ต้องชะตารัก By ณพรชล
ความรักของมนุษย์เราจะมั่นคงสักแค่ไหนกันนะ

หากว่าคนที่เรารักที่สุดกลับจำเรื่องราวระหว่างกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เราควรจะทำอย่างไรดี

ทำทุกวิถีทางให้เธอจำได้

ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป

หรือ สร้างความทรงจำใหม่ให้กับเธอ

ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอะไร

"ผมไม่รู้ว่าสำหรับพี่ต้นแล้วแค่ไหนถึงจะเรียกว่าดี หรือ แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากพอ แต่ในความรู้สึกของผมปลายข้าวไม่ใช่แค่ความหลง ไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ หรือแม้แต่ความสงสารใดๆ แต่ปลายข้าวคือความรัก ชีวิต และจิตใจของผม เพียงครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ ผมรู้ในทันทีว่าเธอคือ ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม ถึงแม้ตอนนั้นจะไม่มีใครเชื่อเพราะคิดว่าผมยังเด็กเกินไป แต่ตอนนี้ผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าปลายข้าวยังเป็น ‘คนที่ใช่’ สำหรับผม คือคนที่ผมอยากมีอนาคตร่วมกับเธอและไม่มีใครสามารถแทนที่เธอได้ ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ปลายข้าวอยู่ใกล้ๆ เคียงข้างผมได้โดยไม่ให้เธอเสียหายหรือมีใครมาครหา"
Tags: พี่สกาย ปลายข้าว

ตอน: ชะตาต้องรัก ตอนที่ 11

ขอโทษทีหายไปนานนะคะ
ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ
ด้วยรักและจุ๊บๆ

ปอรินทร์^^


ตอนที่ 11


คนขับตั้งใจขับรถให้ถึงที่หมายด้วยความระมัดระวัง แต่ทว่าชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่เคียงข้างเธอในเวลานี้ กลับมีท่าทีเงียบขรึมซะยิ่งกว่าคนขับรถเสียอีก

“พี่สกายคะ...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ปลายเห็นพี่สกายนั่งเงียบมาตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว” ธัญพัชรเอ่ยถามคนข้างกายที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง

“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ พี่แค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย” กายนภัสนิ์พยายามบอกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ธัญพัชรฟังคำตอบด้วยความรู้สึกโหวงในอก หรือเขากำลังรู้สึกว่าการมาครั้งนี้เธอคือภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ

“ความจริง...พี่สกายไม่น่าลำบากพาปลายมาก็ได้นะคะ ปลายอยู่บ้านกับต้นจ๋าได้ พี่สกายจะได้ไม่ต้องเสียงานเสียการ ปลายก็แค่ไม่อยากเป็นภาระของใคร...” หญิงสาวพูดเสียงเศร้า น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนค่อยๆ รื้นขึ้นมา ก่อนจะล้นออกมาจากดวงตาคู่งาม

เธอไม่ได้พูดประชดกายนภัสนิ์ แต่เธอพูดมาจากความรู้สึกของเธอจริงๆ เพราะตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาล กายนภัสนิ์ก็ไม่ให้เธอก็กลับไปทำงานอีก อ้างว่ามือของเธอเจ็บยังทำอะไรไม่ได้ พออยู่บ้านทุกคนก็พร้อมใจกันประคบประหงมเธอราวกับไข่ในหิน มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระกับทุกคน แถมทุกๆ คืนเธอก็ฝันเห็นนันทวรรณพลักเธอตกบันได ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา ยิ่งทำให้สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่ลงกว่าเดิม

“อย่าร้องไห้สิครับคนดี พี่ขอโทษที่ทำให้ปลายคิดมาก” ชายหนุ่มเอ่ยปลอบ นิ้วเรียวค่อยๆ เช็ดน้ำตาออกจากใบหน้านวลอย่างเป็นห่วง นี่เขาลืมไปได้อย่างไรว่าตอนนี้จิตใจของธัญพัชรกำลังอ่อนแอ

“ปลายแค่ไม่อยากให้ทุกคนต้องมาลำบากเพราะปลาย” หญิงสาวผินหน้าหนี ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกดีกับสัมผัสของชายหนุ่มก็ตาม

“อย่าคิดแบบนั้นสิครับคนดีของพี่ ทุกสิ่งที่ทุกคนเขาทำไปทั้งหมด ก็เพราะเขารักแล้วก็เป็นห่วงปลายมากนะ” ชายหนุ่มรั้งใบหน้านวลให้หันมาสบตา

นัยน์ตาที่สบประสานกันทำให้ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวค่อยๆ เลือนหายไป จนเหลือเพียงแค่เขาและเธอ ความรู้สึกสับสนต่างๆ ของหญิงสาวที่อัดแน่นอยู่ภายในถูกเปิดเปลือยออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้จนหมดสิ้น ปลายนิ้วเรียวไล้วนไปตามใบหน้านวล ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนต่ำลงมากระชับที่ปลายคางมนดันให้เงยขึ้น ลดระยะห่างระหว่างใบหน้าของเธอและเขาให้น้อยลงเหลือเพียงไม่กี่นิ้ว จนกระทั่ง...

“เอ่อ..นายจะให้ผมตรงไปเรือนใหญ่ หรือเลี้ยวไปที่กระท่อมดีครับ” เสียงของคนขับรถดังขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน ทำให้หญิงสาวผลักชายหนุ่มออกอย่างแรงจนไปกระแทกกับประตูอีกฝั่ง ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทางด้วยความรู้สึกวาบหวามอยู่ในอก

“ไปเรือนใหญ่!” กายนภัสนิ์เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคมมองตวัดมองคนถามอย่างเอาเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน ก่อนจะเบนสายตาไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างกาย แค่สังเกตใบหูที่แดงเถือกก็พอจะรู้ว่าเธอนั้นเขินอายมากแค่ไหน




เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของ ‘ไร่จินดานุวัฒน์’ ตลอดทางสองฝั่งตั้งแต่ปากทางเข้าจนถึงสี่แยกภายในไร่นั้นเต็มไปด้วยต้นส้มที่กำลังออกผลสีเหลืองทองอร่ามเต็มต้น สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของธัญพัชร ทำให้อาการขัดเขินถูกแทนที่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ และภาพของต้นส้มก็ถูกแทนที่ด้วยสวนดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่แข่งกันบานเพื่ออวดความสวยงามอย่างละลานตา

รถแล่นมาจอดตรงหน้าเรือนไม้หลังใหญ่ ร่างบางก้าวออกจากรถทันทีโดยไม่รอให้ใครมาเปิดประตูให้ ภาพที่เห็นตรงหน้ามันเป็นยิ่งกว่าความฝัน ทิวเขาที่รายล้อมอยู่รอบไร่ ด้านหน้ามีสนามหญ้าที่กินอาณาบริเวณทั้งเนินเขา มองเห็นด้านล่างที่เป็นไร่สวนต่างๆ ที่ขับรถผ่านมาแล้ว ส่วนด้านข้างมีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเด่นเป็นสง่า หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่ามีชิงช้าที่มีดอกไม้นานาชนิดร้อยอยู่รอบๆ เชือก จนเหมือนชิงช้าอันนั้นทำจากดอกไม้ สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้ร่างบางค่อยๆ หลับตา แล้วสูดเอาความสดชื่นเข้าเต็มปอด โดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว แม้แต่ความเย็นที่เริ่มเกาะตามร่างกาย จนกระทั่งรู้สึกถึงความอบอุ่นที่บริเวณหลังและไหล่

“ตรงนี้ลมเริ่มแรงแล้ว พี่ว่าเราเข้าบ้านกันก่อนดีกว่านะครับปลาย อีกสักพักฝนคงจะตก” เสียงกระซิบที่ดังอยู่ข้างหู ถึงแม้ว่าจะอ่อนโยนเพียงใด แต่ก็ทำให้ธัญพัชรขนลุกซู่ ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงก่ำราวกับจับไข้ แขนขาก็พาลอ่อนแรงราวกับใครมาสูบเรี่ยวแรงออกจากร่างกาย เธอคงจะร่วงลงไปกองกับพื้น หากไม่มีอ้อมแขนอันแข็งแกร่งและอบอุ่นมารับร่างเอาไว้

“ปลาย เป็นอะไรไปครับ ยืนไหวไหม” คนที่ยังไม่รู้ตัว (หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัว) ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวต้องมีสภาพเช่นนี้ ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนอยู่ข้างหู ยิ่งทำให้เธอหน้าแดงแขนขาอ่อนแรงยิ่งกว่าเดิม

“ปะ...ปลาย...ว้าย” ธัญพัชรพูดได้เพียงเท่านั้น ก็ถูกร่างสูงช้อนตัวเขาสู่อ้อมแขนแข็งแรง

“ไม่ได้การณ์แล้ว พี่ว่าพี่อุ้มปลายเข้าบ้านดีกว่า เพราะฝนตั้งเค้ามาแล้ว ถ้าขืนช้ากว่านี้ มีหวังเราคงเปียกฝนกันทั้งคู่แน่” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นนประสานสายตาคนพูดก็พบแววตาเป็นประกายสื่อความหมายบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าสบสายตาด้วย แต่ด้วยสภาพที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ธัญพัชรเหลือวิธีหลบสายตาคู่นั้นได้ไม่มากนัก เธอจึกเลือกที่จะหลับตาลงอย่างกลบเกลื่อนความขัดเขินที่เกิดขึ้น ไม่อยากเห็นสายตาของเขา ไม่อยาเห็นใบหน้าของเขา ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้น

“ตายแล้ว! น้องเป็นอะไรน่ะสกาย ทำไมถึงต้องอุ้มน้องมาขนาดนั้น” เสียงของคุณยุพเรศดังมาจากหน้าประตูเรือนใหญ่

“น้องปลายเป็นลมครับแม่ คงเพราะเดินทางนานๆ แล้วร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรง ก็เลยเป็นลม” กายนภัสนิ์ตอบผู้เป็นมารดา ส่วนธัญพัชรเมื่อได้ยินดังนั้นก็กำลังจะลืมตาขึ้น แต่เสียงทุ้มของคนที่กำลังอุ้มอยู่เอ่ยออกมาก็ทำให้เธอยิ่งหลับตาปี๋

“พี่ว่าน้องปลายหลับตาต่อไปเถอะ เพราะถ้าลืมตาขึ้นมาตอนนี้พี่ว่าน้องปลายคงอายจนเป็นลมจริงๆ แถมพี่คงโดนแม่ว่าแน่เลย”

“เร็วๆ เข้าสิลูก รีบพาน้องเข้าบ้าน เดินชักช้าประเดี๋ยวฝนตกลงมา น้องจะยิ่งไม่สบายหนักไปกว่าเดิม” คุณยุพเรศเอ่ยเร่ง ด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวในอ้อมแขนของลูกชาย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะคุณ เสียงดังไปถึงท้ายไร่เชียว” เสียงเข้มทรงอำนาจหากแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนดังขึ้นจากภายในบ้าน

“คุณอย่าเพิ่งมาล้อฉันตอนนี้เลยค่ะ หนูปลายเป็นลม ให้ลูกพาหนูปลายเข้าบ้านก่อน ดูซิ! หน้าซีดใหญ่แล้ว แม่ให้อารีจัดห้องตรงข้ามห้องยัยหนูไว้แล้ว” น้ำเสียงร้อนรนที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของคุณยุพเรศ ยิ่งทำให้หญิงสาวที่แกล้งเป็นลมโดยไม่ได้ตั้งใจหน้าซีดเข้าไปใหญ่

“เอ๊ะ! จะมารั้งฉันไว้ทำไมคะ ฉันจะรีบตามไปดูหนูปลาย” คุณยุพเรศหันไปว่าคนที่รั้งแขนเธอไว้

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ คุณไม่เห็นสีหน้าเจ้าสกายมันหรือไง ถ้าหนูปลายเป็นลมจริงๆ มันคงไม่หน้าระรื่นขนาดนั้นหรอก แสดงว่ามันต้องทำอะไรสักอย่าง หนูปลายถึงได้มีสภาพแบบนั้น” คุณจักรินทร์บอกผู้เป็นคู่ชีวิตอย่างใจเย็น

“ตายแล้ว! ป่านนี้หนูปลายไม่โดนเจ้าลูกชายตัวดีแกล้งแย่แล้วหรือไง น่าตีจริงๆ เจ้าลูกคนนี้” คุณยุพเรศว่า ก่อนจะรีบสาวเท้าตามลูกชายขึ้นไปชั้นบนโดยมีสามีเดินตามขึ้นมาด้วย



แผ่นหลังบางสัมผัสกับความนุ่มเย็นของเตียงทำให้หญิงสาวสะดุ้ง เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ลืมขึ้น สิ่งที่เห็นมีเพียงดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวานจ้องตอบกลับมาตาไม่กระพริบ ราวกับดวงตานั้นมีแรงดึงดูดทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มก้มลงมาอย่างเชื่องช้า ระยะห่างของริมฝีปากค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนแสงแทบไม่สามารถลอดผ่านไปได้

“สกาย! ตามพ่อมาที่ห้องทำงานหน่อย พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย” เสียงเข้มๆ ของคุณจักรินทร์ ทำให้สองหนุ่มสาวถึงกับสะดุ้ง ธัญพัชรรีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กายนภัสนิ์ค่อยๆ หันกลับไปมอง พบว่าบิดาและมารดาของเขายืนอยู่หน้าประตูห้องนอน โดยมีอารียืนถือกระเป๋าพยาบาลของมารดาอยู่ด้านหลัง

“เอ่อ...พ่อครับ...ผม” ชายหนุ่มทำท่าจะเอ่ยค้านด้วยอยากอยู่กับหญิงสาวที่อยู่บนเตียงมากกว่า แต่คุณยุพเรศรู้ทันจะเอ่ยขัดลูกชายขึ้นมาเสียก่อน

“ถึงสกายอยู่ก็ช่วยแม่กับอารีไม่ได้ ไปคุยเรื่องกับพ่อน่ะดีแล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงจำใจเดินคอตกตามบิดาออกไปจากห้อง

“ลืมตาเถอะจ๊ะหนูปลาย สองพ่อลูกเขาออกไปกันหมดแล้ว” คุณยุพเรศเอ่ยน้ำเสียงอาทรเจือรอยขบขัน เพราะธัญพัชรเล่นนอนตัวเกร็ง หน้าแดง หลับตาปี๋ ทำให้เธอกับอารีทั้งขำทั้งสงสาร ไม่รู้ว่าเจ้าลูกชายตัวดีของเธอแผลงฤทธิ์อะไรไว้บ้าง

ธัญพัชรจึงค่อยๆ ลืมตาแล้วลุกขึ้นพร้อมทั้งกระพุ่มมือไหว้ขอโทษคุณยุพเรศ ด้วยความสำนึกผิดที่ตนแกล้งเป็นลมเป็นเหตุให้ทุกคนในบ้านตกใจ

“เอ่อ...หนู...ดิฉันกราบขอโทษคุณท่านกับคุณผู้หญิงนะคะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ...”

“ไม่มีใครโทษหนูหรอกนะจ๊ะ คนบ้านนี้เขารู้กันดีว่าลูกชายแม่เขาขี้แกล้งแค่ไหน ว่าแต่หนูปลายไม่เป็นอะไรแน่นะจ๊ะ แม่ว่าให้แม่ตรวจดูหน่อยดีกว่านะ” คุณยุพเรศบอกก่อนจะให้อารีส่งอุปกรณ์การตรวจมาให้

“อย่าลำบากเลยค่ะคุณผู้หญิง ดะ...ดิฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” ธัญพัชรเอ่ยอย่างเกรงใจ

“ไม่ลำบากเลยจ๊ะ เผื่อเป็นอะไรขึ้นมาเราจะได้รักษากันได้ทัน อีกอย่างไม่ต้องแทนตัวเองว่าดิฉันหรอกจ๊ะ แล้วไม่ต้องเรียกแม่ว่าคุณหญิงหรอกนะจ๊ะ เรียกแม่เหมือนที่สกายเขาเรียกดีกว่า” คุณยุพเรศว่าก่อนจะสวมวิญญาณอดีตคุณหมอ เริ่มทำการตรวจร่างกายของหญิงสาวอย่างจริงจัง

“ขอบคุณนะคะ คุณผะ...เอ่อ...คุณแม่”ธัญพัชรรีบเปลี่ยนการเรียกคุณยุพเรศทันที เมื่อเห็นสายตาที่บ่งบอกความไม่พอใจที่ธัญพัชรยังเรียกเธอว่า ‘คุณผู้หญิง’

“ดีมากจ๊ะ ฝึกพูดบ่อยๆ ต่อไปจะได้ชิน แล้วต่อไปก็เรียกคุณจักรินทร์ว่า ’คุณพ่อ’ ด้วยนะจ๊ะ อย่าเผลอเรียก ‘คุณท่าน’ ล่ะ เราคนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องเรียกอะไรให้เป็นทางการขนาดนั้นหรอกจ๊ะ ทำตัวสบายๆ คิดซะว่าหนูก็เป็นลูกสาวของพ่อกับแม่อีกคนก็แล้วกัน” คุณยุพเรศบอกขณะเก็บอุปกรณ์การตรวจ โดยมีอารีช่วยเป็นลูกมือ

“เอ่อ...ค่ะ”

“หนูปลายพักผ่อนก่อนนะจ๊ะ ทำตัวตามสบายคิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของหนูนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ให้อารีอยู่เป็นเพื่อน แล้วก็ช่วยพาหนูไปห้องอาหาร เดี๋ยวแม่ไปดูสองพ่อลูกก่อน ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง” คุณยุพเรศบอกก่อนจะออกจากห้อง จึงเหลือเพียงเธอกับอารี

“เดี๋ยวป้าจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ให้นะคะ” อารีพลางหิ้วกระเป๋าเดิงทางของธัญพัชรไปวางหน้าตู้เสื้อผ้า

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ป้าอารี ปลายจัดเองได้ค่ะ” ธัญพัชรรีบคว้าเสื้อผ้าที่อารีหยิบขึ้นมาเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า

“งานแค่นี้ ไม่คณามือป้าหรอกจ๊ะ ป้าว่าคุณหนูไปอาบน้ำดีกว่านะคะ เดินทางมาเหนื่อยๆ จะได้สดชื่น อาหารค่ำที่นี่เริ่มตอนทุ่มตรงค่ะ” ป้าอารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอารีสมชื่อ ขณะที่ดันแผ่นหลังบอบบางเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนที่จะมาทำหน้าที่จัดเสื้อให้หญิงสาวต่อด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ท่าทางไร่จินดานุวัฒน์คงมีข่าวดีเร็วๆ นี้แน่




หลังจากออกมาจากห้องของธัญพัชรแล้ว นายหญิงคนปัจจุบันแห่งไร่จินดานุวัฒน์ก็เดินมายังห้องทำงานซึ่งอยู่ถัดไปเพียงไม่กี่ห้อง แต่เสียงเอะอะโวยวายภายในห้องทำให้คุณยุพเรศขมวดคิ้วอย่างสงสัย ทันทีที่มืออวบอิ่มเอื้อมไปเปิดประตู สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเป็นภาพที่คงไม่มีใครได้เห็นนอกจากเธอ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้ตัวดี มาให้พ่อเตะซะดีๆ แกบังอาจมาก” คุณจักรินทร์วิ่งไล่ลูกชายอย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่เจ้าลูกชายตัวดีก็หลบหลีกอย่างว่องไว

“ผมพูดเรื่องจริงนี้ฮะ พ่อนั่นแหละที่ไม่ยอมรับ” ปากก็พูด สายตาก็คอยสอดส่องหาทางหนีทีไล่จากการถูกบาทาของบิดา เมื่อเห็นว่ามีใครเข้ามา กายนภัสนิ์จึงไม่รอช้ารีบวิ่งไปหลบอยู่ข้าหลังผู้เป็นมารดาทันที

“แม่ครับ ช่วยผมด้วย พ่อจะเตะผม”

“เล่นอะไรกันคะคุณ ทำไมถึงวิ่งกันเป็นเด็กๆ แบบนี้ อย่าลืมสิคะ ว่าอายุไม่ใช่น้อยกันแล้ว สกายก็เลิกเกาะหลังแม่ได้แล้ว พ่อเขาไม่ทำลูกจริงๆ หรอก คุณก็เลิกวิ่งไล่ลูกได้แล้ว เดี๋ยวก็ปวดเนื้อปวดตัวอีก คราวนี้ฉันไม่นวดให้นะ” คุณยุพเรศถามสองพ่อลูกอย่างสงสัย เพราะร้อยวันพันปีพ่อลูกคู่นี้ไม่เคยวิ่งไล่กันอย่างนี้มาก่อน นอกจากลับฝีปากกันธรรมดา

“ก็เจ้าสกายนั่นแหละ เถียงคำไม่ตกฟาก แถมยังยอกย้อนเสียจนน่าเตะ ผมเลยเตะฉลองศรัทธาไง” คุณจักรินทร์ว่า

“ผมแค่บอกว่า ผมทำเหมือนที่พ่อเคยทำให้ผมเห็นสมัยเด็กๆ แค่นั้นเอง พ่อก็ไล่เตะผมเลย” กายนภัสนิ์บอกขณะยืนหลบอยู่หลังมารดา

“ไม่ต้องมาเถียง มาให้เตะซะดีๆ แน่จริงก็อย่าหลบหลังเมียฉันสิวะ” คุณจักรินทร์โวยวายขณะพยายามจัดการเจ้าลูกชาย แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าลูกชายตัวดีเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังมารดา เขาจึงทำอะไรไม่ค่อยสะดวกนักยิ่งเมื่อเจอสายตาพิฆาตของภรรยาคู่ชีวิต อดีตนักธุรกิจผู้ไม่เคยยอมใครต้องยอมแพ้ให้

“พูดกันดีๆ ก็ได้ค่ะ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย แล้วสกายไปพูดอะไรกับพ่อ ทำไมถึงได้วิ่งไล่เตะกันเป็นแบบนี้” คุณยุพเรศถามเสียงเย็น เป็นเหตุให้สองพ่อลูกรีบจับมือสงบศึกเพื่อไม่ให้ระเบิดที่ว่ายุพเรศลงบ้าน มิเช่นนั้นทุกคนได้โดนหางเลขกันหมดแน่ๆ

“โถ่! คุณก็ แค่นี้ไม่เห็นต้องทำเสียแบบนี้เลย” คุณจักรินทร์พูดเสียงอ่อย

“นั่นสิครับ คุณแม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” กายนภัสนิ์กอดมารดาหลวมๆ อย่างออดอ้อน

“แล้วทั้งสองคนจะบอกกันได้หรือยัง ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร” คุณยุพเรศถามเสียงเรียบ

“เอ่อ...”

“คือว่า...”

“จะเอ่อ จะคือ กันอีกนานไหมถ้าไม่ตอบ สกาย...พรุ่งนี้ไม่ต้องพาหนูปลายไปเที่ยวไร่ แม่จะพาไปเอง ส่วนคุณ...คืนนี้ไปนอนระเบียงนอกห้อง” เมื่อเห็นว่าถ้าปล่อยให้สองพ่อลูกพูดเอง เธอคงได้ฟังคำตอบพรุ่งนี้เป็นแน่ นายหญิงแห่งไร่จินดานุวัฒน์งัดไม้ตายขึ้นมาใช้

“แม่ครับ!”

“โธ่คุณ!” สองพ่อลูกได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้นายหญิงแห่งจินดานุวัฒน์ไม่โกรธ

“ว่าไงค่ะ จะตอบหรือไม่ตอบ” คุณยุพเรศยังคงน้ำเสียงให้เรียบเย็น ทั้งที่ในใจอยากจะหัวเราะแทบแย่กับอาการ ‘หงอ’ ของสองนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่

“ก็เรื่องที่เจ้าสกายแกล้งหนูปลายนั่นแหละ เจ้าสกายบอกว่ามันทำเหมือนตอนที่ผม...เอ่อ...ตอนที่ผม...พาคุณกับลูกมาที่นี่ครั้งแรก” คุณจักรินทร์พูดอ้อมแอ้มในประโยคสุดท้ายเพราะรู้ดีว่าผลที่ตามมาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็คือ...

“นะ...นี่...คุณ...คุณกล้าเอาเรื่องน่าอายที่สุดของฉันไปพูดให้ลูกฟังหรือคะ” คราวนี้คุณยุพเรศโกรธของจริง ยิ่งนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนก็ยิ่งทั้งโกธรทั้งอาย

“แม่ครับ พ่อไม่ได้เล่าให้ผมฟังหรอกครับ แต่ตอนนั้นผมเห็นเอง พ่อไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังเลย จริงๆ นะครับ” กายนภัสนิ์พยายามที่จะช่วยกู้สถานการณ์ แต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม

“เห็นเองจริงๆ ใช่ไหมลูก” คุณยุพเรศหันไปถามลูกชายเมื่อเห็นว่ากายนภัสนิ์พยักหน้า จึงหันควับไปทางผู้เป็นสามี

“คุณจักรินทร์” คำเรียกที่เปลี่ยนไปยิ่งทำให้คุณจักรินทร์ยิ้มแหยอย่างยอมรับผิด

“ผมขอ...”

“คืนนี้คุณไปนอนระเบียง แล้วอย่าได้บังอาจใช้กุญแจผีไขเข้าห้องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น...ฉันจะให้คุณไปนอนกับเจ้าไอด้า”





จากใจปอรินทร์ : ใครทายถูกว่าเจ้าไอด้าคืออะไร ปอรินทร์มีรางวัลให้ค่ะ ^^



ปอรินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ส.ค. 2555, 15:17:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ส.ค. 2555, 15:17:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1701





<< ตอนที่ 10   ตอนที่ 12 >>
sai 3 ส.ค. 2555, 23:09:40 น.
ม้าป่าวค่ะเพราะเป็นไร่น่าจะมีม้าเปนพาหนะ


ทองหลาง 4 ส.ค. 2555, 17:13:20 น.
ม้า หมา แมว หมู


anOO 5 ส.ค. 2555, 20:30:11 น.
แกะ ป่าวค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account