รอยอธิษฐาน
‘รอยอธิษฐาน’ โดย รวิญาดา

ชาติภพหนึ่ง ความรักของหนึ่งหญิงสองชาย ได้จบลงด้วยความเศร้า

หนึ่งคนตายจากพร้อมความเกลียดชัง...
อีกหนึ่งคนถูกคำสาปให้กลายเป็นภูติร้ายรอการปลอดปล่อย

และอีกคนมีชีวิตอยู่เพื่อรอคอยชดใช้ความผิด

เป็นภูติร้าย รอคอยการกลับมาของนางอันเป็นที่รัก

มิตรภาพ ความรัก แรงอธิษฐาน...

สิ่งใดจะมีอานุภาพเหนือกว่า ...




Tags: รวิญาดา นิยาย ภพ ชาติ

ตอน: ตอนที่ 1.

1.

ศาลาริมบึงบัว... ยี่สิบปีต่อมา

ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืน เก้ ๆ กัง ๆ เหยียบเท้าข้างหนึ่งไว้บนตลิ่ง อีกข้างยกลอยตามลักษณะลำตัว ที่โน้มไปข้างหน้า มือเรียวบางเอื้อมไปหมายเด็ดดอกบัวดอกโต ที่อยู่ริมขอบสระ หากตลิ่งสูงชัน เปียกและลื่น เพราะอยู่ในช่วงหน้าฝน ทำให้ร่างนั้นเซถลาหล่นลงไปในบึงน้ำ ร่างน้อยตะเกียกตะกายช่วยเหลือตนเองสุดกำลังด้วยความตกใจ

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!” เธอร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าบริเวณนั้นห่างไกลผู้คน เสียงร้องจึงไม่มีใครได้ยิน

ร่างบางตะเกียกตะกายจนสิ้นแรงต่อต้าน กลั้นหายใจรอรับชะตากรรม หากชีวิตจะจบสิ้นลงในวันนี้ก็พร้อมยอมรับ จะไม่ดิ้นรนอีกแล้ว... ร่างน้อยค่อยๆดิ่งจมลงไป ความมืดดำดูดกลืนลมหายใจที่เหลือเพียงน้อยนิดให้หลุดลอย นาทีนั้นคล้ายมีแสงสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาโอบล้อม ข้อมือถูกฝ่ามือของใครคนหนึ่งฉุดดึงไว้ อ้อมแขนแข็งแรงรัดรอบเอวบางโอบประคองแนบอกกว้าง ความรู้สึกทรมาณทุเลาลงอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นร่างกายราวกับปริแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แขนขาไร้แรงแม้เพียงขยับ

“อย่ากลัวไปเลย... เจ้านาง...” เสียงทุ้มนุ่มเสนาะโสตดังขึ้นในหัว ราวเสียงกระซิบ

กระแสเสียงยามเอ่ยนาม...เจ้านาง... แฝงความอ่อนโยนคุ้นหูนัก เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง...

ใครกันหนอ..ใครกัน เคยเรียกขานด้วยน้ำเสียงแบบนี้...

บัวบุษยาชะงักหยุดนิ่งดั่งต้องมนต์ คลายความเครียดเกร็ง กระแสพลังบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากร่างนั้น บังเกิดความรู้สึกอบอุ่น... ประดุจร่างกายถูกห่มคลุมด้วยแสงตะวันยามอรุณรุ่ง

บัวบุษยาพยายามเพ่งมองผ่านม่านตาที่มัวพร่า หากมิอาจแลเห็นใบหน้าของผู้โอบอุ้ม หญิงสาวแนบหน้าซุกซบแผ่นอกกว้างอย่างสิ้นแรง กลิ่นหอมอ่อนๆโชยกรุ่นกำจาย กระทบนาสิก

ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในสมองรางเลือน คล้ายมองผ่านกระจกที่มีไอน้ำเกาะจนเป็นฝ้า ก่อนจะค่อยๆแจ่มชัดขึ้นทีละน้อย มองเห็นโดยรอบมีต้นไม้นานาพันธุ์ขึ้นเต็มไปหมดรกทึบจนน่ากลัว ภาพเลื่อนไปอย่างช้าๆ แล้วกลายเป็นรวดเร็วขึ้น ราวกับผ่านสายตาของคนที่กำลังวิ่งอยู่

น้ำตกสูงชันปรากฏขึ้น สายน้ำตกไหลแรงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ ร่างของสตรีนางหนึ่งเกาะอยู่ตรงขอบสูงชันของสายน้ำตก มือของสตรีนางนั้นกำต้นหญ้า ที่ขึ้นแทรกอยู่ตรงรอยแตกขอบหิน สายน้ำตกไหลแรงสาดซัดร่างน้อยจนทรงตัวไม่อยู่

เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ราวกับเจ้าของเสียงอยู่ตรงหน้า

“ช่วยเราด้วย ! วาริชเราอยู่ตรงนี้”

เสียงนั้นร้องตะโกนขึ้นอีกครั้ง ร่างของสตรีนางหนึ่งเกาะขอบหน้าผาน้ำตกอยู่ สายน้ำพัดแรงจนร่างนั้นจวนเจียนจะร่วงลงไป

เจ้าของนาม รีบวิ่งไปหาร่างนั้น อย่างห่วงใย เขาเหนี่ยวกิ่งไม้ใกล้ๆไว้มืออีกข้างยื่นไปจับข้อมือน้อยไว้มั่น ออกแรงดึงร่างบอบบางขึ้นจากสายน้ำด้วยแรงทั้งหมดที่มี ร่างน้อยลอยหวือขึ้นมาง่ายดาย ท่อนแขนแข็งแกร่งรวบเอวคอดแนบสนิท ใบหน้างามลออซบนิ่งตรงแผ่นอกกว้าง เสียงหอบใจดังแรง ไหล่บางสั่นสะท้านจากอาการตกใจ

“ทรงปลอดภัยแล้ว...”

น้ำเสียงฟังดูอบอุ่นอ่อนโยนนัก วงแขนรัดร่างบางแน่นขึ้น ประหนึ่งต้องการปลอบโยน ให้คลายความตกใจ ก่อนจะคลายอ้อมแขนช้อนอุ้มร่างงามระหง พาเดินมาวางลงบนก้อนหินใหญ่

“ทรงหายตกใจแล้วใช่ไหม เจ้านางปทุมทิพยา...” เขาเอ่ยถามเสียงเบา สายตาสำรวจทั่วร่างบาง

สตรีนามปทุมทิพยาพยักหน้าช้าๆ สายตาหรุบมองพื้นแววตาขัดเขิน แก้มนวลแดงปลั่ง ร่างกายเปียกโชกจนเสื้อผ้าที่สวมอยู่แนบลำตัว ไหล่เนียนผ่องสั่นน้อยๆเพราะความหนาวเย็น มือหนาปลดผ้าคาดเอวของตนส่งให้ นางรับมาคลุมกายไว้ หากไม่ยอมเงยหน้าสบตาผู้ช่วยเหลือ

ความรู้สึกอ่อนอุ่นบังเกิดขึ้น รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนทนุถนอม สายตาของบุรุษหนุ่มยามทอดมองร่างน้อยคล้ายกับบอกว่า รักเหลือเกิน... รักทุกอณูของร่างนี้... อยากดูแลพิทักษ์เจ้าของดวงหน้างามพิสุทธิ์นี้ด้วยชีวิตและวิญญาณ ความอ่อนหวานอวลในความรู้สึก ราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของหญิงสาว หาใช่เพียงแค่มองเห็นภาพไม่... ภาพนั้นค่อยๆพร่ามัวรางเลือน หมอกจางสีขาวปกคลุมเต็มไปหมด

“คุณ คุณครับ !” เสียงเรียกดังขึ้น ทำให้หญิงสาวสะดุ้ง ลืมตาขึ้นอย่างมึนงง

“ฉัน ฉันเป็นอะไร...”

“คุณตกน้ำ ผมเป็นคนช่วยคุณขึ้นมา” เสียงนุ่มๆ คุ้นหูดังขึ้น ใกล้ๆ คนพูดประคองร่างบางให้ลุกขึ้นนั่ง “เป็นยังไงบ้างครับ เมื่อครู่คุณสลบไป”

บัวบุษยากะพริบตาแรงๆ ให้หายตาพร่า ก่อนจะมองหน้าผู้ช่วยชีวิต ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน

“วาริช...” เธออุทานเสียงแผ่ว รีบลุกขึ้นนั่งทันที มองหน้าเขาด้วยแววตาตื่นๆ “เอ่อ ... ขอบคุณมากค่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร เขาขยับลุกขึ้นยืน ส่งมือให้หญิงสาวจับ ก่อนจะดึงเธอลุกขึ้นพาไปยังศาลา ที่อยู่ข้างบึงบัว

“คุณชอบดอกบัวหรือครับ” เขาเอ่ยถาม ดวงตาเรียวยาวจ้องมองใบหน้าอ่อนใสนิ่ง “เมื่อครู่ผมเห็นคุณกำลังจะเก็บดอกบัว”

คนถูกมองหลบสายตา แก้มร้อนวูบขึ้นมา มือไม้เริ่มเกะกะ เมื่อเจ้าตัวรู้สึกอับอายที่ซุ่มซ่ามจนตกน้ำไป

“ชอบ...ค่ะ เอ่อ...คุณชอบดอกบัว เหมือนกันหรือคะ” น้ำเสียงนั้นพยายามบังคับไม่ให้สั่น ฟังดูตะกุกตะกักเต็มทน

ริมฝีปากหยักโค้งยกขอบสวยแย้มกว้าง ดวงตาพราวระยับเหมือนแสงสะท้อนของนิลรัตน์ ทอดมองร่างบอบบางด้วยสายตาลึกซึ้ง อ่อนโยน

“ผมชอบดอกบัว... บัวแสงทับทิม” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม

“เป็นยังไงคะ ดอกบัวแสงทับทิมที่ว่า สวยไหมคะ” หญิงสาวรู้สึกสนใจ มองสบตาคนพูดตรงๆอย่างลืมตัว

อีกฝ่ายแย้มละมุน มองกิริยาของหญิงสาวอย่างเอ็นดู

“ดอกบัวแสงทับทิม มีอยู่ที่เวียงแสงฟ้า” เขาเอื้อมมือไปด้านหลัง หยิบของที่วางอยู่ส่งให้หญิงสาว

ดอกบัวสีแดงสด มีละอองสีทองแต้มอยู่ปลายกลีบ สวยจนคนเห็นตาโต

“โอ้โห! สวยจังเลยค่ะ”

“ผมให้คุณ... อย่าโยนทิ้งนะ” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ย ปลายเสียงเว้าวอน ดวงตาคมงามไหววูบ คล้ายสะเทือนใจ เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย “เก็บมันไว้ได้ไหม”

“ค่ะ ฉันจะเก็บมันไว้อย่างดีเลย” คนที่รับดอกไม้น้ำ ไม่รู้ถึงความนัยของคำพูดนั้น แสดงความชื่นชมออกนอกหน้า

“ฉันยังไม่รู้ชื่อคุณเลย ฉันชื่อบัวค่ะ บัวบุษยา” หญิงสาวส่งมือให้อีกฝ่ายจับ ตามธรรมเนียมนิยม

ชายหนุ่มมองมือเรียวบาง ก่อนจะจับมือนั้นกระชับมั่น แล้วคลายมือออกอย่างสุภาพ

“ผมชื่อ...” เขายั้งคำไว้ เมื่อเห็นกลุ่มคนเดินตรงมา

“บัว เธออยู่ไหนนะ บัว!”

เสียงตะโกนเรียกดังขัดจังหวะ หญิงสาวหันไปมองคนที่กำลังเดินมาหา เพื่อนร่วมก๊วนของเธอนั่นเอง

“ยายแป้ง ยายมด ฉันอยู่นี่ !” บัวบุษยาโบกมือให้เพื่อน ก่อนหันมายิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้างกาย “เพื่อนของฉันค่ะ คงได้ยินเสียงฉันตกน้ำ ท่าทางตกใจกันใหญ่”

“เพื่อนคุณมาแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อน” ร่างสูงใหญ่ค้อมศีรษะบอกลา

“อย่าพึ่งไปสิคะ” บัวบุษยาเอ่ยท้วง แต่เสียงของเพื่อนร่วมก้วนดังขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง ทำให้เธอต้องหันไปมอง

“เฮ้ย! เป็นอะไรหรือเปล่าบัว”

สองสาวร่างอวบ ทำหน้าตกใจ เมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วมองเห็นเพื่อนของตน ตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าตรงรี่เข้ามาหาทันที

“ฉันไม่เป็นอะไรมาก” บัวบุษยารีบบอกเพื่อน กลัวทั้งสองจะตกใจเกินเหตุ หญิงสาวหันมาหาคนที่อยู่ด้วย ทว่า...ชายหนุ่มเดินไปไกลแล้ว หญิงละล้าละลัง ก่อนจะตัดสินใจตะโกนถาม

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วย ฉันยังไม่รู้ชื่อคุณเลย คุณชื่ออะไรค้า!”

ร่างสูงสง่าหยุดเดินหมุนกายหันมายิ้มให้ เสียงทุ้มนุ่มนวล ดังขึ้นเหมือนกระซิบอยู่ข้างหู

“ผมชื่อ...วาริช”

“วาริช...”

บัวบุษยาทวนชื่อนั้นอีกครั้ง ราวกับต้องการจารชื่อของเขาไว้ในหัวใจให้แม่นยำ หญิงสาวคลี่ยิ้มกุมดอกบัวในมือไว้มั่น ดวงตาคู่สวยมองตามแผ่นหลังกว้างของร่างสูง ด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

แสงจันทร์ ในคืนเพ็ญลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดโล่งเข้ามาในภายใน สายลมเย็นพัดผ้าม่านสีฟ้าสดสะบัดไปมาตามแรงลม กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้บางอย่างกรุ่นกำจายตลบฟุ้งไปทั่วห้อง บนเตียงไม้ทาสีเหลืองอ่อน ร่างบางนอนกอดตุ๊กตาหมีขนฟู ใบหน้าอ่อนใสซุกแนบขนนุ่ม แก้มนวลเป็นสีกุหลาบเนียนละเอียด ดวงตาปิดสนิทจนแลเห็นแผงขนตาหนาทาบทับเป็นแนวเข้มงอนโค้ง กลิ่นหอมอ่อนๆลอยกระทบจมูกทำให้คนที่นอนนิ่งอยู่ขยับตัว ร่างเพรียวบางในชุดนอนซึ่งเป็นกระโปรงผ้าเนื้อนุ่มสีขาวยาวคลุมเข่า ผุดลุกขึ้นนั่ง เงยหน้าขึ้นมองหาที่มาของกลิ่นหอมละมุน พลางสูดลมหายใจแรงๆ

“หอมจังเลย กลิ่นดอกอะไรเนี่ย...”

บัวบุษยาพึมพำในคอ ปลายนิ้วยื่นไปกดสวิตช์ไฟหัวเตียง กลิ่นนั้นมีที่มาจากดอกไม้น้ำที่เจ้าตัววางไว้หัวเตียงนั่นเอง... หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบดอกบัวมาสูดดม แล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเกาะขอบหน้าต่าง ชะโงกหน้ามองดูสวนด้านนอก แสงจันทร์สว่างนวลตาพอมองเห็นต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบบริเวณบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับประเภทไม้ใบเป็นเงาตะคุ่มๆ ดอกไม้ที่เคยปลูกไว้พากันเหี่ยวตายเพราะขาดคนดูแล ที่เหลือค้างมีเพียงไม้ยืนต้นประเภทไม้ผลซึ่งไม่ต้องการการเอาใจใส่มากนัก กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้น้ำยังโชยกรุ่น ฟุ้งกระจายเป็นระยะ

สายลมเย็นพัดมาบางเบา บรรยากาศสดชื่นเย็นสบายทำให้หัวสมองปลอดโปร่ง บัวบุษยาสูดลมหายใจแรงๆ ก่อนจะหลับตาพริ้ม สองมือประคองดอกบัวไว้หว่างอก ร่างบางยืนพิงกรอบหน้าต่าง ปล่อยความคิดให้ล่องลอย เหตุการณ์เมื่อกลางวันกระจ่างขึ้นมาในมโนนึก ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง คืออะไรกันแน่...

ดวงหน้าหล่อเหลานั้น ทำให้หัวใจเต้นรัวแรงสั่นไหว... มันไม่ใช่ความต้องตาพึงใจ หลงรูปของอีกฝ่ายแต่อย่างใดไม่

แต่เป็น....ความรู้สึกประหลาดล้ำ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหนมาก่อน ภาพในสมองรางเลือนแทบมองไม่เห็น แต่ความรู้สึกกลับแจ่มชัดในหัวใจ

อะไรบางอย่างบอกกับหญิงสาวว่า... เขาเป็นคนพิเศษ

แต่... พิเศษยังไง อย่างไร... สมองกลับชาหนึบหาคำตอบให้คำถามนี้ไม่ได้

เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ เจ้าของเสียงเดินกลับมานั่งบนขอบเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่กับที่นอนสายตามองเพดานห้องนิ่ง ครู่ต่อมาก็ขยับกายขึ้นไปนอนหนุนหมอน วางดอกบัวไว้ข้างหมอน มือคว้าตุ๊กตาหมีมากอดแน่น ดวงตาคู่สวยหรี่ปิดลง คล้ายต้องการสลัดทิ้งความฟุ้งซ่านในหัวใจ

มุมห้อง ร่างของใครคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น แล้วเคลื่อนมาหยุดข้างเตียง ปลายนิ้วยื่นไปแตะหน้าผากเนียน แสงสีน้ำเงินใสสว่างวาบขึ้น ร่างบนเตียงสะดุ้งเฮือกพร้อมกับดำดิ่งสู่ความฝัน...

ท่ามกลางม่านหมอกมัวพร่า คล้ายกับมองจากที่สูง ผ่านก้อนเมฆหนาลงไปยังพื้นเบื้องล่าง หมอกสีจางลงจนเห็นภาพหนึ่งค่อยๆปรากฎขึ้น สีเขียวของต้นไม้อันอุดมสมบูรณ์ ล้อมรอบนครใหญ่ดุจปราการธรรมชาติอันแข็งแกร่ง ปราสาทราชมณเทียร ล้วนทำมาจากหินทราย งดงามแปลกตา หากสิ่งหนึ่งกำลังเกิดขึ้น ณ นครกลางหุบเขาแห่งนั้น

กองทัพใหญ่ประกอบด้วยไพร่พล ช้างม้า จำนวนมาก เคลื่อนพลเข้าโอบล้อมประชิด ดั่งฝูงมดกำลังล้อมกรอบเหยื่ออันโอชะ ธนูเพลิงถูกระดมยิงเข้าใส่ราวห่าฝน เพียงไม่นาน เปลวเพลิงและควันดำก็พวยพุ่ง ลอยเหนือกำแพงเมือง เสียงกรีดร้อง อึงอล เสียงกลองศึกรัวกระหน่ำ ฟังไม่ได้ศัพท์ ทหารสองฝ่ายต่างโรมรันกัน จนฝุ่นฟุ้งตลบ บนพื้นนองไปด้วยเลือดและซากศพ ระเกะระกะ ไม่ต่างกับนรกบนดิน...

ภาพนั้นถูกดึงผ่านสายตาไปยัง ด้านในตัวเมือง ผู้คนวิ่งกันวุ่นวาย สับสนอลม่านไปทั่ว เปลวเพลิงและควันไฟ ฟุ้งตลบ ด้านหนึ่งซึ่งเป็นลานกว้างกลางใจเมือง มองเห็นชายหญิงสามคนพร้อมม้าหนึ่งตัวกำลังยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ภาพคล้ายถูกโฟกัสให้มองเห็นทั้งสามชัดเจน สิ่งรอบกายราวกับเป็นเพียงส่วนประกอบ ที่ไม่ได้สำคัญ เหมือนฉากหนึ่งในภาพยนต์ที่กำหนดให้ผู้ชมได้รู้เห็นชัดเจน

“พาเจ้านางหนีไป... อย่าเป็นห่วงทางนี้ ไป...ไปสิวาริช!”

ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดนักรบ ผลักไสชายหนุ่มอีกคนและสตรีในอาภรณ์งดงามอย่างผู้สูงศักดิ์ให้รีบขึ้นม้าไป

“ไม่วิชชุ เจ้าต้องเป็นคนพาเจ้านางไป ข้าจะปกป้องพระนครเอง”

นักรบหนุ่มนามวาริช ไม่ปล่อยให้ผู้เป็นเพื่อนได้คิดนาน เขาจับข้อกรของสตรีสูงศักดิ์กับข้อมือแกร่งของเพื่อนนักรบ บังคับให้ทั้งสองขึ้นม้า ก่อนจะใช้ฝ่ามือตบสะโพกกระตุ้นให้ม้าออกวิ่งไป ตัวเขาหมุนกาย วิ่งไปยังกำแพงเมือง เพื่อบัญชาการรบ...

เสียงกลองศึกและเสียงโห่ร้องดังแว่วมาไกลๆ ทำให้ร่างบางที่นั่งอยู่ม้าสีดำตัวใหญ่หวาดผวา ชายร่างสูงใหญ่กุมมือน้อยไว้มั่น คล้ายปลุกปลอบ เขาบังคับม้าเคลื่อนผ่านกลางฝูงชนที่ส่งเสียงอื้ออึง เบื้องหลังเปลวไฟลุกโชนแสง เผาไหม้บ้านเรือน แลปราสาทราชมณเทียร ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นเป็นสาย ผู้คนหอบลูกจูงหลานวิ่งผู้คนต่างวิ่งหนีตายกันอลหม่าน

“วิชชุ ข้ากลัว...”ร่างบางสั่นสะท้าน แววตาคู่งามหวั่นหวาด

บุรุษร่างใหญ่ในชุดนักรบเร่งม้าให้ผ่านตรงนั้นไป มือขวากุมบังเหียนมือซ้ายโอบประคองร่างระหงไว้ ฝ่ามือกดศีรษะแนบอกมิให้มองเห็นภาพน่าหวาดกลัว บังคับม้าให้วิ่งเข้าไปในแนวป่าทึบเบื้องหน้า ภูผาสูงดุจปราการธรรมชาติ จักป้องกันภัยให้ทั้งสองในยามนี้

เสียงโห่ร้องของข้าศึกดังก้องขึ้น เสียงต่อสู้ดังอยู่ไม่ไกล เร่งให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ชักม้าพาร่างบอบบางของสตรีสูงศักดิ์ออกห่างไป เขาเร่งฝีเท้าม้าเต็มกำลัง จนผ่านเข้ามาในแนวป่าลึกรอบกายโอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่หนาทึบ ยามนี้รอบกายมืดมิดมีเพียงแสงจันทร์ส่องนำทาง เสียงแมลงกลางคืนดังระงม อากาศเย็นเยือกจนขนลุก เขาชะลอฝีเท้ามาเมื่อเข้ามาในเขตป่า สายตามองหาที่ปลอดภัย ก่อนจะหยุดม้าเมื่อมองเห็นถ้ำเล็ก ปากถ้ำปกคลุมด้วยวัชพืชหากไม่สังเกตแทบมองไม่เห็น

“เจ้านางปทุมทิพยา... ทรงปลอดภัยแล้ว”

เขาเหวี่ยงตัวลงเบื้องล่าง รับร่างบางลงจากหลังม้า ก่อนจะถอยห่าง

“เราจะพักที่นี่ รอท่านวาริชตามมาสมทบ”

ทั้งสองเข้าไปในถ้ำ ชายหนุ่มจัดการก่อกองไฟ ปูผ้าบนพื้นถ้ำด้านหนึ่งให้สตรีสูงศักดิ์ประทับ ก่อนจะถอยออกมาจัดการปิ้งเนื้อเค็มที่นำมาด้วย

“เราต้องอยู่ที่นี่นานเท่าใด”เสียงหวานใสเอ่ยถามนักรบหนุ่ม

“อย่าทรงวิตก ข้าเชื่อว่าท่านวาริช จะจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย”

เขารามือจากการปิ้งเนื้อเมื่อเห็นว่าสุกได้ที่ นำข้าวเหนียวในห่อผ้ามาวางเคียงกันบนใบตอง

“เสวยก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ”

“แล้วท่านล่ะ...”นางรับอาหารมาถือไว้ ถามอีกฝ่ายอย่างอาทร

นักรบหนุ่มค้อมศีรษะ ดวงตาปลาบปลื้มกับน้ำใจของสตรีโฉมงาม

“เจ้านางเสวยเถิด ข้ายังไม่หิว”

เขาถอยห่างออกมา แล้วเดินหลบออกไปด้านนอก

เมฆลอยเกลื่อนท้องฟ้า ดวงจันทร์หลบอยู่ในม่านเมฆ แสงนวลมิอาจสาดส่องผืนดิน ร่างสูงใหญ่กอดอกแน่น ทอดสายตามองท้องฟ้าแววตาหวั่นวิตก ก่อนจะขยับตัวเมื่อได้เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหน้า หากช้าเกินการณ์กลุ่มคนไม่ต่ำกว่าสิบกรูเข้ามาล้อมกรอบ คบไฟถูกจุดขึ้น ประกายไฟวับแวมมองเห็นใบหน้าของผู้บุกรุกชัดเจน ทั้งหมดเป็นทหารของฝ่ายตรงข้าม

“เจ้านางปทุมทิพยาอยู่ที่ใด!” เสียงห้าวตะคอกใส่หู

“ข้าไม่รู้... ถึงรู้ข้าก็ไม่บอกพวกเจ้า!”

เขาตะเบ็งเสียงใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่กลัวเกรง เสียงนั้นดังก้องในความมืด คล้ายจะให้ใครสักคนได้ยินด้วย

“ไม่ยอมบอกรึ...”

คนพูดเป็นชายร่างสูงกำยำ ใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา อาภรณ์ที่สวมประดับด้วยอัญมณีมีค่า บ่งบอกฐานะที่สูงส่ง

“ข้ามังคละ...แห่งหิรัญนคร”

บุรุษผู้นั้นประกาศก้อง ดังต้องการให้ผู้ที่ตกอยู่ในอาณัติเกรงกลัว หากอีกฝ่ายกลับถ่มน้ำลายลงพื้น หยามหยันอย่างไม่เกรงกลัว

“ถุย... ไอ้คนเถื่อนที่แย่งบังลังก์เขามา กาย้อมสียังไงมันก็เป็นกา ไม่มีวันเป็นหงส์ไปได้ดอก”

คำเหยียดหยามนั้น เรียกโทสะจากคนฟังในทันใด กษัตริย์แห่งหิรัญนครตวัดปลายดาบฟันฉับลงกลางร่างของผู้บังอาจหยามเกียรติ เลือดพุ่งกระฉูดแดงฉานไหลนอง ร่างหนาทรุดฮวบบนพื้น

“ข้าจะให้เจ้าทรมาน จนขาดใจตายอยู่ที่นี่”

เจ้าของดาบก้มลงกรอกคำพูดใส่หูคนบนพื้น ก่อนจะสั่งการทหารที่ยืนรายรอบ

“ออกค้นหาเจ้านางปทุมทิพยาให้ทั่ว หากผู้ใดพบตัว ข้าจะให้รางวัล!”

อริราชเหล่านั้นแยกย้ายกันไปตามคำสั่ง ทิ้งร่างของนักรบหนุ่มนอนจมกองเลือด ใครคนหนึ่งค่อยๆย่องออกมาจากหลังพุ่มไม้ ตรงเข้าไปหาผู้บาดเจ็บ มือบางประคองร่างหนาให้ลุกขึ้น

“โถ่... วิชชุ” หยดน้ำตาอุ่นร้อน หยาดต้องใบหน้าคมสัน มือน้อยลูบไล้ใบหน้าของนักรบหนุ่ม สัมผัสนั้นทำให้คนที่นอนอยู่พยายามฝืนความเจ็บปวดลืมตาขึ้นมอง

“หนีไป... หนีไปจากที่นี่...”

เขาบอกด้วยเสียงอันสั่นพร่า แววตาคมกล้าอ่อนแสงลง หากเจ้าตัวยังฝืนข่มความเจ็บขยับยันกายลุกขึ้น เสียงหายใจแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน โลหิตสีแดงสดหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลชุ่มโชก

“ไม่...เราต้องไปด้วยกัน...” ใบหน้างดงามส่ายไปมาปฏิเสธ หยาดน้ำตาไหลรินเลอะแก้มนวล

ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างรวดร้าว คิ้วเข้มขมวดนิ่ว คล้ายเจ้าตัวไม่ต้องการเห็นน้ำตาของนาง “หนีไปเถิดเจ้านาง... อย่าได้ทรงห่วงข้าเลย... ชีวิตของวิชชุขอมอบไว้ใต้เบื้องพระบาท ” เขาลืมตาขึ้นช้าๆ บอกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา หากเต็มไปด้วยความภักดี

“เราไม่ต้องการความภักดีที่แลกด้วยชีวิตท่าน เราจะช่วยท่านเอง”

มือน้อยถอดกำไลออกจากข้อกรชูขึ้นเหนือศีรษะ ประกายสีแดงสดจากอัญมณีเม็ดกลมโตบนกำไลฉาดฉายในความมืด บนท้องฟ้าเมฆเคลื่อนตัว ดวงจันทร์สาดแสงลงมาต้องอัญมณี

พลัน!แสงสว่างกระจ่างจ้าขึ้น โอบล้อมร่างของคนทั้งสอง ไอหมอกหนาลอยเข้าปกคลุม จนหม่นสลัว ภาพของทั้งสองพร่าพรายหายไปในสายหมอกนั้น...

บัวบุษยาผุดลุกขึ้นนั่ง ดวงหน้าแดงก่ำ เหงื่อแตกเต็มตัวทั้งที่อากาศเย็นสบาย หญิงสาวกุมหน้าผากหายใจเข้าออกลึกๆ ครู่ต่อมาหัวใจที่เต้นแรงก็คืนสู่สภาวะปกติ แสงสีทองของรุ่งอรุณเริ่มสาดส่องผ่านหน้าต่าง หญิงสาวลูบหน้าไปมานึกทบทวนความฝัน ภาพใบหน้าคมสันของนักรบหนุ่มยังติดตา สิ่งที่เห็นในฝันเหมือนเคยเกิดขึ้นมาก่อน คล้ายกับจารอยู่ในมโนนึกมาแสนนาน

ความรู้สึกเจ็บแปลบ ราวกลับถูกกรีดด้วยคมมีดที่มองไม่เห็นแล่นวาบเข้ามากระทบใจ โหยหา... อาลัย อาดูรลึกซึ้ง ต่อบุรุษผู้มีนามว่า ‘วิชชุ’ ผู้นั้น หญิงสาวให้คำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกประหลาดแบบนี้

ใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนในความฝัน ช่างคล้ายกับคนที่ช่วยเธอไว้จากการตกน้ำ เขาชื่อ... ชื่อวาริช !

บัวบุษยานิ่งงันประหลาดใจ ทั้งชื่อทั้งใบหน้าช่างเหมือนกันอย่างบังเอิญ ในภาพฝันนั้นชายหนุ่มไว้ผมยาวสวมชุดเกราะหนังอย่างนักรบดูห้าวหาญ น่าเกรงขาม หากแววตายามเขาทอดมองสตรีร่างบางผู้นั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ไม่ต่างกับแววตาที่เขามองเธอหลังจากช่วยเธอขึ้นจากน้ำ หญิงสาวยกมือข้างขวาของตัวเองขึ้นมาปลายนิ้วอีกข้างแตะตรงข้อมือเล็ก ที่ถูกวาริชจับในความฝัน คล้ายกระไอความอบอุ่น ยังเกาะอยู่แผ่วจาง หัวใจดวงน้อยสะท้านไหว เขามีอิทธิพลต่อเธอจนเก็บเอามาฝันถึงเชียวหรือ...

“วาริช... คุณเป็นใคร”

ร่างบางทิ้งตัวนอนนิ่งกับที่นอนครู่ใหญ่ ชายหนุ่มสองคนปรากฏในความฝัน ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างประหลาด วิชชุทำให้เธอรู้สึกอาลัยอาวรณ์ วาริททำให้เธอรู้สึกสะท้านไหว

เขาทั้งสองเป็นใคร...

บัวบุษยาพยายามสงบใจให้เลิกคิดฟุ้งซ่าน บอกตัวเองว่าก็แค่ความฝัน จะเก็บมาคิดให้ปวดหัวทำไม หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ ลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเกียจคร้าน แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ทิ้งสิ่งที่ค้างคาใจไว้บนที่นอน

เมื่อกลับออกมา สายตาไปสะดุดกับสีชมพูอ่อนของกลีบดอกบัวที่วางอยู่ข้างหมอน หญิงสาวหยิบขึ้นมาดู ริมฝีปากบางแตะบนกลีบดอกบัวเบาๆ สูดกลิ่นหอมละมุนเข้าปอดจนพอใจ ก่อนจะเสียบก้านดอกบัวลงในแจกันข้างโต๊ะริมหน้าต่าง แล้วเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีออกไปจากห้อง

ร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นมุมห้อง ดวงตายาวเรียวคมงามมองตามแผ่นหลังบอบบาง ด้วยแววตาอ่อนเศร้า... จนร่างนั้นเดินลับหายออกไปจากสายตา

“วันหนึ่งเจ้าจะรู้ ว่าข้าเป็นใคร” ชายหนุ่มหมุนกายเลือนหายไปจากตรงนั้น

แสงแดดยามเช้าลอดผ่านกรอบหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง สาดส่องแตะไล้กลีบดอกไม้สีแดงสดอ่อนละเอียด

ทันใดนั้น ! ดอกไม้น้ำแสนสวยก็สลายกลายเป็นผงฝุ่นสีทอง ละอองวิบวาวลอยหายไปตามลมจนสิ้น...

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

คุยกันท้ายเรื่องสักนิดนะคะ

เรื่อง รอยอธิษฐาน เป็นนิยายแนวรักข้ามภพชาติ เกี่ยวกับรักสามเศร้าของหนึ่งหญิงสองชาย ระหว่าง วาริช วิชชุ และปทุมทิพยา ผูกพันเกี่ยวเนื่องกันมาจากอดีต จนถึงปัจจุบันจะมีการย้อนอดีตกันเป็นระยะ ถ้าใครอ่านแล้วงง ช่วยบอกด้วยนะคะ ผู้เขียนจะได้ปรับแก้

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ ไม่เม้นไม่เป็นไร ถ้าชอบก็กดไลค์

หรือจะเป็นเพื่อนกันได้ที่เพจนี้ค่ะ

http://www.facebook.com/RawiyadaRwiYaDa

รวิญาดา



รวิญาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ส.ค. 2555, 21:36:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ส.ค. 2555, 21:36:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1326





<< บทนำ   ตอนที่ 2. การปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง >>
คิมหันตุ์ 8 ส.ค. 2555, 17:03:59 น.
รออยู่เลยว่า เมื่อไรจะรู้ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account