ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: ตอนที่ ๑๔

ราโมน่านิ่งเงียบมาตลอดทางโดยไม่รู้ว่าอนาวินจะพาไปยังสถานที่ใด จนกระทั่ง..ตัวรถเลี้ยวเข้าภายในอาณาเขตของคอนโดมิเนียมสุดหรู ซึ่งเป็นหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ของเครือไพศาล กรุ๊ป
หญิงผ่อนลมหายใจอย่างอึดอัด ก่อนหันไปพูดกับเขา

“โม้นาไม่คิดว่าพี่จิลจะพามาที่นี่นะคะ”

อนาวินเห็นแววกังวนในสายตาของเธอ
“พี่รับรองได้ ว่าคนของพี่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกไปหรอก โม้นาอย่าห่วงไปเลยนะ”

เมื่อเขายืนยันมาเช่นนี้เธอจึงจำต้องสงบใจเชื่อมั่นในตัวเขา และปรายตามองคนสนิทของเขาขับรถผ่านจุดรักษาความปลอดภัยและมาจอดนิ่งหน้าลิฟต์แก้วขนาดใหญ่ ก่อนที่ชายหนุ่มผู้เป็นสารถีจะเปิดประตูลงจากรถและเดินจากไป ทิ้งความงุนงงให้ราโมน่า จึงหันไปถามคนข้างกาย

“คนของพี่ไปไหนคะ”

“เขาไปจัดการเรื่องบางอย่างน่ะ”

เธอนิ่วหน้า และความสงสัยเป็นอันหยุดชะงักเมื่อกระจกประตูลิฟต์บานหนาเลื่อนเปิด และตัวรถที่ไร้คนขับเลื่อนเข้าไปภายในตัวลิฟต์แก้วพาสู่ห้องพักของเขา

ซึ่งหากเป็นลิฟต์ปิดทึบทั่วๆไปราโมน่าคงอกสั่นขวัญผวาด้วยอาการกลัวที่แคบ ซึ่งเธอเพียรพยายามอยู่นานในการเอาชนะอาการกลัวนั้น โดยเริ่มฝึกปรับตัวให้ชินไปทีละชั้น จนเดี๋ยวนี้เธอสามารถอยู่ภายในลิฟต์ตั้งแต่ชั้นหนึ่ง จนถึงห้องพักของเธอที่อยู่ชั้นห้าได้แล้ว แต่กระนั้น เธอมักจะเผลอกลั้นลมหายใจเพื่อข่มกลั้นความหวาดกลัวไว้เสมอ แต่ลิฟต์ที่เธอกำลังสัมผัสอยู่ภายในตัวรถขณะนี้ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เพราะมันเปิดโล่งจนเห็นทิวทัศน์ได้รอบด้าน

ราโมน่าชื่นชมความล้ำสมัยของอาคารชุดแห่งนี้ไม่กี่อึดใจตัวลิฟต์ก็พาถึงจุดหมายในชั้นพิเศษ ประตูเปิดออกให้ตัวพื้นที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษขยับเลื่อนพาตัวรถยนต์ออกจากลิฟต์ไปจอดยังตำแหน่งที่ตั้งระบบไว้

อนาวินออกคำสั่งดับเครื่องยนต์ ก่อนหันมาบอกเธอ
“ถึงแล้วครับ” ก่อนเปิดประตูลงไปยืนนอกรถและโน้มตัวลงส่งมือให้เธอ“ลงมาสิครับ”

ราโมน่ากวาดตามองสถานที่ ก่อนจะยื่นมือไปรับการเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน ซึ่งจูงมือเธอผ่านประตูกระจกอีกชั้นสู่โถงทางเดิน


ลูกน้องของอนาวินยืนสูบบุหรี่ริมทางสองคนหันมามองพร้อมกันทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณลิฟต์เลื่อนขึ้นมา และพากันชะงักงันเมื่อเห็นชัดถึงหญิงสาวที่เจ้านายหนุ่มพากลับมาด้วย ซึ่งกิริยานี้ชายฉกรรจ์อีกสามชีวิตที่นั่งพูดคุยกันในห้องกระจกห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็พากันนิ่งงันไม่ต่างกัน จนเมื่อเจ้านายหนุ่มส่งสายตาดุ เฉียบคมคล้ายคำสั่งเด็ดขาดให้พวกเขาปิดปากเงียบในสิ่งที่เห็น ก่อนจะพาหญิงสาวเข้าห้องพักไป ทั้งสามชีวิตในห้องกระจกจึงเริ่มหันมองหน้ากันเลิกลั่ก และอึดใจต่อมา อีกสองคนที่ยืนสูบบุหรี่ด้านนอกก็เปิดประตูหน้าตาตื่นก้าวเข้ามา และหนึ่งในสองเอ่ยถาม

“เมื่อกี้พวกนายเห็นใช่มั้ย”

“เออ ตาไม่ได้บอดนี่วะ”

“แล้วจะเอาไงดีวะ ถ้าเสี่ยรู้เรื่องนี้มีหวังเป็นเรื่องใหญ่แน่”

ทั้งหมดครุ่นคิดเพียงไม่กี่อึดใจ ผู้ที่มีวัยและประสบการณ์มากกว่าทุกคนในกลุ่มก็เปิดหนังสือพิมพ์อ่านต่อ พร้อมเปรยออกมา

“ไม่ต้องเอาไงหรอกอยู่เฉยๆไปก่อนก็แล้วกัน เรื่องนี้ยังไงก็ต้องรู้ถึงเสี่ยวันยังค่ำ แต่ถ้าพวกนายเจ๋อไปบอกเสี่ยตอนนี้ มีหวังถูกคุณจิลเล่นงานหนักแน่”

และเป็นอีกครั้งที่ทั้งหมดจำต้องมองหน้ากัน ด้วยใจหนึ่งก็เกรงนายใหญ่ ขณะที่อีกใจก็กลัวอารมณ์เกรี้ยวกราดของอนาวินเช่นกัน ซึ่งบุคคลภายนอกไม่มีใครเคยรู้เลยว่า เจ้านายหนุ่มที่ดูอารมณ์ดีเป็นมิตรกับคนทั่วไปนั้น จะมีด้านมืดที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมจนเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด แม้กระทั่งนายหญิงเองก็ไม่เคยระแคะระคายอารมณ์อีกด้านของลูกชาย จะมีเพียงเจ้านายใหญ่เท่านั้นที่รู้เรื่องราวที่ซ่อนเร้นทั้งหมดและเฝ้ามองอยู่เงียบๆ พร้อมคำสั่ง ‘เก็บกวาด’ หลักฐานทั้งหมดไม่ให้โยงมาถึงลูกชายได้ ซึ่งเหตุการณ์พวกนี้อนาวินจะเผยตัวตนให้เห็นเฉพาะบุคคลที่เป็นศัตรูและเคยเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ก็สามารถทำให้บรรดาลูกน้องตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะได้รับจากเจ้านายหนุ่ม หากใครคิดจะขัดคำสั่ง หรือแสดงการแข็งข้อ

และเมื่อมาเกิดเรื่องร้ายแรงกับเจ้านายใหญ่จนถึงขั้นอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ความระส่ำระสายเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบๆในบรรดาลูกน้องพร้อมคำถามที่ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะถ่ายโอนความภักดีจากเจ้านายคนเก่าไปสู่เจ้านายคนใหม่ที่ถูกกำหนดและวางรากฐานไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ถูกถ่วงดุลด้วยความมั่นคงของอาชีพการงานในอนาคต แต่ในเมื่ออำนาจการสั่งการทุกอย่างยังคลุมเครือเช่นนี้ มันจึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับลูกน้องเช่นพวกเขามากทีเดียว

ภายในห้องควบคุม..

พนักงานรักษาความปลอดภัยสามคนกำลังปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดกับภาพที่เห็นผ่านจอมอนิเตอร์ เพราะรู้ดีว่า หญิงสาวที่อยู่กับเจ้านายหนุ่มนั้นเป็นคนของศัตรูที่กำลังมีเรื่องมีราวร้อนระอุในขณะนี้

และผู้เป็นหัวหน้าทีมตัดสินใจจะรายงานเรื่องนี้ให้บาส ซึ่งเป็นบอดี้การ์ดคนสนิทของเจ้านายใหญ่ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ทั้งหมดต่อจากไมค์ แต่เพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมายังไม่ทันจะได้กดหมายเลขบุคคลที่ตั้งใจ บานประตูก็เปิดผลัวะด้วยมือของโจ้

“ถ้าคิดจะโทรหาพี่บาสล่ะก็ รีบวางเดี๋ยวนี้เลย”

“แต่..นี่มันเรื่องใหญ่นะครับคุณโจ้” หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยเอ่ยแย้งด้วยความลำบากใจ

“ผมรู้น่า ไว้ผมจะบอกเรื่องนี้ให้พี่บาสรู้เอง..และผมขอเตือนไว้อีกอย่าง ถ้าหากพี่บาสรู้เรื่องนี้ก่อนที่ผมจะเป็นคนบอก ผมจะถือว่ามันมาจากปากของพวกคุณ และถ้ามันเป็นเช่นนั้น พวกคุณก็หางานใหม่ได้เลย” โจ้ย้ำเสียงเข้มก่อนหันเดินจากไป ซึ่งคำสั่งของเขานั้น ได้กระจายถึงพนักงานทุกคนที่เห็นราโมน่า และให้ยึดถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดในการปิดปากเงียบ


เมื่อเข้ามาภายในห้องพัก อนาวินพาราโมน่านั่งบนโซฟานุ่มและหายไปไม่กี่อึดใจก็กลับมายืนข้างเธออีกครั้งพร้อมแก้วน้ำส้มคั้นส่งให้

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับมาจิบขณะมองเขาเดินไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม พร้อมๆกับรับรู้รสชาติเปรี้ยวอมหวานในความเย็นฉ่ำ ซึ่งถ้าหากไม่มีเขามองอยู่ตรงนี้ เธอก็คงจะยกแก้วขึ้นมาแนบลงข้างแก้มสัมผัสกับความเย็นอย่างที่เธอชอบทำเวลาอยู่เพียงลำพังในห้องพักของเธอ

บรรยากาศเงียบงันชวนอึดอัดค่อยคืบคลาน เมื่อดวงตาเฉียบคมสีเข้มของเขากำลังจับจ้องในแบบฉบับที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็ว พลางรู้สึกเบื่อหน่ายตนเองเมื่อคิดได้ว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งแล้วที่ตนเองคิดผิดในการยอมตามเขาขึ้นมาถึงห้องพักเช่นนี้ พร้อมๆกับเกิดคำถามที่ชวนให้หวั่นไหว ว่าในค่ำคืนนี้เธอจะสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของเขาได้ไหม ในเมื่อความปรารถนาในส่วนลึกของเธอที่มีต่อเขามาเนิ่นนานสามารถเป็นแรงสนับสนุนให้เธอยินยอมพร้อมใจไปกับเขาได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า ความปรารถนาอันร้อนแรงนั้นจะนำไปสู่หายนะตลอดชั่วชีวิตของเธอเอง

ราโมน่าเบนสายตากวาดมองไปรอบๆห้องชุดโทนสีน้ำตาลทองตกแต่งสวยงามหรูหราไม่ต่างอะไรกับห้องสวีท ของโรงแรมระดับห้าดาว และเนื้อที่การใช้งานกว้างขวางกว่าห้องพักของเธอมากทีเดียว

“..ห้องของพี่สวยดีนะคะ” เธอวางแก้วน้ำส้มลงบนกระจกโต๊ะกลางก่อนที่มันจะลื่นหลุดมือไปเสียก่อนด้วยอาการประหม่า พลางพูดขึ้นโดยคิดว่ามันคงช่วยยืดระยะเวลาให้เธอได้ผ่อนคลาย จนสมองปลอดโปร่งพอที่จะคิดหาหนทางไปจากที่นี่ได้โดยสวัสดิภาพ

“หนูเล็กเขาเป็นคนตกแต่งให้ พี่ไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น นอกจากเป็นผู้อาศัยเท่านั้น”

“คุณหนูเล็กเก่งจังเลยนะคะที่สามารถแต่งห้องกว้างๆได้ลงตัวขนาดนี้โดยไม่มีอะไรมากไปหรือน้อยไปเลย แถมยังสวยมากทีเดียว ถ้าเป็นโม้นาก็คงไม่รู้ว่าจะเลือกจับอะไร หรือวางจัดแต่งอะไรไว้ตรงไหนหรอกค่ะ”

“หนูเล็กเขาชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ตอนนี้เขาก็เลยมุ่งเรียนแต่ด้านอินทีเรียดีไซน์โดยเฉพาะ” และนั่นก็ทำให้เตชิตถูกน้องสาวของเขาลากให้เรียนด้านนี้ไปด้วยกัน เพื่อชายหนุ่มจะได้อยู่ติดกับน้องของเขาตลอดเวลาและทุกหนทุกแห่ง

“เหรอคะ..แล้วนอกจากแต่งห้องของพี่แล้ว คุณหนูเล็กยังแต่งที่ไหนอีกหรือเปล่าคะ”

“นอกจากห้องชุดหรือบ้านของพี่ที่ปล่อยให้เช่าอีกสองสามหลังก็ไม่มีแล้วล่ะครับ”

“ดูเหมือน..พี่จิลจะมีสถานที่หลบความวุ่นวายเยอะนะคะ”

ชายหนุ่มยักไหล่
“ก็ไม่มากมายเท่าไหร่”

“..คงจัดปาร์ตี้กับเพื่อนๆของพี่บ่อยเลยด้วยนะคะ” ในตอนแรกที่คิดจะหาเรื่องชวนคุยถ่วงเวลาเขา เพื่อเธอจะได้ตั้งสติคิดหาหนทางหนีทีไล่ แต่ในขณะนี้เธอกลับสนใจอยากตั้งคำถามกับเขาจริงๆ ซึ่งในคำถามนี้เธอตั้งใจอยากจะถามว่า ‘พี่จิลพาบรรดาคู่ขาไปทัศนศึกษาครบทุกที่แล้วรึยัง’ ต่างหาก

อนาวินนิ่วหน้า เพราะเหมือนว่าน้ำเสียงจากคำถามที่ได้ยินเมื่อครู่แฝงความขุ่นเคืองมาด้วย เขาขยับเอนร่างพิงพนักพร้อมยกแขนขึ้นเท้าศีรษะมองลึกเข้าไปในดวงตาสีสวยที่กำลังจดจ่อกับคำตอบของเขาจนเกินไป
“ก็มีบ้าง แต่หลังๆนี่ไม่แล้วล่ะ ส่วนใหญ่เราจะสังสรรค์กันตามคลับเฮ้าส์มากกว่า”

“แล้วส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นเพื่อนผู้หญิง..”

อนาวินเกือบจะปล่อยเสียงหัวเราะในทันใด..เมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาเขาไม่แน่ใจว่าเธอไม่พอใจเขาด้วยเรื่องอะไร แต่ในวินาทีนี้เขามั่นใจแล้วว่า เธอกำลังคิดไปไกลถึงขนาดไหนจนเผลอแสดงอาการหึงหวงเขา โดยที่เธอเองก็คงไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

“ใช่ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง” และเขาก็ตอบตามตรง พร้อมกับเฝ้ามองปฏิกิริยาของเธอไปในที และเห็นถึงริมฝีปากอิ่มสวยเม้มแน่นเพียงชั่วแวบก่อนแค่นหยัดยิ้มทำเหมือนไม่รู้สึกใดๆในสิ่งที่ได้ยิน และวินาทีต่อมา ดวงตาของเธอหลุบมองต่ำคล้ายกำลังซ่อนเร้นความรู้สึกที่แท้จริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถปิดบังอะไรได้สำหรับอีกฝ่ายที่เฝ้าจับพิรุจอย่างไม่วางตา

“นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว แล้วอีกอย่าง..พี่ก็ไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่ห้องนี้ด้วย เพราะห้องนี้เป็นสถานที่พิเศษ ผู้หญิงที่เข้ามาในห้องนี้นอกจากหนูเล็กกับขวัญแล้ว ก็มีเพียงโม้นานี่ล่ะ และพี่ก็ตั้งใจเป็นพิเศษที่จะเปิดห้องนี้เพื่อต้อนรับโม้นาเพียงคนเดียวเท่านั้น”

จู่ๆราโมน่าก็รู้สึกเหมือนว่ามีฟองอากาศขยายใหญ่อยู่ภายในตัวเธอ จนต้องแสร้งขยับเนื้อตัวก่อนที่เธอจะลอยล่องเคลิ้มไปกับความคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอมากมายเพียงใด แต่อีกใจก็ยังค้านว่าคำพูดนั้นเป็นการลวงล่อของคนนิสัยเจ้าชู้ธรรมดาๆเท่านั้น

“..แหม โม้นาอยากจะเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

“พี่พูดเรื่องจริง สาบานได้” เขายืนยันหนักแน่น

และเป็นอีกครั้งที่ราโมน่าขยับตัวหมายรวบรวมสติของตนให้มั่นคง ซึ่งเธอสามารถทำได้บ่อยครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าบุคคลอื่น แต่สำหรับเขา ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างล้มเหลว เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามทำอะไรหรือเพียรพยามหักห้ามความรู้สึกที่มีต่อตัวเขานั้น มันช่างเป็นเรื่องยากเย็นไปเสียหมด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเช่นนี้ และขณะนี้ ภายใต้ท่วงท่าสบายของเขา เธอรู้สึกถึงคลื่นพลังปรารถนากำลังก่อตัวขึ้นหลังดวงตาสีเข้ม และเลือดของเธอสูบฉีดสองข้างแก้มอย่างไม่อาจห้ามอาการได้

“โม้นาจะถามอะไรพี่อีกก็ว่ามา เพราะพี่มีเวลาให้ทั้งคืน..ว่าแต่โม้นาเถอะ มีเวลาอยู่ถามคำถามพี่ทั้งคืนรึเปล่า”

ราโมน่าอึกอัก รับรู้ในทันทีว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญกับบทสนทนาที่อาจจะนำหายนะมาสู่ชีวิตของเธอได้อีกต่อไป
“..โม้นาไม่มีคำถามอะไรแล้วค่ะ พี่จิลพูดเรื่องของพี่มาได้เลย..โม้นาจะได้กลับห้องเสียที”

อนาวินซ่อนความรู้สึกชั่วร้ายที่แวบเข้ามาในสมองทันที..หลังจากที่ทนทรมานต่อความคิดถึงเธอมาหลายวัน เขามั่นใจได้เลยว่าไม่มีวันปล่อยให้เธอผ่านค่ำคืนนี้โดยที่เขาไม่ได้แตะต้องตัวเธอ ไม่ว่าคำตอบของเธอจะเป็นไปในทิศทางใด และเขาเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ภายใต้ถ้อยคำราบเรียบ

“มันไม่ใช่แค่เรื่องของพี่ แต่มันเป็นเรื่องของเราที่โม้นาจะต้องร่วมตัดสินใจด้วย”

ราโมน่านิ่วหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“โม้นาจะต้องตัดสินใจเรื่องอะไรคะ”

“เดี๋ยวโม้นาก็รู้ แต่ตอนนี้ช่วยบอกพี่ให้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างโม้นากับคุณปริพันธ์ ว่ามันเป็นแบบไหนกันแน่หน่อยสิครับ”

ราโมน่าไม่รั้งรอที่จะอธิบายความเป็นจริง เพราะเรื่องนี้คือความตั้งใจแต่แรกของเธอจนนำไปสู่การมากับเขาครั้งนี้
“โม้นากับพี่ปอไม่มีอะไรต่อกันหรอกค่ะ คือ ครอบครัวของพี่ปอรู้จักกับคุณลุงคุณป้ามานานแล้ว เราสองคนก็เลยพลอยสนิทกันไปด้วย แต่ไม่ใช่แค่โม้นาเท่านั้นนะคะ พี่ภากับทัชแล้วก็น้องแอ้มก็สนิทกับพี่ปอเหมือนกัน”

อนาวินนิ่วหน้ากับการไล่เรียงญาติๆของเธอ ซึ่ง ‘ภา’ กับ ‘ทัช’ เขาพอจะเข้าใจว่าคือใคร แต่สำหรับผู้หญิงที่ชื่อ ‘แอ้ม’ เขาเดาไม่ถูกเลย
“แอ้ม นี่ใครหรือครับ”

“อ้อ! โม้นาลืมไป คือ แอ้มเขาเป็นลูกของลุงคณินค่ะ คุณลุงไม่เคยพาน้องแอ้มออกงานด้วย พี่ก็เลยไม่เคยเห็น แอ้มถือว่าเป็นน้องสาวที่น่ารักมากนะคะ”

อนาวินมองประกายตาสดใสยามเธอพูดถึงญาติผู้น้อง และพยักหน้ารับช้าๆ
“อะ โอเค ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าน้องแอ้มของโม้นาน่ารักจริงๆ..คราวนี้ก็มาต่อเรื่องของโม้นากับคุณปริพันธ์ได้แล้ว”

ราโมน่าลอบถอนใจกับความมุ่งมั่นต้องการจะรู้คำตอบของเขา ก่อนโคลงหัว
“โม้นาไม่เคยคิดอะไรกับพี่ปอเกินเลยไปจากความเป็นเพื่อน เป็นพี่ชายเลยค่ะ”

“แต่พี่ว่า พี่ปออะไรของโม้นาน่ะ เขาไม่ได้คิดกับโม้นาแค่น้องสาวนะ”

“ก็ไม่รู้สิคะ โม้นาไม่เคยได้ยินพี่ปอพูดอะไรหรือทำอะไรที่ทำให้โม้นาคิดเป็นอย่างอื่นเลย”

หญิงสาวแสร้งบอกเขาด้วยท่าทางใสซื่อ ซึ่งอนาวินไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่า ผู้หญิงที่เติบโตท่ามกลางแสงสีของโลกยุคโลกาภิวัตน์จะมองเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเพศตรงข้ามไม่ออก และนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิด..ชายหนุ่มลุกขึ้นมาดึงมือของเธอให้ลุกขึ้นเดินตามอย่างเชื่องช้าตรงไปยังมุมห้องที่มีม่านสีน้ำตาลทองเนื้อดีผืนใหญ่ยาวจรดพื้น และเพียงแค่เขาดึงชายพู่ใกล้มือเบาๆเพียงสองครั้ง ผืนผ้าม่านทั้งสองชั้นค่อยๆเลื่อนจากกันให้เห็นถึงทิวทัศน์ของดวงไฟระยิบระยับตลอดไปจนลำน้ำเจ้าพระยาที่อยู่ไม่ไกลผ่านกระจกนิรภัยบานหนา และจากความสูงที่มีมากกว่าห้องพักของราโมน่าหลายสิบชั้น ทำให้หญิงสาวเห็นถึงความงดงามของทะเลดวงไฟอันแตกต่างในมุมสูง และสามารถมองออกไปได้กว้างไกลกว่าหลายเท่า เธอทาบฝ่ามือลงบนแผ่นกระจกเย็นเฉียบซึมซับภาพตรงหน้าโดยไม่คิดจะออกไปยืนรับลมที่ริมระเบียงเด็ดขาด

อนาวินยืนเคียงข้างซุกมือทั้งสองข้างลงกระเป๋ากางเกง ทอดสายตามองตามเธอ ปล่อยให้ความเงียบพัดผ่านไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเริ่มต้นพูดอีกครั้ง
“ตอนนี้โม้นาคบอยู่กับใครหรือเปล่า”

ราโมน่าหันมาสบสายตาคาดหวังจากเขา และเธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“โม้นาชอบอยู่คนเดียวมากกว่าค่ะ”

“แล้วถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นพี่ล่ะ โม้นาจะเปลี่ยนใจมั้ย..”

ผู้ถูกถามนิ่งงัน เสียงภายในใจตอบรับเขาไปแล้วในทันที แต่สิ่งที่เธอตอบเขาได้ในความเป็นจริงคือรอยยิ้มฝืดเคือง
“มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ แค่การที่โม้นามายืนอยู่ตรงนี้ มันก็สามารถทำให้ใครหลายๆคนนั่งแทบไม่ติดแล้ว และถ้าคุณลุงของโม้นาหรือคุณพ่อของพี่รู้เรื่องเข้า พวกท่านคงโกรธจนควันออกหูแน่”

น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และใบหน้าภายใต้แสงสว่างจากไฟริมระเบียงหม่นหมองจนถึงนัยน์ตาสีสวย

อนาวินถอนใจลึกกับความเป็นจริงในข้อนี้ แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อเขาพยายามแล้วที่จะไม่คิดถึงเธอ พยายามยกความเป็นจริงอันหนักอึ้งมาคอยย้ำเตือน และพยายามทุกวิถีทางเพื่อลืมความรู้สึกผูกพันที่เชื่อมโยงถึงเธอ แต่ทุกอย่างล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ซ้ำร้ายกลับสร้างแรงกระตุ้นให้เขายิ่งคิดถึง ยิ่งโหยหาและยิ่งปรารถนาเธอมาสู่อ้อมกอดเหนือสิ่งอื่นใด และความอดทนอันแสนทรมานพังครืนจนไม่เหลือดี เมื่อได้มาเห็นเธอเคียงข้างอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่พร้อมจะแย่งชิงหัวใจของเธอในทุกนาที ในขณะที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากยืนมองด้วยความเจ็บแค้นเท่านั้น

“พี่พยายามแล้ว..พยายามในทุกๆทางเพื่อให้ลืมโม้นา แต่มันเป็นความพยายามที่ไร้ค่าและมันทำให้พี่ยิ่งทรมานจากความคิดถึงโม้นา พี่ถึงอยากยุติความทรมานนี้ด้วยการพูดกับโม้นาให้รู้เรื่องไปเลยเพื่อจัดการกับความรู้สึกที่ค้างคาระหว่างเรา”

“ระหว่างเราไม่มีความรู้สึกค้างคาอะไรกันเลยนะคะ”
เธอตอบพร้อมความประหวั่นใจเมื่อร่างเขาขยับเข้าใกล้อย่างเชื่องช้า แต่เปี่ยมด้วยพลังคุกคามและเธอค่อยก้าวถอยหนีเขาเช่นกัน

“โม้นาแน่ใจเหรอว่าเราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน..ถ้าอย่างนั้นโม้นากล้ายืนยันได้มั้ยล่ะว่าเวลาที่หลับตา โม้นาไม่เคยคิดถึงพี่เลยสักคืน หรือไม่เคยมีสักครั้งที่โม้นาจะรู้สึกหงุดหงิดเวลาที่ได้ยินหรือได้อ่านข่าวของพี่ว่าไปไหนมาไหนกับผู้หญิงคนอื่น..โม้นาไม่รู้สึกอะไรเลยใช่มั้ย”

ราโมน่ากลืนก้อนแข็งๆอะไรสักอย่างที่ตีรวนขึ้นมาจุกกลางลำคอพลางส่ายหน้าไป-มาหมายบ่งบอกว่าเขาไม่มีอิทธิพลใดๆสำหรับเธอเลย ก่อนเบือนหน้าหนีประกายตาวาววับที่จับจ้องในขณะที่ร่างยังคงก้าวถอย จนในที่สุด หลังของเธอก็ชนเข้ากับผนังแกร่ง ในขณะที่เบื้องหน้า เงาจากร่างสูงเพรียวที่ยืนใกล้ก็เปรียบเสมือนกำแพงหนาเปี่ยมล้นด้วยอันตรายสะกดตรึงให้เธอยืนตัวลีบติดอยู่กับผนังหมดสิ้นหนทางหนี

“โม้นามั่นใจเหรอว่าไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ แม้ว่าวันหนึ่ง พี่อาจจะถูกใครสักคนลอบทำร้ายจนเจ็บหนักหรือ..”
อนาวินเปรียบเปรยได้เพียงเท่านั้น เพราะฝ่ามือเรียวบางข้างหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากเขาเสียก่อน

“ห้ามพูดอย่างนี้อีกนะ” เธอดุเขาจริงจัง เพราะทุกวันนี้เธอก็ยังนึกห่วงความปลอดภัยของเขา ด้วยเกรงว่าคนร้ายที่ลอบทำร้ายบิดาของเขาจะหันมาลอบทำร้ายเขาอีกคน

“อย่าพูดอีก..”เธอย้ำน้ำเสียงอ่อนลง

อนาวินยกมือขึ้นทาบหลังมือของเธอและจูบที่กลางฝ่ามือนุ่มก่อนจะจับมือของเธอเลื่อนออกจากปากเขา
“ถ้าไม่อยากให้พี่พูด..โม้นาก็ต้องยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง”

“..แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะคะ ถึงพูดออกไปก็รังแต่จะเป็นการเพิ่มปัญหาให้เราทั้งสองฝ่าย..โม้นาไม่อยากให้มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว”

“พี่เองก็ไม่อยากให้มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้..แต่พี่ก็ไม่สามารถเก็บกดความรู้สึกที่มีต่อโม้นาได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาที่เห็นโม้นาอยู่กับผู้ชายคนอื่น มันทำให้พี่รู้สึกทรมานยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”

ใบหน้าของเขานั้นอยู่ห่างจากดวงหน้าสวยที่เงยขึ้นมองสบเพียงแค่คืบจนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นผ่าวรด น้ำเสียงทอดนุ่มเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกลึกซึ้งนั้นกำลังทำให้ราโมน่าใกล้ร้องไห้เต็มทน เพราะรู้ดีว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่เธอพยายามยึดไว้บนปากเหวใกล้ขาดเต็มที

“..โม้นาไม่อยากฟังอะไรอีก..เรื่องระหว่างเรามันไม่มีทางเป็นไปได้..”

อนาวินรู้สึกถึงอาการเจ็บยอกในอกกับการเห็นอารมณ์รวดร้าวฉายออกมาจากดวงตาของเธอที่กำลังไหวระริกหลังม่านน้ำตา
“นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่พี่ไม่รู้..พี่รู้แต่ว่าในตอนนี้ โม้นาเป็นทั้งความสุขและความทรมานของพี่ แต่พี่ก็ยังอยากอยู่ใกล้โม้นาอย่างนี้..” ร่างเขาเข้าแนบชิด “อยากกอดไว้อย่างนี้..” ลำแขนแข็งแรงโอบกระชับร่างของเธอแน่น “..อยากจูบ..” เรียวปากเรียบตึงทาบประทับละมุนละไม และนาทีต่อมา กังวานเสียงแผ่วต่ำกระซิบชิดมุมปาก “และ..อยากรัก”

หยาดน้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นหลั่งริน ยามริมฝีปากของเขาแนบสนิทอีกครั้ง ทั้งอ่อนหวานและอ่อนโยน

“อย่าร้องไห้เลยนะ คนดี” เขากระซิบปลอบโยน ลูบปอยผมรุ่ยร่ายของเธอและยังคงโอบประคองดวงหน้าของเธอไว้ สายตาเปี่ยมอาทรมองสบสายตาวิงวอนสีเขียวน้ำทะเลที่แสดงถึงความอ่อนล้าของจิตใจ ปลายนิ้วช่วยเกลี่ยเช็ดน้ำตาขณะริมฝีปากของเขาวนเวียนจูบซับทุกเครื่องหน้าอย่างอ่อนโยนจนเลื่อนมาพบกับริมฝีปากที่สั่นระริก เธอมองเห็นแล้วว่า ประตูแห่งความหายนะที่หลีกเลี่ยงมาตลอด บัดนี้กำลังเปิดอ้าต้อนรับเธอแล้ว..แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เธอจะขอมีความสุขอยู่กับช่วงเวลานี้ให้มากที่สุดเท่าที่หัวใจของเธอจะตักตวงได้

................

ทุกห้วงอารมณ์ที่ดูร้อนรนทุรนทุรายจากไฟพิศวาสแผดเผา ค่อยผ่อนความเร่าร้อนลงทีละน้อย อนาวินหลับตารับความกำซาบรุนแรงที่เขาไม่เคยได้รับจากผู้หญิงคนไหนมาก่อน และลืมตาขึ้นเพื่อมองผู้หญิงที่นอนระทดระทวยอยู่ใต้ร่าง สายตาคู่สวยฉ่ำหวานมองสบด้วยความรู้สึกผูกพันล้ำลึก ส่วนเขานั้นรู้สึกเสมือนว่า เธอคือความมหัศจรรย์สำหรับทุกสิ่งที่เคยมีในโลกนี้ จนทำให้เขาลั่นคำสาบานประกาศก้องในใจ..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่มีวันปล่อยเธอให้หลุดลอยไปเด็ดขาด!


..............

จบตอนค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ส.ค. 2555, 21:01:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ส.ค. 2555, 21:01:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 2473





<< บทที่ ๑๓   บทที่ ๑๕ >>
ann 24 ส.ค. 2555, 22:11:33 น.
ฮิฮิ แอบแว้บมาเม้นเป็นกำลังใจค่า เหมือนหายไปนานเลยอ้ะ


nunoi 25 ส.ค. 2555, 10:46:26 น.
และแล้วหนูโม้นาก็เรียบร้อยโรงเรียนพี่จิล ทีนี้ก็รีบตามหาศัตรูตัวจริงได้แล้วนะคะ


Zephyr 25 ส.ค. 2555, 11:05:03 น.
อ้ากกกกกก ค้างอย่างมาก พี่จิลจับโม้นาทำ....เอ่อ....นั่นแหละ รู้กัน
พี่จิลนี่มั่วนิ่มดีแท้น้อ รู้ทั้งรู้ว่าโม้นาไม่ปฏิเสธตัวเองอยู่แล้ว
แหม อิจฉา เฟร้ยยยยย


ระรินใจ 25 ส.ค. 2555, 11:23:11 น.
คุณann === ขอบคุณที่แวบมาค่า



คุณnunoi === ตอนนี้มีกำลังใจในการควานหาศัตรูแล้วค่ะ ^^


คุณZephyr === ฮ่า..ถ้าไม่อยากค้างต้องรอเป็นเล่มค่ะ แล้วจะรู้ว่าพี่จิลทำอะไรบ้าง
ปล. อิจฉาพี่จิลหรือโม้นาคะ ^^


anOO 25 ส.ค. 2555, 13:30:38 น.
แล้วแบบนี้ต่อไปจะเป็นไงล่ะเนี้ย พี่จิลไม่จับดม้นาผูกติดไว้กับตัวเองเหรอ


ระรินใจ 25 ส.ค. 2555, 15:11:55 น.
ถ้าทำได้พี่แกคงทำทันทีเลยค่ะคุณan00 แหะๆ


Okuriumi 28 ส.ค. 2555, 18:11:54 น.
ยังตามอยู่นะค่ะ ตั้งแต่ภาค พ่อ-แม่


ผักหวาน 5 ต.ค. 2555, 14:18:35 น.
น่าสงสารคนคู่นี้เนอะ ถ้าหากรักกันแล้วไม่ได้ครองคู่กัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account