วังวนริษยา
แรงรัก แรงริษยา เกาะเกี่ยวเวียนวนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๖

ตอนที่ ๖

คุณปรีชาปล่อยให้บุตรสาวและผู้กองกานต์รู้จักกันตามประสาของคนหนุ่มสาว ท่านได้แยกตัวกลับเข้าบ้านโดยอ้างเหตุผลต่างๆ นานา และปล่อยหน้าที่นี้ให้กับปรียาได้ต้อนรับแขกหนุ่มตามลำพัง

เหตุผลหลักนั้นก็คือการจะให้ทั้งสองได้สร้างความรู้จักกันให้มากกว่าเดิมที่เป็นอยู่
เขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะรู้ปรียาไม่ใช่เหมือนกับปวรินน้องสาวที่มักจะสร้างความยุ่งยากใจให้กับกานต์จนชายหนุ่มไม่อยากจะมาบ้านของเขาอีก

แม้จะห้ามปรามกัน ทว่าปวรินกลับไม่เชื่อ ทั้งยังมีคุณกชกรให้ท้ายอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่

สำหรับปรียา เข้ารู้นิสัยของบุตรสาวคนนี้ดี อีกอย่างเธอก็โตพอที่จะรู้จักอะไรว่าควรไม่ควรแล้ว ปรียายังเป็นคนที่ท่านดูออกว่าเหมาะสมกับชายหนุ่มคนนี้มากที่สุดด้วย
ปรียาได้พูดคุยกับกานต์จนสนิทสนมกันมากกว่าเดิม เมื่อชายหนุ่มพูดถึงเรือนเจ้านาง หญิงสาวจึงอธิบายและเล่าเรื่องต่างๆ ให้กับเขาได้ฟัง

กานต์รับฟังสิ่งเหล่านั้นอย่างเงียบๆ เขารู้สึกพึงพอใจในน้ำเสียงของปรียาอย่างไม่รู้ตัว นอกจากพึงพอใจแล้ว หากสิ่งไหนก็ไม่เท่ากับว่าชายหนุ่มอยากจะฟังเสียงของหญิงสาวคนนี้ตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ

หญิงสาวได้ชวนชายหนุ่มไปยังเรือนเจ้านาง ซึ่งดูร่มครึ้มน่ากลัวเป็นยิ่งนัก ปรียาหันมาทางชายหนุ่มแล้วสำทับถามอีกครั้ง

“ผู้กองแน่ใจนะคะว่าไม่กลัวผีจริงๆ” เธอเอ่ยเสียงกึ่งเย้า ทั้งรอยยิ้มขบขันของเธอทำให้เขาหัวเราะตามไปด้วย

“คุณแป้งกำลังจะบอกว่าผมกลัวผี ใช่ไหมครับ”

“ก็คนแถวนี้เค้าว่ากันว่าที่เรือนเจ้านางมีผีเฮี้ยน แป้งก็คิดว่าคุณจะต้องกลัวผีด้วย”

“ผมไม่ลบหลู่ความเชื่อของชาวบ้านหรอกครับ แต่เราก็ไม่ควรจะไปงมงายกับมันมากไม่ใช่หรือ” กานต์เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส ปรียาจึงอดจะค้อนให้ไม่ได้

“ขนาดคุณแป้งไม่กลัวเลย ผมเป็นผู้ชายถ้ากลัวก็อายคุณแย่”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามแป้งมาเลยค่ะ แป้งจะพาคุณไปชมของโบราณที่เป็นของคุณแม่และเจ้ายาย...” หญิงสาวเอ่ยบอก ก่อนจะพาชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดไม้ไปทันที

////

ภายใต้เงาร่มครึ้มของแมกไม้ข้างๆ เรือนเจ้านาง ปรากฏเงาวูบไหวของหญิงชรานางหนึ่ง รอยยิ้มปรากฏขึ้นในหน้าของนาง ก่อนจะพูดออกมา

“คุณแป้ง...คุณแป้งของแก้วเกื่อนช่างงามนัก...”

สายลมเย็นพัดวูบเข้ามา ก่อนร่างนั้นจะค่อยๆ สลายหายไปเป็นเพียงอากาศธาตุของย่ำเย็นวันนั้น

////

หลังทราบข่าวว่าผู้กองกานต์มาที่บ้าน ปวรินจึงรีบไปหาชายหนุ่มซึ่งหลังจากที่สอบถามจากป้าเอี่ยมแล้วว่าชายหนุ่มคุยกับปรียาอยู่ที่ศาลาริมนั้น

เธอแทบเก็บอาการไม่พอใจไม่ไหวในยามที่ทราบว่าคนที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นคนรักให้คนอื่นอิจฉานั้นกำลังจะถูกนังพี่สาวของเธอแย่งไปอย่างหน้าตาเฉย
ไม่ได้ เธอรู้จักพี่กานต์ก่อน นังปรียามาทีหลัง มันจะแย่งของเธอไปไม่ได้

คุณหนูผู้เอาแต่ใจรีบถลาเข้ามายังศาลาหลังนั้นอย่างรวดเร็ว แทบจะทันทีที่ได้รับฟังผลการสอบถามจากป้าเอี่ยมจบ

“หายไปไหนแล้วนะพี่กานต์...”

ยืนสะบัดตัวไปมาอย่างไม่พอใจ ยิ่งมารู้ว่าเขาอยู่กับพี่สาวของเธออีกความโกรธก็ยิ่งเข้าแทรกแซงในหัวใจ นังนั่นมันจะมาทำตัวเด่นกว่าเธอไม่ได้เด็ดขาด

เหลียวมองไปโดยรอบ หากก็ยังไม่พบ ก่อนสายตาจะไปหยุดยังร่างของคนสวนซึ่งกำลังเก็บของและจะกลับบ้านจึงรีบเข้าไปถาม

“นี่นาย...เห็นพี่กานต์ของฉันไหม”

“ผมเห็นเดินไปทางเรือนเจ้านางกับคุณแป้งน่ะครับ คุณหนูไม่ลองไปดูหรือครับ”

ชายผู้นั้นเอ่ยบอกแล้วก็รีบเดินจากไปในทันที เพราะไม่อยากจะอยู่ให้ปวริน
อาละวาดอย่างที่ตนเคยโดนอย่างที่ผ่านมา

“อ๊าย นังพี่แป้ง แกต้องการอะไร แกต้องการจะแย่งพี่กานต์ของฉันใช่ไหม”

คิดไปต่างๆ นานา ตามสมองของคนที่ไม่เคยคิดอะไรดีๆ เด็กสาวยิ่งแค้นแสนแค้นที่กานต์ได้ใกล้ชิดกับปรียา และยิ่งเห็นว่าทั้งสองเดินไปยังเรือนเจ้านาง เธอคิดว่าปรียาจะต้องให้ท่ากานต์และพากันไปพลอดรักยังสถานที่อุบาทว์นั่นอย่างแน่นอน
สมองคิดอะไรไปไม่มากไปกว่านั้น เด็กสาวจึงรีบรุดไปยังสถานที่แห่งนั้นในทันที
ความกลัวมันไม่มีในสมองเท่าๆ กับอารมณ์โกรธซึ่งมีมากกว่า ทั้งความหึงหวงก็ยิ่งเพิ่มพอกทวีคูณ จึงทำให้ปวรินไม่ได้คิดถึงคำที่มารดาเคยเอ่ยเตือน เธอมายืนยังด้านหน้าเรือนไทยทรงล้านนาหลังเก่าในเวลาต่อมา ก่อนจะป้องปากตะโกนเรียกกานต์ ซึ่งคิดว่าอยู่บนเรือนหลังนั้นพร้อมกับพี่สาวของเธอ

ทว่าทุกอย่างกลับเงียบเชียบ เช่นเดียวกับปวรินที่รับรู้ถึงกระแสของอะไรบางอย่างวนเวียนไปโดยรอบ

เธอมองรอบตัวอย่างระแวง เวลาก็เย็นเต็มทีแล้ว ความมืดก็เริ่มจะโรยตัวลงมา เด็กสาวใจหายวูบ เพิ่งคิดถึงคำของมารดาก็แต่บัดนั้น

ทว่า...ยังไม่ทันจะหันตัวกลับ ก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อจู่ๆ สายลมเย็นก็พัดวูบมายังที่เธอยืนอยู่ พร้อมกับใบไม้แห้งปลิวว่อน

ปวรินยกมือขึ้นบังหน้า กันไม่ให้เศษฝุ่นและใบไม้มาเข้าตา...

สายลมพัดหยุดไปดื้อๆ หญิงสาวลดมือลง ก่อนจะเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ตรงบันไดขึ้นเรือน ห่างจากเธอไม่ถึงเมตร ปรากฏร่างใครคนหนึ่งในชุดพื้นเมืองเก่ากึกยืนแสยะยิ้มมาที่เธออย่างสยดสยอง

ขนตามตัวของปวรินลุกตั้งชัน เด็กสาวเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็นเมื่อเพียงแค่กระพริบตา ร่างนั้นก็วูบมาประชิดติดตัวของเธอในทันที

“กรี๊ด...”

ปวรินปัดป่ายสิ่งที่ขยับอยู่ตรงหน้า ทั้งสยดสยอง ทั้งหวาดกลัวต่อสิ่งนั้น เธอจึงกรีดเสียงร้องดังลั่น จะหันหลังวิ่งออกไป ทว่ากลับเหมือนมีอะไรมาจับยึดเอาไว้

“ว้าย...ฮือๆ”

เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่กำลังยึดข้อเท้าของเธออยู่นั้นคือมือของใครคนหนึ่ง ทว่ามันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลานี้มือเหล่านั้นมันโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน แถมยังมีแต่น้ำเลือดน้ำหนองเกาะเต็มอย่างน่าขยะแขยงเป็นที่สุด

“คริ...คริ...”

หญิงชราในร่างสยดสยองแยกเขี้ยวแสยะยิ้มอย่างสาแก่ใจ ปวรินมองเห็นน้ำหมากซึ่งไหลย้อยออกมาผสมกับน้ำหนอง ที่สำคัญกลิ่นเหม็นหึ่งเหล่านั้นแทบจะทำให้เธออาเจียนออกมา

“กรี๊ด...ด ด ด”

ส่งเสียงกรีดร้องอีกครั้ง ก่อนสติที่มีอยู่จะไม่สามารถตอบรับได้อีกต่อไป หญิงสาวทรุดกายลงกับพื้นดินสิ้นสติลงตรงนั้น

////

ปวรินถูกพาเข้ามาในบ้านโดยการอุ้มของกานต์ มีปรียาติดตามมาอย่างห่วงใยน้องสาว

“เกิดอะไรขึ้นน่ะผู้กอง” คุณปรีชาถามทันทีที่เห็นกานต์อุ้มบุตรสาวเข้ามาในบ้าน

“สงสัยจะเป็นลมค่ะคุณพ่อ” ปรียาเป็นคนตอบแทนชายหนุ่ม

กานต์นำร่างแบบบางของปวรินวางลงบนโซฟา ก่อนปรียาจะรีบเข้าไปดูแล โดยมีป้าเอี่ยมคอยหาน้ำ หายาดมยาลมให้และช่วยเหลืออีกแรง

ไม่นานเด็กสาวก็รู้สึกตัว เธอรีบผละออกจากตักของปรียาในทันทีเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนจะรีบโผเข้าไปหาบิดาอย่างเสียขวัญ

“คุณพ่อ...ฮือ...ผีหลอกค่ะ ผีหลอกค่ะ” กอดบิดาทั้งกับร้องไห้ฟูมฟายเป็นการใหญ่ จนคุณปรีชาจึงต้องรีบปลอบบุตรสาวคนเล็กอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะแป๋ว พ่ออยู่ตรงนี้แล้วนะ ไม่มีอะไรแล้ว”

“คุณพ่อ...แป๋วกลัว...”

“ผีหลอกกลางวันมันไม่มีหรอกลูก เชื่อพ่อเถอะ ไม่มีอะไรแล้วนะ” ผู้เป็นพ่อปลอบบุตรสาวเสียงอ่อนโยน

ปรียามองน้องสาวอย่างเป็นห่วงแกมสมเพช นี่คงจะตามไปหาเรื่องเธอถึงที่เรือนเจ้านางอย่างแน่นอน และก็เป็นลมโดยอ้างอย่าเพ้อเจ้อว่าเจอผี...เจอผีกลางวันนี่นะ เป็นไปไม่ได้หรอก

“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

เห็นว่าทุกอย่างคลี่คลาย กานต์จึงขอตัวในทันที ขณะปวรินเมื่อได้ยินเสียงของเขา เธอก็รีบออกจากอ้อมอกของบิดาทันที ก่อนจะรีบโผเข้าไปหาชายหนุ่มจนผู้เป็นพ่อส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

“พี่กานต์ แป๋วกลัว” ทำเสียงสั่นและโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างไม่อายสายตาของคนรอบข้างสักนิด

“พี่ว่าน้องแป๋วใจเย็นๆ ก่อนนะ ผีมันไม่มีในโลกหรอก” เขาปลอบและยิ้มอ่อนโยน พลางมองเลยไปยังปรียาอย่างนึกห่วงต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายมากกว่า

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แป๋วเห็นจริงๆ นี่คะว่าผีมันหลอกแป๋ว น่ากลัวมากๆ เลยค่ะพี่กานต์” เธอฟ้องอีก ก่อนจะคะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มนั่งบนโซฟา “นั่งคุยกันก่อนดี
กว่าค่ะ อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะ”

“แต่พี่ต้องกลับบ้านแล้วนะครับ ค่ำนี้ต้องเข้าเวรอีก เดี๋ยวก็ไปไม่ทันกันพอดี” ชายหนุ่มให้เหตุผล ขณะมองเลยไปยังคุณปรีชาอย่างขอความช่วยเหลือ

“แต่แป๋วไม่ให้พี่กานต์ไป พี่กานต์จะต้องอยู่เป็นเพื่อนกับแป๋วก่อนนะคะ”

“พ่อว่าให้ผู้กองเขากลับไปก่อนเถอะนะแป๋ว เดี๋ยวเขาต้องทำงานอีก” คุณปรีชาบอกเสียงนุ่ม ตอนนี้ปวรินกำลังเสียขวัญ หากดุไปจะยิ่งไปกันใหญ่

“แป้งขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ” สบตากับกานต์พลางยิ้มนิดหนึ่ง ปรียาก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ

กานต์มองหญิงสาวที่เพิ่งเดินจากไปอย่างห่วงใยในความรู้สึก เขาอยากจะพูดให้เธอเข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเห็น ทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้

เหตุผลหลักมันอยู่ที่ว่าเขาเพิ่งจะรู้จักกับเธอ...คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปอธิบายให้เธอเขาใจในตอนนี้ได้

“แป๋ว...มาหาพ่อเดี๋ยวนี้ ให้ผู้กองเขาไปธุระของเขาเถอะ” คุณปรีชาเข้าไปนั่งข้างๆ กับบุตรสาวและดึงปวรินมาอยู่ในวงแขนและอ้อมอกได้ในที่สุด

“ขอบคุณผู้กองมากนะที่ช่วยดูแลลูกสาวของผม...”

“ยินดีครับ...ผมขอตัวก่อนนะครับคุณแป๋ว”

กานต์ลุกขึ้นเต็มความสูง เขามองเลยไปยังบันไดทางขึ้นชั้นสองซึ่งปรียาเพิ่งเดินขึ้นไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงกายออกจากบ้านไปในทันที

“แป๋ว...” หลังเห็นแขกจากไปแล้ว คุณปรีชาจึงหันมาทางบุตรสาว “ที่แป๋วทำเมื่อกี้มันไม่สมควรนะรู้ไหม พ่อเคยบอกสักกี่ครั้งแล้วว่าเราอย่าไปใกล้ชิดกับผู้กองจนเกินไป เกิดเขารำคาญขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“แต่แป๋วรักพี่กานต์นี่คะคุณพ่อ”

“รัก...” บิดามองบุตรสาวอย่างค้นหา ไม่คิดว่าปวรินจะเป็นมากขนาดนี้ “นี่ลูกกลายเป็นคนเหลวแหลกไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“คุณพ่อว่าแป๋วหรือคะ อ้อ...ลืมไป แป๋วไม่ได้แสนดีอย่างพี่แป้งนี่คะ ที่จะทำให้คุณพ่อภูมิใจ”

“หยุดเลยนะแป๋ว พ่อกำลังพูดกับแป๋ว อย่าเอาพี่แป้งมาเกี่ยวด้วย”

“ทำไมหรือคะ...พี่แป้งเป็นนางฟ้าหรือยังไง แป๋วถึงจะเอามาเกี่ยวด้วยไม่ได้” นิสัยเถียงบิดามาจากการอบรมและการให้ท้ายของคุณกชกร

“แป๋วเป็นเอามากแล้วนะ เมื่อก่อนลูกของพ่อไม่ได้เป็นแบบนี้” คุณปรีชาส่ายหน้ากับความเอือมระอาของบุตรสาว

“แป๋วก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่คะ คุณพ่อจะสนใจอะไร”

“สนใจ...ที่พ่อกำลังบอกกำลังสอนแป๋วอยู่นี้ เพราะพ่อรักหนูนะ พ่อเป็นห่วงลูก แป๋วรู้ไหม”

“แป๋วเข้าใจค่ะ แต่สิ่งที่แป๋วกำลังทำมันอยู่การตัดสินใจของแป๋ว มันไม่เกี่ยวกับคุณพ่อนี่คะ กรุณาเข้าใจด้วย”

พูดจบปวรินก็กระทืบเท้าเดินจากไปในทันที ทิ้งให้คุณปรีชามองตามอย่างอึ้งต่อสิ่งที่บุตรสาวเอามาพูดกับเขา

////

เวลาผ่านไป ปรียากับตาลแก้วได้มาขอความช่วยเหลือกับนางบัวชุม หญิงกลางคนซึ่งทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่าหญิงคนนี้เคยเป็นช่างฟ้อนหรือนางรำของหมู่บ้านมาก่อน โดยเฉพาะการรำสาวไหม ในครั้งเรียนสมัยมัธยมตาลแก้วและปรียาก็เคยได้นางบัวชุมมาเป็นครูฝึกซ้อมฟ้อนรำ

มาหาถึงที่บ้าน ซึ่งบ้านหลังนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นใต้ถุนสูง ใต้ถุนเรือนมีกี่ทอผ้าสองหลัง ซึ่งเจ้าของบ้านทำอาชีพทอผ้าพื้นเมืองขายเป็นงานหลักอยู่แล้ว

“สวัสดีค่ะแม่ครู...” ปรียาทัก พร้อมกับยกมือพนมไหว้หญิงตรงหน้าซึ่งกำลังนั่งทอผ้าอย่างตั้งใจ

นางบัวชุม วางงาน ก่อนจะรีบออกมาหาแขกของเช้าวันนั้น และเมื่อเห็นว่าเป็นปรียาและตาลแก้วอดีตลูกศิษย์ซึ่งเคยมาฝึกรำกับเธอก็รีบทักอย่างดีใจ

“อ้าวหนูแป้ง หนูตาล มะๆ เข้ามานั่งข้างในก่อน”

หลังเชิญทั้งสองสาวเข้ามานั่งยังแคร่ใต้ถุนเรือนแล้ว นางบัวชุมก็มองปรียาอย่างชื่นชม ทั้งยังไม่เจอกันนานก็ต้องถามไถ่กันเป็นธรรมดา

“เพิ่งกลับมาบ้านหรือ...แล้วนี่เรียนจบกันหรือยัง”

“เพิ่งจบค่ะแม่ครู แม่ครูสบายดีไหมคะ”

“ก็ตามอัตภาพน่ะแหละหนู นั่งทอผ้า ถ้าเบื่อก็ออกไปนั่งคุยกับเพื่อนบ้านแถวๆ นี้
เออ..แล้วนี่มีอะไรล่ะ ถึงได้พากันมาถึงนี่”

หญิงกลางคนสอบถามอย่างใคร่รู้ และพอจะเดาๆ ได้อยู่ว่าสิ่งที่พาปรียามาหาเธอในเวลานี้ก็คงจะไม่พ้นเรื่องเดิมๆ ที่เคยเป็นมา

“เดี๋ยวนี้แม่ครูยังคงฟ้อนรำอยู่ไหมคะ”

“ก็มีบ้างนะ มีงานก็ฟ้อน ไม่มีก็ไม่ฟ้อน”

“คือพวกเราจะรบกวนขอให้แม่ครูช่วยนิดหน่อยค่ะ” ตาลแก้วเอ่ยแทรกทั้งรอยยิ้มหวาน

“ช่วย...ช่วยอะไรกันล่ะหนู” นางบัวชุมมองทั้งสองสาววัยรุ่นสลับกันอย่างค้นหา

“พอดีอีกไม่กี่อาทิตย์จะมีการจัดงานสืบสานตำนานไทลื้อขึ้นในจังหวัดเราค่ะ แป้งได้รับมอบหมายให้ทำการแสดงแสงสีเสียงชุดฟ้อนสาวไหมค่ะ เลยอยากจะมาขอความช่วยเหลือจากแม่ครูอีกครั้ง”

ปรียาบอกถึงงานของตนเองและเพื่อนสาวในที่สุด

“อ้อ...แม่ครูก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน”

“พวกเราเห็นว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะสอนเราได้เท่ากับแม่ครูบัวชุมอีกแล้ว ตาลจึงชวนแป้งมาหาค่ะ”

“มาหากันแบบนี้ ไหนเลยแม่ครูจะปฏิเสธได้ หนูแป้งกับหนูตาลก็ใช่ใครอื่น เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหากันมาแล้ว...ว่าแต่หนูทั้งสองพร้อมจะเรียนกันเมื่อไหร่และที่ไหนล่ะ”

“ถ้าสะดวกขอเชิญแม่ครูไปบ้านของแป้งจะได้ไหมคะ คือน้องแป๋วอยากจะฝึกด้วยค่ะ”

“อืม...ก็ดีเหมือนกัน บ้านของหนูแป้งร่มรื่นดี” นางบัวชุมบอกพลางคลี่ยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้เลยนะคะ แป้งและตาลพร้อมทันทีที่แม่ครูไปหาพวกเราค่ะ แล้วแป้งจะจัดสถานที่รอนะคะ”

ปรียาเอ่ยบอก ก่อนจะชวนตาลแก้วกลับในที่สุด หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับมายังบ้านของปรียา เพื่อจะช่วยกันมองหาสถานที่ว่ามีที่ไหนจะพอให้พื้นที่พวกเธอได้ซ้อมฟ้อนรำกันได้

แล้วก็ได้ความเห็นว่า สถานที่แห่งนั้นคือด้านหน้าของเรื่องเจ้านาง ซึ่งเป็นสนามหญ้า มีศาลาให้นั่งพัก ทั้งยังดูร่มรื่นมีลมเย็นพัดผ่านตลอดเวลา

เรื่องผีและความเฮี้ยนของเรือนเจ้านาง ตาลแก้วพอจะรู้บ้าง ทว่าตราบใดที่เธอไม่เจอเข้าจริงๆ เธอก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะต้องการลบหลู่ หากแต่ว่าทุกครั้งที่มายังเรือนแห่งนี้เธอไม่เคยเจอกับสิ่งที่ทุกคนต่างว่าผีสักครั้ง หากเมื่อใดที่มายังเรือนแห่งนี้แล้ว ความอบอุ่นและความเงียบสงบมากกว่าที่เธอรู้สึกพอใจ

“เอาตรงนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ร่มรื่นดี” ตาลแก้วบอก พลางอมยิ้มและมองเลยไปยังเรือนไม้หลังเก่าอย่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่ชาวบ้านต่างโจษจันท์กัน

สมัยนี้มันสมัยไหนกันแล้ว มัวแต่เชื่องมงายกันนั่นแหละ จนมองไม่เห็นถึงความสวยงามและความเข้มขลังที่ต้องอนุรักษ์เอาไว้ให้กับชนรุ่นหลังได้เห็นกัน

เพราะรู้ เรือนไทยในจังหวัดนี้สมัยนี้แทบจะนับหลังได้ และถ้าจะให้พูดกันจริงๆ เรือนไทยที่มีคงอยู่อย่างดั่งเดิมตั้งแต่อดีตนั้นมีเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น

อย่างนี้เราควรจะดูแลเอาใจใส่มากกว่าจะมามัวเชื่อกับเรื่องงมงายเหล่านี้...

“ตาล...เธอเชื่อกับเรื่องผีที่นี่หรือเปล่า” ปรียาเอ่ยขึ้นในที่สุด หลังสังเกตเห็นเพื่อนสาวมองขึ้นไปยังบนเรือนไทยหลังเก่าอย่างสนใจมากกว่าจะกลัวอย่างที่ชาวบ้านต่างกลัวกัน

“ฉันไม่คิดจะลบหลู่หรอกนะ เพราะความเชื่อของบรรพบุรุษเราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนของพวกท่านได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวของเราไม่ใช่หรือ ฉันไม่เคยเจอผีสักครั้งจะให้เชื่อว่าที่เรือนแห่งนี้มีผี ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว...หากว่าจะมีจริงๆ ผีเหล่านั้นคือคนใกล้ชิดกับเพื่อนของฉัน เจ้าปิ่นเงินก็เปรียบเสมือนแม่ของฉันอีกคน ฉันจะกลัวไปทำไม...ใช่ไหมล่ะแป้ง”

ปรียาพยักหน้าพอใจกับคำอธิบายของเพื่อนสาว ก่อนจะชวนกันขึ้นไปบนเรือนเจ้านาง

สภาพทุกอย่างโดยรอบเรือนยังคงเดิม จะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ตามระยะเวลาที่ถูกให้ทิ้งร้างเอาไว้โดยไม่ได้มีใครมาปัดกวาดดูแลเป็นระยะเวลาสี่ปีเต็มที่ปรียาจากบ้านหลังนี้ไป

ตาลแก้วบอกกับตัวเอง บนเรือนหลังนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยถวิลหามาตลอด มีทั้งความอบอุ่น ทั้งความรักที่เจ้าแก้วคำแปงและเจ้าปิ่นเงินแม่ของปรียามอบให้กับเหล่าเพื่อนๆ ของบุตรสาว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเธอด้วย

การจากไปของบุคคลที่เธอเคารพ สร้างความรู้สึกเศร้าในหัวใจของเธอไม่แพ้กับปรียา เพราะผู้ตายเธอเห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ความเมตตาที่มอบให้ จึงสร้างความสนิทสนมระหว่างตาลแก้วกับผู้ตายได้ไม่น้อย

“คิดถึงคุณแม่และเจ้ายายจังเนอะแป้ง...” ตาลแก้วเอ่ยเสียงเบาหวิว รู้สึกวูบไหวทุกครั้งในยามที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้

“ใช่...เหมือนว่าเหตุการณ์มันเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันนี้เอง”

“สี่ปีเต็มๆ แล้วใช่ไหมแป้ง...สี่ปีที่ทุกสิ่งทุกอย่างยังค้างคา พวกเรายังจับใครมาลงโทษไม่ได้สักคน”

ความค้างคายังคงอยู่เช่นนั้น เพราะทางตำรวจไม่สามารถคลี่คลายคดีเหล่านี้ได้เลย พอนานเข้าคดีก็เงียบ ทั้งคนร้ายก็ยังลอยนวล ไม่ได้รับโทษที่ได้ก่อเอาไว้

ทั้งสองสาวเดินตรงเข้าไปนั่งยังตั่งไม้ตัวกว้าง ตาลแก้วกวาดสายตามองไปโดยรอบอย่างคุ้นเคย ก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด

“ฉันว่าที่นี่ร่มรื่นดีนะแป้ง...น่าอยู่ด้วย”

“ใช่...ฉันว่าจะกลับมาอยู่ที่นี่นะ กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง” ปรียาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดวงตาคู่สวยไหวระริก

“ของทุกอย่างยังอยู่ครบ แถมแต่ละชิ้นยังเป็นของเก่าด้วย หาดูก็ยากแล้ว ฉันเห็นด้วยที่เธอจะเก็บเอาไว้นะแป้ง...เราน่าจะทำเป็นศูนย์ให้ความรู้หรือไม่ก็พิพิธพันธ์ขนาดเล็ก เพื่อจะให้คนทั่วไปได้มาเยี่ยมชมด้วยนะ” ตาลแก้วออกความเห็นด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ปรียาลุกขึ้น เธอเห็นด้วยกับคำของเพื่อนสาว และบัดนี้เธอก็คิดจะทำแบบนั้นเหมือนกัน

ในเมื่อตอนนี้ว่าง เพราะเป็นช่วงที่เพิ่งเรียนจบ เธอก็อยากจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นบ้าง

“ก็ดีนะตาล...แต่ฉันทำคนเดียวไม่ไหวหรอก อยากจะให้พวกเธอมาช่วยด้วย จะได้ไหมล่ะ”

“สำหรับฉัน ได้อยู่แล้ว”

ทั้งสองสิ่งยิ้มให้แก่กัน พร้อมกับทอดสายตาออกไปยังด้านนอกของชานเรือน เลยไปยังศาลาไม้หลังเก่าซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำกับสายน้ำน่านซึ่งไหลผ่านชื่นเย็น...

///

“คุณแม่คะ...คุณแม่จะต้องจัดการให้แป๋วนะคะ”

ปวรินเข้ามาฟ้องมารดาถึงเรื่องที่เธอเจอผีที่เรือนเจ้านางเมื่อเย็นวาน และเธอต้องการจะให้มารดาใช้อภิสิทธิ์การเป็นภรรยาของคุณปรีชารื้อถอนเรือนอุบาทว์นั่นเสีย

ไม่ใช่เพราะความกลัวเท่านั้น แต่เพราะความสาแก่ใจต่างหาก...หากว่าเธอและแม่สามารถรื้อเรือนไม้หลังนั้นทิ้งได้สำเร็จ ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะไล่ปรียาออกจากบ้าน เพราะถ้าเป็นไปตามนั้นเมื่อออกจากบ้านไปแล้วปรียาก็จะไม่มีวันกลับมาที่บ้านหลังนี้อีก

แล้ว...บ้านของคุณปรีชา ทั้งที่ดินทั้งหมดจะเป็นของทั้งสองแม่ลูกเพียงสองคนเท่านั้น

“แม่เคยเตือนลูกแป๋วแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ไปที่เรือนหลังนั้น ลูกก็ไม่เชื่อแม่” คุณกชกรค้อนบุตรสาวที่ไม่เชื่อฟังสิ่งที่เธอห้าม

“ก็แป๋วลืมนี่คะ อีกอย่างพี่กานต์ก็อยู่กับนังแป้ง แป๋วไม่ยอมหรอกค่ะ”

“อ้าว...นังแป้งมันไปรู้จักกับผู้กองตั้งแต่เมื่อไหร่” ผู้เป็นแม่เบิกตา มองบุตรสาวอย่างแปลกใจ

“ไม่รู้ค่ะ แต่ดูเหมือนว่ามันจะสนิทสนมกับพี่กานต์มากเลยนะคะ” ปวรินสะบัดเสียงอย่างไม่พอใจ คิดถึงหน้าของพี่สาวทีไรพาลจะพาให้อารมณ์เสียกันอยู่เรื่อย

“ต้องเป็นคุณพี่แน่ๆ เลยที่แนะนำให้มันรู้จักกับผู้กอง...”

“ต้องใช่แต่ๆ เลยค่ะคุณแม่...คุณพ่อนะคุณพ่อจะทำอะไรไม่บอกแป๋วสักคำ”

“อย่างนี้แม่ก็ยอมไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นนังแป้งมันจะได้ดีไปกว่าลูกของแม่ แม่ยอมไม่ได้” ประกายตาของคุณกชกรแดงก่ำอย่างไม่พอใจ ขณะลูกสาวเข้ามากอดแขนมารดาเพื่อจะขอให้แม่ช่วย

“คุณแม่จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้แป๋วนะคะ ไม่อย่างนั้นแป๋วไม่ยอมเด็ดขาด”

“ได้...เรื่องนี้แม่จะจัดการเอง แม่จะจัดการให้นังแป้งมันออกไปจากชีวิตของลูกและผู้กองกานต์ให้ได้...ให้เหมือนกับที่แม่เคยจัดการนังเจ้านางปิ่นเงินให้ออกไปจากชีวิตของคุณพ่ออย่างไรล่ะ”

ว่าพร้อมกับหัวเราะเสียงทอดต่ำ ประกายตาแสดงซึ่งความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างเห็นได้ชัด...



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2555, 22:01:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2555, 22:01:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1271





<< ตอนที่ ๕   ตอนที่ ๗ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account