต่ริมฝีปากหวานล้ำที่เคยได้ครอบครอง เขาก็ไม่อยากให้ใครได้สัมผัสหรือแม้แต่เฉียดใกล้ เพราะมันจะทำให้เขารู้สึกทุรนทุรายจนแทบคลั่ง

และความรู้สึกร้อนรนนี้มันก่อกำเนิดมาจากความ ‘อิจฉา’..ผู้ชายที่ใครๆในแวดวงสังคมต่างมองว่าเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างเช่นเขา จนหลายคนอยากจะเกิดมาเป็นตัวเขาเสียด้วยซ้ำไป แต่ใครจะรู้บ้างว่า ขณะนี้ภายในใจนั้นเขากำลังเก็บซ่อนความอิจฉาริษยาไว้อย่างสุดกลั้น..อิจฉา..บรรดาผู้ชายพวกนั้นที่ได้พูดคุย ได้หัวเราะ ได้สัมผัสแตะต้องตัวตนของราโมน่าได้อย่างอิสรเสรี ในขณะที่เขาถูกเส้นชะตาชีวิตอันหนักอึ้งมาขวางกั้น ถูกตรึงแน่นหนาจนไม่สามารถไขว่คว้าในสิ่งที่หัวใจต้องการ และตอนนี้เขาก็กำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองอย่างหนัก เมื่อความคิดถึงแทบขาดใจมันกำลังเรียกร้อง ดิ้นรนเพื่อจะไปหาเธอให้ได้ ทั้งๆที่เขาพยายามตัดใจคิดเสียว่าเธอก็เป็นเหมือนกับผู้หญิงที่ผ่านๆมา..แค่มองหาความสำราญจากผู้หญิงคนอื่นก็สามารถลบเลือนความสนใจจากผู้หญิงอีกคนได้แล้ว..แต่ความคิดนี้กลับใช้ไม่ได้ผลสำหรับราโมน่า ยิ่งเขาพยายามผลักดันให้เธอพ้นจากใจเท่าไหร่ ภาพของเธอกลับสะท้อนฝังลึกลงในใจมากขึ้นเท่านั้น และนอกจากนั้น เขาก็ไม่สามารถแสวงหาความสุขจากผู้หญิงคนอื่นได้อย่างแต่ก่อน จนถึงขั้นรู้สึกรำคาญยามที่มีพวกเธออยู่ข้างกายเสียด้วยซ้ำไป..นับวัน ความรวดร้าวจากการร่ำร้องหาแต่ราโมน่ามันเพิ่มทวีขึ้นมาทุกขณะ โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ และไม่รู้ว่าเขาจะสามารถต่อต้านความรู้สึกนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

และหากถึงวันที่ความอดทนอดกลั้นมันถึงขีดสุดแล้ว เขาจะทำอย่างไร..และอนาคตของสองตระกูลจะเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่เขาคาดหวังได้หรือเปล่า หรือความสัมพันธ์มันจะย่ำแย่หนักกว่าเดิม

ยิ่งคิด ก็ยิ่งมืดมน

‘ให้ตายเถอะ! เกลียดชีวิตที่มันเป็นแบบนี้ชะมัด’



โมรียายืนหน้ากระจกขณะกำลังหยิบต่างหูทับทิมล้อมเพชรมาใส่จนครบทั้งสองข้าง และยืนสำรวจภาพลักษณ์ของเธอที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาอย่างถี่ถ้วนในชุดราตรีซีทรูยาวสีแดงเพลิง ซึ่งโชว์ผิวเนื้อขาวละเอียดให้ผู้คนได้เห็นไม่หวือหวามากนัก เส้นผมยาวอ่อนนุ่มถูกจัดแต่งเพียงเล็กน้อยให้เห็นดวงหน้าสวยกระจ่างชัดเจน ก่อนหวีไปด้านหลังจนเรียบสลวยดำขลับสะท้อนแสงไฟเป็นมันระยับ เพียงครู่..เรียวปากอิ่มที่บรรจงระบายลิปสติกสีแดงสดหยัดยิ้มพึงใจ ก่อนหันร่างงดงามเฉิดฉายเดินออกจากห้องนอนลงมาชั้นล่างเพื่อออกงานเลี้ยงกับพี่ชาย ซึ่งในระยะนี้เธอมักจะได้ออกงานสังคมกับพี่ชายบ่อยครั้ง เพราะดูเหมือนว่า พี่ชายกำลังเบื่อคู่ขาคนล่าสุดแล้ว ส่วนพิมพ์ศิรินั้นก็ต้องไปร่วมงานอื่นแทบไม่ว่างเว้น ตำแหน่งคู่ควงให้พี่ชายจึงตกมาเป็นของเธอแทน และส่วนตัวของเธอแล้วก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะหน้าที่ของเธอคือแต่งตัวสวยๆเดินเคียงข้างพี่ชาย ส่งรอยยิ้มให้กับคนที่รู้จัก และบางครั้งที่ต้องร่วมวงสนทนากับกลุ่มนักธุรกิจ เธอก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่พยักหน้าเออออไปกับบทสนทนา บางครั้งถ้าถูกถามมาเธอตอบไปแค่ในส่วนที่รู้เท่านั้น แต่ถ้าเรื่องไหนที่เธอไม่รู้พี่ชายก็จะออกตัวตอบให้แทน

และเหตุผลอีกอย่างของการได้ออกงานสังคม คือ เธออยากให้ใครอีกคนได้เห็นความสวยงามทั่วเนื้อตัวที่อุตส่าห์บรรจงสร้างสรรค์นานนับชั่วโมงทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม ก็เพียงเพื่อให้เขาได้ชื่นชมและมองเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งทุกครั้ง เธอก็จะคาดหวังว่าจะเห็นปฏิกิริยาของความพึงพอใจออกมาจากสีหน้าและแววตาของเขา..รวมถึงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

เตชิตปรายสายตามองร่างเพรียวบอบบาง ชายกระโปรงยาวเนื้อบางจนเห็นเรียวขาอ่อนรำไร และช่วงลำตัวบดบังด้วยผ้าไหมทึบสีแดงสดกำลังก้มหน้าก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง และทันทีที่ดวงหน้าของเธอเงยขึ้น เขาก็หันสายตาไปทางอนาวินที่ยืนหันหลังให้บันได จนกระทั่ง หญิงสาวเดินเข้ามาแตะหลังพี่ชายเพียงให้รู้ตัวเท่านั้น ก่อนจะเลยมาทางเขาพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจเขาแกว่งทุกครั้งยามที่เธอยิ้มออดอ้อนเช่นนี้

“พี่เต้ หนูเล็กดูเป็นยังไงบ้าง..สวยรึยัง”

เตชิตซ่อนความรู้สึกชื่นชมไว้ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมไม่กี่อึดใจ ก็ตอบน้ำเสียงราบเรียบ
“ครับ”

ดวงหน้าสวยของคนที่ตั้งอกตั้งใจฟังคำตอบของเขาพลันงอง้ำ..ใจจริงเธอก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าเขาจะตอบแบบไหน แต่ที่เธอหงุดหงิดก็เป็นเพราะไอ้สีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขานี่ล่ะ ที่มันทำให้เขาเหมือนฝืนใจตอบออกมาแบบส่งๆเท่านั้น

“หึ! ไอ้ครับของพี่เนี่ย มันสวยรึไม่สวยกัน” และกอดอกจ้องคนตรงหน้าตาเป๋ง ซึ่งเขาก็ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเช่นเดิม เพียงแค่เพิ่มความยาวของประโยคออกมาอีกหนึ่งคำเท่านั้น

“สวย ครับ”

และมันก็เป็นคำพูดที่คนฟังนึกอยากจะเตะหน้าแข้งเขาเสียหนึ่งพลั่กให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่สิ่งที่เธอแสดงออกมาจริงๆก็เพียงแค่ส่งสายตาขุ่นเคืองให้เท่านั้น ก่อนหันดึงมือพี่ชายฉุดออกมาเสียดื้อๆ

“ไปกันเถอะเฮีย”

อนาวินยอมก้าวตามการฉุดดึงของน้องสาวออกจากบ้านตรงรี่ไปยังขบวนรถที่บรรดาบอดี้การ์ดเตรียมไว้ และคิดว่าน้องสาวคงจะงอนเตชิตจนนั่งรถคันเดียวไปกับเขา แต่พอเอาเข้าจริง โมรียากลับผละเดินไปขึ้นรถสปอร์ตของตัวเอง โดยเตชิตเป็นผู้ขับเช่นเดิม

ผู้ที่มองตามส่ายหน้าไปมา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่น้องสาวของเขาจะเลิกงอแงกับบอดี้การ์ดหนุ่มคนนี้เสียที เพราะขืนน้องสาวของเขายังเป็นเช่นนี้ มีหวังอนาคตของเตชิตคงติดแหง็กอยู่ในอุ้งมือน้องสาวของเขาไปจนตายเป็นแน่..ซึ่งอนาคตที่เสมือนถูกกักขังเช่นนั้น คงไม่มีผู้ชายคนไหนทนได้ไปตลอดชีวิต และเมื่อความอดทนอดกลั้นถึงขีดสุดก็ไม่มีอะไรจะมาเหนี่ยวรั้งได้..และสักวัน เตชิตก็จะเป็นเช่นนั้น..โบยบินจากไป โดยไม่มีวันหวนกลับมา




ภายในห้องจัดเลี้ยงหรูหรา ร่างอวบอ้วนของหญิงวัยกลางคนในชุดราตรีตัดเย็บจากผ้าไหมสีอ่อน ร่างกายสวมเครื่องประดับพราว กำลังเดินทักทายต้อนรับแขกเหรื่อไม่ว่างเว้นโดยมีเลขาสาวร่างผอมบางคอยเดินตาม ในฐานะหัวเรือใหญ่ในการจัดงานครั้งนี้โดยอาศัยบารมีของสามีในการส่งบัตรเชิญให้บรรดาผู้มีฐานะมั่งคั่งในทุกสาขาอาชีพมาร่วมงาน เพื่อที่เธอจะได้ระดมทุนเข้ามูลนิธิเด็กกำพร้าที่สามีให้เธอจัดตั้งขึ้นเมื่อครั้งที่เขาได้รับตำแหน่งทางการเมืองใหม่ๆ ซึ่งเธอก็เห็นดีเห็นงาม เพราะมูลนิธินี้ช่วยยกระดับของความชื่นชมและชื่อเสียงของเธอให้กว้างขวางขึ้นในหมู่สังคมชั้นสูง และเธอก็ไม่ต้องทำงานอะไรให้เหนื่อยเลย เพราะหน้าที่บริหารจัดการภายในมูลนิธิสามีสั่งให้ลูกน้องหาคนมาทำงานให้ ส่วนเธอมีหน้าที่แค่จัดงานสังคมต่างๆ ขยันออกสื่อบ่อยๆเพื่อให้ผู้คนรู้จักมูลนิธิของเธอเป็นวงกว้างเท่านั้น

อีกมุมห้อง รัฐมนตรีนพคุณผู้เป็นสามีกำลังพูดคุยกับบรรดาลูกพรรคที่มาร่วมงาน และห่างออกไปไม่เท่าไหร่ จตุพลกำลังพูดคุยกับคนรู้จักทั้งที่อยู่ในแวดวงธุรกิจและการเมืองโดยข้างกายมีร่างของทัตเทพผู้เป็นหลานชายคนโปรด อนาคตไกล ซึ่งกำลังถูกสนับสนุนให้ลงเล่นการเมืองเช่นเดียวกับบิดา

บริเวณด้านหน้าของห้องจัดเลี้ยง อนาวินพาโมรียาก้าวผ่านเข้ามา และดูเหมือนว่าการมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ของชายหนุ่มกำลังถูกชะตาชีวิตทดสอบความอดทน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับราโมน่าที่ควงคู่มากับปริพันธ์ ผู้ชายที่เขาสลักชื่อลงในบัญชีหนังหมา จัดเป็นศัตรูหัวใจหมายเลขหนึ่ง ที่เขาอยากกำจัดทิ้งมากที่สุด

ปริพันธ์ยังไม่รู้สึกตัวถึงกระแสอำมหิตที่พุ่งตรงมาจ่อคอหอย เพราะกำลังทักทายอยู่กับเจ้าของงานที่กลับมายืนเคียงข้างสามี ซึ่งตัวเจ้าของงานนั้นก็แย้มยิ้มพูดจาคล่องแคล่วให้การต้อนรับสองหนุ่มสาวเป็นอย่างดี และจากการที่เธอให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของวงการบันเทิงมากพอสมควร ได้รู้ถึงความสนิทสนมระหว่างปริพันธ์กับราโมน่า จึงออกปากกระเซ้าเย้าแหย่ไปตามข่าวสารที่ได้รับมา ว่าเขากับราโมน่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก ซึ่งราโมน่าก็เบื่อที่จะแก้ข่าวแล้วจึงเพียงแค่ยิ้มรับแกนๆ ในขณะที่ปริพันธ์แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าหญิงสาวไม่ได้คิดกับเขาอย่างที่เป็นข่าว แต่เขาก็สุขใจไม่น้อยที่ถูกใครๆจับคู่ให้เขาได้เป็นคนรักของเธอ..แต่สำหรับรัฐมนตรีนพคุณที่ยืนเงียบอยู่ข้างภรรยานั้น กำลังซ่อนความไม่พอใจอย่างที่สุด เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่หมายปองกำลังตกเป็นของชายอื่นโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้เชยชมเสียก่อน ความรู้สึกทั้งแสนเสียดายและเกลียดชังปริพันธ์ถูกพลางไว้ภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้ม รวมทั้งความปรารถนาที่อยากจะบีบคอภรรยาของตัวเองให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้ กับเสียงแจ๋วๆจี้ใจให้เจ็บจี๊ดว่า ปริพันธ์เป็นผู้ชายที่เหมาะสมกับราโมน่าที่สุด

แต่บทสนทนาต้องยุติลงชั่วขณะ เมื่ออนาวินพาน้องสาวก้าวเข้ามาร่วมวง..ชายหนุ่มกล่าวทักทายเจ้าของงานทั้งสอง ก่อนจะหันมาทักทายปริพันธ์ในฐานะบุคคลรู้จักทั่วไปตามมารยาท ก่อนจะรับไหว้ราโมน่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

และสำหรับราโมน่า ทันทีที่หันมาเห็นเขา ความดีใจมันแทบระเบิดออกมาให้เธอกระโจนเข้ากอดเขาเลยทีเดียว แต่เพราะสติสัมปชัญญะยังมีครบถ้วนจึงสามารถเหนี่ยวรั้งไว้ ทำให้เธอสามารถเก็บกดอาการได้อย่างสงบ แต่รอยยิ้มยังคงผุดพรายยามเมื่อเธอยกมือไหว้ทักทายเขาเหมือนทุกๆครั้งที่พบเจอกันตามงานสังคมเช่นเดิม ซึ่งเขาก็รับไหว้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่เธอจับได้ถึงกระแสมึนตึงออกมาจากสายตาเย็นชาที่ปรายมองสบ ก่อนที่เขาจะเมินมองไปพูดคุยกับบุคคลอื่นทำราวกับเธอไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้ สร้างความรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจให้ขบคิดหาคำตอบ ว่าเธอทำอะไรให้เขาโกรธ

หรือว่า..เขาจะได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าของงานจนเข้าใจผิด!

ซึ่งปกติเธอก็ไม่สนใจหรอกว่าใครจะเข้าใจไปตามข่าวอย่างไร แต่สำหรับเขา เธอไม่อยากให้เขารับรู้หรือเข้าใจอะไรเกี่ยวกับตัวเธอผิดหรือบิดเบือนไปจากความจริง และเธอคงต้องหาทางอธิบายให้เขาได้รู้ความจริงโดยเร็ว และไม่สนใจว่าเขาจะต้องการรับฟังความจริงจากเธอหรือไม่..ขอแค่เธอได้มีโอกาสอธิบายความจริงให้เขารับรู้ก็เพียงพอแล้ว

และไม่กี่อึดใจต่อมา..ร่างของทัตเทพก็ถูกมารดาจูงให้เข้ามาร่วมวงสนทนา เพราะรู้ว่า สามีต้องการให้บุตรชายสานสัมพันธ์กับโมรียา ลูกสาวสุดรักสุดหวงของผู้เป็นผู้สนับสนุนพรรครายใหญ่ ซึ่งทัตเทพเองก็รู้เจตนารมณ์นี้รวมถึงตัวเขาก็พอใจในรูปลักษณ์ของโมรียา จึงสานต่อความต้องการของผู้ให้กำเนิดทั้งสองอย่างเต็มที่ ด้วยการรับอาสาเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลหญิงสาวไปตลอดงานทันที และจตุพลก็เข้ามาร่วมผูกขาดอยู่กับอนาวินอีกคน



อนาวินพูดคุยกับบรรดาคนรู้จักโดยเขาเลือกมุมยืนให้สามารถมองเห็นปริพันธ์และราโมน่าได้ตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไป..เขาเห็นปริพันธ์แยกตัวออกจากกลุ่มสนทนาเดินไปยังห้องน้ำ เขาจึงเอ่ยขอตัวกับกลุ่มบุคคลที่เขากำลังสนทนาบ้าง และหันเดินตามปริพันธ์ไป โดยคว้าแก้วไวน์แดงจากบริกรหนุ่มที่เดินสวนมาติดมือไปด้วย และยืนเก่ใกล้บริเวณหน้าห้องน้ำ จนกระทั่ง..ปริพันธ์เดินพ้นปากประตูห้องน้ำออกมา เขาก็ก้าวเข้าไปหาในลักษณะทุ่มทั้งตัวโดยคว่ำแก้วไวน์ที่ถือในมือให้กระฉอกเลอะเสื้อตัวในที่เป็นเชิ้ตสีอ่อนของปริพันธ์อย่างตั้งใจ

“โอ๊ะ! ขอโทษนะครับคุณปริพันธ์ ผมไม่ทันเห็นจริงๆ”

สีหน้าและน้ำเสียงของผู้ที่เดินชนแสดงออกถึงความตกใจแท้จริง และหันวางแก้วไวน์ที่เหลือติดก้นแก้วไว้บนกระถางต้นไม้ ก่อนหันกลับมากุลีกุจอดึงผ้าเช็ดหน้าของตนมาช่วยชายหนุ่มเช็ดคราบไวน์

ปริพันธ์นิ่วหน้าขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดรอยเปื้อน โดยมีมือของคู่กรณีมาช่วยเช็ดอีกแรง และแม้จะรู้สึกโกรธในความซุ่มซ่ามของอนาวิน แต่เขาก็ไม่อาจต่อว่าได้ เพราะชายหนุ่มคงไม่ตั้งใจชนเขาจริงๆ

“ไม่เป็นไรครับคุณอนาวิน เดี๋ยวผมเข้าไปเช็ดในห้องน้ำดีกว่า”

อนาวินแสร้งทำสีหน้าสลด
“ขอโทษจริงๆนะครับ คุณปริพันธ์”

“มันก็แค่อุบัติเหตุน่ะครับ” ปริพันธ์พูดทิ้งท้าย ก่อนหันกลับเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง อนาวินมองตามหลังพร้อมแค่นหัวเราะเย้ยหยันและหันเดินไป


ระหว่างที่ปริพันธ์แยกตัวไปเข้าห้องน้ำ ราโมน่าพูดคุยกับคนรู้จักในงานอีกไม่กี่คำก็ขอตัวเข้าห้องน้ำบ้าง พลางครุ่นคิดว่าทันทีที่กลับถึงห้องแล้ว เธอจะส่งข้อความเสียงอธิบายความจริงให้อนาวินได้ฟัง ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะโทรไปอธิบายกับเขาด้วยตัวเองเสียเดี๋ยวนี้..แต่เธอก็รู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น ความพยายามทั้งหลายที่อุตส่าห์สรรหามาทำให้ชีวิตตัวเองวุ่นวายเพียงเพื่อให้ลืมเขานั้น มันคงเป็นการกระทำที่สูญเปล่าทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา เพราะเพียงแค่ได้เห็นหน้าเขาในค่ำคืนนี้เธอก็รู้ซึ้งแล้วว่า เขานั้นมีอิทธิพลต่อหัวใจเธอมากเพียงใด

และขณะที่กำลังขบคิด เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น จากบุคคลที่เธอกำลังคิดถึงพอดี
หญิงสาวมองโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงอยู่ภายในมือที่มีอาการสั่นเทาจากความตื่นเต้นซึ่งกำลังลิงโลดในใจ พลางสูดหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ครั้งก็กดรับเสียงแผ่ว

“ค่ะ..พี่จิล”

“ออกมาคอยพี่ที่สวน เดี๋ยวนี้เลย”

“เดี๋ยวนี้เลยหรือคะ”

“ใช่ พี่มีเรื่องจะพูดด้วย..พี่จะคอยนะ”

ราโมน่ายังไม่หายจากความกังขา เขาก็ตัดสัญญาณไปเสียดื้อๆ ทิ้งให้เธอลังเลกับความขลาดกลัวที่จะเจอเขา..แต่สุดท้ายในอีกไม่กี่อึดใจ เธอก็ตัดสินใจออกไปพบเขา


อนาวินกลับมารวมกลุ่มและขอตัวกลับในไม่กี่นาทีต่อมา

“นี่ถ้าเฮียไม่ชวนกลับ หนูเล็กก็ว่าจะชวนกลับอยู่พอดี..รำคาญอีตาทัตเทพชะมัด เกาะหนูเล็กหนึบเป็นตีนตุ๊กแกเลย ปากก็พร่ำแต่เรื่องการเมือง หนูเล็กจะบ้าตาย”
เสียงบ่นของโมรียาดังขึ้นทันทีที่ก้าวออกจากงานและพ้นผู้คนมาแล้ว

“นึกว่าจะถูกใจหนูเล็กเสียอีก หมอนี่น่ะสาวๆกรี๊ดกันทั้งบ้านทั้งเมืองเลยนะ”

“เอาเหอะ ใครจะกรี๊ดกันก็ตามใจ แต่เขาไม่ใช่สเป็คสำหรับหนูเล็กหรอก”

“แล้วสเป็คหนูเล็กเป็นแบบไหนล่ะ” อนาวินหันมากระเซ้าน้องสาว

โมรียากอดแขนพี่ชายหมับเอียงใบหน้าซบต้นแขนแกร่งอย่างออดอ้อน
“ก็แบบเฮียไง หรือแบบป๊าก็ยิ่งดี”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ก่อนใช้นิ้วจิ้มหน้าผากน้องสาวเบาๆ
“สเป็คอย่างเฮียนี่ก็หายากแล้วนะ สเป็คอย่างป๊าน่ะยากยิ่งกว่าอีก และดูท่าจะมีหนึ่งเดียวในโลกด้วย ถ้าขืนรอผู้ชายที่เหมือนป๊า เฮียว่าหนูเล็กได้ขึ้นคานแน่”

หญิงสาวผละตัวออกห่างพร้อมย่นจมูกให้
“ขึ้นคานก็ไม่เป็นไร หนูเล็กอยู่อย่างนี้ก็ไม่เดือดร้อน ดีเสียอีกที่ไม่มีใครมาคอยวุ่นวายให้รำคาญใจ” ปากก็พูด ขณะสายตามองไปยังเตชิตที่ยืนคุยอะไรบางอย่างกับโจ้ที่ข้างตัวรถ และอนาวินก็เอ่ยขึ้นมา

“หนูเล็กกลับบ้านไปก่อนนะ เฮียมีธุระนิดหน่อย แล้วคืนนี้ก็จะค้างที่คอนโด ไว้เจอกันที่บริษัทพรุ่งนี้นะ”

โมรียานิ่วหน้า
“ธุระที่ว่าเนี่ย คงไม่ใช่กับแม่นั่นนะ..เฮียก็เห็นนี่ ว่าเขามีคนอื่นแล้ว” คำพูดนั้นเอ่ยออกมากระแทกใจคนฟังอย่างตั้งใจ เพราะในขณะที่อยู่ในงาน แม้ว่าจะถูกทัตเทพคอยตามประกบแจ แต่เธอก็สามารถลอบมองปฏิกิริยาระหว่างพี่ชายกับราโมน่าได้ตลอดเวลา ซึ่งพฤติกรรมของทั้งคู่นั้น หากคนอื่นไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆ แต่สำหรับเธอที่เฝ้ามองอย่างจับผิดนั้น จึงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่ราโมน่าที่ขยับตัวบ่อยครั้งพลางชำเลืองสายตามองมาทางพี่ชายทุกครั้งที่มีโอกาส ในขณะที่พี่ชายของเธอนั้น แม้จะแสดงท่าทางเมินเฉยจนน่าหมั่นไส้ แต่พอลับหลังยามที่คนอื่นเผลอทีไรก็มักจะหันสายตาจับจ้องแม่ดารานั่นทุกที

และทันทีที่พูดจบ ร่างของเธอก็ถูกสองมือใหญ่ของพี่ชายจับหันไปยังรถยนต์คันที่เตชิตยืนคอยอยู่ พลางพูดน้ำเสียงเชิงรำคาญ
“เปล่าหรอกน่า..อย่าสงสัยอะไรนักเลย รีบกลับบ้านไปนอนไป๊” พร้อมผลักเบาๆ

โมรียาหันมาหลิ่วตาให้พี่ชายด้วยความเคลือบแคลง แต่ก็ยอมขึ้นรถกลับบ้าน เพราะรู้ว่าขืนซักถามอะไรไปมากกว่านี้ก็คงไม่ได้คำตอบอะไรจากพี่ชายหรอก ได้แต่หวังว่า พี่ชายจะไม่ไปวุ่นวายกับราโมน่าอย่างที่เธอพูดออกไปจริงๆ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เธอจะแผลงฤทธิ์ให้ถึงที่สุด!



ราโมน่ายืนเหลียวมองหาอนาวินภายในความเงียบสงัดท่ามกลางแสงไฟของสวนไม้ประดับ และเริ่มประหวั่นใจเมื่อไม่เห็นชายหนุ่มมาเสียที จนคิดไปว่าเขาจะแกล้งทิ้งให้เธอคอยอยู่ตรงนี้หรือเปล่า จึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรหาเขาอีกครั้ง เพื่อจะถามให้แน่ใจว่าเขาจะเอาอย่างไรกับเธอกันแน่..และรอไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องที่เธอไม่คุ้นหูแว่วมา จึงหันไปตามเสียงในจังหวะที่ร่างของอนาวินก้าวผ่านหลังพุ่มไม้ตัดแต่งมายืนตรงหน้าและใกล้เสียจนรับรู้ถึงไออุ่นจากเรือนร่างใหญ่ที่กำลังโอบคลุมร่างกายของเธอ

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสบดวงตาเข้มดุดันได้เพียงเสี้ยวนาที ใบหน้าของคนที่เธอคิดถึงสุดหัวใจก็โน้มลงทาบทับบนเรียวปาก ส่งความร้อนผ่าวเข้ารุกราน เรียกร้องหนักหน่วงในทันใด ท้ายทอยของเธอถูกตรึงแน่นจนไร้หนทางหลีกหนี ขณะร่างกายถูกวงแขนอีกข้างกอดกระชับแน่นเบียดชิดกับเรือนร่างหนาแกร่ง..เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอยู่อีกไม่กี่ครั้งก็ตัดไป ก่อนที่อนาวินจะผละริมฝีปากจากราโมน่า ซึ่งสมองที่กำลังอื้ออึงของหญิงสาวสั่งการให้ร่างกายของเธอเร่งหายใจสูดอากาศมาสร้างพลังงานทดแทน หลังจากที่ถูกเขาสูบพลังงานไปจนเกือบหมด

อนาวินยิ้มพรายมองทุกอากัปกิริยาของเธอด้วยความรู้สึกทั้งห่วงหาและหวงแหน ยกมือขึ้นมาไล้หลังมือบนพวงแก้มเนียนละมุน พินิจมองทุกเครื่องหน้างดงามอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าเขาจะมีโอกาสได้กอดได้จูบเธออีกครั้ง และสำนึกได้ว่าแรงปรารถนาที่มีต่อเธอมันช่างรุนแรงนักจนไม่เข้าใจตัวเองว่า ในค่ำคืนนั้น เขาปล่อยให้เธอรอดพ้นมือไปได้อย่างไร

ชายหนุ่มโน้มตัวลงหาความหวานเย้ายวนอีกครั้ง และในครั้งนี้ไม่ได้มีอารมณ์หึงหวงพาลพาโลเฉกเช่นเมื่อครู่ แต่ริมฝีปากกำลังไล่ซึมซับความอ่อนหวานทุกองค์ประกอบบนใบหน้าเธออย่างละมุนละไม ก่อนเลื่อนมาครอบครองดื่มด่ำกับกลีบปากนุ่มอีกครั้ง ให้เธอได้โอนอ่อนโอบกอดเขาตอบรับอารมณ์หวามเต็มความสนิทเสน่หา แต่อนาวินจำต้องผละห่างอีกครั้งอย่างแสนเสียดาย เพราะเกรงจะมีใครโผล่มาเห็นเข้าเสียก่อน

“ไปกันเถอะ”
บอกพร้อมจูงมือราโมน่าให้เดินตามมา

“ไปไหนคะ”
ราโมน่าถามกลับทั้งที่ยังมึนงง อารมณ์หวามไหวที่ได้รับจากเขายังไม่ทันจางหาย

“เรามีเรื่องต้องตกลงกันให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ พี่จะไม่ยอมทนอยู่เฉยๆแล้วไม่ทำอะไรเลยเหมือนที่ผ่านมาแล้ว”

สีหน้าและน้ำเสียงเครียดเขม็งของเขาทำให้ราโมน่าไม่ปริปากถามอะไรออกมาอีก ได้แต่เดินตามการนำพาของเขาที่ลัดแนวพุ่มไม้ประดับสู่ทางเดินลาดหินดินดานมุ่งออกจากสวน ตรงไปยังรถเก๋งคันใหญ่ที่ติดฟิล์มพลางสายตาผู้คนซึ่งจอดคอยใกล้ปากทางเข้าสวน และโจ้ที่นั่งคอยอยู่หลังพวงมาลัยรีบเปิดประตูลงไปเปิดประตูผู้โดยสารตอนหลังให้ทันทีที่เห็นเจ้านายหนุ่มกึ่งจูงกึ่งฉุดร่างของราโมน่าเข้ามาใกล้

ตัวรถเคลื่อนผ่านประตูด้านหลังของโรงแรมออกสู่ถนนสายหลักได้เพียงไม่กี่นาที เสียงโทรศัพท์มือถือของราโมน่าก็ดังขึ้นจากปริพันธ์ ซึ่ง หญิงสาวเองก็ลืมเขาไปเสียสนิทใจ จึงรีบกดรับโดยปิดระบบเฟซไทม์ เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นสภาพแวดล้อม รวมทั้งคนที่นั่งหน้าตูมข้างกายด้วย

และเมื่อราโมน่ารับสาย ปริพันธ์เอ่ยถามในทันที
“โม้นาอยู่ไหนครับ พี่เดินหาจนทั่วงานแล้ว แต่ก็เจอเสียที”

“..เอ่อ..โม้นามีงานด่วนเข้ามาค่ะ..คือ เจ๊ต้อยเขาลืมจนเจ้าของงานโทรมาเตือนเมื่อครู่ เจ๊ต้อยถึงเพิ่งนึกได้ก็เลยโทรมาเร่งโม้นาอีกที..โม้นาขอโทษนะคะ ที่รีบออกมาโดยไม่บอกพี่น่ะค่ะ”

ความน้อยใจแล่นเข้ามาสู่หัวใจคนฟัง เมื่อคิดว่าตัวเขาไม่มีความสำคัญอะไรเลย เธอถึงได้ลืมเขาเช่นนี้ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกไปก็ยังคงเต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นเคย “เหรอครับ..พี่ก็เป็นห่วง ที่จู่ๆโม้นาหายไป..ว่าแต่ เจ๊ต้อยคงงานเยอะน่าดูนะ ถึงได้ลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้”

“..ก็..ค่ะ” ราโมน่าตอบรับไปตามน้ำ

“ว่าแต่ งานอีเว้นที่ไหนครับ กว่าจะเลิกงานคงดึกน่าดู พี่จะได้ไปรับ”

และความห่วงใยของเขาก็สร้างปัญหาให้เธอเร่งคิดคำตอบเฉพาะหน้าขึ้นมาอีกระลอก
“คือ..เมื่อกี้มันฉุกละหุกโม้นาก็ไม่ได้ถามเจ๊ต้อยเหมือนกัน คือ..เจ๊ต้อยบอกให้โม้นานั่งรถของโรงแรมออกมาเลย แล้วเขาจะมารับกลางทาง เพราะมีสคริ๊ปที่โม้นาต้องพูดด้วยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา..แล้วก็ พี่ปอไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ พอเลิกงานแล้ว เจ๊ต้อยจะพาโม้นาไปส่งเองค่ะ”

ในเมื่อเธอพูดออกมาเช่นนั้น เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้เธอรำคาญ
“อืมม์..ถ้าอย่างนั้น ก็แค่นี้นะครับ..แล้วพี่ค่อยโทรหาโม้นาใหม่ก็แล้วกัน”

“ค่ะ พี่ปอ”

ราโมน่น่าวางสายแล้ว แต่สายตายังทอดตกมองโทรศัพท์ในมือด้วยรู้สึกผิดที่ต้องโกหกปริพันธ์ มิหนำซ้ำยังลากผู้จัดการส่วนตัวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามามีส่วนร่วมในการโกหกครั้งนี้ด้วย

อนาวินปรายสายตามองอย่างขุ่นเคืองกับท่าทางอาลัยอาวรณ์ที่ราโมน่าแสดงออกต่อคู่สนทนา และความขุ่นเคืองใจนี้มันแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆจนอดใจไม่ไหวที่จะพูดกระชดประชัน
“หึ! พวกดารานี่ลื่นไหลเก่งไม่แพ้พวกนักการเมืองเลยนะ”

ราโมน่าหันมองเขาเต็มตา และคิดว่า ถ้าไม่เกรงใจกัน เขาคงจะพูดคำว่า ตอแหล ออกมาตรงๆเลยสินะ
“พี่จิลอย่ามาหาเรื่องโม้นานะ..แล้วที่โม้นาต้องโกหกนี่ก็เพราะพี่จิลไม่ใช่เหรอ”
เธอย้อนถามเสียงแข็ง ใช่ว่าเขาจะรู้สึกหงุดหงิดเป็นคนเดียวเสียเมื่อไหร่ การที่เธอถูกเขาพาออกมาเช่นนี้ก็สร้างความกดดัน ความกังวลใจมากพอให้เธอพาลพาโลเกิดอาการหงุดหงิดใจได้ไม่น้อยเช่นกัน

“พี่ไม่ได้บังคับให้โม้นาโกหกเสียหน่อย ถ้าเป็นห่วงความรู้สึกของหมอนั่นมากนักทำไมไม่บอกความจริงไปเสียเลยล่ะ ว่ากำลังนั่งรถอยู่กับพี่น่ะ มันจะได้รี่มารับกลับบ้าน” อนาวินโต้กลับเสียงกร้าว สายตาดุดันจ้องเขม็งกับดวงตาเรืองวาวสีเขียวน้ำทะเล..ริมฝีปากอิ่มเคลือบลิปสติกสีสดเม้มแน่น ก่อนจะขยับแค่นเสียงออกมาอย่างเข่นเขี้ยว

“ได้ งั้นโม้นาจะโทรหาพี่ปอเดี๋ยวนี้เลย”

และทำท่าจะกดโทรศัพท์หาปริพันธ์ แต่วินาทีนั้น อนาวินก็ฉวยโทรศัพท์ไปจากมือ และสั่งเสียงเข้ม
“นั่งเฉยๆไปเลย”

“พี่จิลจะเอายังไงกับโม้นากันแน่” น้ำเสียงนั้นตวาดแหวอย่างเหลืออด และพยายามแย่งโทรศัพท์คืน แต่ถูกฝ่ามือใหญ่คว้าข้อมือแน่น พร้อมกระชากเข้าหาจนร่างเธอปลิวมาเบียดกับร่างเขา และใบหน้าเข้มเปี่ยมด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดโน้มเข้าใกล้ ตอกย้ำในคำสั่งเฉียบขาด

“นั่งไปเงียบๆ ถ้าพี่ไม่ถามก็ไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีก” และสะบัดปล่อยข้อมือเธอพร้อมขยับตัวนั่งชิดฝั่งของตนเอง ใบหน้ามึนตึงผินมองออกไปนอกกระจกรถ

ราโมน่ากล้ำกลืนน้ำลายขมๆที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอ น้ำตาร้อนผ่าวเอ่อคลอสองหน่วยตาด้วยน้อยใจในการกระทำของเขา รวมทั้งโกรธตัวเองที่ยอมตามเขามาอย่างคนใจง่าย

“..โม้นาไม่ควรตามพี่จิลออกมาเลย..ความจริง เราไม่จำเป็นต้องมานั่งพูดอะไรกันเสียด้วยซ้ำไป..”
เธอพึมพำเสียงเครือ ก่อนขยับร่างออกห่างไปนั่งเบียดซุกอีกมุมของตัวรถ ข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้มันร่วงหล่นลงมาให้เป็นที่น่าอดสูใจไปมากกว่านี้

บรรยากาศอึมครึมภายใต้ความเงียบสงบแผ่กระจายทั่วตัวรถผ่านไปหลายอึดใจ จนเมื่อ อนาวินที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดปรายสายตากลับมามองคนข้างกายอีกครั้ง ก่อนเลื่อนตัวเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปดึงมือของเธอมากุมอย่างอ่อนโยนและเมื่อราโมน่าหันมามอง เขาจึงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“..พี่ขอโทษ..พี่แค่อยากคุยเรื่องของเราให้เข้าใจกันเสียก่อน โดยไม่มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวก็เท่านั้น..พี่ไม่ตั้งใจจะทำให้โม้นาเสียใจเลย พี่ขอโทษนะครับ”

เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค กับแววตาสำนึกผิดของเขา หัวใจของคนฟังก็อ่อนยวบพร้อมจะให้อภัยในทันที..คลื่นความอบอุ่นจากมือของเขาส่งผ่านมือของเธอไหลเข้าโอบล้อมหัวใจให้เธออิ่มเอมในความรู้สึกนั้น ดวงตาคู่สวยส่องประกายสุกใสยามเรียวปากอิ่มแย้มยิ้มตอบเขา

“โม้นา ยกโทษให้พี่จิลค่ะ”

อนาวินยกมือของเธอขึ้นจูบเบาๆด้วยรอยยิ้มพราว
“ขอบคุณครับ”

และเอนร่างอย่างผ่อนคลาย ก่อนหันมองออกไปนอกกระจกอีกครั้งโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่มือของเขายังคงสอดประสานกับฝ่ามือบางไม่ปล่อย และความตึงเครียดที่อยู่รอบตัวเมื่อครู่กระจายหายจนไม่หลงเหลืออยู่เลย

……………………………………………………………………

จบอีกตอนค่า

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2555, 16:18:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2555, 16:18:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 2322





<< บทที่ ๑๒   ตอนที่ ๑๔ >>
sai 31 ก.ค. 2555, 16:34:01 น.
นึกว่าหนูเล็กจะยอมรับโม้นาแล้วซะอีก


ann 31 ก.ค. 2555, 20:02:11 น.
แวะมาบอกว่า จะรออ่านตอนเป็นหนังสือเลยละกันนะค้า อิอิ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาอ่านนิยายออนไลน์เท่าไหร่เลยง่ะ


Edelweiss 31 ก.ค. 2555, 21:42:03 น.
ลุ้นคู่หนูเล็กกับเตชิตนะคะ หวังว่าเตชิตคงจะไม่บินหนีไปอย่าชเฮียจิลว่านะ


bloomberg 1 ส.ค. 2555, 10:33:06 น.
ทำไมต้องจบอีตอนเข้าด้ายเข้าเข็มทุกทีเร้ยยย


ระรินใจ 1 ส.ค. 2555, 10:45:54 น.
คุณsai === อีกนานค่ะ กว่าหนูเล็กจะเปิดใจยอมรับโม้นา



คุณann === รับทราบจ้า..งั้นขอขอบคุณล่วงหน้าเลยนะจ๊ะ



คุณEdelweiss === คู่นี้ต้องลุ้นกันอีกนานค่ะ ขนาดจบเรื่องของนายจิลแล้วยังต้องลุ้นต่อไปเลย



คุณbloomberg === ฮา..ประมาณว่า เนื้อที่ตอนนี้ไม่พอเคลียร์ปัญหาค่ะ เพราะนายจิลต้องใช้เวลาเคลียร์กันยันเช้าเลย >///<


anOO 1 ส.ค. 2555, 14:02:52 น.
พี่จิลจะเคลียร์แบบรู้กันแค่สองคนนะเหรอ แล้วยัยป้ามหาภัยล่ะ กำลังจับคู่ให้โม้นาอยู่นิ


ระรินใจ 3 ส.ค. 2555, 10:55:05 น.
ตอนนี้คงต้องแอบๆเคลียร์ไปก่อนค่ะ..ส่วนคุณป้า(มหาภัย ^^)มีบทบาทเป็นแรงกระตุ้นต่อมโกรธให้พี่จิลได้มากทีเดียว


ผักหวาน 23 ส.ค. 2555, 16:09:04 น.
โอ๊ะโอ.. คนสวยก็งี้ล่ะ


Zephyr 25 ส.ค. 2555, 00:35:20 น.
แหม หึงแล้วพาลนี่นาพี่จิล


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account