รักในมือมาร
'ฉันเคยรู้จักความรัก และฉันรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อไม่สมดังหวัง

แต่ฉันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อต้องอยู่กับคนที่ไม่มีความรักให้ฉันเลย'


/////




"คุณไม่เข้าใจเหรอหนูหริ ว่าการอยู่ด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องรักกันมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือคุณอุ้มท้องลูกของผม คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ"

"คุณเองก็มีผู้หญิงมากมายอยู่รอบตัว คุณจะกักขังฉันไว้ทำไม...คุณศินรินทร์ ฉันไม่ใช่คนที่คุณต้องการ... ไม่ใช่เลย..."

"ต้องการหรือไม่ต้องการคุณจะมารู้ใจผมได้ไงณสิริ แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ ก็คือคุณเป็นของผมไงล่ะ หรือจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะไอ้ที่ป่องมาก็เป็นหลักฐานชั้นยอดอยู่แล้วนี่"

"คุณมันใจร้าย"

"รู้ไว้ก็ดี!"

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2




“คุณหนูหริครับ คุณขุนมาถึงแล้วครับ กำลังจะขึ้นมา”

ฉันผินหน้าออกจากหน้าต่างที่หยาดฝนสาดกระเซ็นใส่กระจกบานใส พยักหน้าให้กับคุณธนุ ลูกน้องคนสนิทอีกคนหนึ่งของคุณศินรินทร์ ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ส่วนตัวฝ่ายธุรกิจ และมักเรียกชื่อเล่นของเขาเสมอ เช่นเดียวกับฉันที่มักจะเรียกชื่อเล่นของเขาเวลาพูดคุยกับคนสนิท

และก่อนนี้ คุณธนุก็คือคนที่ทำงานคู่กับฉัน แต่ฉันเป็นเลขาฯ ส่วนตัว ฝ่ายจำแนกสตรีและเรื่องส่วนตัวของคุณศินรินทร์ ทั้งในและนอกเวลางาน

ส่วนชื่อเล่นของคุณศินรินทร์ ก็มีความเป็นมาว่า ครอบครัวนี้สืบเชื้อสายเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยอยุธยา จนคุณพ่อตั้งชื่อเล่นให้ลูกแต่ละคนอย่างคุณณีนรินทร์ พี่สาวของเขาว่า ‘นาง’ คุณติชรินทร์ ชื่อเล่นว่า ‘เจ้า’ ส่วนตัวคุณศินรินทร์เอง ก็ชื่อเล่นว่า ‘ขุน’

อืม... เป็นครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ครบเครื่องจริงๆ

แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณศินรินทร์ต้องให้คนอื่นเข้ามาบอกฉันทุกครั้งก่อนเขาจะเข้ามา ฉันดูเหมือนหมาบ้านักหรือ เขาจึงไม่อยากเข้ามาพบฉันด้วยตัวเอง เพราะเขาจะต้องส่งคนอื่นมาดูลาดเลาก่อนทุกครั้ง เพื่อกันความผิดพลาด หากฉันจะอาการกำเริบกัดคนไม่เลือก

แต่ฉันก็ไม่เคยมีท่าทางเช่นนั้นสักครั้งเลยนี่นา ยกเว้นแต่เมื่อครั้งที่เขาจับฉันมาขังเอาไว้ในช่วงแรก ก่อนฉันจะหนีออกไปได้เกือบสำเร็จหนหนึ่ง หากที่สุดฉันก็หนีไม่รอด แต่พอฉันรู้ว่าฉันกำลังจะมีชีวิตใหม่ ท่าทางเหล่านั้น หรือเรื่องที่คิดจะหนี ก็ไม่เคยมีอีกเลย

หลังจากคุณธนุออกไปไม่นานนัก ร่างสูงใหญ่คุ้นตาที่วันนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กระดุมติดครบทุกเม็ดแม้แต่ที่ข้อมือ ก็เดินเข้ามา ฉันสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเขาอิดโรย และเส้นผมซอยสไลด์สั้นได้ทรงของเขาเปียกนิดหน่อย เหมือนกับวิ่งฝ่าฝนมาอย่างนั้น

‘แสดงว่าเพิ่งถอดสูทตัวนอกออก’

ฉันคิด และเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็ก แล้วยื่นให้

“ลูกเป็นไงบ้างหนูหริ”

เขาถาม นี่สินะ คือสิ่งที่เขาเป็นห่วงที่สุดหลังจากหายไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ โดยไม่ถามอะไรเกี่ยวกับตัวฉันบ้างเลย

“เช็ดให้ด้วย”

เฮ้อ... นี่ฉันต้องทำตามคำสั่งของเขาทุกครั้งไปเพื่อไม่ให้ทะเลาะกันหรือนี่ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยสนใจอาการถอนหายใจของฉัน เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่ฉันนั่งก่อนนั้น ปล่อยให้ฉันเช็ดหน้าและเช็ดผมของเขาเบาๆ จนฉันคิดว่าฉันคงเป็นช่างทำผมได้สบายๆ หากคิดจะหาอาชีพใหม่หลังจากนี้ เพราะถูกเคี่ยวกรำจากเจ้าตัวว่าเขาชอบน้ำหนักมือแบบไหน และควรจะทำแบบไหนหากจะเช็ดหน้าเช็ดผมให้เขา

แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าคุณศินรินทร์คงไม่สนใจอะไรหรอก เพราะเขามัวแต่เอาสองมือวางไว้ที่หน้าท้องโหนกนูนตามประสาคนใกล้คลอดของฉัน พูดจาอะไรงึมงำๆ อยู่คนเดียว

ฉันไม่เห็นหรอกว่าเขามีสีหน้าแบบไหนเวลาที่เขาอยู่ในท่าทางแบบนี้ เพราะทุกครั้งฉันมักจะยืนสูงกว่าเขา หรือไม่ก็นอนหันหลังให้เขาเอื้อมมือมากอด ความสัมพันธ์ทางสายเลือดทำให้ลูกดิ้นอย่างแรงมาก จนฉันเผลอนิ่วหน้าและอุทานออกมา ราวกับว่าเจ้าตัวเล็กดีใจที่ได้รับสัมผัสของพ่อที่ตอนนี้กลับมาหาอย่างนั้นเลยเชียว

หัวใจของฉันอุ่นวาบ นั่นเป็นเพราะเขากลับมาหาฉันเหมือนกันใช่หรือเปล่า

เราสองคนไม่พูดอะไร ฉันเงียบ เขาก็เงียบ ฉันรู้ว่าหากไม่มีลูก เขาคงไม่รับฉันเข้ามาอยู่ที่นี่ ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนรักเด็กมากขนาดไหน เพราะสังเกตจากการที่เขากระโดดเข้าไปกลางวงหนุ่มๆ ที่เป็นลูกๆ ของพี่ชายเขาทุกครั้ง ที่หลานๆ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ฉันเห็นว่าสายตาของเขาอ่อนโยนมากมายเมื่อมองหนุ่มน้อยวัยแปดขวบและไล่เรียงลดหลั่นอายุกันแบบหัวปีท้ายปีทั้งสี่คน และนั่นจึงเป็นข้อยืนยันว่าเขาคงรักเลือดเนื้อเชื้อไขของเขามากๆ เช่นกัน เพียงแต่แม่ของลูกอาจจะผิดฝาผิดตัวไปหน่อยเท่านั้นเอง

“แรงดีจริงๆ ลูกพ่อ”

เขาพึมพำโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองฉัน ฉันเอื้อมมือไปหยิบหวีที่ก่อนนั้นคว้ามาวางไว้ใกล้ตัว ฉันหวีผมให้เขาเบาๆ ฉันไม่อยากทำอะไรที่ทำให้เขาต้องขัดใจ เพราะนั่นจะทำให้ฉันพลอยเครียดไปด้วย จึงกลายเป็นว่าทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน เขามักจะพูดกับลูกมากกว่าพูดกับฉัน เพราะเวลาเขาเห็นหน้าฉัน เขาจะเงียบ และเบือนหน้าหนีไปทางอื่น และฉันก็จะเงียบ เพราะไม่อยากให้เขาได้ยินเสียงของฉัน จนเขาต้องทุกข์ใจที่เห็นหน้าฉันมากกว่านี้

และบางที... หากฉันคลอดลูก ฉันอาจจะเดินออกไปจากชีวิตของเขาอย่างที่เคยคิดไว้เล่นๆ ก็ได้ ฉันอยากปลดปล่อยเขา ฉันอยากให้เขาได้รับอิสระเหมือนก่อนที่ฉันจะท้อง หรือก่อนที่เขาจะต้องมารับผิดชอบที่ได้ฉันแบบไม่ตั้งใจ

และถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักฉัน แต่การที่ฉันเห็นเขาทุกวัน ได้รับการดูแลอย่างดีจากเขามาตลอด และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการที่ฉันเป็นของเขา เขาเป็นเจ้าของ และครอบครองฉันเพียงคนเดียว มันก็ทำให้ฉันรับเขาเข้ามาในหัวใจได้ไม่ยาก

ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกและความคิดนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเพิ่งมารู้ตัวก็ในวันที่ฉันคิดได้ว่าฉันสามารถยอมรับชีวิตคู่ ยอมรับชีวิตครอบครัวของเราสองคนได้ เราอยู่อย่างเพื่อนที่ดูแลกันและกันได้ อยู่อย่างคนที่เป็นห่วงกัน แม้ว่าเขาจะไม่รักฉัน หรือเขาจะมีผู้หญิงคนใหม่ แต่ฉันคิดว่าฉันคงทำให้ความสุขเกิดขึ้นได้ระหว่างฉัน ลูก และเขาได้ไม่ยาก

แต่ความคิดนี้ของฉันมันอาจจะผิดไปจริงๆ เมื่อล่าสุดเขาได้หายไปโดยไม่ส่งข่าวคราวใดๆ หรือจะบอกให้ฉันรู้เลย

เขาลุกขึ้นยืน แล้วพูดกับฉันว่า

“ผมรู้ว่าคุณยังไม่ทานข้าว ผมซื้อของทะเลมา สดๆ เลย ให้ป้าแก่นจัดการให้แล้ว อาหารพวกนี้จะทำให้ลูกแข็งแรง ฉลาดๆ”

ฉันฉีกยิ้มได้นิดเดียวก่อนจะหุบยิ้มลง เมื่อที่สุดแล้ว เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อลูกอีกเช่นเคย

‘คุณเคยรักฉันบ้างไหม...คุณศินรินทร์’

คำถามนี้ไม่ได้ดังให้เขาได้ยิน แต่มันดังในหัวของฉันทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา ได้ยินคำพูดที่เขาแสดงให้ฉันรู้ว่าทุกอย่างเขาทำเพื่อลูก นั่นเป็นเพราะฉันรู้คำตอบดีว่า เขาคิดอย่างไรกับฉัน และมันคงเป็นเพียงฉันคนเดียวเท่านั้น ที่เกิดความรู้สึกผูกพัน จนพัฒนาขึ้นมาเป็นความรักเช่นนี้

ฉันยิ้มให้เขาเล็กน้อย หากรอยยิ้มของฉันก็มีเพื่อกลบเกลื่อนความปวดร้าวและหมองเศร้าของตัวเอง เขาจ้องหน้าฉัน

“ทำหน้าอย่างกับตูดลิง หากลูกออกมาหน้าตาดูไม่ได้ จะมาโทษว่าผมทำไม่เก่งไม่ได้เชียวนะหนูหริ”

อืม... ฉันควรจะหัวเราะขำขันกับคำพูดนี้ของเขาดีหรือเปล่า ฉันก็ยิ้มให้เขาแล้วนี่ แต่น้ำอะไรมันหยดลงที่แก้ม ฝนคงรั่วลงมาโดนหน้าฉันกระมัง ฉันรีบหันหลังเพื่อให้พ้นจากรัศมีการมองเห็นของเขา และรีบเช็ดมันออกไป

“เป็นอะไร”

น้ำเสียงของคุณศินรินทร์ขรึมทันที จับหัวไหล่ทั้งสองของฉันให้หันมาหา แต่ฉันขืนตัวเองไว้

ฉันไม่รู้ว่าด้วยความน้อยใจที่เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือเป็นเพราะอารมณ์แปรปรวนของคนท้อง จึงทำให้ฉันเจ้าน้ำตาจริงๆ นิสัยนางเอกขี้น้อยอกน้อยใจก็มีมากจริงๆ รวมทั้งคำพูดบางคำที่มันหลุดไป ทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้คิดว่าจะพูดด้วยซ้ำ

“หากคุณรับไม่ได้ ก็ปล่อยเราสองคนแม่ลูกไปเถอะค่ะ แต่ถ้าฉันคลอดแล้วคุณเห็นว่าลูกไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ฉันจะยกลูกให้ แล้วฉันก็จะไปเอง ฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับพวกคุณพ่อลูกเลย ฉันให้สัญญาได้”

ดูเหมือนว่าการที่ฉันเอ่ยคำพูดนี้ คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก เพราะใบหน้าของคุณศินรินทร์จากที่เรียบนิ่ง กลับเปลี่ยนเป็นถมึงทึงโกรธจัด เขาจับต้นแขนของฉันแล้วเดินเข้ามาจนชิด ดีที่ว่าเขาไม่กระชากฉันเข้าไปหาเหมือนละครน้ำเน่านั่น ก็คงเพราะเขากลัวว่าจะกระทบกระเทือนถึงลูกอีกนั่นแหละ แต่น้ำเสียงและคำพูดของเขาที่ตะคอกใส่หน้าฉันนี่สิ

“คุณเป็นอะไรณสิริ! ทำไมถึงพูดอย่างนี้ อยากให้ลูกมีปมด้อยหรือไง!”

‘คำก็ลูก สองคำก็ลูก คุณมีที่ว่างไว้เผื่อฉันบ้างไหมคุณศินรินทร์ หากไม่มีลูก ฉันก็คงไม่ต่างจากหมาหัวเน่าสินะ’

ฉันไม่ได้เอ่ยคำพูดนี้ แต่คิดว่าสีหน้า ท่าทาง และสายตาของฉัน คงกำลังบอกแทนได้แน่นอน ไม่อย่างนั้น ฉันคงไม่เห็นความเศร้าหมองที่เขาเผลอแสดงออกมา ก่อนมันจะหายไปอย่างรวดเร็ว ฉันกลั้นใจพูดว่า

“คุณไม่ได้รักฉัน คุณก็ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ ฉันจะปล่อยให้คุณเป็นอิสระ จะไม่เรียกร้องอะไรจากคุณเลย จริงๆ นะคะ”

แต่เขาก็สวนกลับมาแทบจะทันควันว่า

“คุณไม่เข้าใจหรือหนูหริ ว่าการอยู่ด้วยกันมันไม่จำเป็นจะต้องรักกันมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือคุณอุ้มท้องลูกของผม คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ”

ได้ฟังคำตอบของเขา ฉันยิ่งอึ้ง ความเจ็บปวดมันแล่นจุกขึ้นที่หน้าอก ฉันแทบจะพูดไม่ออก เมื่อที่สุด...เขาก็ยังตอกย้ำว่าทุกอย่างก็เพื่อลูกเท่านั้น ไม่เคยมีฉันอยู่ในหัวใจของเขา จนฉันต้องพยายามเค้นเสียงที่สั่นเครือ

“คุณเองก็มีผู้หญิงมากมายอยู่รอบตัว คุณจะมากักขังฉันไว้ทำไม...คุณศินรินทร์ คุณแค่อยากได้ลูก ฉันก็จะให้แล้วไง แล้วคุณจะมาเอาอะไรกับฉันอีก ในเมื่อคุณไม่ได้รักฉัน และฉันก็ไม่ใช่คนที่คุณต้องการ... ไม่ใช่เลย”

ฉันไม่รู้ว่าเขาจะฟังฉันรู้เรื่องหรือเปล่า เพราะประโยคคำพูดนี้ฉันกล่าวทั้งสะอื้นไห้ และคำพูดที่พรั่งพรูนั้น แม้แต่ฉันเองก็ยังฟังแทบไม่ได้ศัพท์ แต่คุณศินรินทร์ก็สามารถตอบมาได้ชัดถ้อยชัดคำ ประหนึ่งว่าเข้าใจดี เพราะเขาตอบมาว่า

“ต้องการหรือไม่ต้องการ คุณจะมารู้ใจผมได้ไงณสิริ แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ ก็คือคุณเป็นของผมไงล่ะ หรือจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะไอ้ที่ป่องมาก็เป็นหลักฐานชั้นยอดอยู่แล้วนี่ หรือนี่ยังคิดจะกลับไปหาแฟนเก่าคุณอีก อ๋อ นี่คงแอบติดต่อกันตอนที่ผมไม่อยู่สินะ เป็นไงล่ะ นัดกันไว้ที่ไหน จะไปใช้ชีวิตด้วยกันยังไง คงวางแผนไว้หมดแล้วล่ะสินะ!”

ฉันอึ้งเป็นคำรบสอง เขาคิดแบบนี้ได้อย่างไร

“ฉันไม่เคย... ไม่เคยติดต่อเขาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น... คุณก็รู้”

ฉันพูดออกไปอย่างยากเย็น น้ำเสียงของฉันที่สะท้อนกลับมาเข้าหูทำให้รู้ว่ามันเบาหวิว

“ผมไม่เชื่อ! เพราะถ้ามันเป็นอย่างที่คุณพูด คุณจะแล่นตีจากผมไปทำไมล่ะหนูหริ คิดขนาดจะทิ้งลูกทิ้งผัว ทั้งที่ลูกยังไม่ออกมาแบบนี้นะเรอะ เฮอะ! นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว คุณจะมาโกหกผมทำไม ยกเว้นว่าไอ้หมอนั่นมันรออยู่”

ฉันได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามพาตัวเองให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของเขา ฉันเจ็บปวดเหลือเกิน ที่เขาไม่รักฉัน แต่ฉันเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อเขาไม่ได้รักฉันเลย และยังกล่าวหาฉันด้วยข้อกล่าวหาที่น่ารังเกียจที่สุด ฉันไม่รู้จะตอบกลับเขาด้วยคำพูดอะไร จึงได้แค่

“คุณมันใจร้าย”

เขาขบกรามกรอด จ้องตาฉันเขม็งก่อนจะผละจากไป

“รู้ไว้ก็ดี!”

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

หลังจากคุณศินรินทร์ออกไป ฉันได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่คนเดียว สมองของฉันได้แต่นึกถึงเรื่องเก่าๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างห้ามไม่อยู่ คำพูดของเขามันคอยทิ่มแทงหัวใจของฉันให้เจ็บแปลบ โดยเฉพาะคำพูดที่ยังคงย้ำว่าฉันพยายามไปหาผู้ชายคนอื่น

เขาไม่รู้บ้างหรือไร ว่าถึงแม้ฉันจะไม่ได้เต็มใจอยู่กินกับเขาในฐานะสามีภรรยาในครั้งแรก แต่ก็ใช่ว่าฉันต้องการให้ผู้ชายคนอื่นมาเป็นพ่อของลูกสักนิด ฉันไม่เคยคิดที่จะให้ลูกต้องมีปมด้อยเรื่องครอบครัว

และ... ฉันรู้ตัวแล้ว ว่าฉันรักเขา นั่นจึงทำให้ฉันเข้าสู่ภวังค์แห่งเรื่องราวที่ผ่านมาอีกจนได้

“อย่าปฏิเสธผมอีกหนูหริ!”

ตอนนั้นฉันจำได้ว่าฉันได้แต่มองเขาอย่างปวดใจ ร่างกายใหญ่โตยังล็อกฉันเอาไว้กับที่นอน ฉันอยากรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงใจร้ายกับฉันเหลือเกิน การที่เขาเคยได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ใจต้องการ ยกเว้นเรื่องที่ฉันไม่ได้ทำงานให้เขาอีกแล้ว เขาก็ถึงกับลงโทษฉันขนาดนี้เชียวหรือ บทลงโทษของฉันสมควรที่จะได้รับถึงขนาดนี้เชียวหรือ

“แค่ฉันลาออกจากงานโดยไม่บอกล่วงหน้า คุณก็โกรธฉันมากเสียจนต้องลงทุนขนาดนี้เลยหรือ คุณศินรินทร์ ทั้งๆ ที่คุณไม่เคยคิดอะไรกับฉัน คุณเห็นฉันเป็นแค่ลูกน้องคุณคนหนึ่ง แต่คุณก็ยังทำได้ลงคอ คุณจะฆ่าฉันทั้งเป็นหรือไง”

ฉันถามเขาทั้งน้ำตา ตะเบ็งเสียงสั่นพร่าใส่หน้าเขาอย่างหมดแล้วซึ่งความอดทน หัวใจของฉันอ่อนล้ามากมาย เขาจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าเขากำลังทำลายชีวิตของคนๆ หนึ่งอย่างเลือดเย็น เพียงแค่สนองความโกรธหรือความสะใจของเขา

“ถึงผมบอกเหตุผลตอนนี้ คุณก็ไม่พร้อมรับฟังหรอกหนูหริ เอาเป็นว่าผมจะให้เวลาคุณอยู่เงียบๆ กินยา แล้วนอนพักซะ เดี๋ยวป้าแก่นจะเอาขึ้นมาให้ ผมจะเข้ามาอีกทีตอนเย็นหรือไม่ก็หัวค่ำ เราค่อยคุยกันตอนนั้น อ้อ ป้าแก่นจะจัดการดูแลคุณ อย่าดื้อกับแก และอย่าพาลไม่เลือกหน้า จะหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้”

พูดจบ เขาก็ยันกายลุกขึ้น น้ำเสียงเฉียบขาดไม่ต่างจากสายตาที่กำลังจ้องฉัน นี่เขาเห็นฉันเป็นตัวอะไร เขาจะรู้บ้างไหม ว่าฉันเจ็บปวดเหลือเกินกับสิ่งที่เขาทำ

ฉันไม่สามารถอ่านสายตาของเขาออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และในวูบหนึ่ง ฉันก็คิดขึ้นได้ว่าหากใช้ไม้แข็ง คุณศินรินทร์อาจไม่ยอมด้วยประการใดๆ ฉันจึงลองเสี่ยงพูดกับเขาด้วยท่าทีที่อ่อนลง

“ให้ฉันกลับบ้านเถอะนะคะ คุณศินรินทร์ ฉัน... ฉัน... ฉันจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้เลย นะคะ ขอให้ฉันกลับบ้านเถอะค่ะ แต่ถ้าคุณจะให้ฉันทำงานให้คุณต่อ ฉันจะกลับมาทำให้ก็ได้ ให้ฉันกลับบ้านก่อนเถอะนะคะ”

“หึหึ คุณแน่ใจหรือว่าจะทำงานให้ผมได้เหมือนเดิมอีก”

ฉันรู้สึกแต่ว่าตัวเองหน้าชาเมื่อได้เห็นสีหน้าและได้ยินน้ำเสียงของเขาคล้ายจะเยาะหยัน สิ่งที่ฉันเห็นทำให้ขนในร่างกายนั้นลุกชันไปหมด โดยเฉพาะคำพูดต่อมาของเขา ที่ว่า

“ในเมื่อความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนไปแล้ว คุณ-นอน-กับ-ผม-แล้ว แน่ใจหรือ ว่าคุณจะกลับมาทำหน้าที่เดิมได้ ถ้าเป็นผมเอง ผมคงทำไม่ได้หรอกหนูหริ คุณคิดดีหรือยังกับคำพูดที่พูดออกมาน่ะ”

ฉันได้แต่อึ้ง นี่เขากลายร่างเป็นพญามารไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมหัวจิตหัวใจของเขาถึงได้อำมหิตถึงเพียงนี้

ได้โปรดเถิด... นี่ฉันกำลังฝันไปใช่ไหม ทำไมคนที่เขาพูดด้วยคำพูดพวกนี้ ไม่เป็นคู่นอนก่อนนั้นของเขาสักคน ใครก็ได้...ที่ไม่ใช่ฉัน เพราะฉันไม่ต้องการอยู่ในฐานะคู่นอนประจำวัน หรือนางบำเรอที่เขาจะเอาไว้แก้กำหนัดจนพอใจ

ฉันได้แต่ปล่อยให้น้ำตารินไหล ร่างกายหมดแรงยิ่งกว่าที่เป็น คำพูดที่จะขอร้อง หรือคำพูดที่จะหาทางให้เขาปล่อยฉันไป ล้วนเลือนหายไปหมดสิ้น หูได้ยินเพียงน้ำคำที่เขาพูดออกมาฝ่ายเดียวตลอดเวลาว่า

“หนูหริ คุณ-ฟัง-ให้-ดี นับจากนี้เป็นต้นไป คุณไม่มีบ้านที่อื่นอีก ที่นี่จะเป็นบ้านของคุณ อย่าคิดหนี หรือทำให้ผมโกรธ หรือทำให้ผมต้องเสียหน้า และถ้าคุณอยากทำงาน ผมมีงานให้คุณทำแน่นอน รับรองว่าคุณได้ทำทุกวัน สมใจกับที่คุณอยากทำงานแน่ๆ”

พูดจบ คุณศินรินทร์ก็หันหลังจากไปทันที

ทำไมเขาถึงทำแบบนี้

ทำไม...

ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้มีประโยชน์ หรือมีคุณค่าอะไรที่คนอย่างเขาจะต้องการเลย และยิ่งไม่มีประโยชน์กับการขังฉันไว้ที่นี่สักนิดเดียว ฉันไม่ได้มีลักษณะอะไรเฉียดใกล้ผู้หญิงที่เขาเคยชอบหรือเคยควง ฉันไม่ได้สวย ฉันไม่เพอร์เฟ็กต์ ฉันไม่ใช่สเป๊กที่เขาจะชายตามองเลยด้วยซ้ำ

ไม่เลย... แต่เขาก็ทำฉันได้ลงคอ

เขาทำแบบนี้กับฉันทำไม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

กริ๊ก

ฉันรีบหันไปดูว่าเป็นใคร

“ป้า...”

ฉันไม่รู้ว่าเสียงของตัวเองหายไปไหน รู้แต่ในลำคอเหมือนมีอะไรกระจุกและตีบตันอยู่ จะพูดก็พูดไม่ออก รู้แต่เพียงน้ำอุ่นๆ กำลังรินไหลลงมาตามแก้มของตัวเองอย่างหยุดไม่ได้

ฉันไม่รู้ว่าต้องการพูดอะไร เพราะตอนนี้ถ้อยคำทั้งหลายที่เคยอยู่ในหัว ได้หายไปหมด ทุกอย่างมันว่างเปล่า รู้แต่เพียงอยากได้อกใครสักคนช่วยซับน้ำตาให้ที

ป้าแก่น หรือคุณป้าแก่นจันทร์ แม่บ้านเก่าแก่ประจำบ้านคุณศินรินทร์ท่านนี้คงรู้ดี เพราะตอนนี้ท่านเข้ามากอดฉันเอาไว้นิ่งๆ ลูบผมฉันช้าๆ โดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นกว่าครู่หนึ่ง กระทั่งฉันพร้อม และค่อยๆ ถอยห่างออกมา

“ทำตามที่คุณขุนเธอสั่งนะคะคุณหนูหริ ป้าไม่รู้ว่าจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณสองคน คุณขุนเธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เธอทำอะไรมักมีเหตุผลเสมอนะคะ คุณหนูหริอย่าโกรธเธอ อย่าเอาความเธอเลยนะคะ ป้าขอร้อง ให้เวลาคุณขุนเธอหน่อยนะคะ ป้ารู้ว่ามันมากเกินไป แต่ป้าอยากขอร้องคุณ ขอคุณอย่าแจ้งความ อย่าแจ้งตำรวจเลยนะคะ ป้าไหว้คุณล่ะค่ะ ป้าขอร้องคุณจริงๆ ขอให้คุณเห็นแก่คนแก่ๆ อย่างป้าสักครั้งเถอะนะคะ”

ฉันรีบแยกมือป้าแก่นออกจากกันแทบไม่ทัน นี่มันอะไรกัน ท่านจะมาขอร้องอะไรกับฉัน ถึงฉันอยากจะฆ่าคุณศินรินทร์ให้ตาย ฉันยังทำไม่ได้เลย ดูอย่างเมื่อครู่ไงล่ะ แค่เขาล้มทับฉัน ฉันก็กระดิกไปไหนไม่ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องคิดถึงเรื่องไปแจ้งความหรอก เพราะโทรศัพท์ในห้องที่เคยอยู่มันก็ไม่ได้อยู่ ประตูหน้าต่างก็มีเหล็กดัดติดไว้ทุกบาน แค่คิดจะก้าวออกจากห้องนี้ฉันยังทำไม่ได้ แล้วฉันจะมีปัญญาที่ไหนไปแจ้งตำรวจ จะไปแจ้งความเอาเรื่องกับคุณศินรินทร์ได้อย่างไร

ฉันรู้... ว่าป้าแก่นรักคุณศินรินทร์มากขนาดไหน ท่านถึงพยายามออกโรงปกป้องขนาดนี้ ส่วนเรื่องของฉัน ป้าแก่นท่านอาจไม่รู้จริงๆ ก็ได้ หรือถึงจะรู้ แต่ท่านก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะขนาดท่านจะพูดอะไรกับฉัน ก็ยังพูดได้แค่นี้เอง คงเกิดอาการน้ำท่วมปาก

ตอนนี้ฉันรู้เพียงอนาคตของตัวเองมืดบอด มองไม่เห็นเลยว่าที่สุดแล้วจะไปลงเอยอย่างไร อยากรู้เหลือเกินว่าทำไมคุณศินรินทร์ถึงทำกับฉันแบบนี้ คิดหาเหตุผลเท่าไหร่ก็เหมือนจะเจอแต่ทางตัน หวังเหลือเกินว่า ถ้าเขากลับมา เขาคงจะเปลี่ยนใจปล่อยฉันไป

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ตอนนี้หัวของฉันหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก กระบอกตาร้อนวูบวาบเหมือนใครเอาไอร้อนมารมไว้ตลอดเวลา สงสัยเป็นเพราะฉันร้องไห้มากเกินไปกระมัง ถึงได้มีอาการอย่างที่เป็น

ยาที่ป้าแก่นเอาขึ้นมาให้ ไม่ได้ช่วยให้ฉันดีขึ้นเลย ร่างกายของฉันร้าวระบมไปหมด โดยเฉพาะต้นขาด้านใน เรี่ยวแรงก็หดหาย ขนาดจะพลิกตัวก็ยังทำได้ยาก ต้องโทษภาวะอารมณ์และความมุทะลุ ที่ไม่คิดอะไรให้ดีเสียก่อนจะพาตัวเองไปแช่อยู่ใต้ฝักบัวเป็นนานสองนาน

แต่ก็นะ ฉันก็เข้าใจสภาพตัวเองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วเกินไป ฉันตั้งตัวไม่ทันจริงๆ การกระทำที่ไม่คิดไตร่ตรองให้ดี เลยส่งผลให้ฉันไข้ขึ้นอยู่ตอนนี้อย่างไรล่ะ

นี่ฉันจะโทษใครได้... นอกจากตัวเอง

เพราะนอกจากฉันจะแช่อยู่ในน้ำเป็นนานในรอบแรก ฉันก็เอาตัวเองไปแช่ในระยะเวลาไม่ต่างจากเดิมเป็นรอบที่สอง ส่วนอาการโดยรวมก็เกิดขึ้นหลังจากคุณศินรินทร์เข้ามาหาฉันอีกครั้งในตอนหัวค่ำของเมื่อวาน แล้วฉันก็อาละวาดเสียเต็มกำลัง

เมื่อรู้ว่าที่สุดแล้ว... เขาก็ไม่ยอมปล่อยฉันไป

นึกแล้วยังคาดโทษตัวเองไม่หาย เพราะหากฉันไม่ทำร้ายเขา ไม่อาละวาดเขา ตอนนี้ฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้ เขาคงไม่ทำกับฉันแบบนี้

ทว่าเป็นใครที่มาเจอสภาพเดียวกับฉัน จะไม่อาละวาดบ้างล่ะ ฉันไม่ใช่นางเอกในนิยายน้ำเน่านะ จะได้ยอมๆๆ และคิดว่าตัวเองสำคัญกับเขาถึงเพียงนั้น หรือคิดว่าเขาจะมารักฉัน และที่สุดมันจะลงเอยด้วยดี ซึ่งนั่นไม่เข้าท่าและไม่อยู่ในข่ายความเป็นจริง เพราะฉันไม่ได้สวยบาดตา หรือสวยจนตาค้างชนิดที่ใครเห็นก็ต้องการตัวแบบไม่มีเหตุไม่มีผล หรือจะมาหาเรื่องกักตัวฉัน เพราะอยากได้เรือนร่างอันงดงามที่ไปกระตุกต่อมกระสันสวาท ทำให้หลงใหลจนปานจะกลืน ประมาณว่าสวยบนเตียงแล้วขอเสียบจนพอใจ จากนั้นก็ค่อยมาสารภาพเพราะมารู้สึกว่ารักทีหลังน่ะ มันไม่ใช่สถานการณ์ของฉันสักนิดเดียว ไม่เฉียดใกล้เลยด้วยซ้ำ

เพราะเรื่องของฉันมันเกิดขึ้นจากความผิดพลาด เกิดขึ้นจากความโกรธ หรืออาจเกิดขึ้นจากความไม่พอใจ หรืออาจเกิดขึ้นเพราะฉันไปทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก เสียหน้า จนคิดว่ารับไม่ได้ และเขาต้องเอาคืนให้สาสม

ถึงแม้คุณศินรินทร์จะพูดย้ำกับฉันว่า มันผ่านไปแล้ว เขายินดีที่จะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยความเต็มใจ แต่ต่อให้ฉันคิดจนหัวแตกอย่างไร ฉันก็ไม่เข้าใจถึงการที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้อยู่ดี

ฉันว่าเหตุผลของเขามันฟังไม่ขึ้นเลย เพราะหากเขาเพียงต้องการรับผิดชอบ และเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็สามารถรับผิดชอบใครก็ได้ที่ไม่ใช่ฉัน เพราะผู้หญิงของเขาก่อนหน้านั้นก็เยอะแยะบานตะไท หรือจะบอกว่าเป็นเพราะเขารู้สึกผิดเนื่องจากละเมิดปณิธาน สมภารไม่กินไก่วัดนะหรือ ฮ่าๆๆ น่าขำสิ้นดี

และเมื่อเราคุยกันไม่รู้เรื่อง ฉันก็เลยฝากรอยแผลด้วยเล็บมือของฉันที่แขนซ้ายของเขาจนเลือดไหลเป็นทาง ฉันอาจรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่โดยรวมคือฉันอาจดูใจดำมากๆ ที่ไม่มีความสงสารเกิดขึ้นในหัวใจแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่เป็นคนทำร้ายเขา

คือ... ฉันก็อยากบอกเขาหรอกนะ ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ ทว่าในเมื่อฉันหว่านล้อมอย่างไร คุณศินรินทร์ก็ไม่ยินยอม ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าฉันไม่ได้เต็มใจจะอยู่ที่นี่ เขาก็ควรปล่อยฉันไปสิ ฉันอุตส่าห์ไม่ถือสาเอาเรื่องแล้ว ขอแค่ให้มันจบ แล้วต่างคนต่างเดินในเส้นทางของตัวเอง เขาก็ควรเคารพการตัดสินใจของฉัน เพราะนี่คือความต้องการของฉัน และถือว่าเขาได้รับผิดชอบแล้ว ส่วนเขาก็ไปหาคนที่เต็มใจอยู่กับเขา คนไหนก็ได้ ฉันเชื่อว่ามีเยอะเชียวล่ะ จะมาเอาอะไรกับคนบ้าๆ บอๆ อย่างฉัน แต่เขาก็ยังไม่ยอมอยู่ดี

คือ... ที่จริงแล้ว แค่การถกเถียงกัน จนถึงขั้นให้ฉันทำร้ายเขาน่ะ คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก จริงไหม

แต่สาเหตุทั้งหมด ก็มีเรื่องราวมาว่า หลังจากเราเจรจา และคุยกันไม่รู้เรื่อง คุณศินรินทร์ก็เข้ามาใกล้ฉัน เขาพยายามแตะเนื้อต้องตัวฉัน แต่ฉันมันก็ประเภทกลัวอะไรแล้วก็กลัวจับขั้วหัวใจ เช่นนั้น การที่ฉันได้ฝากรอยแผลไว้ก็คือแผลนั้นเกิดขึ้นจากการป้องกันตัวเอง และฉันคิดว่ามันสาสมกับสิ่งที่เขาได้ตักตวงเอาจากร่างกายของฉันในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

เพราะหลังจากนั้น คุณศินรินทร์ไม่ได้สงสารฉันเลย เขาไม่สนใจแผลที่แขนนั่นสักนิด ฉันรู้ว่าเขาต้องเจ็บไม่มากก็น้อย แต่เขาก็ไม่สนใจ แม้คราบเลือดจะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าหรือผ้าปูที่นอน เขาก็ยังคงมุ่งปฏิบัติภารกิจทั้งๆ ที่ฉันพยายามบอกว่าฉันเจ็บ แต่เขาก็ทำเพียงหยุดชั่วครู่ หาใช่ยกเลิกแล้วปล่อยฉันอยู่คนเดียวลำพังโดยไม่ทำอะไรต่อ

เขาใช้เจลใสบางอย่างที่ฉันไม่รู้ว่ามันมีอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าเขาเอามาจากไหน แต่นั่นก็ช่วยบรรเทาอาการของฉันให้ไม่ต้องเจ็บเท่าเดิม

ฉันรู้ว่าเขาพยายามอ่อนโยน แต่หัวใจของฉันไม่โอนอ่อนตามเลย ฉันรับรู้ทุกความเคลื่อนไหว รับรู้ถึงริมฝีปากอุ่นๆ ที่ไล่ลามไปทั่วเนินอก ลำคอ และซอกหู วกวนเสียจนฉันร้อนและอยากอาเจียน หากอีกความรู้สึกคือมวนในท้องแปลบๆ ที่รวมแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร

คุณศินรินทร์ยังคงเดินหน้าต่อไป ฉันไม่รู้ว่าทั้งหมดใช้เวลานานแค่ไหน เพราะสิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือร้องไห้เงียบๆ

ฉันไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะไปสู้กับเขาได้เลย

และ... ฉันเกลียดตัวเอง เพ่งโทษตัวเองว่าไม่น่าจะอาละวาดแบบนั้น เพราะถ้าฉันไม่อาละวาด พยายามพูดจากับเขาดีๆ เขาก็คงไม่ทำแบบนี้แน่นอน

นั่นจึงเป็นที่มาของอาการที่เป็นอยู่นับตั้งแต่เขาจากไป คือฉันวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำเพื่ออาเจียนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันมีแต่น้ำเปรี้ยวๆ ขมๆ จนแสบคอไปหมด ป้าแก่นเป็นคนเดียวที่เข้ามาดูแลฉัน ได้เห็นสภาพที่น่าอดสูของฉัน สายตาของป้าแก่นที่บ่งบอกความสงสาร ฉันล้วนรับรู้ทั้งสิ้น

“คุณขุนเธอจริงจังกับคุณนะคะ คุณหนูหริ ป้าอยากให้คุณเชื่อป้า ป้าเห็นคุณขุนมาแต่เล็กแต่น้อย เธอไม่เคยทำเรื่องเสียเกียรติ เพราะเธอถือมาก”

ฮ่าๆๆ ตอนนั้นที่ป้าแก่นพูด ฉันอยากจะหัวเราะให้ดังลั่น หรือไม่ก็ขอหัวเราะให้ฟันร่วง เพราะฉันรู้ดี ว่าคุณศินรินทร์ไม่คิดจะจริงจังกับใครหรอก หรือถ้าเขาคิดจริงจังกับฉันจริง นั่นก็เพียงแค่คำว่ารับผิดชอบ ซึ่งฉันไม่ต้องการ ฉันไม่เคยต้องการความรับผิดชอบจากคนที่ไม่มีหัวใจให้กัน แต่ว่าร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวย แถมสมองของฉันก็เบลอ กึ่งมึนงง กึ่งปวดหนึบ จึงไม่ได้พูดอะไร และฉันเพิ่งมาคิดถึงเรื่องนี้ได้ ก็หลังจากได้หลับไปแล้วหนึ่งตื่น ซึ่งสรุปว่าฉันเชื่อป้าแก่นไม่ลง

ฉันดีใจที่อย่างน้อยคุณศินรินทร์ไม่ให้คนอื่นมารับรู้ว่าในห้องนอนของเขามีเรื่องอะไร หรือกำลังเกิดอะไร ฉันดีใจที่ป้าแก่นไม่ถามอะไรฉันสักคำ ท่านดูเหมือนจะรู้อะไรดีๆ เยอะแยะมากมาย หากป้าแก่นก็เลือกที่จะไม่พูด

ฉันเคยอ่านนิยายตบจูบสมัยยังเป็นนักเรียนเอ๊าะๆ ไม่ว่าจะเป็นท่านชีคก็ดี นักธุรกิจหล่อรวยก็ดี หรือจะอะไรต่อมิอะไรก็ดี ที่สุดท้ายแล้ว นางเอกจะต้องมีอารมณ์ร่วมด้วยกับพระเอกทุกครั้ง แม้ในตอนแรกจะขัดขืน จะเจ็บ และไม่เต็มใจ หากสุดท้าย ทั้งคู่ก็สุขสมอารมณ์หมายทุกที

หากเหตุไฉน ความรู้สึกของฉัน... ถึงไม่เป็นอย่างนั้นบ้างเลย

ฉันไม่รู้สึกสนุก ฉันไม่รู้สึกวาบหวามอย่างที่มีคนเคยเขียนไว้ ฉันรู้สึกเพียงความเจ็บของร่างกาย รู้สึกถึงความสะอิดสะเอียนที่ตอกย้ำจนฉันอาเจียนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงแค่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โชคดีที่ป้าแก่นท่านช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ฉัน ถึงเวลาก็เตรียมข้าวปลาอาหารและยามาให้ฉัน พร้อมกับกระโถนอีกหนึ่งอัน ที่ฉันได้มาเป็นเพื่อน หลังจากวิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทันและล้มพับไม่เป็นท่านั่นแหละ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

และเมื่อเวลาผ่านไป

เกือบสี่วันแล้วที่คุณศินรินทร์ไม่เข้ามาในห้องนี้ ฉันรู้สึกแปลกๆ เมื่อไม่เห็นหน้าเขา สงสัยเป็นเพราะรอยแผลที่ได้ครั้งล่าสุดจากเศษแก้วที่ฉันปัดหล่นแตก เพราะฉันเอาเศษแก้วนั่นกวัดแกว่งจนไปโดนต้นแขนของคุณศินรินทร์ ก็เลยทำให้ต้องรักษาตัวยาวกว่าทุกครั้งก็เป็นได้

ฉันก้มลงมองฝ่ามือตัวเองด้วยหัวใจที่เกือบไร้ความรู้สึก ร่างกายทั้งหมดของฉันประหนึ่งใกล้ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ สายตาค่อยๆ มองผ่านผ้าพันแผลสีขาวที่พันไว้อย่างเรียบร้อย มองไล่ไปตามนิ้วทั้งห้า ที่ฉันรู้ว่าข้างในนั้น ล้วนแต่มีบาดแผลจากของมีคมชนิดเดียวกันกับที่ได้ทำร้ายคุณศินรินทร์ ซึ่งตอนนี้ความเจ็บปวดได้จางหายไปกว่าวันแรกๆ แต่ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างยังแจ่มชัดในหัวของฉันเสมอ

ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้บุคคลวิกลจริตเข้าไปทุกที เพราะเมื่อไหร่ที่เห็นหน้าเขา ตัวของฉันก็สั่นอย่างกับเจ้าเข้าทุกครั้ง เช่นเดียวกับครั้งล่าสุด เพราะฉันไม่รู้ว่าคุณศินรินทร์เห็นฉันเป็นตัวอะไร เพราะเมื่อไหร่ที่เขาก้าวเข้ามาในห้องนี้ ไม่เร็วก็ช้า เขาจะต้องเข้ามาทำกับฉันในเรื่องอย่างว่าตลอด

ฉันไม่ใช่แม่พันธุ์ที่ต้องการพ่อพันธุ์มาผสมเพื่อให้ได้ลูกเร็วๆ ก่อนถึงฤดูกาลคลอดที่ดีที่สุดนะ เพราะถ้านับจากวันแรกที่ฉันมาอยู่ที่นี่ วันนี้ก็จะเป็นวันที่สี่สิบเก้าแล้ว และทั้งสี่สิบห้าวันที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดจะหยุดเรื่องนั้นไว้บ้างเลย เขาไม่ป้องกันเลย ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมักง่ายนัก ไม่คิดถึงอนาคตของฉันบ้างหรือ ฉันไม่เชื่อว่าผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมามากมายอย่างเขาจะป้องกันไม่เป็น หรืออาจเป็นเพราะผู้หญิงพวกนั้นดูแลตัวเองอยู่แล้ว แต่ฉันไม่เคยนะ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรด้วยซ้ำ

ฉันกลัวเหลือเกิน... เพราะหากบางสิ่งที่ฉันกลัวได้เกิดขึ้นจริงๆ ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันหวังว่าอย่าให้เกิดขึ้นกับฉันเลย ขอให้เขาเป็นหมันไปเลยก็ได้ การหนีของฉันจะได้สะดวกใจกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ต้องพะวักพะวนกับอนาคต และฉันยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะดูแลเขาได้ดีหรือไม่ ฉันไม่อยากให้เขาต้องเจออะไรเหมือนกับที่ฉันเคยเจอ นั่นก็คือเป็นเด็กบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะฉันรู้ถึงรสชาติ รับรู้ถึงความรู้สึกพวกนั้นมาตั้งแต่จำความได้

ฉันไม่รู้ว่าจริงแล้วคุณศินรินทร์ต้องการอะไร เขาจะโกรธฉันไปถึงไหน บางครั้งเขาก็ทำเหมือนกับว่าจะเสพติดร่างกายของฉันก็ไม่ใช่ อยากได้ประโยชน์บางอย่างจากฉันก็ไม่เชิง เพราะทั้งที่เขารู้อยู่เต็มอกว่าเมื่อไหร่ที่เข้ามา ต้องมีเหตุให้เจ็บไม่มากก็น้อยทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเข้าถึงตัวฉันได้รวดเร็วขนาดไหน หรือฉันจะหนีเขาได้รวดเร็วขนาดไหน แต่ผลที่สุด ก็คือเขาต้องจากไปพร้อมกับร่องรอยไม่มากก็น้อยในเวลาเช้ามืด ยกเว้นเมื่อสี่วันก่อน เพราะเขาต้องออกจากห้องกะทันหันและปฏิบัติการไม่สำเร็จเพราะมีบาดแผลใหญ่

แต่ที่แน่ๆ ฉันรู้ว่ามีหลายอย่างในความรู้สึกของฉันเปลี่ยนไป ร่างกายของฉันมันเปลี่ยนไป เพราะหลายครั้ง ฉันเริ่มตอบสนองเขา แต่บางครั้งก็ต่อต้านเต็มกำลัง เหมือนกับมีสองวิญญาณในร่างเดียว

แต่ฉันจะไม่ยอมอยู่อย่างนี้ตลอดไปหรอก ฉันไม่อยากอยู่อย่างคนบกพร่องทางจิต ไม่อยากเป็นบุคคลวิกลจริตที่เป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น ฉันจะหาทางหยุดทุกอย่าง ก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลกว่านี้ และฉันคิดว่าอีกไม่นานแน่นอน

ตอนนี้มุมหนึ่งของลูกกรงเหล็กดัดที่ฉันพยายามโยกมันทุกวันเริ่มคลอนแล้ว ดีที่ว่าน็อตยึดลูกกรงกับกรอบหน้าต่างเป็นแบบหัวแฉก ไม่ใช่แบบที่ยิงตาย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีโอกาสหนีและไม่มีเปอร์เซ็นต์สูงเช่นครั้งนี้แน่

และฉันเห็นหัวน็อตเริ่มหลุดออกมามากพอสมควรแล้ว หลังจากฉันใช้ปลายแหนบที่ก่อนนี้อ้างกับป้าแก่นไปว่าขนรักแร้มันขึ้น อยากได้แหนบสักอันเอาไว้ถอนขน เพราะเห็นขนที่โผล่ใต้รักแร้รำไรแล้วรู้สึกจั๊กจี้ ซึ่งป้าแก่นก็ใจดีหามาให้ฉัน โดยท่านไม่รู้หรอกว่าไอ้เจ้าแหนบอันนั้นน่ะ จะกลายเป็นสิ่งที่ฉันกำลังใช้มันช่วยหนีไปจากที่นี่ ในอีกไม่กี่วันนี่แล้ว

ฉันขอให้การหนีครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยเถอะ เพราะหลายครั้งก่อนนั้น ผลที่ออกมาล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า และฉันก็ไม่อยากสาธยายว่ามันน่าอายขนาดไหน

กริ๊ก

ฉันยืดตัวตรงทันที ใครกันที่เข้ามา แถมยังมาตอนที่ฉันกำลังขันหัวน็อตให้คลายเสียด้วยสิ

“ผมคิดถึงคุณที่สุดเลย...หนูหริ”

เสียงนี้...

อาการกอดจากข้างหลังแบบนี้...

คนที่กล้าหอมแก้มฉันแบบนี้...

และเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเงียบๆ แทบไม่มีเสียงแบบนี้...

มีอยู่คนเดียว!

ฉันกำแหนบอันเล็กที่อยู่ในมือแน่น ร่างกายเครียดเกร็งในทันใด นี่ถ้าเป็นสาวๆ คนอื่นที่พร้อมพลีกายถวายชีวีให้เขา และได้ยินคำพูดแบบนี้จากเขา ได้รับการกอดแบบนี้จากเขาละก็ ฉันว่าสาวๆ พวกนั้นคงยอมตายแทบเท้าของคุณศินรินทร์เลยเชียวล่ะ

แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ เพราะตอนนี้ฉันกำลังพยายามสั่งตัวเองว่าอย่าสนใจเจ้าสแตนเลสชิ้นเล็กที่ใครๆ ก็เอาไว้หนีบขนตรงรักแร้ แต่ฉันกลับจะเอาเจ้าสิ่งนี้ทิ่มแทงร่างกายของคุณศินรินทร์ ขอตรงไหนก็ได้ ฉันจะทำให้เขาได้เจ็บและรู้ซึ้งถึงความเจ็บที่ฉันได้รับบ้าง

เพราะที่ผ่านมา ฉันรู้สึกว่าการอาละวาดของตัวเองยังไม่สาสมกับสิ่งที่เขากระทำต่อฉันแม้แต่นิด เพราะทุกครั้งที่เขาเจ็บตัว เขาก็ตักตวงเอาความสุขจากร่างกายของฉันไปไม่น้อยเช่นกัน จนฉันรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้จากฉันไปนั้น ไม่สามารถเทียบเท่ากับความเจ็บที่ฉันเอาคืนจากเขาได้แม้แต่นิด

และ... ฉันไม่สามารถที่จะบรรยายความรู้สึกที่มี ให้ออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้อีกเช่นกัน

แต่สำหรับวันนี้... ตอนนี้... ฉันต้องไม่ทำร้ายเขา เพราะจะทำให้การหนีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าต้องล้มเหลว

ฉันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร รู้แต่อยากพาคุณศินรินทร์ไปให้ห่างจากลูกกรงเหล็กดัดนี่ที่สุด เพราะฉันไม่อยากให้เขาเห็นว่ามันไม่ได้แนบสนิทกับกรอบหน้าต่างเช่นเดิมแล้ว

“ฉัน... เอ่อ...”

แล้วก็พูดแค่นั้นซ้ำไปซ้ำมา บอกตัวเองว่าอย่าตื่นเต้นเกินไป ประเดี๋ยวเขาจะจับได้ว่าฉันกำลังหาทางไขว่คว้าอิสรภาพของตัวเองอยู่ละก็ เสร็จกันพอดี พร้อมกับรีบเอาเครื่องมือเดียวที่จะช่วยเหลือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างแนบเนียนที่สุด

“ดูเหมือนวันนี้คุณจะอารมณ์ดีนะ”

ฉันเบี่ยงตัวออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขา แถมในห้องนี้มันก็ไม่มีที่ให้ฉันจะเลี่ยงจากคนร่างกายสูงใหญ่ได้ไกลเกินสิบเมตร ฉันจึงตัดสินใจนั่งลงตรงปลายเตียงเพราะไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ อย่างที่เคยมีอยู่ โดยร่างสูงใหญ่ของคุณศินรินทร์ตามมาติดๆ

นี่เขาไม่รำคาญบ้างหรือไร ที่พอเห็นหน้าฉัน ก็ต้องพยายามมาอยู่ติดกับฉันอย่างกับปาท่องโก๋

“คุณไม่อยากรู้หรือ ว่าผมเป็นไงบ้าง ผมหายไปตั้งสี่วันเชียวนะ ผมคิดถึงคุณแทบแย่ ไม่คิดถือโทษโกรธคุณเลยด้วยซ้ำ คอยถามตัวเองว่าคุณจะคิดถึงผม เหมือนกับที่ผมคิดถึงคุณบ้างหรือเปล่า นี่คุณไม่คิดถึงผมจริงๆ หรือจ๊ะ หนูหริ”

ก็อยากจะบอกหรอกนะว่าคิดถึงค่ะ แต่คิดถึงตรงที่ว่าอย่ามาเร็วนักเลย ฉันจะได้มีเวลาพังเหล็กดัดนั่นอีกสักนิด แล้วจากนั้นฉันก็จะติดปีกโผบินไม่ให้เขาเจอตัวได้

และขณะที่ฉันคิด เขาก็ยังพูดไปพลาง ทัดผมที่ใบหูของฉันไปพลาง ฉันพยายามบังคับร่างกายของตัวเองว่าอย่าต่อต้านเขาด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น ต้องอดทนเอาไว้ อย่ามองหน้าเขา เดี๋ยวจะยั้งมือไม่อยู่

“ผมดีใจที่วันนี้คุณยอมอยู่เฉยๆ ยอมฟังผมบ้าง นี่ถ้าหากผมหายหน้าไปหลายๆ วัน แล้วกลับมาเจอคุณอารมณ์ดีแบบนี้ ไม่โวยวาย ไม่ทำร้ายผม ผมจะทำนะ คนดี”

ฉันก็อยากจะตอบเขาว่าดีที่สุดเลยค่ะ ขอให้หายไปหลายๆ วันอย่างนี้อีกสักแค่สองหรือสามครั้งเท่านั้นแหละนะคะ จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยค่ะ ส่วนที่เหลือ ไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว อยากอยู่บ้านทุกวัน ก็อยู่ได้นะคะ ฉันไม่ได้ว่าอะไร เพราะฉันจะไปจากที่นี่แล้วค่ะ

แต่ฉันก็ไม่สามารถพูดสิ่งที่คิดในใจออกไปได้ ส่วนคุณศินรินทร์ก็ยังพูดต่อไปว่า

“ขอแค่คุณบอกผมเท่านั้นนะจ๊ะ คนดี หนูหริ...คุณคุยกับผมบ้างเถอะ”

ฉันหันหน้าไปมองเขา มองนิ่งๆ อย่างนั้น เพราะที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไร

ฉันเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ใครๆ ต่างชื่นชมชื่นชอบ เห็นใบหน้าที่ผู้หญิงมากมายต่างหลงใหลและอยากอยู่ด้วย หากในความรู้สึกของฉันกลับเป็นตรงกันข้าม เพราะฉันกลัวเขาจับขั้วหัวใจ คำพูดง่ายๆ หรือคำทักทายธรรมดาๆ เช่นคำว่าสวัสดี ฉันก็ยังพูดไม่ออก

ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงกลัวเขาได้มากมายขนาดนี้ เพราะไม่กี่วินาทีที่ฉันมองหน้าเขา เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาที่จ้องมองอยู่ ตัวของฉันก็สั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อาการแบบนี้เกิดขึ้นทุกครั้งเวลาที่เห็นหน้าคุณศินรินทร์ ได้สบตากับเขา นั่นก็เพราะภาพร่างกายของเขาที่เปลือยเปล่าแล้วอยู่เหนือร่างกายของฉันทุกครั้ง ได้ผุดขึ้นมาเป็นสาย มันไม่เคยหยุด ฉันหยุดภาพพวกนั้นไม่ได้เลย และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฉันมีปฏิกิริยา

ฉันเริ่มบังคับตัวเองไม่ได้อีกแล้ว น้ำตาฉันเอ่อคลอ ร่างกายฉันสั่นเทิ้ม มือทั้งสองกำแน่น ทั้งที่พยายามบอกตัวเองว่าต้องทำได้ ฉันต้องทำให้ได้ อย่าทำร้ายเขา อย่าต่อต้านเขา อย่าผลักไสเขา เพราะคุณศินรินทร์กำลังโอบแขนทั้งสองเข้ากอดฉันอย่างช้าๆ ลูบหลังฉันเบาๆ แล้วพูดว่า

“ผมขอโทษ ผมขอโทษ...หนูหริ ให้โอกาสผมนะ ให้โอกาสผม ผมจะไม่ทำกับคุณแบบนั้นอีกแล้ว ผมให้สัญญา ผมสัญญาจริงๆ นะจ๊ะ อย่ากลัวผมเลยคนดี ผมรู้ว่าคุณกลัว”

คำพูดสุดท้ายในประโยคนี้ของคุณศินรินทร์ ทำให้ฉันถึงกับปล่อยโฮ

เขาก็รู้เหมือนกันหรือ ว่าสิ่งที่เขาทำกับฉัน มันทำให้ฉันแทบเป็นบ้า ฉันรู้สึกเพียงตัวเองไร้ค่า รู้สึกเพียงว่าเหตุการณ์ทั้งหลายไม่ควรจะเกิดขึ้นกับฉัน

และหากวันนั้นฉันไม่โทรกลับมาหาเขา ไม่ไปพบเขาที่ร้านอาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น ฉันจะไม่ตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ และเขาก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ไม่ต้องมารับผิดชอบฉัน ไม่ต้องมารองรับอารมณ์ของฉัน ที่บางครั้ง...ฉันก็เหมือนคนบ้า และเกือบจะฆ่าเขา ทั้งที่ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะถึงฉันจะเกลียดที่เขาทำกับฉันแบบนี้ขนาดไหน แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นฆาตกร ไม่ได้อยากฆ่าใคร ฉันไม่ได้อยากทำร้ายใคร

ฉันกลัวตัวเองเหลือเกิน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันเลือกจะหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนเหตุการณ์หลายอย่างจะเลวร้ายลงไปมากกว่านี้

“เรามาเริ่มกันใหม่นะ”

ฉันไม่ได้พูดอะไร เพราะฉันมีคำตอบในใจอยู่แล้ว

หลายคนอาจคิดว่าคุณศินรินทร์ก็พูดจากับฉันดีนะ เขาก็ดูแลฉันดีนะ และดูเหมือนเขาจะรักฉันมากอยู่หรอกนะ แต่ใครเล่าจะเชื่อ หากเคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับฉัน เคยอยู่ในตำแหน่งที่ฉันเคยดูแลเขา เคยเห็นภาพเขาพร่ำพรอดกอดประคองและพูดจาด้วยถ้อยคำหวานหูกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า และอีกร้อยพันประการที่เป็นข้อถกเถียง และฉันคิดว่าข้อถกเถียงเหล่านั้นจากประสบการณ์ที่ฉันเคยเห็น ล้วนชนะการกระทำปัจจุบันของเขาทั้งสิ้น ฉะนั้น จะให้ฉันทำใจเชื่อเขาได้ลงคอ ให้ถือว่าพับไปได้เลย

คุณศินรินทร์กอดฉันแน่นขึ้นนิดหนึ่ง หอมที่ขมับของฉันหนักหน่วงหนึ่งครั้ง ก่อนจะประคองฉันให้นอนนิ่งๆ ด้วยกัน โดยไม่ได้พูดอะไรต่อ และคงเป็นเพราะความเหนื่อยอ่อน ซึ่งมีอาการแบบนี้มาหลายวันแล้ว ฉันจึงเผลอหลับจากนั้นไม่นาน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2555, 16:30:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ส.ค. 2555, 16:30:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 2830





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
หนอนฮับ 9 ส.ค. 2555, 16:47:24 น.
มาแร้ววว....พี่ขุนใจร้ายๆๆๆ


แว่นใส 9 ส.ค. 2555, 17:29:47 น.
เอาแต่ใจเนอะ


สุชาคริยา 10 ส.ค. 2555, 11:28:37 น.
หนอนฮับ = พี่อ้อยก็ว่างั้น
แว่นใส = ใช่ค่ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account