รักในมือมาร
'ฉันเคยรู้จักความรัก และฉันรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อไม่สมดังหวัง

แต่ฉันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อต้องอยู่กับคนที่ไม่มีความรักให้ฉันเลย'


/////




"คุณไม่เข้าใจเหรอหนูหริ ว่าการอยู่ด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องรักกันมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือคุณอุ้มท้องลูกของผม คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ"

"คุณเองก็มีผู้หญิงมากมายอยู่รอบตัว คุณจะกักขังฉันไว้ทำไม...คุณศินรินทร์ ฉันไม่ใช่คนที่คุณต้องการ... ไม่ใช่เลย..."

"ต้องการหรือไม่ต้องการคุณจะมารู้ใจผมได้ไงณสิริ แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ ก็คือคุณเป็นของผมไงล่ะ หรือจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะไอ้ที่ป่องมาก็เป็นหลักฐานชั้นยอดอยู่แล้วนี่"

"คุณมันใจร้าย"

"รู้ไว้ก็ดี!"

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1



วันนี้ฝนตกพรำ อากาศข้างนอกมืดสลัวชวนหดหู่ เขาว่ากันว่าคนท้องคนไส้ไม่ควรจะคิดมาก กังวล หรือทำให้ตัวเองต้องเกิดความเครียด เพราะจะทำให้ลูกน้อยที่ใกล้ลืมตาดูโลกได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอดแบบนี้ ซึ่งมีผลกับตัวคนเป็นแม่อย่างฉันโดยตรง

และจากการที่ฉันไปตรวจครรภ์ครั้งล่าสุดเมื่อห้าวันก่อน กำหนดคลอดของฉัน คุณหมอศิลา ซึ่งเป็นคนดูแลได้บอกว่า น่าจะอยู่ในระยะเวลาไม่เกินสี่สิบห้าวันหลังจากนี้ แต่พ่อของลูกฉัน เขายังไม่กลับมา ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหน อยู่ที่ไหน หรือทำอะไร

นี่หรือเปล่า... ที่ทำให้ฉันห้ามความรู้สึกเศร้าหมองของตัวเองไม่ได้จริงๆ หรือไม่ก็คงต้องโทษฟ้าโทษฝนเสียแล้วกระมัง ที่ทำให้บรรยากาศชวนเศร้าแบบนี้

‘ศินรินทร์... คุณอยู่ที่ไหน’

ฉันได้ยินแต่เสียงนี้ในใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของตัวเองจะพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะประมาณเก้าเดือนก่อน ฉันยังเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของเขาคนนั้น ซึ่งฉันต้องทำหน้าที่ยิ่งกว่าแม่บ้านหรือแม่นม

แต่ในวันนี้... ฉันกำลังจะเป็นแม่ของลูกเขา

ฉับพลัน ภาพในวันที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ต้องมาอยู่ตรงนี้ก็ผุดขึ้น ราวกับเพิ่งจะเกิดใหม่ๆ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

เก้าเดือนก่อน

“หนูหริ ถ้าอย่างนั้นคุณมาพบผมได้ไหม ถึงคุณจะไม่ได้ทำงานให้ผมอีกแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกติดค้างคุณ ผมแค่...อยากขอโทษ ที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ทำให้คุณเหนื่อย แล้วก็...อยากขอบคุณกับที่ผ่านมา”

นั่นคือเสียงของเขาผ่านโทรศัพท์มือถือ ฉันจำคำพูดทุกคำของเขาได้เป็นอย่างดี ฉันไม่เคยคิดกับเขามากไปกว่าเจ้านายที่น่านับถือคนหนึ่ง ซึ่งนั่นคือความรู้สึกของฉัน ก่อนที่ฉันจะอยู่ในฐานะแม่ของลูก และเขาคือพ่อของลูก

ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเลิกทำงานให้เขานะหรือ...

ก็คือคำพูดที่ทำให้ฉันเจ็บปวดในขณะที่เอากาแฟเข้าไปให้คุณณีนรินทร์ คุณติชรินทร์ และตัวเขา... ‘ศินรินทร์’ ที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องประชุมห้องหนึ่ง

"Koen, Nasiri hoort ook salaris verhoging te krijgen terwijl iedereen het krijgt. Ik snap het niet waarom doe je dit aan haar. Zij zal het heel erg oneerlijk vinden.”

(ขุน, ณสิริ ฮอร์ท โอ๊ก ซาลาริส แฟรโฮ๊กฆิ่ง เท่อะ ไคร้ยเฆิ่น แทร์เวล อีเด้อเรน เห็ท ไคร้ยท์. อิก สนับ เห็ท นี้ท วา รม ดู เยอะ ดี้ท อาน ฮาร์. ไซย ซล เห็ท เฮล แอ๊ร็ฆ อนเอียร์หลึก ฟีนเดิ้น.)

‘น้องขุนควรจะขึ้นเงินเดือนให้ณสิริด้วยนะ เพราะคนอื่นเขาก็ขึ้นกันหมด พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องขุนถึงทำกับณสิริแบบนี้ เขาจะเสียใจนะ’

“Zus, Ik ben haar baas. Het is niet jouw zaak te bemoeien. Haar salaris plus de extra's zijn ook al niet weinig en nog ken ik elke medewerker zijn werk. Iedereen krijgt wat hij verdient.”

(ซุส, อิก เบน ฮาร์ บ้าส. เห็ท อี้ส นี้ท เยา ซาก เท่อะ เบ่อะมุยเยิ่น. ฮาร์ ซาลาริส พลึส เด่อะ เอ็กซร้าส ไซย โอ๊ก อัล นี้ท ไวยหนึก เอิ่น น็อฆ เคน อิก เอ็ลเค่อะ เมเด้อะแว๊ร์คเก้อ ไซยน แวร์ค. อีเด้อเรน ไคร้ยท์ วัท ไฮย แฟร์ดี๊นท์)

‘พี่นางจะเรียกร้องขึ้นเงินเดือนให้ณสิริทำไม ในเมื่อขุนเป็นเจ้านายของเขาโดยตรง เงินเดือนรวมทั้งเงินพิเศษที่ให้ก็ไม่น้อย ที่สำคัญคือขุนรู้ว่าลูกน้องคนไหนทำงานอย่างไร และขุนก็ให้เงินเดือนคนตามความสามารถ’

นี่คงเป็นคำพูดธรรมดาที่ใครอาจไม่ใส่ใจ เช่นเดียวกับฉันที่ไม่เคยสนใจเรื่องเงินเดือนเงินดาวนั่นนักหนา เพราะฉันก็พอใจแล้วกับค่าแรงที่ได้รับ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจและเจ็บปวดจนทำให้ขอบตาร้อนผ่าว ก็คือคำว่า ‘ขุนให้เงินเดือนคนตามความสามารถ’ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนพื้นดินที่ยืนอยู่ได้ยุบตัวลงในทันที

ที่ผ่านมาฉันทำงานให้เขาชนิดยกกายถวายหัว ทำงานด้วยความจงรักภักดี ทำด้วยความเคารพ ทำงานด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่เคยเรียกร้องอะไรเพิ่ม โดยเฉพาะเรื่องของเงินทอง แต่เขากลับคิดกับฉันเช่นนี้

นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องของฉันกับเขาต้องสะบั้นลง ฉันได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้านายของฉันไม่เคยเห็นคุณค่าของฉันเลย เขาเห็นฉันเป็นแค่ตัวอะไรสักอย่างที่จะเอาเงินฟาดหัวแล้วทำงานให้เขางกๆ โดยไม่มีปากไม่มีเสียง ประหนึ่งว่าไม่มีสมอง ซึ่งเทียบไม่ได้กับลูกน้องคนอื่นโดยเฉพาะเลขาฯ หน้าห้องคนใหม่ของเขาคนนั้น หรือที่จริงคือพนักงานต้อนรับเขาแบบเฉพาะกิจ ที่เงินเดือนมากกว่าฉัน แถมยังพุ่งขึ้นพรวดพราด ซึ่งก่อนนี้ฉันไม่เคยใส่ใจ เพราะเธอคนนั้นทั้งสวย ทั้งเซ็กซี่ ดีกรีดาวมหา’ลัย แถมยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายสาวในสต็อกของเขา ซึ่งฉันรู้ดี เพราะฉันมีหน้าที่จัดวางคิวสาวๆ ของเขาทุกคนเพื่อไม่ให้รถไฟชนกันนั่นเอง

และนั่นคืองานหลักของฉัน คือตำแหน่งพิเศษที่ทำให้ฉันถูกยกระดับจากพนักงานทำความสะอาด ควบตำแหน่งแม่บ้านตัวเล็กๆ ที่วันๆ หนึ่งได้แต่ก้มหน้ามองพรม มองกระเบื้อง มองถ้วย จาน ชาม ช้อน และอื่นๆ พร้อมทำหน้าที่เสิร์ฟ โดยแทบจะไม่ได้เงยหน้ามองใคร ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือแม้แต่เจ้าของบริษัท

แต่ก็นั่นแหละ ช่างมัน ฉันไม่ได้ยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอามาเป็นหัวใจหลักในการทำงาน ฉันยังทำงานให้เขาอย่างเต็มกำลังเรื่อยมา เพราะสิ่งเดียวที่ฉันสนใจก็คือเจ้านายให้เกียรติฉัน ให้ค่าตอบแทนแก่ฉันอย่างที่ฉันพอจะเลี้ยงตัวเองได้ แค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว

หากแต่ในวันนี้มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด ฉันเพิ่งรู้ถึงเหตุผลแท้จริงของเขา และเหตุผลที่ทำให้คนทั้งบริษัทเคยมองฉันอย่างสงสัย จนฉันคิดว่าฉันเป็นตัวประหลาดหรืออย่างไร ทำไมทุกคนถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนี้ นั่นก็เพราะการขึ้นเงินเดือนครั้งล่าสุด พนักงานทุกคนล้วนถูกระบุชื่อและจำนวนเงิน ยกเว้นฉันเพียงคนเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องประหลาด เพราะหากไม่ได้ทำงานผิดพลาดอย่างสาหัส ก็ต้องแสดงว่าไม่มีความดีความชอบเลยแม้แต่นิด ซึ่งในกรณีของฉันถือว่าแปลกมาก เพราะฉันทำงานให้เขาทั้งในและนอกเวลางาน ชนิดพร้อมรับใช้ยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างที่ใครก็ทำให้ไม่ได้ ดังนั้นฉันคิดว่าการที่ฉันจะน้อยใจและต้องการลาออกเมื่อทราบถึงเหตุผลจากคำพูดของเขา ก็คงไม่ใช่อาการของคนใจแคบหรือสิ้นคิดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันรู้ดีว่าฉันทำงานคุ้มค่าเงินเดือนที่ได้รับเพียงใด

ฉันเคาะประตู ก้มหน้า แล้วเดินผ่านทั้งสามคน พวกเขามีสีหน้าจืดเจื่อน เพราะรู้ว่าฉันพอฟังภาษาดัตช์ออก เพียงแต่พวกเขาอาจไม่แน่ใจว่าฉันจะได้ยินอะไรมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

ฉันจำได้ดีว่าตอนนั้นในหัวของฉันมีเพียงคำเดียวคือ ‘ลาออกๆๆ’ ฉันไม่สามารถทนได้ที่จะต้องอยู่กับคนไม่เห็นคุณค่าของฉัน ซึ่งฉันอาจไม่ได้มีเงินทองมากมาย ไม่ได้มีตำแหน่งงานใหญ่โต ไม่ได้สลักสำคัญอะไรในบริษัท แถมยังต้องอาศัยทำงานแลกเงินของพวกเขา แต่อย่างน้อยฉันก็มีศักดิ์ศรีของฉัน เพราะหากเขาคิดจะจ้างคนตามความสามารถ เช่นนั้นตำแหน่งหน้าที่ที่ฉันทำให้มาสามปีกว่า ไม่นับกับตอนเป็นพนักงานทำความสะอาด ก็ย่อมมีคนพร้อมจะทำให้คุณศินรินทร์มากกว่าฉันแน่นอน

“เจ้านายต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมคะ”

ฉันถาม โดยไม่เจาะจงว่าใครควรจะเป็นคนให้คำตอบ พยายามสะกดกลั้นน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด ทั้งที่น้ำตานั้นร่วงเผาะลงมาแล้ว

“ไม่จ้ะ ขอบใจมาก”

คุณณีนรินทร์ พี่สาวของคุณศินรินทร์เป็นคนให้คำตอบแก่ฉัน ฉันพยักหน้าที่ก้มไว้อยู่แล้ว และรีบเดินออกมา

ปากกากับกระดาษอยู่ในมือของฉันทันทีเมื่อพ้นประตู ความต้องการลาออกจากงานถูกเขียนเป็นใจความและวางอยู่บนโต๊ะของคุณศินรินทร์ในอีกยี่สิบนาทีต่อมา

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ฉันเดินออกมาพ้นอาคารสูงใหญ่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศในเวลาทำงาน เงยหน้าที่ตอนนี้น้ำตายังไหลลงมาเป็นสายเพื่อไม่ให้มันหยาดหยดลงตามแก้ม

มีหลายคนหันมามองฉัน แต่ฉันไม่สนใจพวกเขาหรอก เพราะพวกเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับชีวิตฉัน และพวกเขาจะเห็นฉันในสภาพนี้เพียงแค่ครั้งเดียว แล้วอาจจะไม่ได้พบเห็นกันอีกตลอดชีวิต

ฉันกลับมาถึงบ้านของภณิชชาในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ภณิชชาหรือมด เป็นเพื่อนรัก และเป็นเจ้าของบ้านที่แบ่งปันให้ฉันได้พักอาศัย นับตั้งแต่วันที่ฉันได้ก้าวออกจากบ้านของพี่ชายซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากตา และฉันก็ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายอันสมควรแก่เหตุให้กับมด ซึ่งนับได้เป็นปีที่สี่แล้ว

เสียงโทรศัพท์มือถือดังให้ฉันกดรับ แต่พอเห็นว่าเป็นชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของใครที่ปรากฏ ฉันก็ไม่สามารถทำใจฟังเสียงของเขาได้อีก เพราะฉันรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เหมือนคนโง่ น้ำเสียงและคำพูดของเขามันยังตรึงอยู่ในหู ก้องอยู่ในหัวไม่มีลด ไม่มีเลือน

และการที่คุณศินรินทร์โทรมานี่เอง ที่ทำให้ฉันรู้ว่าเขาคงได้อ่านจดหมายลาออกของฉันแล้วแน่นอน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ฉันทำตัวเป็นวิญญาณเร่ร่อนไม่อยู่กับที่มาได้สองสัปดาห์กว่าๆ เจ้านายของฉันเขาคงรู้แน่ชัดว่าฉันได้ยินบทสนทนาของเขากับพี่สาว ซึ่งมีพี่ชายเป็นเพียงคนรับฟัง และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่ยอมกลับไปทำงานกับเขาอีก แม้ว่าเขาพยายามติดต่อฉันตลอดเวลาก็ตาม

ฉันรู้ว่าเขาเป็นเจ้านายที่ใจดีมากขนาดไหน ยกเว้นว่าอาจเรื่องมากในบางเรื่อง และเจ้าชู้ยักษ์ตามประสาหนุ่มโสดจนต้องมีฉันมาเป็นผู้จัดคิวสาวๆ

และคงเป็นเพราะความเรื่องมากในบางเรื่องนั่นเอง จึงทำให้เขาต้องมาตามหาฉันถึงบ้านภณิชชา และอีกหลายแห่งที่เขาคิดว่าฉันจะอยู่ หรือจะไป เพราะคงหาลูกน้องที่ทำงานให้ถูกใจไม่ได้ หรือว่าจะเป็นเพราะฉันไปทำอะไรให้เขาเสียหายจนต้องไปชดใช้หนี้สินให้เรียบร้อยก่อนออกจากงานก็คงไม่ใช่อีก เพราะฉันมั่นใจว่าไม่เคยมีประวัติเช่นนั้น ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหตุผลแห่งการกระทำของคุณศินรินทร์ว่าแท้จริงต้องการอะไร จนต้องทำตัวเป็นวิญญาณล่องลอยไม่ติดที่นี่ไงล่ะ

ส่วนเหตุผลที่คอยหลบนะหรือ ก็เพราะฉันไม่รู้ว่าจะทำหน้าแบบไหนเมื่อเห็นเขา หรือพูดอะไรกับเขา หากเขายิงคำถามแบบไม่ต้องการคำตอบ จนฉันอาจเผลอตกลงอะไรและมีเงื่อนไขให้เข้าเนื้อเพราะคิดไม่ทัน อย่างที่ฉันรู้ดีว่านั่นคือนิสัยของเจ้านายที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันจึงอาศัยวิทยายุทธ์เดิมเมื่อตอนทะเลาะกับพี่ชาย เช่นการทำตัวให้หายไปจากโลกนี้สักพักเพื่อหนีหน้าและทำใจ แต่เจ้านายของฉันช่างมีความพยายามอย่างยิ่ง และคงเป็นห่วงฉันจริงๆ จนฉันคิดว่าเราควรจะจบทุกอย่าง

ฉันเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง มีรายงานขึ้นว่าโทรศัพท์เรียกเข้าถึงหลักหนึ่งพันสายในหมายเลขเดียวกัน และหมายเลขนั้นก็เป็นของคุณศินรินทร์ ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีถึงความมานะที่เจ้านายต้องการจะพูดคุยกับฉันให้รู้เรื่อง หรืออาจเป็นเพราะความสนิทสนมเคยรู้ใจกันมากก็ได้ เขาถึงเป็นห่วงและสำนึกผิด จึงอยากเคลียร์กับฉันให้จบ

ฉันโทรศัพท์ไปหาเขาเมื่อรู้ใจตัวเองแน่ชัดว่าเข้มแข็งพอที่จะปฏิเสธและยุติทุกอย่างในวันนี้ แล้วตอบกลับ เมื่อการสนทนาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง ซึ่งฉันเห็นว่าควรจะสิ้นสุดลงได้แล้ว

“เจ้านายไม่จำเป็นต้องขอโทษหนูหริหรอกค่ะ หนูหริเข้าใจ เจ้านายจะให้หนูหริไปเจอเจ้านายที่ไหนคะ”

“ถ้าอย่างนั้นไปคุยกันที่ร้านครอสตินี่ ตอนหนึ่งทุ่มนะหนูหริ ผมจะไปรับ แล้วคุณอยู่ที่ไหนล่ะจ๊ะตอนนี้”

พอได้ฟังคำพูดของเขา ฉันก็รู้สึกว่าไม่อยากให้คุณศินรินทร์ต้องเป็นห่วงฉันตามประสาเจ้านายที่ดีมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะจากการที่เขาพยายามติดตามสอบถามความเป็นอยู่ หรือให้โอกาสฉันกลับไปทำงานกับเขา รวมทั้งพูดจาดีกับฉันตลอดเวลาขณะคุยโทรศัพท์ จึงทำให้ฉันซาบซึ้งในความมีน้ำใจที่เขามีให้ฉันเสมอ เพราะถ้าเป็นคนอื่น ก็คงจะปล่อยฉันเข้าป่าเข้าพง จะไปตายที่ไหนก็ให้รีบไปแล้วนะสิ

แต่ก็นั่นแหละ ฉันยังจำคำพูดของเขาทุกคำได้ดีเสมอ ฉันจึงตัดสินใจบอกไปว่า

“ไม่เป็นไรค่ะเจ้านาย หนูหริมาทำธุระ เดี๋ยวหนูหริเรียกแท็กซี่ไปหาเจ้านายเองค่ะ ร้านครอสตินี่นะคะ”

“ใช่จ้ะ คุณมาได้ใช่ไหม ผมจะได้คอนเฟิร์มเรื่องโต๊ะ”

“ค่ะ”

ฉันรับปากเขา เพราะรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้ใครปฏิเสธหรือพูดจาอ้อมค้อม ตามประสาลูกชายคนเล็กของครอบครัวที่ร่ำรวยมหาศาล และทำกิจการชนิดที่เรียกว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ทั้งด้านสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ท้องฟ้ายังคงมีแสงสีส้มทางทิศตะวันตกในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ฉันมาถึงก่อนเวลานัดสิบนาที

ฉันรู้... ว่าเขาเป็นคนตรงต่อเวลามากขนาดไหน นั่นจึงทำให้นิสัยการทำงานหรือการนัดหมายของฉันจะติดนิสัยของเขามาด้วย

ฉันเดินเข้าไปในอาคารสูง ซึ่งมีร้านอาหารหรูชื่อดังอยู่บนชั้นเกือบสูงสุดของอาคารนี้ คุณศินรินทร์มักจะพาฉันมาบ่อยๆ หลังจากทำงานเสร็จ หรืออะไรก็แล้วแต่ ตามอารมณ์ของเขาเป็นหลัก แต่วันนี้ฉันออกจะแต่งตัวโทรมกว่าทุกครั้ง เพราะอยู่ในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวเข้ารูป ไม่ใช่ชุดทำงานของเลขาฯ ส่วนตัว ที่ต้องดูดียามติดสอยห้อยตามคุณศินรินทร์ไปในที่ต่างๆ

เจ้านายของฉันช่างเป็นคนตรงต่อเวลาจริงๆ ฉันเห็นเขานั่งหลังตรงอยู่ที่โต๊ะประจำ ติดกับกระจก สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองหลวงขณะมีแสงไฟเป็นจุดๆ ด้านล่างได้ถนัดตา และบ่งบอกว่าอีกไม่นาน ท้องฟ้าจะมืดแล้ว

เขาลุกขึ้นยืน การแต่งกายยังเนี้ยบเหมือนเดิม แม้ว่าจะไม่มีฉันคอยดูแลก็ตาม ฉันแอบโล่งใจไปนิดหนึ่งหลังจากเผลอกลัดกลุ้มเป็นห่วงเขามาตลอด

นี่ฉันคิดอะไรของฉันกันเนี่ย ไม่มีฉัน เขาก็อยู่ได้อยู่แล้วนี่นะ

“เจ้านาย สวัสดีค่ะ”

ฉันรีบยกมือไหว้ พยายามส่งยิ้มที่เค้นปั้นให้เป็นปกติที่สุด ก่อนจะหลบสายตาของคุณศินรินทร์ที่มองมาพร้อมกับพยักหน้ารับ

และตอนนี้ ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าจริงๆ แล้วฉันก็ยังไม่พร้อมจะสู้หน้าเขา นี่ฉันคิดผิดหรือคิดถูกที่ตัดสินใจมาเจอคุณศินรินทร์กันหนอ

“สวัสดีจ้ะหนูหริ คุณออกจากรูมาเจอผมได้จริงๆ แล้วสินะ ผมนึกว่าคุณจะหลอกให้ผมรอเก้อ หรือไม่ก็วิ่งหนีไม่ยอมให้เจอตัวซะแล้ว”

อืม... ช่างเป็นการทักทายที่สนิทสนมไม่เปลี่ยน แต่น่าเสียดาย ที่ความรู้สึกของฉันต่อเขามันเหมือนแก้วร้าวและไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

“ไม่ค่ะเจ้านาย นัดแล้วก็ต้องมาค่ะ”

“น้ำเสียงคุณเปลี่ยนไปนะ”

“ไม่หรอกค่ะ”

ฉันปฏิเสธ และยิ้มให้เขานิดๆ ก่อนจะก้มหน้ามองพื้นอีกครั้ง

ฉันนั่งลงเมื่อบริกรจัดการเลื่อนเก้าอี้ให้ตามหน้าที่ของเขา ฉันกล่าวขอบคุณเบาๆ แสร้งมองตามบริกรคนเดิมที่เดินหายไปลับตา เพราะฉันอยากจะเก็บจานตรงหน้าไว้เป็นที่พึ่งลำดับต่อไป

“ไม่เปลี่ยนใจกลับมาทำงานกับผมแน่หรือหนูหริ”

คุณศินรินทร์ถาม เพราะฉันยังไม่หันมามองเขาและไม่เปิดปากพูดอะไร ฉันได้แต่ก้มหน้ามองจานที่เอาไว้เป็นผู้ช่วยอย่างที่เคยคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกเขาไปว่า

“หนูหริได้งานใหม่แล้วค่ะ”

ฉันแข็งใจตอบไป แอบเหลือบมองคุณศินรินทร์เพราะว่าความจริงฉันยังคงตกงานอยู่

สีหน้าของคุณศินรินทร์เรียบนิ่งเมื่อฉันลอบมอง เขาคงโกรธที่ฉันแข็งข้อและแหกกฎเรื่องที่ไม่ชอบให้ใครปฏิเสธ แต่ฉันไม่กลัวหรอก ตอนนี้ฉันเป็นไทแก่ตัวแล้วนี่

ฉันรู้สึกว่าวันนี้สีหน้าท่าทางของเขาแปลกไปจากทุกครั้ง เพราะส่วนมากใบหน้าและแววตาของคุณศินรินทร์จะอ่อนโยนกว่านี้ ราวกับเขากำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ไม่ต่างจากเวลาที่เขาต้องไปเจรจาธุรกิจหักเหลี่ยมโหด

ทุกอย่างเงียบงัน แม้แต่ในขณะที่บริกรลำเลียงอาหารมาวาง ทุกอย่างถูกจัดเรียงเรียบร้อย และเหลือเพียงเราสองคน น่าแปลก ที่วันนี้ลูกค้าในร้านได้หายไปหมด สงสัยเป็นเพราะฉันกับคุณศินรินทร์มาเร็วกระมัง แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา

“เฮ้อ... นี่ผมต้องเสียลูกน้องดีๆ อย่างคุณไปจริงๆ หรือ กลับมาทำงานกับผมเถอะนะ หนูหริ”

ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพูดคำนี้ออกมาทำไม ก็ในเมื่อวันนั้น คำตอบของเขามันก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า ฉันไม่ได้มีค่า และไม่มีดีมากพอ หากจะเทียบกับลูกน้องคนอื่นๆ ของเขา

คุณศินรินทร์ยังพูดคุยอะไรต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ฉันเป็นฝ่ายเงียบไม่ขัดคอ ทำเพียงอย่างเดียวคือกิน กิน แล้วก็กิน ในเมื่อหลังจากนี้ ฉันคงไม่มีวาสนาจะมานั่งในร้านหรูๆ กินอาหารอร่อยๆ แบบนี้อีกแล้ว นั่นก็เพราะอาหารหลักของฉันจะกลายเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนกว่าฉันจะหางานใหม่ได้

แต่อืม... สงสัยฉันคงจะเห็นแก่กินมากไปหน่อย อาการอิ่มๆ ตื้อๆ ชวนหนังตาหย่อนจึงเกิดขึ้นกับฉันรวดเร็วแบบนี้

ฉันเช็ดปาก พยายามประคองแก้วน้ำที่ตอนนี้มือสั่นมากเสียจนน้ำในแก้วกระฉอกออกมา เรี่ยวแรงมันเหมือนกับหดหายผิดกับหลายนาทีก่อนที่ยังมีแรงกินอะไรต่อมิอะไรเข้าไปเต็มพิกัด

เสียงแก้วแตกกระทบโสตประสาท ความรู้สึกที่ช้าลงบอกฉันว่ามันเกิดจากแก้วในมือได้ร่วงลงพื้น ฉันมองคุณศินรินทร์ที่มองมาด้วยสายตานิ่งสงบจนทำให้เสียวสันหลังวาบ ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาแทบไม่แตะอะไรเลย

และตอนนี้... ใบหน้าของเขากลายเป็นภาพเบลอจัดไปเสียแล้ว

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

คุณพระคุณเจ้าช่วย รู้สึกตื้อไปหมด แถมยังพะอืดพะอมจนอยากจะอ้วกเสียแล้วสิ นี่ฉันเห็นแก่กินขนาดนี้เลยหรือเนี่ย

อืม... หรือไม่ฉันก็คงกำลังกลัวกับอนาคตที่ไม่แน่นอนว่าอาจอดตายหลังจากตกงานก็ได้ ก็เลยเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะแบบตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ว่าฉันกำลังกินอิ่ม นอนหลับ แล้วก็ตื่นมาเห็นเพดานห้องนอนสุดหรู ที่นอนนี่ก็นุ่มมากมาย
แต่เอ... มันคลับคล้ายคลับคลาคุ้นตาชอบกล เหมือนกับว่าเคยเห็นห้องแบบนี้มาเสียจนชินแล้วสิ

อืม... กลิ่นนี่ก็คุ้นๆ นะ แต่เหมือนจะมีกลิ่นเหล้าด้วย แล้วตัวอะไรมาไต่ที่แขนกันละนี่

“เพิ่งรู้ว่าตัวเล็กๆ แบบนี้ กลับซ่อนรูปน่าดูเชียว เต็มไม้เต็มมือดีจัง”

เสียงนี่ก็คุ้นๆ นะ ฉันรีบปัดตัวอะไรนั่นออกไปอย่างรำคาญตามประสาคนขี้เซา แต่มือของฉันกลับถูกคว้าไว้ด้วยมือใหญ่นุ่มของใครบางคน น้ำหนักบางอย่างพลิกขึ้นทับร่างของฉันจนรู้สึกหายใจไม่ออก ความอุ่นจัดของร่างกายชนิดไม่มีช่องว่างและไร้เสื้อผ้ากางกั้นท่ามกลางความเย็นของแอร์คอนดิชันเนอร์ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต็มตาทันที

“จ...เจ้านาย!”

ฉันขัดขืน ดิ้นรนเต็มที่ แต่มันสายไปเสียแล้ว เมื่อต้นขาและหน้าแข้งแข็งแรงของคุณศินรินทร์ล็อกขาของฉันเอาไว้ มือใหญ่นั้นปิดปากฉันสนิทเมื่อฉันพยายามกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าเจ้านายแสนใจดี ไม่เคยมีทีท่าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มกับฉันมาตลอดเวลา กำลังทำอะไรที่เรียกว่าขัดกับนิสัยและปณิธานของเขา

ฉันกลัวเขาจนตัวสั่นไปหมด ความหนาวรอบกายไม่เท่ากับความหนาวเหน็บในหัวใจที่ต้องเจอสภาพเช่นนี้

ใช่... เขาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี หน้าตาดีมากๆ เลยเชียวล่ะ

หล่อสุดๆ หล่อชนิดที่สาวๆ ต้องวิ่งตาม ไม่อย่างนั้นแล้วหญิงสาวในสต็อกของเขาแต่ละคนจะมีแต่ระดับนางงามหรือดารานางแบบดังๆ เพราะเขาหล่อเลือกได้อย่างนั้นหรือ

แต่เรื่องหน้าตาหรือฐานะนั่นไม่ใช่สำหรับฉัน ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขามากไปกว่าเจ้านายที่ฉันจะทำงานให้อย่างซื่อสัตย์ เพราะชีวิตของฉันนั้นต้องการเพียงแค่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่เขาจะรักฉันจนสุดหัวใจและจะดูแลฉันเมื่อฉันแก่เฒ่า

และแน่นอน... ว่าไม่ใช่คนที่กำลังซุกไซ้ซอกคอฉันในเวลานี้ ไม่ใช่คนที่ใช้กำลังบังคับแขนขาของฉันในตอนนี้ เพราะฉันพยายามปัดป้อง และขัดขืนอย่างที่สุด

ฉันรู้สึกแต่ว่ากระบอกตาของตัวเองร้อนผ่าว ฉันกลัวเขาเหลือเกิน บางอย่างที่ตื่นตัวของเขากำลังสัมผัสกับบางสิ่งของร่างกายฉัน และตรงนั้นคือสิ่งที่ฉันพยายามเก็บรักษาไว้ให้กับผู้ชายที่ฉันจะรัก และจะมอบให้เขาในวันแต่งงาน

ฉันกลัวจนตัวสั่นสะท้าน เขาไม่สนใจความรู้สึกของฉัน ว่าฉันกำลังกลัวเขามากเพียงใด อาการเคลื่อนไหวของเขาที่สูดดมและพรมจูบไปตามร่างกายของฉันมันเหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์

ฉันรู้สึกได้ทุกครั้งที่เขาใช้มือหนึ่งลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่วร่างกาย และมือข้างเดียวกันนั้นก็คอยเช็ดน้ำตา แต่ทว่ามืออีกข้างยังคงปิดปากฉันเอาไว้ไม่ให้เสียงใดๆ เล็ดลอด

คุณศินรินทร์ไม่มองหน้าฉัน ไม่ยอมมองดวงตาของฉันที่พยายามขอร้องอ้อนวอนเขา เขาหลบเลี่ยง เลื่อนตัวลงไปที่ทรวงอกซึ่งไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเห็นตั้งแต่แตกเนื้อสาว แต่ตอนนี้เขากำลังได้เห็นและสัมผัสอย่างใกล้ชิด

ความร้อนรุมแปลกประหลาดทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก เมื่อเขาขบหยอกและดูดเบาๆ ที่ยอดทรวงทั้งสองนั้นสลับกัน ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาที่ใบหู แก้ม คาง ซอกคอ และทุกๆ ที่ที่เขาจะพาร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไปถึง นอกเหนือจากส่วนที่ใช้บังคับไม่ให้ฉันหลบหนี

ความเป็นไปเช่นนี้สลับวนเวียนทั่วร่างกายของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า จนความสั่นกลัวกลายเป็นความรู้สึกประหลาด ฉันร้อนมากขึ้นและมากขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้ฉันเป็นอิสระ ฉันไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกับฉัน เขาร่ายมนต์อะไรใส่ฉัน ฉันไม่รู้ว่าในตอนนี้ความรู้สึกรังเกียจขยะแขยงก่อนนั้นมันหายไปไหน แต่ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็ยังอยากจะหลุดพ้นจากร่างใหญ่ของเขาที่ทาบทับลงมา แม้ว่าอีกใจก็อยากจะรู้ว่าความร้อนสลับหนาวของร่างกายนั้นมันจะจบลงที่ใด

เหมือนเขาจะรู้ เขากระซิบบางอย่างด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แต่ทว่าในหัวของฉันมันอื้ออึงจนเกินจะรับรู้ข้อความนั้น ริมฝีปากของเขาร้อนจัดเมื่อกดลงบนริมฝีปากล่างของฉัน แล้วดูดเบาๆ แต่ก็ช่ำชอง จนฉันหัวหมุนมากกว่าเดิม

และเมื่อปลายนิ้วของเขาแทรกเข้ามายังสิ่งสงวน ฉันสะดุ้งสุดตัวจนเรียกสติที่มันเคยเตลิดไปไกล

“จ..เจ้านายคะ เจ้านาย เจ้านายคง จะ...จะเมา ด...ได้โปรด ปล่อยหนูหริไปเถอะนะคะ”

ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ และอู้อี้ พยายามบิดร่างกายให้พ้นจากมือและพันธนาการของเขาอีกครั้ง ยามที่สติกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ และเพราะกลิ่นของแอลกอฮอล์บวกหลักฐานตรงหัวเตียงที่ฉันเหลือบไปเห็น ทำให้ฉันมั่นใจว่าคุณศินรินทร์คงเมาจนตาลาย หรือไม่ก็กินยาปลุกอะไรเข้าไปผิดจังหวะเวลา ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ทำกับฉันอย่างนี้แน่ๆ

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องมองดวงตาของฉันอย่างไม่หวั่นไหว ฉันบอกไม่ถูกว่าฉันเห็นอะไรในนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนราวกับน้ำผึ้งบริสุทธิ์คู่นั้น

“ได้สิจ๊ะ”

ฉันใจชื้นเมื่อเขาบอกและทำท่าว่าจะผละจากร่างกายของฉัน แต่คำพูดของเขามันแตกต่างจากการกระทำอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาเพียงแค่เอื้อมมือไปหยิบแก้วที่มีน้ำสีอำพันติดก้นแก้วในปริมาณไม่มากนั้นเข้าปาก แล้ววกก้มลงมาที่ปากของฉัน

“อื้อ!”

ฉันประท้วงได้แค่นั้น เมื่อกลิ่นฉุนของบรั่นดีและรสสัมผัสฝืดเฝื่อนปนร้อนๆ ไหลลงตามลำคอ

แค่กๆๆ

ฉันสำลัก รู้แต่ว่าในลำคอและจมูกมันแสบไปหมด มือใหญ่ของเขาเลื่อนมาเช็ดปากเช็ดหน้าให้ฉันอย่างอ่อนโยน แล้วเจ้าของมือนั้นปิดปากฉันด้วยปากของเขาอีกครั้ง ชนิดที่ไม่ให้ฉันพูดอะไรอีกต่อไป ลิ้นของเขารุกล้ำเข้ามา ริมฝีปากขบเม้มและดูดเบาๆ อย่างจัดเจนในเกมเช่นนี้ จนทำให้ฉันเหมือนตกอยู่ในช่องสุญญากาศหายใจไม่ออก

ฉันคิดว่าเขาคงไม่ปล่อยฉันแน่แล้ว เพราะเวลานี้เขากำลังทำให้ฉันหัวหมุนยิ่งกว่าเดิม

แต่ฉันพยายามดิ้นรนอีกครั้ง บิดหน้าหนี ไม่ยอมรับสัมผัสใดๆ จากเขา เพราะฉันรู้ว่าหากตอนนี้ฉันไม่ต่อสู้ ฉันจะไม่มีโอกาสรอด

‘ได้โปรด พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย’

ฉันได้แต่คิดถึงและนึกในใจเพียงคำๆ นี้เท่านั้น

แต่เหมือนบิดามารดรที่จากฉันไปนานจะลืมว่ายังมีฉันซึ่งเป็นลูกสาวอยู่บนโลก จึงไม่มีใครช่วยฉัน หรือช่วยดลจิตดลใจของคุณศินรินทร์ให้หยุดการกระทำที่รุกรานฉันตลอดเวลา เขาขบที่เนินอกของฉันจนเจ็บแปลบ ราวกับลงโทษที่ฉันขัดขืน แต่สำคัญที่สุดคือเขาบอกปฏิเสธในสิ่งที่ฉันกำลังต่อสู้ อุทธรณ์ และร้องขอ

แต่จู่ๆ เขาก็ปล่อยให้ฉันเป็นอิสระโดยดี หลังจากการต่อสู้ของเราได้ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพลิกร่างลงนอนเคียงข้างฉัน ไม่หันหน้ามามองฉัน

ฉันรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยอาการเหนื่อยหอบ แล้วรีบคว้าอะไรก็ได้ที่สามารถปกปิดร่างกายที่เปิดเปลือย

ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงใจดีปล่อยฉันในเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ แต่จะอะไรก็ช่าง เพราะฉันรู้สึกว่ารอดปากเหยี่ยวปากกามาได้หวุดหวิด หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะพ่อแก้วแม่แก้วช่วยฉันไว้ได้ทันเวลาจริงๆ ก็ได้ จึงทำให้จิตใต้สำนึกในส่วนดีของคุณศินรินทร์ก่อกวนและบอกว่าเขาเข้าใจผิด สิ่งที่เขาทำกับฉันมันเป็นเพราะเขาหน้ามืดตาลาย กินยาผิดซอง หรือไม่ก็คว้าคู่นอนมาผิดคน

และสิ่งที่ย้ำความคิดนี้ของฉันก็คือ อาการของเขาที่ยังนอนหันหลังให้นั่นเอง ปล่อยร่างกายเปลือยเปล่าของเขานอนนิ่งๆ ราวกับว่าละอายแก่ใจจนไม่กล้าสู้หน้าฉันอีกแล้ว

‘ขอบคุณพ่อแก้วแม่แก้ว’

ฉันได้แต่ยกมือท่วมหัวในใจ ขณะใส่เสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวตัวใหญ่ของเขาอย่างผิดๆ ถูกๆ เพราะมือของฉันมันสั่นมากกว่าปกติ สายตาพยายามมองหาว่าเสื้อผ้าของตนเองอยู่ที่ไหน พลางก็หาทางหนีทีไล่ จดจ้องแต่ประตูซึ่งเป็นทางออกเดียวทั้งที่ยังรู้สึกมึนๆ กึ่งสับสน

ส่วนความรู้สึกภายในจากร้อนและวกวนไม่รู้ทิศทาง ก็กลายเป็นว่าตอนนี้รู้สึกร้อนเสียจนมีเสียงบางเสียงบอกว่าฉันต้องการปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกไป

‘มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน’

มีแต่คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัว แข้งขานั้นกึ่งอ่อนแรงกึ่งต้องการจะเสียดสีกับอะไรก็ได้ ที่ทำให้ความทรมานภายในร่างกายของฉันลดลง และเมื่อฉันมองไปยังร่างเปลือยเปล่าบนเตียงนอนสีขาวขนาดใหญ่ที่ก่อนนี้ทั้งกลัวและแขยง ก็กลับกลายเป็นว่าความรู้สึกเดิมได้เลือนหายไปหมดสิ้น มีเพียงความรู้สึกที่บอกว่านี่คือร่างของเทพเจ้าที่งดงามที่สุด

ฉันรู้สึกว่าหยาดเหงื่อมันผุดขึ้นทั้งร่างกาย ฉันยกมือสั่นเทาของตัวเองเช็ดรอบใบหน้า ฉันต้องการข่มอารมณ์แปลกๆ ความคิดประหลาดๆ ที่ผุดขึ้นมาใหม่นี้ให้จม แต่ดูเหมือนว่าการที่ฉันพยายามให้ตัวเองห่างจากร่างที่อยู่บนเตียงนั้นมากเท่าไหร่ ฝ่าเท้าที่ยืนไม่ค่อยจะเต็มนักของฉันกลับพยายามเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นทุกที

และเมื่อเขาหันมา ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องการเขามากมายชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาดูหล่อเหลางดงาม ทุกก้าวย่างที่เขาเดินเข้ามาหาฉันนับตั้งแต่ลงจากเตียงยิ่งกว่ามหาเทพกรีกในตำนานของภาพวาดศิลปินเลื่องชื่อ รอยแย้มยิ้มที่ดูว่าเจ้าเล่ห์เป็นนักหนา ฉันก็ยังมองว่ามันเย้ายวนใจเสียอีก แข้งขาที่ฉันพยายามไม่ให้สั่นเช่นเดียวกับฝ่าเท้าซึ่งฉันกำลังพยายามประคองไม่ให้ร่างที่ยืนอยู่นี้ทรุดลง และบังคับไม่ให้เดินเข้าไปหาเขา กลับหมดความหมายเมื่อเขามาถึงตัว

ฉันได้แต่ยืนนิ่ง เงยหน้าขึ้นมองคุณศินรินทร์ที่ยืนอยู่ในระยะประชิด สองแขนของเขาโอบกอดฉันอย่างคู่รักที่รักกันหวานชื่นสุดๆ และเขากำลังก้มลงกระซิบบอกบางอย่างที่ริมใบหูของฉัน ด้วยข้อความและน้ำเสียงที่ทำให้ฉันขนลุกจนแทบจะกระโจนใส่เขา

‘มาสิจ๊ะคนสวย ผมรอคุณอยู่นานแล้วนะ อย่าใจแข็งอีกเลย มันทรมานทั้งผมทั้งคุณนะที่รัก อย่าช้าเลย พร้อมนะ’

คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย ฉันกล้ารับจูบของเขาโดยไม่เกี่ยงงอน อยากให้มือร้อนๆ ของเขาช่วยปลดสิ่งขวางกั้นบนร่างกายของฉันออกไปให้เร็วที่สุด

และเขาก็ราวกับรู้ว่าฉันต้องการอะไร เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาที ร่างกายของฉันก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากเขา สองแขนของฉันโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ สองมือของฉันซุกเข้าไปในเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนุ่มสลวยนั้นอย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ปลายเท้าเขย่งให้สูงขึ้นเพื่อรับจูบให้ถนัด และทำให้ฉันรู้สึกว่าได้อย่างที่ใจเรียกร้องต้องการ

แต่ก็ไม่ทั้งหมด

ฉันกึ่งดันกึ่งผลักให้เขาทิ้งตัวลงบนที่นอน แต่ดูเหมือนเขาไม่ชอบที่จะเป็นผู้ถูกกระทำ เขาพลิกร่างขึ้นมาคร่อมร่างฉัน กระทำในแบบที่ฉันรู้สึกว่าพอใจเหลือเกิน แม้ในส่วนลึกๆ ของจิตใจนั้นพยายามต่อต้านและบอกว่ามันน่าละอายที่ฉันจะปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเขาเช่นนี้ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันจริงๆ ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมฉันถึงได้กล้ามากมายทั้งที่เหตุการณ์เช่นนี้เพิ่งเกิดขึ้นกับฉันเป็นครั้งแรก

รู้เพียงแต่ในหัวบอกแค่ว่าฉันต้องการเขา อยากให้เขาช่วยปลดปล่อยฉันจากความรู้สึกที่อยากเสียดสีนี้โดยเร็วที่สุด และเขาไม่รอช้า เขาจ้องตาฉันด้วยประกายวิบวับแพรวพราว กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแตกพร่าว่า

“คุณสวยที่สุดเลยจ้ะหนูหริ”

จบคำพูดนั้น ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นให้ฉันรู้สึกตัว ฉันพยายามจะหนี แต่เขาก็กดเอวของฉันเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนจาก

“สบายๆ หนูหริ”

น้ำเสียงทุ้มดังว่าจะเป็นคำสั่ง แต่ฉันก็ยังฟังว่านุ่มนวลเป็นที่สุดเมื่อเขาเอ่ย และฟังคล้ายว่าเขากำลังปลอบ ขณะที่พยายามฝ่ากำแพงขวางกั้นนั้นเข้ามาให้ได้

ฉันแทบสะอื้นไห้กับความเจ็บและความรู้สึกแปลกๆ ที่เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ฉันรู้สึกว่าตัวสั่นอย่างหนัก และเขาก็เหมือนจะรู้ดี เขาหยุดทุกอย่าง พูดถ้อยคำที่ฉันฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่รู้สึกและสัมผัสได้ว่าเขาปลอบฉัน น้ำเสียงของเขานุ่มนวลอ่อนโยน เช่นเดียวกับจูบเบาๆ ที่กำลังพาฉันล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง ก่อนเขาจะตอกย้ำด้วยเรือนร่างแข็งแกร่งเพื่อให้รู้ว่าเขานั้นได้ตีตราเป็นเจ้าของฉันเพียงคนเดียว

ความเป็นไปนี้ฉันแทบไม่รู้ว่าที่สุดแล้วได้จบลงเมื่อใด ฉันรู้สึกเพียงฉันเหนื่อยอ่อนจากสิ่งที่เขากระทำ ประหนึ่งว่าโยนฉันขึ้นไปในอากาศ แล้วปล่อยให้ฉันร่วงหล่นลงในอ้อมกอดของเขา เมื่อฉันพบแสงสวยงามบนฟากฟ้านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า จนหมดเรี่ยวหมดแรง และอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยความพึงพอใจของฉันเป็นอย่างยิ่ง

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานเท่าไหร่ สมองน้อยๆ ที่ยังมึนงงของฉันพยายามเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น

“ให้ตายเถอะ”

ฉันพึมพำคำนี้ออกมา พยายามบีบไล่ตามเนื้อตัวที่เมื่อยล้าอย่างยิ่ง พยายามไล่สายตาไปมองรอบๆ ห้อง และบอกตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความฝัน แต่หลักฐานบนที่นอนและร่างกายนี้ คงยากที่จะหลอกตัวเอง

‘มันเกิดบ้าอะไร’

ฉันนึกอย่างแค้นเคืองตัวเองที่ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเช่นนี้ ส่วนคู่กรณีของฉันนั้นไม่เห็นแม้แต่เงา ฉันเหลือบมองดูนาฬิกาที่กำลังบอกว่าตอนนี้ใกล้จะสิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว ความชื้นบางอย่างทำให้ฉันรีบเช็ดมันออกไป และเพิ่งรู้ว่ามันคือน้ำตาที่ไหลออกมา

ความเจ็บปวดของร่างกาย คงไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บปวดทางใจที่เกิดขึ้น

‘ทุกอย่างมันเกิดจากความผิดพลาด มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาดแน่ๆ’

ฉันคิดได้เพียงเท่านี้สำหรับสมองน้อยๆ ที่ตีบตันและสับสน

คนที่นี่ช่างรู้หน้าที่รู้งานเหมือนเดิม พวกเขาเตรียมเสื้อผ้าและผ้าขนหนูเอาไว้ไม่ไกล

ฉันพาร่างกายที่แทบจะเรียกได้ว่าเกือบคลานไปยังห้องน้ำเพราะความปวดระบม รู้สึกเหนอะหนะ
แต่ก็ไม่เท่ากับขยะแขยงตัวเอง

น้ำตาของฉันมันยังไหลไม่ขาดสาย ฉันเปิดน้ำชำระคราบทุกอย่างออกไปจากร่างกายให้เร็วที่สุด

แต่อนิจจา... มันไม่สามารถลบภาพในหัวของฉันได้เลย ฉันยังจดจำได้ทุกช่วงเวลา จดจำภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนและขึ้นใจ สัมผัสทุกอย่างยังคงเหมือนอยู่บนร่างกายของฉันในตอนนี้ แม้ว่าฉันจะขัดผิวเนื้อจนแดงเถือก แต่มันก็ลบไม่ได้จริงๆ

ฉันปิดหน้าร้องไห้อย่างที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่คงนานพอสมควร เพราะตัวของฉันที่โดนน้ำมันซีดและเหี่ยวไปหมด โดยเฉพาะปลายนิ้วมือ

ฉันเช็ดเนื้อเช็ดตัวด้วยกำลังที่มีอยู่น้อยนิด แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คนบ้านนี้จัดไว้ให้ เป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นสบายๆ แบบที่ไม่ทำให้ฉันระบมและอึดอัดไปมากกว่าเดิม และคงดีกว่ากางเกงยีนส์ตัวเมื่อวานแน่นอน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือฉันยังใส่ชุดนี้กลับบ้านได้ โดยไม่มีใครรู้ว่าฉันโนอันเดอร์แวร์

ฉันมองไปรอบห้อง บางอย่างเปลี่ยนไป กระปุกออมสินรูปหมูน้อยน่ารักของเขาไม่อยู่ที่เดิม ทั้งที่ปกติเขาจะวางไว้เพื่อเก็บเศษสตางค์

อ้อ... ฉันรู้แล้วว่าอะไรที่เปลี่ยนไป ก็บรรดาข้าวของทั้งหลายที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้นะสิ เพราะคุณศินรินทร์มักจะวางไว้บนโต๊ะ ใกล้กับกระจกเงาบานใหญ่ของเขา ฉันรีบดิ่งไปที่ประตู แต่มันคงไม่รวดเร็วจนถึงกับต้องใช้คำว่าดิ่งในสายตาคนอื่น กับท่าเดินขัดยอกอันแสนน่าเกลียดของฉัน

ฉันพยายามเปิดประตู แต่มันถูกล็อกจากข้างนอก

“บ้าไปแล้ว!”

ฉันตะโกนใส่ประตู ทุบมันทั้งที่รู้ว่ามันคงไม่มีความรู้สึกอะไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ระบายออกมาก็ยังดี และด้วยความที่ฉันเป็นคนไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ฉันตัดสินใจหมุนลูกบิด แล้วกระชากออกอีกครั้ง

ตุ่บ! อึ่ก!

อืม... เสียงของฉันหลังจากที่ก้นจ้ำเบ้าชนิดจุกจนพูดไม่ออกเล็ดลอดมา ก็เจ้าประตูบ้านี่ถูกใครไม่รู้เปิดเข้ามาพอดีนะสิ

“ทำอะไร”

อ้อ! อดีตเจ้านายของฉันนั่นเองที่เป็นคนเปิดกึ่งผลัก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันดึง จนทำให้ฉันถลาถอยหลังร่อนลงกับพื้นห้องแบบดูไม่ได้นี่ไง

“ฉันจะกลับบ้านค่ะ คุณศินรินทร์”

ฉันเอ่ยเสียงแข็ง

“อืม ฉลาดมากขึ้นแล้วนี่ อย่างน้อยก็รู้ว่าผมไม่ใช่เจ้านายอีกต่อไป”

ดูเถอะดู ฉันไม่เคยคิดว่าเขาจะร้ายกาจได้มากขนาดนี้ เพราะตลอดเวลาที่ทำงานร่วมกัน เขาเป็นเจ้านายที่ดีมาตลอด และฉันรู้ว่าผู้หญิงในสเป๊กของเขาเป็นผู้หญิงรูปร่างแบบไหน หน้าตาแบบใด และแน่นอนว่าไม่ใช่แบบฉัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกฉันมาเป็นเลขาฯ ในเรื่องเฉพาะกิจ เพราะเขาไม่เคยคิดพิศวาสกับฉันในทางชู้สาว และเขาก็รู้ว่าฉันไม่เคยคิดพิศวาสเขาแม้แต่นิดเดียวเช่นกัน

แต่วันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เขาโกรธเรื่องที่ฉันไม่ยอมทำงานให้ จนต้องมาทำกับฉันแบบนี้เลยหรือ

ฉันโกรธจนพูดไม่ออก ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไป จึงพยายามพาร่างกายที่ระบมซ้ำแล้วซ้ำเล่าของตัวเองลุกขึ้นอย่างยากลำบาก

“ไม่ต้อง!”

อึ่ก!

ภาวนาว่าอย่าให้ใครมาเห็นสภาพของฉันที่ทรุดลง แล้วหน้าผากโขกพื้นห้องอีกรอบ หลังจากฉันปฏิเสธความช่วยเหลือ และคุณศินรินทร์ก็ปล่อยฉันตามปากที่อวดดีได้รวดเร็วทันใจ

คราวนี้ฉันพูดไม่ออกจริงๆ เจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่ก็พยายามยันกายลุกขึ้นมาด้วยตัวเองให้ได้

“เฮ้ย!”

เสียงอุทานแบบไม่น่าจะเป็นผู้หญิงของฉันดังขึ้น ก็เขาเล่นอุ้มฉันลอยหวือโดยไม่บอกไม่กล่าว

ฉันสังเกตอาการเงียบงันของคุณศินรินทร์ที่ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีในตอนร่วมงานกัน โดยแปรผลได้ว่าเขากำลังโกรธจัด และเวลาเขาโกรธจัด ฉันรู้ว่าฉันควรจะพูดแบบไหน

และในระหว่างที่เขาวางฉันลงตรงขอบเตียง ถอยหลัง ยืนนิ่งๆ ตรงหน้าของฉัน

“ดูซะ”

ปากของฉันที่อ้าออก เตรียมจะพูดว่าฉันจะกลับบ้าน ก็ต้องชะงักค้าง เมื่อเขาชิงเอ่ยตัดหน้าเสีย
ก่อน แล้วโยนโทรศัพท์มือถือใส่ตักฉันดังปุ

เสียงโหยหวนของชายและหญิงที่ดังออกมาทำให้ฉันขนลุก ฉันไม่รู้ว่าคุณศินรินทร์ต้องการให้ฉันดูอะไร แต่จากเสียง...ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรสักอย่างของกิจกรรมระหว่างร่างกายของชายกับหญิงเป็นแน่แท้

ฉันเบิกตากว้าง มือที่จับโทรศัพท์มือถือนั้นสั่นเทา เพราะคลิปเรทเอ็กซ์ของบุคคลคุ้นหน้าคุ้นตาสองคนนั้นกำลังแสดงให้ฉันดูว่า พวกเขาถึงพริกถึงขิงกันขนาดไหน ฉันกำโทรศัพท์ไว้แน่น เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่สุด

“มีก็อปปี้อีกเยอะ มีครบทุกฉ็อท เก็บไว้ทุกท่าของเมื่อคืน ทีนี้ยังจะกลับไปที่บ้าน หรือคิดจะจากไปอยู่ที่อื่นอีกหรือเปล่า”

ฉันได้ยินเสียงกรามของตัวเองขบกันกรอดๆ เพราะนี่คือคำขู่ให้รู้ว่า หากฉันปฏิเสธ ภาพและคลิปพวกนี้จะถูกเผยแพร่ออกไปในทันที และฉันรู้ดีว่าเขาทำได้แน่นอน

ในตอนนี้... หากฉันงับหัวของเขาแล้วเคี้ยวกรุบๆ พร้อมกับดูดเลือดทางสายตาได้จริงๆ ฉันคงจะทำไปแล้ว แต่ที่ยังไม่พูดอะไรก็เพราะฉันทั้งอึ้งและตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าโทรศัพท์มือถือราคาแพงนั้นบินไปใกล้หัวเขา ซึ่งคุณศินรินทร์หลบได้อย่างฉิวเฉียด แล้วแตกกระจายเมื่อกระทบกับผนัง

“คุณเป็นบ้าอะไร! คุณทำแบบนี้ทำไมคุณศินรินทร์ คุณทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง!”

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเมื่อกระโจนเข้าใส่ แล้วจิกข่วนแบบเป็นบ้าเป็นหลัง

แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากเมื่อเขาล้มตัว แล้วทับฉันไว้กับที่นอน

“อย่าปฏิเสธผมอีกหนูหริ!”

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

เอาอีกแล้ว... ฉันกำลังร้องไห้อีกแล้วเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น ทั้งที่คุณหมอก็ได้เตือนฉันตลอดเวลาว่าไม่ดีต่อลูก และฉันก็พยายามมาตลอด เพราะอย่างน้อยฉันก็รักเลือดเนื้อเชื้อไขของฉัน แต่ก็นั่นแหละ ฉันต้องโทษอากาศที่หมองหม่นในตอนนี้อยู่ดี เพราะก่อนนี้ฉันยังร่าเริงได้เป็นปกตินี่นา แต่เพิ่งจะมาร้องไห้ ก็ในตอนที่ฝนตกเท่านั้นเอง

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สวัสดีเพื่อนๆ นักอ่านที่รักทุกท่านนะคะ ดีใจที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งค่ะ ขอรายงานตัวก่อนนะคะ ว่าหน้านี้อ้อยป่วย เส้นเลือดในสมองแตก มีรายงานอาการเป็นระยะบ้างทางเว็บเด็กดี ที่ห้องนิยายเรื่องรักในมือมารค่ะ (http://writer.dek-d.com/onlinenano/story/view.php?id=554281) ส่วนตอนนี้อาการหลายๆ อย่างดีขึ้นมากแล้ว เริ่มลั้ลลาแถวๆ หน้าคีย์บอร์ดได้บ้างแล้ว แต่อาการโดยรวม หมอยังวินิจฉัยว่าทรงตัวอยู่ แต่โดยรวมแล้วสำหรับอ้อยถือว่าดีมากค่ะ ดีกว่าตอนที่เป็นแรกๆ เยอะมากทีเดียว

วันนี้อ้อยก็เลยถือโอกาสมาส่งพี่ขุนให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันอีกครั้ง เผื่อว่าบางท่านไม่สะดวกที่จะเข้าในเว็บเด็กดีนะคะ

แจ้งความคืบหน้าเพิ่มเติมว่าพี่ขุนจะได้ออกเป็นเล่มแล้วนะคะ แต่เรื่องกำหนดวันวางแผงนั้น อ้อยยังไม่ทราบค่ะ ตอนนี้จะรีบทยอยเอามาลงให้เร็วที่สุดนะคะ

ขอบพระคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่คอยติดตามอ่านนิยายของอ้อยด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

อ้อย/สุชาคริยา



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2555, 14:46:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2555, 14:53:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2979





<< บทนำ   บทที่ 2 >>
ฟิน 8 ส.ค. 2555, 15:51:02 น.
จะเอามาลงเท่ากับเด็กกีรึเปล่าคะ


สุชาคริยา 8 ส.ค. 2555, 16:47:17 น.
ค่ะคุณฟิน จะเอามาลงให้เท่าๆ กันค่ะ แต่คงจะเว้นช่วงวันหรือสองวัน จนกว่าจะโพสต์ได้เท่ากัน เพราะอ้อยใช้คอมฯ นานมากๆ ก็ไม่ค่อยไหวค่ะ คืออย่างน้อยต้องพักทุกๆ ชั่วโมงน่ะค่ะ


nunoi 8 ส.ค. 2555, 17:59:24 น.
โอ๊ยยย ทำไมพระเอกใจร้ายจังเลย


หนอนฮับ 8 ส.ค. 2555, 19:24:54 น.
รอตอนต่อไปค่าาาา พี่อ้อย


อริสา 9 ส.ค. 2555, 03:14:17 น.
มาติดตามค่ะ แต่พระเอกนี่มารชัดๆ หายเร็วๆนะคะ


น้ำแอปเปิ้ล 9 ส.ค. 2555, 05:07:42 น.
เคยอ่านค้างไว้ในบล็อกค่ะ แล้วก็หายไป เพิ่งทราบว่าป่วย หายเร็วๆ นะคะ


supayalak 9 ส.ค. 2555, 15:25:12 น.
ขอเร็วไปไหมค่ะ ขอจบแบบ happy ending น้า แต่ระหว่างทางเลือดกระฉูด น้ำหมากกระจายเพราะปะทะคารมกันก็ไม่ว่า ชอบบบค่ะ พระนางที่อะไรก็เท่าเทียมกันในเรื่องของการคิดอ่าน โหดแรก หวานท้าย ยิ่งชอบบบบบบบค้า


สุชาคริยา 9 ส.ค. 2555, 16:39:06 น.
คุณ nunoi = อยากรู้เหตุผล ก็ต้องติดตามตอนต่อไปจ้า
น้องหนอนฮับ = ขอบพระคุณจ้า จุ๊บๆ
คุณอริสา = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ส่วนพระเอกนี่...คนเขียนแก้ตัวให้ไม่ถูกเหมือนกันค่ะ ^^
คุณน้ำแอปเปิ้ล = ขอบพระคุณนะคะที่ยังตามอ่านตรงนี้อีกรอบ ขอบพระคุณค่ะ ^^
คุณ supayalak = รับรองว่าแฮปปี้เอ็นดิ้งแน่นอนจ้า ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account