มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา
Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี
ตอน: ตอนที่ 10 ครบ 100% มาแล้วค่า
หลังจากตอนที่ 10 นี้แล้ว คงจะทิ้งระยะห่างในการเขียนและโพสเพราะต้องกลับมาทำงานประจำเต็มเวลาแล้ว หลังจากปิดเทอมมาเกือบ 2 เดือน แต่ถ้ามีกำลังใจมาเม้นต์ หรือมาทวงบ่อย ๆ ก็ไม่แน่นะคะ คนเขียอาจฮึดสู้ตายก็เป็นได้ 5555....อาทิตาหวังว่าหลังจากอ่านตอนนี้กันแล้ว จะเข้าใจนายโป๊ปกันมากขึ้นนะคะ
ตอนที่ 10
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของภัทร์ร้องดังขึ้น ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ที่เคยหวานในอดีต.....ภาพหวานในวันวานที่ครั้งหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นความทรงจำที่งดงามของชีวิตคู่....ชีวิตคู่ที่ใครต่อใครเคยอิจฉา มาวันนี้ได้กลับกลายเป็นเพียงยาขมไปเสียแล้ว ภัทร์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วค่อย ๆ ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างช้า ๆ เขาไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครในตอนนี้ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องงานแล้วล่ะก็ เขายิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะรับรู้และรับฟังอะไรทั้งนั้น แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นหมายเลขและรูปภาพที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าจอมือถือ ภัทร์รู้สึกกึ่งประหลาดใจและดีใจเมื่อได้เห็นรูปนั้น.....รูปของภรรยาที่กำลังยิ้มหวานให้เขา ชายหนุ่มรีบกดรับสายทันที
“ปริม”
“ค่ะปริมเอง ปริมมีเรื่องจะคุยกับพี่โป๊ปค่ะ” พริมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของสามีภรรยาทั่ว ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เธอกำลังจะพูดกับภัทร์นั้น มันบีบคั้นอารมณ์ทั้งผู้พูดและผู้ฟังอยู่ไม่น้อย
“ปริมมีเรื่องอะไร พูดมาได้เลยนะ พี่ว่างอยู่พอดี เรื่องลูก ๆ หรือเปล่า” ภัทร์ถามอย่างกระตือรือร้นด้วยดีใจที่ได้ยินเสียงหวานที่เขาโหยหาและอยากได้ยิน เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อสองสัปดาห์ก่อน พริมาก็ไม่พูดคุยกับเขาเลย เธอพยายามหลบหน้ามาตลอด ทั้ง ๆ ที่เขาอยากให้เธอได้ต่อว่าเขาในสิ่งที่เกิดขึ้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่พริมาโทรมาหาเขา ครั้งแรกคือเมื่อวาน....
‘ปริมขอย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดโดยจะพาลูก ๆ ไปด้วย และทุกสุดสัปดาห์พี่โป๊ปก็สามารถไปรับลูกกลับมาค้างที่บ้านได้ ปริมขอเวลาขยับขยายสักพัก เพราะที่คอนโดมีอะไรต้องปรับปรุงอีกเยอะ แต่ปริมก็จะเร่งช่างให้ทำให้เร็วที่สุด พอทุกอย่างเรียบร้อยลงตัวแล้ว ปริมจะไปจดทะเบียนหย่าให้ ปริมไม่ขออะไร ไม่ต้องการอะไร ปริมขอแค่ลูก ๆ ต้องอยู่กับปริม ปริมไม่ได้พรากลูกไปจากพี่เพราะปริมไม่เคยคิดจะแยกลูกออกจากพ่อ แต่ปริมขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก ๆ ปริมขอแค่นี้หวังว่าพี่โป๊ปจะให้ปริมได้’ ภัทร์รู้ดีว่าระหว่างที่สนทนากันนั้นภรรยาของเขาต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา หญิงสาวจบบทสนทนาที่สั้นและกระชับอย่างรวบรัดว่า
‘ต่อจากนี้ไปเรายังคงเป็นพ่อและแม่ของลูก ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก ปริมจะให้พี่โป๊ปได้รับรู้ในทุกเรื่อง พี่โป๊ปจะมีสิทธิ์ได้ช่วยตัดสินใจและเฝ้าดูพวกแกเติบโตไปพร้อม ๆ กันกับปริม พี่โป๊ปยังเป็นพ่อของพวกแกเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้น......จะเปลี่ยนแปลงแค่เราสองคน และมันจะต้องไม่ส่งผลถึงลูกมากไปกว่านี้ สุดท้ายนี้ปริมขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่โป๊ปได้ทำให้ปริมตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา และปริม.......ขออโหสิให้พี่โป๊ปด้วยค่ะ เรื่องของเราจบกันแค่นี้ ต่อจากนี้ไปเราจะช่วยกันเลี้ยงลูก ๆ และดูแลให้พวกแกเติบโตขึ้นมาอย่างดีที่สุด ปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ให้มันผ่านไป แต่อย่าให้มันเกิดปัญหาใหม่ขึ้นอีก ปริมเจ็บแค่ไหนปริมทนได้ แต่ถ้าลูกต้องเจ็บ ปริมคงทนไม่ได้’
“ไม่ใช่เรื่องลูกหรอกค่ะ เรื่องของเราสองคนต่างหากค่ะ”
“ว่าไง ปริมมีอะไร พูดมาได้เลย พี่พร้อมจะฟังเสมอ” ภัทร์บอกอย่างจริงใจเพราะรู้ตัวดีว่าได้ทำให้ภรรยาต้องเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหน
“ปริมอยากเจอพี่โป๊ปค่ะ อยากคุยให้รู้เรื่อง........อยากคุยให้จบ ๆ” ภัทร์ถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ชายหนุ่มรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขารู้ดีว่าลึก ๆ แล้วพริมาเป็นคนเข้มแข็งมากขนาดไหน ใครหลายคนต่างก็ทึ่งมาแล้วเมื่อได้รับรู้ว่าพริมายอมทนเจ็บปวดได้เป็นชั่วโมง ๆ ตอนที่คลอดลูกทั้งสองตามธรรมชาติ เธอไม่ยอมใช้ยาระงับปวดใด ๆ เลย เพราะกลัวว่าจะมีผลต่อลูก เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ภัทร์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ กลัวในความเข้มแข็งของเธอและกลัวว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้แต่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นนั้น ถึงเวลาที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่กลับไปที่บ้านเลย ปริมรอพี่แป๊ปหนึ่งนะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ ปริมไม่อยากคุยที่บ้าน เราไปเจอกันที่คอนโดได้ไหมคะ ปริมนัดช่างไว้ที่นั่นตอนสี่โมงเย็น พี่โป๊ปสะดวกไปเจอกันตอนนี้เลยไหมคะ” ภัทร์เหลือบตามองนาฬิกาบนโต๊ะทำงาน เข็มยาวชี้เลข 3 และเข็มสั้นอยู่ระหว่างเลข 1 และเลข 2
“ได้สิ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงเจอกันที่คอนโดนะ”
“ค่ะ แค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ” พริมากดวางสายจบบทสนทนาในทันที ส่วนปลายสายก็เริ่มจะว้าวุ่นใจเพราะพอจะมองเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น กรรม.....คือผลของการกระทำที่เขาได้ก่อขึ้น ‘มันคงถึงเวลาที่ต้องชดใช้แล้วสินะ’
************************
เวลา 13.40 น. ณ คอนโดเพ้นท์เฮ้าส์หรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา คอนโดที่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นนี้ ด้วยห้องนอนขนาดใหญ่ถึง 3 ห้องและมีห้องน้ำในตัวอยู่ทุกห้อง มีมุมทำอาหารขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งมีอุปกรณ์ทำครัวอย่างครบครัน พร้อมทั้งเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเก้าอี้นั่งทรงสูงวางเรียงรายอยู่ข้างหน้าหลายตัว เคาน์เตอร์บาร์แห่งนี้นอกจากจะใช้เป็นโต๊ะอาหารในยามเร่งด่วนได้แล้ว ยังเป็นส่วนกั้นแบ่งครัวให้แยกจากโต๊ะกินข้าวไม้ขนาด 6 คนนั่งได้อย่างเป็นสัดส่วน ด้านข้างของโต๊ะอาหารเป็นตู้โชว์กระจกที่วางยาวเต็มฝาผนังทั้งด้านที่ มีห้องนั่งเล่นซึ่งถูกแยกตัวออกไปได้อย่างอิสระอยู่อีกฟากหนึ่งของกำแพง ตู้กระจกสีงาช้างเหล่านั้นใช้วางตุ๊กตาเคลือบและของที่ระลึกนานาชนิดจากหลายประเทศทั่วโลก นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในบรรดาของสะสมแสนรักของพริมา นอกจากของสะสมแล้วก็ยังมีรูปถ่ายในหลากหลายอิริยาบถของภัทร์และพริมาในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ และหนึ่งในนั้นก็คือรูปของทั้งคู่ในวันแต่งงาน เป็นรูปที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็พร้อมใจกันหันหน้ามาหากล้องถ่ายรูปที่อยู่ด้านหลัง ภัทร์จรดจมูกบนแก้มนวลของพริมาที่กำลังส่งยิ้มหวานให้กับช่างภาพ....ภาพที่บ่งบอกว่า ครั้งหนึ่งคนคู่นี้เคยรักกันมาก ถัดมาข้างหน้าโต๊ะอาหารก็คือชุดรับแขกที่เป็นหนังสีดำ โดยมีหมอนอิงสีสันสดใสหลายใบวางเรียงกันเต็มโซฟาและเก้าอี้นวมช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ห้องนอนใหญ่ของเจ้าของห้องอยู่ติดกับห้องนั่งเล่น เป็นห้องนอนที่ตกแต่งแบบสมัยใหม่มีห้องน้ำพร้อมอ่างจากุซซี่ขนาดใหญ่และยังมีห้องแต่งตัวพร้อมสรรพ ส่วนด้านซ้ายของโต๊ะอาหารมีทางเดินที่นำไปสู่ห้องน้ำสำหรับรับแขก ทางเดินนี้ได้แบ่งพื้นที่ห้องฟากนี้ให้ออกเป็นสองส่วน ฝั่งซ้ายคือห้องซักรีดและห้องทำงานของภัทร์ ส่วนฝั่งขวาคือห้องนอนอีก 2 ห้องซึ่งยังไม่ได้ตกแต่งแต่อย่างใดเพราะทั้งคู่ได้ย้ายออกไปอยู่บ้านพัฒนภิรมย์เสียก่อน
พริมาที่วันนี้อยู่ในชุดจั๊มสูทแขนกุดสีเขียวตองความยาวเหนือเข่าเพียงเล็กน้อยกำลังยืนกอดอก และเอียงศีรษะพิงกับกระจกใสบานใหญ่ที่ยาวจากเพดานจรดพื้นไม้ลามิเนตสีบีช.....สีที่มัณฑนากรเคยบอกกับเธอตอนที่มาตกแต่งคอนโดแห่งนี้ว่า
‘เป็นสีที่ให้ความอบอุ่นเหมาะกับการสร้างครอบครัว’ มัณฑนากรคนนั้นพูดถูก เพราะเธอได้เริ่มต้นสร้างครอบครัวที่นี่ และนึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องกลับมาจบชีวิตครอบครัวที่นี่เช่นกัน
พริมาทอดสายตาไปไกล....ไร้จุดหมาย เธอไม่ได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า....วิวของแม่น้ำเจ้าพระยาในยามกลางวันแบบนี้ผิวน้ำจะดูระยิบระยับงามจับตา เพราะต้องแสงของพระอาทิตย์ที่ตกกระทบเนื่องจากทำองศาเกือบจะเป็นมุมฉากอยู่เบื้องบน แต่ความงามของทัศนียภาพตรงหน้าที่ดูราวกับภาพวาดชิ้นเยี่ยมของจิตรกรเอกของโลกกลับไม่สามารถทำให้เธอรื่นรมย์ได้เลย พริมาเหลือบสายตามามองดูเรือยนต์ที่แล่นไปมา ก่อนที่จะหยุดสายตานิ่ง เพ่งมองดูสายน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ไปตามทาง เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของเธอที่ไหลไปตามชะตาที่ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว ไม่มีใครฝืนชะตาที่ถูกลิขิตไว้แล้วได้ เธอเองยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชีวิตแต่งงานที่มีความสุขราวกับเจ้าชายและเจ้าหญิงในเทพนิยายนั้น จะจบลงแบบนี้ หญิงสาวพยายามทำใจให้สงบเยือกเย็นเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับสามีอีกครั้งหลังจากพยายามเลี่ยงที่จะพบปะซึ่ง ๆ หน้ามานับตั้งแต่เกิดเรื่อง นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยเพราะภายในหัวใจของเธอนั้นกำลังปวดร้าวกับสิ่งที่เธอได้ตระเตรียมมา สิ่งที่เธอกำลังจะพูดกับเขา.....ผู้ชายคนเดียวที่เธอรัก....รักแบบที่แตกต่างไปจากความรักที่เธอมีให้กับลูกชายทั้งสองคน
เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงประตูที่เปิดออกเพราะพริมาไม่ได้ล็อคประตูไว้ หญิงสาวจึงหยุดความคิดที่สับสนไว้เพียงแค่นั้น ณ เวลานั้นเธอไม่มีโอกาสไตร่ตรองหรือเปลี่ยนใจอะไรได้อีกแล้ว สายไปเสียแล้ว เมื่อเธอยังยืนกรานกับข้อสรุปเดิมที่มีอยู่ในใจแล้วจึงหมุนตัวมาหาผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่
“พี่โป๊ป” เธอเรียกชื่อเขาแทนคำทักทายด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
ภัทร์มองเห็นหน้าพริมาอย่างชัดเจนเพราะม่านบังตาได้ถูกเปิดไว้ตลอดแนวผนังกระจก ทั่วทั้งห้องจึงได้รับแสงจากพระอาทิตย์จนทำให้ทั้งห้องสว่าง พริมาดูซูบไป ใบหน้าเธอเรียวยาวขึ้น ดวงตากลมโตที่สบตากับเขาอยู่นั้นยังคงสวยราวกับตากวางอย่างที่เขาเคยเปรียบให้เธอฟัง แต่แววตาคู่นั้นกลับช่างดูหม่นหมองไม่สดใสและไร้ชีวิตชีวา ที่สำคัญมันไม่เปล่งประกายฉายความรักที่เธอมีให้เขาได้เห็นเลย ภัทร์รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“ปริม” ภัทร์สาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาอยากสวมกอดเธอเพราะความคำนึงและคิดถึงที่มีให้มากว่าสองสัปดาห์
“เรานั่งคุยกันดีกว่าไหมคะ” คำพูดของพริมาทำให้ภัทร์หยุดนิ่งในทันที ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมหนังแท้สีดำเงาวับตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ชุดโซฟาหนังแท้นำเข้าจากประเทศอิตาลีชุดนี้ยังดูเหมือนใหม่อยู่มากทั้ง ๆ ที่ซื้อมาตั้งแต่คนทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่เมื่อ 6 ปีก่อน แต่เป็นเพราะมันได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากแม่บ้านของคอนโดที่พริมาจ้างให้มาทำความสะอาดทุก ๆ 2 สัปดาห์แม้ว่าเจ้าของจะไม่ได้มาพำนักอาศัยอยู่ที่นี่นานแล้วก็ตาม
พริมาเดินมานั่งลงตรงข้ามกับภัทร์ ราวกับต้องการจะบอกให้เขารับรู้กลาย ๆ ว่า ต่อไปนี้พวกเขาคงเป็นได้แค่เส้นขนานต่อกัน
“ขอบคุณนะคะที่พี่โป๊ปอุตส่าห์เสียสละเวลามาที่นี่ ปริมไม่อยากคุยที่บ้านเพราะไม่สะดวก ปริมขอเข้าเรื่องเลยนะคะ” พริมาสบตาภัทร์ เพื่อค้นหาคำตอบว่าเพราะอะไร
“ปริมมีอะไรก็ว่ามาได้เลย พี่พร้อมจะรับฟัง”
“ปริมจะย้ายมาอยู่ที่นี่”
“ที่จริงปริมไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยนะ” พริมาไม่ฟังคำคัดค้านของภัทร์ เธอจึงบอกจุดมุ่งหมายออกไป
“ปริมนัดช่างไว้ตอนสี่โมงเพราะจะให้เขาตกแต่งห้องนอนสองห้องโน้นให้เป็นห้องสำหรับลูก” พริมาหมายถึงการตกแต่งห้องนอนหนึ่งห้องไว้สำหรับลูก ๆ ทั้งสอง และอีกหนึ่งห้องไว้เป็นห้องเด็กเล่น
เมื่อเห็นว่าพริมามีจุดยืนที่แน่วแน่และคงยากแก่การโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจแล้ว ภัทร์จึงยอมจำนน
“แล้วปริมจะย้ายออกมาเมื่อไร”
“ทันทีที่ช่างเขาตกแต่งเสร็จค่ะ”
“ที่จริงปริมกับลูกไม่ต้องย้ายออกมาก็ได้นะ ปริมยังอยู่ที่บ้านของเราได้ เพราะพี่ไม่เคยคิดจะให้ใครย้ายเข้าไปอยู่แทนที่ปริม” ภัทร์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
“ไหน ๆ เราก็จะหย่ากันอยู่แล้ว ทำให้มันจบ ๆ ไปเสียเลยน่าจะดีกว่านะคะ ถึงปริมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ พี่โป๊ปก็แวะมาหาลูกได้ตลอดเวลาค่ะ ที่สำคัญปริมไม่อยากอยู่ร่วมกับคนที่หักหลังกันได้อีกแล้ว” พริมายังคงยืนกรานกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วและบอกความรู้สึกลึก ๆ ออกไปด้วยสายตาที่ร้าวราน ซึ่งทำให้คนฟังถึงกับสะอึก
“พี่สงสารลูก ไม่อยากให้ลูกต้องปรับตัวใหม่”
“ปริมก็สงสารลูกค่ะ” พริมาสวนกลับทันทีพร้อมทั้งแฝงความนัยให้ภัทร์ต้องตีความเอาเอง พริมากล่าวต่อเพิ่มเติมว่า
“ให้ลูกรู้จักปรับตัวตั้งแต่เล็กไว้ก็ดีค่ะ เพราะเมื่อพวกแกโตขึ้นและต้องเจออะไรที่เกินคาด พวกแกจะได้รับมือกับมันได้ถูก” พริมาจ้องตากับภัทร์ซึ่งเริ่มกรุ่นโกรธที่ถูกกระทบกระเทียบ
“ส่วนเรื่องหย่าน่ะ พี่บอกตรง ๆ นะ ว่าไม่อยากหย่า ที่จริงต่างคนต่างอยู่ก็ได้นี่ เขาก็อยู่ส่วนเขา ปริมก็อยู่ส่วนปริม พี่สัญญาว่าจะไม่ให้เขามายุ่งเกี่ยวกับปริมอย่างเด็ดขาด”
“พี่โป๊ปไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ พูดง่ายนะคะ ต่างคนต่างอยู่ ลองพี่โป๊ปมาเป็นปริมดูบ้างสิคะ” พริมาชักมีน้ำโหเช่นกัน เธอหยุดนิ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนที่จะทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
“หรือจะให้ปริมเป็นแบบพี่โป๊ปบ้างเอาไหมละคะ ให้ปริมมีผู้ชายอีกคนบ้าง แล้วก็ให้พี่โป๊ปคิดเสียว่าต่างคนต่างอยู่ เอาไหมละคะ ถ้าพี่โป๊ปทำใจได้ ปริมก็ยอม” ภัทร์กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินข้อเสนอของภรรยา
“พี่ไม่อยากให้เรื่องมันอื้อฉาว” ภัทร์พูดอย่างคนเห็นแก่ตัว
“ฮึ! ถ้ามันจะต้องอื้อฉาวคนที่ต้องอายไม่ใช่ปริมหรอกเหรอคะ ไม่ใช่ปริมเหรอคะที่กำลังจะกลายเป็นม่ายเพราะสามีมีเมียใหม่น่ะ!” พริมาพยายามระงับอารมณ์โกรธที่ทวีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น และมันก็ค่อย ๆ แผ่วลงอย่างช้า ๆ เมื่อได้ยินเหตุผลจากปากของภัทร์ว่า
“โอเค ๆ เรามาพูดกันดี ๆ ดีกว่านะ ถ้าปริมอยากหย่าพี่ก็จะหย่าให้ ทั้ง ๆ ที่พี่ไม่เต็มใจหรอกนะ ส่วนเรื่องย้ายมาอยู่ที่นี่ พี่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องย้ายออกด้วยในเมื่อพี่ก็บอกปริมแล้วว่าพี่ไม่คิดจะพาเขาย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้าน พี่ไม่เคยคิดจะให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นเลย อย่าย้ายออกเลยนะปริม” ภัทร์บอกด้วยเสียงเว้าวอนเพื่อเหนี่ยวรั้งให้พริมายอมใจอ่อน
“ถึงเราจะหย่ากันแล้ว ก็ขอให้อยู่ด้วยกันเพื่อลูก ทำไม่ได้เหรอ” พริมาเกือบจะยอมใจอ่อนเมื่อได้ยินภัทร์ยกลูกขึ้นมาอ้าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเขาพูดต่อออกมาว่า
“ทำไมปริมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วยนะ พี่ไม่เข้าใจเลย” คำพูดเพียงไม่กี่คำของภัทร์เท่านั้นเอง แต่มันกลับกระแทกใจพริมาเข้าอย่างจังราวกับน้ำมันที่รดลงไปบนกองเถ้าถ่านที่ยังคุกรุ่นอยู่ เปลวไฟจึงลุกติดพรึ่บขึ้นมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย พริมาปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างหมดเปลือก
“ยุ่งยากเหรอคะ ฮึ! แล้วใครละคะที่ทำให้มันยุ่งยากยุ่งเหยิงไปหมดแบบนี้ เพราะใครกัน! เพราะใครที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องเป็นแบบนี้ เพราะใครกัน!!!” พริมาตะโกนถามภัทร์พร้อมทั้งทำนบน้ำตาที่พังทลายไหลออกมาอย่างเกินกำลังที่จะกลั้นไว้ได้อีกต่อไป เธอร้องไห้จนตัวโยน ภัทร์ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นรวดเร็วและไม่คาดคิด แต่เขาก็โต้ตอบพริมากลับไปทันทีว่า
“ปริมอยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร อยากรู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงทำแบบนี้น่ะ!!!” ภัทร์เริ่มฉุนเฉียวมากขึ้น
“ปริมรู้แล้วว่าเพราะอะไร!!!” พริมาตะคอกกลับใส่ภัทร์อย่างลืมตัว
“เพราะอะไร ไหนลองบอกพี่มาซิ”
“ก็เพราะปริมไม่ได้สาวไม่ได้สวยเหมือนผู้หญิงคนนั้นไงละคะ!!!” พริมาพยายามกลั้นสะอื้น
“ไม่ใช่เลย! ปริมคิดผิด! ไม่ใช่เรื่องแบบนั้นเลย โธ่เว้ย!” ภัทร์สบถเพราะรู้สึกผิดหวังที่โดนดูถูกน้ำใจจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาเองมากว่า 6 ปีแล้ว
“งั้นเพราะอะไรละคะ ปริมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่” พริมาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของสามีเพื่อจะค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่
“ปริมไม่รู้จริง ๆ เหรอ” ภัทร์ถามด้วยความน้อยใจ พริมานิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดทบทวนอยู่สักพักก่อนที่จะพูดว่า
“พี่โป๊ปอย่าบอกนะคะ.....ว่าสาเหตุ คือ เพราะปริมไม่ยอมมีลูกสาวให้พี่อีกคนน่ะ” พริมาจ้องหน้าภัทร์พลางค้นหาคำตอบที่อยู่ในดวงตาคมคู่นั้น
“ไม่ใช่เรื่องนี้หรอก พี่ไม่ได้อยากมีลูกสาวมากจนต้องไปมีคนอื่น.....ปริมไม่รู้ตัวเลยสินะว่าทำอะไรไปบ้าง” ภัทร์เอนไปพิงพนักพิงโซฟาอย่างหมดแรงก่อนที่จะรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ตอบพริมา
“เพราะปริมไม่มีเวลาให้พี่เลยไงล่ะ” พริมาตกตะลึงกับคำตอบที่ออกมาจากปากของสามี
“ตั้งแต่มีลูก ปริมก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับลูกจนลืมไปว่ามีพี่อยู่ตรงนี้อีกคนหนึ่ง ปริมให้เวลาทั้งหมดกับลูกจนไม่มีเหลือให้พี่ ไม่มีเหลือให้แม้แต่ตัวเอง” ภัทร์ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาเช่นกัน พริมานิ่งงันเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกของสามี เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเธอพังทลายลง
“พี่โป๊ปกำลังจะบอกปริมว่า....เพราะเรามีลูกกันนะเหรอถึงทำให้มันเป็นแบบนี้ ปริมงงไปหมดแล้ว ขนาดมีลูกแค่สองคนพี่โป๊ปก็ว่าปริมไม่มีเวลาให้ งั้นทำไมมาคะยั้นคะยอให้ปริมไปหาหมอเพื่อจะมีลูกสาวอีกล่ะค่ะ ปริมไม่เข้าใจ ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะลูก....” พริมายังพูดไม่ทันจบ ภัทร์ก็ขัดขึ้น
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ไม่ได้หมายความว่าเพราะลูกทำให้เราเป็นแบบนี้ พี่หมายความว่าตั้งแต่มีลูก ปริมก็ไม่ยอมห่างพวกแกเลย ปริมเป็นแม่ที่ดีนะ ปริมรักลูกและดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างดี แต่ปริมลืมไปว่าเรายังมีชีวิตคู่ของเราสองคนด้วยนะ ปริมไม่ได้เป็นแม่อย่างเดียว ปริมยังเป็นเมียพี่ด้วย”
“แต่ปริมก็ยังทำหน้าที่เมีย ไม่ใช่เหรอคะ” พริมาถามภัทร์ตรง ๆ
“ใช่ แต่ชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่นั้นนี่ปริม พี่ไม่ได้ต้องการปริมเฉพาะเรื่องบนเตียง พี่อยากใช้เวลาตามลำพังกับปริมบ้างเหมือนเมื่อตอนที่เราเป็นแฟนหรือตอนที่เรายังไม่มีลูก ออกไปดูหนังฟังเพลงด้วยกัน ไปสังสรรค์กับพรรคพวกเพื่อนฝูงบ้าง แต่ทุกครั้งที่พี่ชวนปริม ปริมก็จะปฏิเสธ ปริมจะบอกว่าเหนื่อย บอกว่าอยากอยู่กับลูก ชวนไปไหนก็ไม่เคยไป”
“แต่ปริมพูดความจริงนี่คะ ปริมเลี้ยงลูกเองแทบจะ 24 ชั่วโมงปริมเหนื่อย พี่โป๊ปไม่ได้เลี้ยงลูกเอง พี่โป๊ปไม่รู้หรอกว่ามันเหนื่อยมากเพียงไหน ยิ่งลูกชายสองคนด้วยแล้ว แกก็ต้องซนไปตามประสาเด็ก”
“พี่ถึงหาคนช่วยปริมเลี้ยงไงล่ะ พี่รู้ว่าปริมห่วงลูกรักลูกยิ่งกว่าชีวิต แต่เราก็มีคนที่ไว้ใจได้นี่นา ไหนจะคุณปู่กับคุณย่าคุณตาคุณยาย แต่ปริมก็ไม่เคยไว้ใจใครเลย”
“ใครจะเลี้ยงลูกได้ดีกว่าแม่ได้” ทั้งคู่ต่างยกเหตุผลสนับสนุนความคิดของตนเอง
“พี่ไม่เถียงกับปริมเรื่องนั้น แม่ย่อมเลี้ยงลูกได้ดีที่สุด แต่เราก็มีพี่เลี้ยงมีแม่บ้านนะ ทำไมปริมไม่ปล่อยให้พวกเขาทำให้ลูกบ้างล่ะ ที่พี่เห็นคือปริมทำทุกอย่างเองทั้งหมด แล้วมันจะไม่เหนื่อยได้ยังไง ปริมแทบไม่มีเวลาให้ตัวเองเลย เวลาไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวปริมก็ไม่ยอมให้พี่เลี้ยงตามไปด้วย ปริมคงไม่รู้ตัวว่าปริมดูเหนื่อยมากขนาดไหน เราไปพักผ่อนไปสนุกกัน แต่ปริมแทบไม่ได้พักเพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับลูก ๆ ตลอดเวลา” ภัทร์ระบายออกมาอย่างหมดสิ้น
“แต่ปริมมีความสุขนี่คะที่ได้ดูแลลูกเอง” พริมาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลงพลางซับน้ำตาไปด้วย เธอยังคงสับสนกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ในวันนี้ เธอไม่คาดคิดว่าการเป็นแม่ที่ดีของเธอจะเป็นสาเหตุให้เธอและสามีต้องมีช่องว่างระหว่างกันขนาดนี้
“ใช่ ปริมมีความสุขที่ได้ดูแลลูก แล้วพี่ล่ะ ปริมเคยสนใจพี่บ้างไหม พี่เข้าใจที่ปริมรักลูกมาก แต่ปริมต้องไม่ลืมด้วยว่าพี่ก็อยากได้รับความเอาใจใส่ดูแลแบบนั้นบ้าง”
“พี่โป๊ปหึงลูกเหรอคะ” พริมาสรุปเอาดื้อ ๆ
“ไม่ใช่ พี่ไม่ได้หึงลูก แต่พี่น้อยใจปริมต่างหากล่ะที่ไม่สนใจพี่เลย พี่ก็....” ภัทร์พูดไม่ทันจบประโยค พริมาก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า
“เลยทำให้พี่ต้องมีคนอื่น ใช่ไหมคะ” พริมาจ้องหน้าภัทร์เพื่อรอฟังคำตอบ
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ มันเกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิด”
“ความใกล้ชิดอย่างนั้นเหรอคะ ถ้าแค่ความใกล้ชิด มันคงไม่เลยเถิดจนท้องโตแบบนี้หรอกมั้งคะ ความใกล้ชิดอาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ คนเราใกล้ชิดกันก็อาจเผลอกันได้ แต่ความผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในใจก็น่าจะห้ามไม่ให้มันมีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้าตามมาสิคะ!!!”
“พี่ยอมรับว่าพี่พลาด พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แต่เพราะปริมไม่มีเวลาให้พี่ พอพี่ไปเจอคนที่ใส่ใจ คนที่...” ภัทร์หาเหตุผลให้ตัวเองพ้นผิด
“สรุปว่าปริมผิดงั้นสิ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะปริม เพราะปริมคนเดียวสินะ” พริมาจ้องมองหน้าภัทร์ผ่านม่านน้ำตาที่ยังคงไหลไม่หยุด เธอหลับตาแล้วซบหน้าร้องไห้บนฝ่ามือตนเองอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากกลั้นสะอื้นได้แล้ว จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วบอกกับภัทร์ว่า
“กลับกลายเป็นว่าการที่ปริมยอมออกจากงานที่รักเพื่อมาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง การที่ปริมทำทุกอย่างให้ลูก ยอมเหนื่อยเลี้ยงลูกเองดูแลลูกเองเป็นสิ่งที่ผิด เป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องพังลง เป็นสาเหตุให้พี่ต้องมีเมียอีกคน พี่โป๊ปหมายความอย่างนั้นใช่ไหมคะ” พริมายังคงมีน้ำตาไหลพรากถึงแม้เธอจะพยายามหยุดร้องไห้อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่เมื่อความรู้สึกที่เก็บกดอยู่ข้างในได้พรั่งพรูออกมาแล้ว มันก็ยากที่จะห้ามน้ำตาให้หยุดไหลลงได้
“พี่โป๊ปอยากให้ลูกโตมากับพี่เลี้ยงที่มีความรู้แค่ ม. ต้น อยากให้ลูกโตมากับความคิดความอ่านของคนอื่น อยากให้ใครก็ไม่รู้มาอบรมเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่ อยากให้ลูกเหมือนลูกคนอื่น ๆ ที่มีพี่เลี้ยงเป็นแม่ มีคนขับรถเป็นพ่อ อย่างนั้นเหรอคะ!!!” พริมาแผดเสียงถามพร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังระคนเสียใจให้กับสามีที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้า
“ที่ปริมยอมเหนื่อย ยอมทุ่มเทให้ลูก ไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหมคะเมื่อเทียบกับเวลาที่ปริมไม่มีให้กับพี่ เพราะปริมเป็นแบบนี้ เพราะปริมรักลูก พี่เลยต้องมีคนอื่น คนอื่นที่เขามีเวลาใส่ใจพี่ มีเวลาดูแลพี่และยอมมีลูกสาวให้พี่ เพราะแบบนี้ใช่ไหม.....ปริมเข้าใจแล้วค่ะ ปริมเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว ฮือๆๆ” พริมายิ่งเจ็บช้ำมากขึ้นเมื่อมารับรู้สาเหตุที่ทำให้ภัทร์ต้องนอกใจ สาเหตุที่มาจากตัวเธอเอง
“เฮ้อ! พี่ว่าเราพูดกันตอนนี้ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง” ภัทร์ตัดบท
“ไม่ต้องคุยกันแล้วล่ะค่ะ พอแล้ว ในเมื่อปริมผิด ปริมไม่ดี ก็หย่ากันให้จบ ๆ ไปเลย” พริมาประชดประชันเพราะความอดทนที่เคยมีได้หมดลงแล้ว เธอพูดต่อว่า
“แปลกดีนะคะ จากเมียที่ถูกสามีนอกใจถูกสามีสวมเขาให้ เมียที่เฝ้าเลี้ยงดูลูกอย่างดีเมียที่พยายามเป็นแม่ที่ดีให้ลูก จากคนที่ถูก กลับกลายเป็นว่าปริมคือสาเหตุที่ทำให้พี่ภัทร์ต้องนอกใจ ปริมกลายเป็นคนผิด หึๆๆ ตลกดีนะคะ ถ้าปริมเป็นผู้หญิงเลว ๆ เลี้ยงลูกทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ มัวเอาเวลาไปเสริมสวยแต่งตัวช็อปปิ้ง ถ้าปริมทำแบบนั้นพี่โป๊ปคงไม่คบชู้และทรยศปริมใช่ไหมคะ” พริมาหัวเราะเยาะตัวเองทั้งน้ำตา ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าทรยศก็ถึงกับหน้าชา
“โลกนี้มันแปลกดีนะคะ เกิดเป็นผู้ชายทำอะไรก็ไม่ผิด จะนอกใจคนรัก จะมีคนอื่นกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยผิด”
“โธ่โว้ย!” ภัทร์สบถอย่างหัวเสียและเหลืออดที่ถูกเข้าใจผิด เขาพูดกลับไปว่า
“พี่ไม่เคยนอกใจปริมนะ ไม่เคยเลย นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เราคบกันมา”
“ไม่จริง! พี่โป๊ปลืมไปแล้วเหรอคะว่าปริมเคยพบพี่อยู่กับผู้หญิงที่คอนโดครั้งหนึ่ง พี่ลืมไปแล้วเหรอคะ! ปริมเคยบอกพี่แล้วว่านั่นคือโอกาสครั้งสุดท้ายของพี่ ครั้งนี้ปริมจึงไม่มีโอกาสจะให้พี่อีกแล้ว ปริมขอหย่า เข้าใจหรือยังละคะว่าทำไมปริมต้องทำเรื่องเล็กอย่างที่พี่ว่าให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ ปริมจะไม่ทนอีกแล้ว”
“แต่พี่ขอยืนยันนะว่าพี่ไม่เคยนอกใจปริมมาก่อน ครั้งนั้นพี่ไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น วันนั้นน่ะเขาเพิ่งมาถึงคอนโดก่อนปริมได้ไม่นาน และพี่ก็กำลังอาบน้ำอยู่ ที่ปริมเห็นปริมคิดไปเองทั้งนั้น” พริมาต้องแปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ถึงแม้มันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ภัทร์มาบอกในวันที่มันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
“แล้วทำไมพี่โป๊ปถึงไม่เคยบอกปริม ทำไมไม่เคยอธิบาย” พริมาถามด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนโยนขึ้น
“ถ้าพี่อธิบายในตอนนั้นวันนั้นปริมจะเชื่อพี่เหรอ เพราะปริมได้เชื่อในสิ่งที่เห็นไปแล้ว เหมือนที่พี่ก็เคยเชื่อว่าเปรมเป็นแฟนปริมไงล่ะ พี่เลยเงียบเสียดีกว่าในเมื่อสุดท้ายแล้วเราก็เข้าใจกันแล้ว จะขุดคุ้ยขึ้นมาอีกทำไม”
“แต่พี่ก็ไม่เคยคิดจะอธิบายเรื่องนี้ให้ปริมได้รู้ความจริงเลยทั้ง ๆ ที่เราแต่งงานอยู่กินกันมาตั้ง 6 ปีกว่าแล้วนะคะ พี่ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย ทำไมละคะ ทำไมปล่อยให้ปริมเข้าใจพี่ผิดอยู่ตั้งนาน”
“จะให้พี่พูดเพื่ออะไรล่ะ ในเมื่อเราก็เข้าใจและรักกันดี เรื่องที่มันทำให้เราทุกข์จะพูดไปทำไม แต่ที่พี่พูดขึ้นมาในวันนี้ เพราะอยากให้ปริมได้รู้ความจริงว่าพี่ไม่เคยนอกใจปริมเลยนับตั้งแต่วันที่เราตกลงคบเป็นแฟนกันแล้ว”
“แล้วคราวนี้ละคะ เรียกว่านอกใจได้หรือยัง” พริมาถาม ภัทร์จ้องหน้าหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะตอบออกไปว่า
“อย่างที่พี่บอกปริมตั้งแต่วันที่พี่พาเขาเข้าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ พี่ขอยืนยันว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ พี่พลาดไปแล้ว เพราะความใกล้ชิดและความดูแลเอาใจใส่ในวันที่พี่กำลังน้อยใจปริม เขากำลังอุ้มท้องลูกของพี่ อย่างน้อยพี่ก็ต้องรับผิดชอบเด็กในท้อง” ภัทร์แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ
“ช่างมันเถอะค่ะ ปริมไม่อยากพรากแม่พรากลูก และปริมก็คิดว่าพี่โป๊ปก็คงคิดแบบเดียวกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่พาเขาเข้าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ถึงที่บ้าน พี่โป๊ปต้องการจะรับผิดชอบทั้งแม่และลูก ปริมพูดถูกใช่ไหมคะ” หญิงสาวสบตาสามี
“ยิ่งไปกว่านั้น พี่โป๊ปก็คงอยากรับผิดชอบทั้งเมียหลวงและเมียน้อยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยใช่ไหมคะ” พริมาที่หยุดร้องไห้แล้วถามภัทร์อย่างท้าทาย
“แบบนั้นน่ะ มันมีแต่ในละครค่ะ!!!” พริมาพูดเสร็จก็ลุกเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่แล้วปิดประตูโครมเสียงดังสนั่น
************************
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และทุกคนที่ตามอ่านนะคะ
ตอนที่ 10
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของภัทร์ร้องดังขึ้น ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ที่เคยหวานในอดีต.....ภาพหวานในวันวานที่ครั้งหนึ่งได้ชื่อว่าเป็นความทรงจำที่งดงามของชีวิตคู่....ชีวิตคู่ที่ใครต่อใครเคยอิจฉา มาวันนี้ได้กลับกลายเป็นเพียงยาขมไปเสียแล้ว ภัทร์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วค่อย ๆ ดึงโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างช้า ๆ เขาไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครในตอนนี้ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องงานแล้วล่ะก็ เขายิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะรับรู้และรับฟังอะไรทั้งนั้น แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นหมายเลขและรูปภาพที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าจอมือถือ ภัทร์รู้สึกกึ่งประหลาดใจและดีใจเมื่อได้เห็นรูปนั้น.....รูปของภรรยาที่กำลังยิ้มหวานให้เขา ชายหนุ่มรีบกดรับสายทันที
“ปริม”
“ค่ะปริมเอง ปริมมีเรื่องจะคุยกับพี่โป๊ปค่ะ” พริมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของสามีภรรยาทั่ว ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่เรื่องที่เธอกำลังจะพูดกับภัทร์นั้น มันบีบคั้นอารมณ์ทั้งผู้พูดและผู้ฟังอยู่ไม่น้อย
“ปริมมีเรื่องอะไร พูดมาได้เลยนะ พี่ว่างอยู่พอดี เรื่องลูก ๆ หรือเปล่า” ภัทร์ถามอย่างกระตือรือร้นด้วยดีใจที่ได้ยินเสียงหวานที่เขาโหยหาและอยากได้ยิน เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อสองสัปดาห์ก่อน พริมาก็ไม่พูดคุยกับเขาเลย เธอพยายามหลบหน้ามาตลอด ทั้ง ๆ ที่เขาอยากให้เธอได้ต่อว่าเขาในสิ่งที่เกิดขึ้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่พริมาโทรมาหาเขา ครั้งแรกคือเมื่อวาน....
‘ปริมขอย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดโดยจะพาลูก ๆ ไปด้วย และทุกสุดสัปดาห์พี่โป๊ปก็สามารถไปรับลูกกลับมาค้างที่บ้านได้ ปริมขอเวลาขยับขยายสักพัก เพราะที่คอนโดมีอะไรต้องปรับปรุงอีกเยอะ แต่ปริมก็จะเร่งช่างให้ทำให้เร็วที่สุด พอทุกอย่างเรียบร้อยลงตัวแล้ว ปริมจะไปจดทะเบียนหย่าให้ ปริมไม่ขออะไร ไม่ต้องการอะไร ปริมขอแค่ลูก ๆ ต้องอยู่กับปริม ปริมไม่ได้พรากลูกไปจากพี่เพราะปริมไม่เคยคิดจะแยกลูกออกจากพ่อ แต่ปริมขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก ๆ ปริมขอแค่นี้หวังว่าพี่โป๊ปจะให้ปริมได้’ ภัทร์รู้ดีว่าระหว่างที่สนทนากันนั้นภรรยาของเขาต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา หญิงสาวจบบทสนทนาที่สั้นและกระชับอย่างรวบรัดว่า
‘ต่อจากนี้ไปเรายังคงเป็นพ่อและแม่ของลูก ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก ปริมจะให้พี่โป๊ปได้รับรู้ในทุกเรื่อง พี่โป๊ปจะมีสิทธิ์ได้ช่วยตัดสินใจและเฝ้าดูพวกแกเติบโตไปพร้อม ๆ กันกับปริม พี่โป๊ปยังเป็นพ่อของพวกแกเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้น......จะเปลี่ยนแปลงแค่เราสองคน และมันจะต้องไม่ส่งผลถึงลูกมากไปกว่านี้ สุดท้ายนี้ปริมขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่โป๊ปได้ทำให้ปริมตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา และปริม.......ขออโหสิให้พี่โป๊ปด้วยค่ะ เรื่องของเราจบกันแค่นี้ ต่อจากนี้ไปเราจะช่วยกันเลี้ยงลูก ๆ และดูแลให้พวกแกเติบโตขึ้นมาอย่างดีที่สุด ปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ให้มันผ่านไป แต่อย่าให้มันเกิดปัญหาใหม่ขึ้นอีก ปริมเจ็บแค่ไหนปริมทนได้ แต่ถ้าลูกต้องเจ็บ ปริมคงทนไม่ได้’
“ไม่ใช่เรื่องลูกหรอกค่ะ เรื่องของเราสองคนต่างหากค่ะ”
“ว่าไง ปริมมีอะไร พูดมาได้เลย พี่พร้อมจะฟังเสมอ” ภัทร์บอกอย่างจริงใจเพราะรู้ตัวดีว่าได้ทำให้ภรรยาต้องเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหน
“ปริมอยากเจอพี่โป๊ปค่ะ อยากคุยให้รู้เรื่อง........อยากคุยให้จบ ๆ” ภัทร์ถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ชายหนุ่มรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขารู้ดีว่าลึก ๆ แล้วพริมาเป็นคนเข้มแข็งมากขนาดไหน ใครหลายคนต่างก็ทึ่งมาแล้วเมื่อได้รับรู้ว่าพริมายอมทนเจ็บปวดได้เป็นชั่วโมง ๆ ตอนที่คลอดลูกทั้งสองตามธรรมชาติ เธอไม่ยอมใช้ยาระงับปวดใด ๆ เลย เพราะกลัวว่าจะมีผลต่อลูก เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ภัทร์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ กลัวในความเข้มแข็งของเธอและกลัวว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้แต่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นนั้น ถึงเวลาที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่กลับไปที่บ้านเลย ปริมรอพี่แป๊ปหนึ่งนะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ ปริมไม่อยากคุยที่บ้าน เราไปเจอกันที่คอนโดได้ไหมคะ ปริมนัดช่างไว้ที่นั่นตอนสี่โมงเย็น พี่โป๊ปสะดวกไปเจอกันตอนนี้เลยไหมคะ” ภัทร์เหลือบตามองนาฬิกาบนโต๊ะทำงาน เข็มยาวชี้เลข 3 และเข็มสั้นอยู่ระหว่างเลข 1 และเลข 2
“ได้สิ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงเจอกันที่คอนโดนะ”
“ค่ะ แค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ” พริมากดวางสายจบบทสนทนาในทันที ส่วนปลายสายก็เริ่มจะว้าวุ่นใจเพราะพอจะมองเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น กรรม.....คือผลของการกระทำที่เขาได้ก่อขึ้น ‘มันคงถึงเวลาที่ต้องชดใช้แล้วสินะ’
************************
เวลา 13.40 น. ณ คอนโดเพ้นท์เฮ้าส์หรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา คอนโดที่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นนี้ ด้วยห้องนอนขนาดใหญ่ถึง 3 ห้องและมีห้องน้ำในตัวอยู่ทุกห้อง มีมุมทำอาหารขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งมีอุปกรณ์ทำครัวอย่างครบครัน พร้อมทั้งเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเก้าอี้นั่งทรงสูงวางเรียงรายอยู่ข้างหน้าหลายตัว เคาน์เตอร์บาร์แห่งนี้นอกจากจะใช้เป็นโต๊ะอาหารในยามเร่งด่วนได้แล้ว ยังเป็นส่วนกั้นแบ่งครัวให้แยกจากโต๊ะกินข้าวไม้ขนาด 6 คนนั่งได้อย่างเป็นสัดส่วน ด้านข้างของโต๊ะอาหารเป็นตู้โชว์กระจกที่วางยาวเต็มฝาผนังทั้งด้านที่ มีห้องนั่งเล่นซึ่งถูกแยกตัวออกไปได้อย่างอิสระอยู่อีกฟากหนึ่งของกำแพง ตู้กระจกสีงาช้างเหล่านั้นใช้วางตุ๊กตาเคลือบและของที่ระลึกนานาชนิดจากหลายประเทศทั่วโลก นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในบรรดาของสะสมแสนรักของพริมา นอกจากของสะสมแล้วก็ยังมีรูปถ่ายในหลากหลายอิริยาบถของภัทร์และพริมาในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ และหนึ่งในนั้นก็คือรูปของทั้งคู่ในวันแต่งงาน เป็นรูปที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็พร้อมใจกันหันหน้ามาหากล้องถ่ายรูปที่อยู่ด้านหลัง ภัทร์จรดจมูกบนแก้มนวลของพริมาที่กำลังส่งยิ้มหวานให้กับช่างภาพ....ภาพที่บ่งบอกว่า ครั้งหนึ่งคนคู่นี้เคยรักกันมาก ถัดมาข้างหน้าโต๊ะอาหารก็คือชุดรับแขกที่เป็นหนังสีดำ โดยมีหมอนอิงสีสันสดใสหลายใบวางเรียงกันเต็มโซฟาและเก้าอี้นวมช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ห้องนอนใหญ่ของเจ้าของห้องอยู่ติดกับห้องนั่งเล่น เป็นห้องนอนที่ตกแต่งแบบสมัยใหม่มีห้องน้ำพร้อมอ่างจากุซซี่ขนาดใหญ่และยังมีห้องแต่งตัวพร้อมสรรพ ส่วนด้านซ้ายของโต๊ะอาหารมีทางเดินที่นำไปสู่ห้องน้ำสำหรับรับแขก ทางเดินนี้ได้แบ่งพื้นที่ห้องฟากนี้ให้ออกเป็นสองส่วน ฝั่งซ้ายคือห้องซักรีดและห้องทำงานของภัทร์ ส่วนฝั่งขวาคือห้องนอนอีก 2 ห้องซึ่งยังไม่ได้ตกแต่งแต่อย่างใดเพราะทั้งคู่ได้ย้ายออกไปอยู่บ้านพัฒนภิรมย์เสียก่อน
พริมาที่วันนี้อยู่ในชุดจั๊มสูทแขนกุดสีเขียวตองความยาวเหนือเข่าเพียงเล็กน้อยกำลังยืนกอดอก และเอียงศีรษะพิงกับกระจกใสบานใหญ่ที่ยาวจากเพดานจรดพื้นไม้ลามิเนตสีบีช.....สีที่มัณฑนากรเคยบอกกับเธอตอนที่มาตกแต่งคอนโดแห่งนี้ว่า
‘เป็นสีที่ให้ความอบอุ่นเหมาะกับการสร้างครอบครัว’ มัณฑนากรคนนั้นพูดถูก เพราะเธอได้เริ่มต้นสร้างครอบครัวที่นี่ และนึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องกลับมาจบชีวิตครอบครัวที่นี่เช่นกัน
พริมาทอดสายตาไปไกล....ไร้จุดหมาย เธอไม่ได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า....วิวของแม่น้ำเจ้าพระยาในยามกลางวันแบบนี้ผิวน้ำจะดูระยิบระยับงามจับตา เพราะต้องแสงของพระอาทิตย์ที่ตกกระทบเนื่องจากทำองศาเกือบจะเป็นมุมฉากอยู่เบื้องบน แต่ความงามของทัศนียภาพตรงหน้าที่ดูราวกับภาพวาดชิ้นเยี่ยมของจิตรกรเอกของโลกกลับไม่สามารถทำให้เธอรื่นรมย์ได้เลย พริมาเหลือบสายตามามองดูเรือยนต์ที่แล่นไปมา ก่อนที่จะหยุดสายตานิ่ง เพ่งมองดูสายน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ไปตามทาง เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของเธอที่ไหลไปตามชะตาที่ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว ไม่มีใครฝืนชะตาที่ถูกลิขิตไว้แล้วได้ เธอเองยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าชีวิตแต่งงานที่มีความสุขราวกับเจ้าชายและเจ้าหญิงในเทพนิยายนั้น จะจบลงแบบนี้ หญิงสาวพยายามทำใจให้สงบเยือกเย็นเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับสามีอีกครั้งหลังจากพยายามเลี่ยงที่จะพบปะซึ่ง ๆ หน้ามานับตั้งแต่เกิดเรื่อง นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยเพราะภายในหัวใจของเธอนั้นกำลังปวดร้าวกับสิ่งที่เธอได้ตระเตรียมมา สิ่งที่เธอกำลังจะพูดกับเขา.....ผู้ชายคนเดียวที่เธอรัก....รักแบบที่แตกต่างไปจากความรักที่เธอมีให้กับลูกชายทั้งสองคน
เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงประตูที่เปิดออกเพราะพริมาไม่ได้ล็อคประตูไว้ หญิงสาวจึงหยุดความคิดที่สับสนไว้เพียงแค่นั้น ณ เวลานั้นเธอไม่มีโอกาสไตร่ตรองหรือเปลี่ยนใจอะไรได้อีกแล้ว สายไปเสียแล้ว เมื่อเธอยังยืนกรานกับข้อสรุปเดิมที่มีอยู่ในใจแล้วจึงหมุนตัวมาหาผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่
“พี่โป๊ป” เธอเรียกชื่อเขาแทนคำทักทายด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
ภัทร์มองเห็นหน้าพริมาอย่างชัดเจนเพราะม่านบังตาได้ถูกเปิดไว้ตลอดแนวผนังกระจก ทั่วทั้งห้องจึงได้รับแสงจากพระอาทิตย์จนทำให้ทั้งห้องสว่าง พริมาดูซูบไป ใบหน้าเธอเรียวยาวขึ้น ดวงตากลมโตที่สบตากับเขาอยู่นั้นยังคงสวยราวกับตากวางอย่างที่เขาเคยเปรียบให้เธอฟัง แต่แววตาคู่นั้นกลับช่างดูหม่นหมองไม่สดใสและไร้ชีวิตชีวา ที่สำคัญมันไม่เปล่งประกายฉายความรักที่เธอมีให้เขาได้เห็นเลย ภัทร์รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“ปริม” ภัทร์สาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาอยากสวมกอดเธอเพราะความคำนึงและคิดถึงที่มีให้มากว่าสองสัปดาห์
“เรานั่งคุยกันดีกว่าไหมคะ” คำพูดของพริมาทำให้ภัทร์หยุดนิ่งในทันที ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมหนังแท้สีดำเงาวับตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ชุดโซฟาหนังแท้นำเข้าจากประเทศอิตาลีชุดนี้ยังดูเหมือนใหม่อยู่มากทั้ง ๆ ที่ซื้อมาตั้งแต่คนทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่เมื่อ 6 ปีก่อน แต่เป็นเพราะมันได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากแม่บ้านของคอนโดที่พริมาจ้างให้มาทำความสะอาดทุก ๆ 2 สัปดาห์แม้ว่าเจ้าของจะไม่ได้มาพำนักอาศัยอยู่ที่นี่นานแล้วก็ตาม
พริมาเดินมานั่งลงตรงข้ามกับภัทร์ ราวกับต้องการจะบอกให้เขารับรู้กลาย ๆ ว่า ต่อไปนี้พวกเขาคงเป็นได้แค่เส้นขนานต่อกัน
“ขอบคุณนะคะที่พี่โป๊ปอุตส่าห์เสียสละเวลามาที่นี่ ปริมไม่อยากคุยที่บ้านเพราะไม่สะดวก ปริมขอเข้าเรื่องเลยนะคะ” พริมาสบตาภัทร์ เพื่อค้นหาคำตอบว่าเพราะอะไร
“ปริมมีอะไรก็ว่ามาได้เลย พี่พร้อมจะรับฟัง”
“ปริมจะย้ายมาอยู่ที่นี่”
“ที่จริงปริมไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยนะ” พริมาไม่ฟังคำคัดค้านของภัทร์ เธอจึงบอกจุดมุ่งหมายออกไป
“ปริมนัดช่างไว้ตอนสี่โมงเพราะจะให้เขาตกแต่งห้องนอนสองห้องโน้นให้เป็นห้องสำหรับลูก” พริมาหมายถึงการตกแต่งห้องนอนหนึ่งห้องไว้สำหรับลูก ๆ ทั้งสอง และอีกหนึ่งห้องไว้เป็นห้องเด็กเล่น
เมื่อเห็นว่าพริมามีจุดยืนที่แน่วแน่และคงยากแก่การโน้มน้าวให้เปลี่ยนใจแล้ว ภัทร์จึงยอมจำนน
“แล้วปริมจะย้ายออกมาเมื่อไร”
“ทันทีที่ช่างเขาตกแต่งเสร็จค่ะ”
“ที่จริงปริมกับลูกไม่ต้องย้ายออกมาก็ได้นะ ปริมยังอยู่ที่บ้านของเราได้ เพราะพี่ไม่เคยคิดจะให้ใครย้ายเข้าไปอยู่แทนที่ปริม” ภัทร์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
“ไหน ๆ เราก็จะหย่ากันอยู่แล้ว ทำให้มันจบ ๆ ไปเสียเลยน่าจะดีกว่านะคะ ถึงปริมจะย้ายมาอยู่ที่นี่ พี่โป๊ปก็แวะมาหาลูกได้ตลอดเวลาค่ะ ที่สำคัญปริมไม่อยากอยู่ร่วมกับคนที่หักหลังกันได้อีกแล้ว” พริมายังคงยืนกรานกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วและบอกความรู้สึกลึก ๆ ออกไปด้วยสายตาที่ร้าวราน ซึ่งทำให้คนฟังถึงกับสะอึก
“พี่สงสารลูก ไม่อยากให้ลูกต้องปรับตัวใหม่”
“ปริมก็สงสารลูกค่ะ” พริมาสวนกลับทันทีพร้อมทั้งแฝงความนัยให้ภัทร์ต้องตีความเอาเอง พริมากล่าวต่อเพิ่มเติมว่า
“ให้ลูกรู้จักปรับตัวตั้งแต่เล็กไว้ก็ดีค่ะ เพราะเมื่อพวกแกโตขึ้นและต้องเจออะไรที่เกินคาด พวกแกจะได้รับมือกับมันได้ถูก” พริมาจ้องตากับภัทร์ซึ่งเริ่มกรุ่นโกรธที่ถูกกระทบกระเทียบ
“ส่วนเรื่องหย่าน่ะ พี่บอกตรง ๆ นะ ว่าไม่อยากหย่า ที่จริงต่างคนต่างอยู่ก็ได้นี่ เขาก็อยู่ส่วนเขา ปริมก็อยู่ส่วนปริม พี่สัญญาว่าจะไม่ให้เขามายุ่งเกี่ยวกับปริมอย่างเด็ดขาด”
“พี่โป๊ปไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอคะ พูดง่ายนะคะ ต่างคนต่างอยู่ ลองพี่โป๊ปมาเป็นปริมดูบ้างสิคะ” พริมาชักมีน้ำโหเช่นกัน เธอหยุดนิ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนที่จะทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
“หรือจะให้ปริมเป็นแบบพี่โป๊ปบ้างเอาไหมละคะ ให้ปริมมีผู้ชายอีกคนบ้าง แล้วก็ให้พี่โป๊ปคิดเสียว่าต่างคนต่างอยู่ เอาไหมละคะ ถ้าพี่โป๊ปทำใจได้ ปริมก็ยอม” ภัทร์กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินข้อเสนอของภรรยา
“พี่ไม่อยากให้เรื่องมันอื้อฉาว” ภัทร์พูดอย่างคนเห็นแก่ตัว
“ฮึ! ถ้ามันจะต้องอื้อฉาวคนที่ต้องอายไม่ใช่ปริมหรอกเหรอคะ ไม่ใช่ปริมเหรอคะที่กำลังจะกลายเป็นม่ายเพราะสามีมีเมียใหม่น่ะ!” พริมาพยายามระงับอารมณ์โกรธที่ทวีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น และมันก็ค่อย ๆ แผ่วลงอย่างช้า ๆ เมื่อได้ยินเหตุผลจากปากของภัทร์ว่า
“โอเค ๆ เรามาพูดกันดี ๆ ดีกว่านะ ถ้าปริมอยากหย่าพี่ก็จะหย่าให้ ทั้ง ๆ ที่พี่ไม่เต็มใจหรอกนะ ส่วนเรื่องย้ายมาอยู่ที่นี่ พี่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องย้ายออกด้วยในเมื่อพี่ก็บอกปริมแล้วว่าพี่ไม่คิดจะพาเขาย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้าน พี่ไม่เคยคิดจะให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นเลย อย่าย้ายออกเลยนะปริม” ภัทร์บอกด้วยเสียงเว้าวอนเพื่อเหนี่ยวรั้งให้พริมายอมใจอ่อน
“ถึงเราจะหย่ากันแล้ว ก็ขอให้อยู่ด้วยกันเพื่อลูก ทำไม่ได้เหรอ” พริมาเกือบจะยอมใจอ่อนเมื่อได้ยินภัทร์ยกลูกขึ้นมาอ้าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเขาพูดต่อออกมาว่า
“ทำไมปริมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วยนะ พี่ไม่เข้าใจเลย” คำพูดเพียงไม่กี่คำของภัทร์เท่านั้นเอง แต่มันกลับกระแทกใจพริมาเข้าอย่างจังราวกับน้ำมันที่รดลงไปบนกองเถ้าถ่านที่ยังคุกรุ่นอยู่ เปลวไฟจึงลุกติดพรึ่บขึ้นมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย พริมาปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างหมดเปลือก
“ยุ่งยากเหรอคะ ฮึ! แล้วใครละคะที่ทำให้มันยุ่งยากยุ่งเหยิงไปหมดแบบนี้ เพราะใครกัน! เพราะใครที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องเป็นแบบนี้ เพราะใครกัน!!!” พริมาตะโกนถามภัทร์พร้อมทั้งทำนบน้ำตาที่พังทลายไหลออกมาอย่างเกินกำลังที่จะกลั้นไว้ได้อีกต่อไป เธอร้องไห้จนตัวโยน ภัทร์ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นรวดเร็วและไม่คาดคิด แต่เขาก็โต้ตอบพริมากลับไปทันทีว่า
“ปริมอยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร อยากรู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงทำแบบนี้น่ะ!!!” ภัทร์เริ่มฉุนเฉียวมากขึ้น
“ปริมรู้แล้วว่าเพราะอะไร!!!” พริมาตะคอกกลับใส่ภัทร์อย่างลืมตัว
“เพราะอะไร ไหนลองบอกพี่มาซิ”
“ก็เพราะปริมไม่ได้สาวไม่ได้สวยเหมือนผู้หญิงคนนั้นไงละคะ!!!” พริมาพยายามกลั้นสะอื้น
“ไม่ใช่เลย! ปริมคิดผิด! ไม่ใช่เรื่องแบบนั้นเลย โธ่เว้ย!” ภัทร์สบถเพราะรู้สึกผิดหวังที่โดนดูถูกน้ำใจจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาเองมากว่า 6 ปีแล้ว
“งั้นเพราะอะไรละคะ ปริมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่” พริมาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของสามีเพื่อจะค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่
“ปริมไม่รู้จริง ๆ เหรอ” ภัทร์ถามด้วยความน้อยใจ พริมานิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิดทบทวนอยู่สักพักก่อนที่จะพูดว่า
“พี่โป๊ปอย่าบอกนะคะ.....ว่าสาเหตุ คือ เพราะปริมไม่ยอมมีลูกสาวให้พี่อีกคนน่ะ” พริมาจ้องหน้าภัทร์พลางค้นหาคำตอบที่อยู่ในดวงตาคมคู่นั้น
“ไม่ใช่เรื่องนี้หรอก พี่ไม่ได้อยากมีลูกสาวมากจนต้องไปมีคนอื่น.....ปริมไม่รู้ตัวเลยสินะว่าทำอะไรไปบ้าง” ภัทร์เอนไปพิงพนักพิงโซฟาอย่างหมดแรงก่อนที่จะรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ตอบพริมา
“เพราะปริมไม่มีเวลาให้พี่เลยไงล่ะ” พริมาตกตะลึงกับคำตอบที่ออกมาจากปากของสามี
“ตั้งแต่มีลูก ปริมก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับลูกจนลืมไปว่ามีพี่อยู่ตรงนี้อีกคนหนึ่ง ปริมให้เวลาทั้งหมดกับลูกจนไม่มีเหลือให้พี่ ไม่มีเหลือให้แม้แต่ตัวเอง” ภัทร์ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาเช่นกัน พริมานิ่งงันเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกของสามี เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเธอพังทลายลง
“พี่โป๊ปกำลังจะบอกปริมว่า....เพราะเรามีลูกกันนะเหรอถึงทำให้มันเป็นแบบนี้ ปริมงงไปหมดแล้ว ขนาดมีลูกแค่สองคนพี่โป๊ปก็ว่าปริมไม่มีเวลาให้ งั้นทำไมมาคะยั้นคะยอให้ปริมไปหาหมอเพื่อจะมีลูกสาวอีกล่ะค่ะ ปริมไม่เข้าใจ ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะลูก....” พริมายังพูดไม่ทันจบ ภัทร์ก็ขัดขึ้น
“ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ไม่ได้หมายความว่าเพราะลูกทำให้เราเป็นแบบนี้ พี่หมายความว่าตั้งแต่มีลูก ปริมก็ไม่ยอมห่างพวกแกเลย ปริมเป็นแม่ที่ดีนะ ปริมรักลูกและดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างดี แต่ปริมลืมไปว่าเรายังมีชีวิตคู่ของเราสองคนด้วยนะ ปริมไม่ได้เป็นแม่อย่างเดียว ปริมยังเป็นเมียพี่ด้วย”
“แต่ปริมก็ยังทำหน้าที่เมีย ไม่ใช่เหรอคะ” พริมาถามภัทร์ตรง ๆ
“ใช่ แต่ชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่นั้นนี่ปริม พี่ไม่ได้ต้องการปริมเฉพาะเรื่องบนเตียง พี่อยากใช้เวลาตามลำพังกับปริมบ้างเหมือนเมื่อตอนที่เราเป็นแฟนหรือตอนที่เรายังไม่มีลูก ออกไปดูหนังฟังเพลงด้วยกัน ไปสังสรรค์กับพรรคพวกเพื่อนฝูงบ้าง แต่ทุกครั้งที่พี่ชวนปริม ปริมก็จะปฏิเสธ ปริมจะบอกว่าเหนื่อย บอกว่าอยากอยู่กับลูก ชวนไปไหนก็ไม่เคยไป”
“แต่ปริมพูดความจริงนี่คะ ปริมเลี้ยงลูกเองแทบจะ 24 ชั่วโมงปริมเหนื่อย พี่โป๊ปไม่ได้เลี้ยงลูกเอง พี่โป๊ปไม่รู้หรอกว่ามันเหนื่อยมากเพียงไหน ยิ่งลูกชายสองคนด้วยแล้ว แกก็ต้องซนไปตามประสาเด็ก”
“พี่ถึงหาคนช่วยปริมเลี้ยงไงล่ะ พี่รู้ว่าปริมห่วงลูกรักลูกยิ่งกว่าชีวิต แต่เราก็มีคนที่ไว้ใจได้นี่นา ไหนจะคุณปู่กับคุณย่าคุณตาคุณยาย แต่ปริมก็ไม่เคยไว้ใจใครเลย”
“ใครจะเลี้ยงลูกได้ดีกว่าแม่ได้” ทั้งคู่ต่างยกเหตุผลสนับสนุนความคิดของตนเอง
“พี่ไม่เถียงกับปริมเรื่องนั้น แม่ย่อมเลี้ยงลูกได้ดีที่สุด แต่เราก็มีพี่เลี้ยงมีแม่บ้านนะ ทำไมปริมไม่ปล่อยให้พวกเขาทำให้ลูกบ้างล่ะ ที่พี่เห็นคือปริมทำทุกอย่างเองทั้งหมด แล้วมันจะไม่เหนื่อยได้ยังไง ปริมแทบไม่มีเวลาให้ตัวเองเลย เวลาไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวปริมก็ไม่ยอมให้พี่เลี้ยงตามไปด้วย ปริมคงไม่รู้ตัวว่าปริมดูเหนื่อยมากขนาดไหน เราไปพักผ่อนไปสนุกกัน แต่ปริมแทบไม่ได้พักเพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับลูก ๆ ตลอดเวลา” ภัทร์ระบายออกมาอย่างหมดสิ้น
“แต่ปริมมีความสุขนี่คะที่ได้ดูแลลูกเอง” พริมาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลงพลางซับน้ำตาไปด้วย เธอยังคงสับสนกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ในวันนี้ เธอไม่คาดคิดว่าการเป็นแม่ที่ดีของเธอจะเป็นสาเหตุให้เธอและสามีต้องมีช่องว่างระหว่างกันขนาดนี้
“ใช่ ปริมมีความสุขที่ได้ดูแลลูก แล้วพี่ล่ะ ปริมเคยสนใจพี่บ้างไหม พี่เข้าใจที่ปริมรักลูกมาก แต่ปริมต้องไม่ลืมด้วยว่าพี่ก็อยากได้รับความเอาใจใส่ดูแลแบบนั้นบ้าง”
“พี่โป๊ปหึงลูกเหรอคะ” พริมาสรุปเอาดื้อ ๆ
“ไม่ใช่ พี่ไม่ได้หึงลูก แต่พี่น้อยใจปริมต่างหากล่ะที่ไม่สนใจพี่เลย พี่ก็....” ภัทร์พูดไม่ทันจบประโยค พริมาก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า
“เลยทำให้พี่ต้องมีคนอื่น ใช่ไหมคะ” พริมาจ้องหน้าภัทร์เพื่อรอฟังคำตอบ
“พี่ไม่ได้ตั้งใจ มันเกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิด”
“ความใกล้ชิดอย่างนั้นเหรอคะ ถ้าแค่ความใกล้ชิด มันคงไม่เลยเถิดจนท้องโตแบบนี้หรอกมั้งคะ ความใกล้ชิดอาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ คนเราใกล้ชิดกันก็อาจเผลอกันได้ แต่ความผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในใจก็น่าจะห้ามไม่ให้มันมีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้าตามมาสิคะ!!!”
“พี่ยอมรับว่าพี่พลาด พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แต่เพราะปริมไม่มีเวลาให้พี่ พอพี่ไปเจอคนที่ใส่ใจ คนที่...” ภัทร์หาเหตุผลให้ตัวเองพ้นผิด
“สรุปว่าปริมผิดงั้นสิ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะปริม เพราะปริมคนเดียวสินะ” พริมาจ้องมองหน้าภัทร์ผ่านม่านน้ำตาที่ยังคงไหลไม่หยุด เธอหลับตาแล้วซบหน้าร้องไห้บนฝ่ามือตนเองอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากกลั้นสะอื้นได้แล้ว จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วบอกกับภัทร์ว่า
“กลับกลายเป็นว่าการที่ปริมยอมออกจากงานที่รักเพื่อมาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง การที่ปริมทำทุกอย่างให้ลูก ยอมเหนื่อยเลี้ยงลูกเองดูแลลูกเองเป็นสิ่งที่ผิด เป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวของเราต้องพังลง เป็นสาเหตุให้พี่ต้องมีเมียอีกคน พี่โป๊ปหมายความอย่างนั้นใช่ไหมคะ” พริมายังคงมีน้ำตาไหลพรากถึงแม้เธอจะพยายามหยุดร้องไห้อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่เมื่อความรู้สึกที่เก็บกดอยู่ข้างในได้พรั่งพรูออกมาแล้ว มันก็ยากที่จะห้ามน้ำตาให้หยุดไหลลงได้
“พี่โป๊ปอยากให้ลูกโตมากับพี่เลี้ยงที่มีความรู้แค่ ม. ต้น อยากให้ลูกโตมากับความคิดความอ่านของคนอื่น อยากให้ใครก็ไม่รู้มาอบรมเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่ อยากให้ลูกเหมือนลูกคนอื่น ๆ ที่มีพี่เลี้ยงเป็นแม่ มีคนขับรถเป็นพ่อ อย่างนั้นเหรอคะ!!!” พริมาแผดเสียงถามพร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังระคนเสียใจให้กับสามีที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในไม่ช้า
“ที่ปริมยอมเหนื่อย ยอมทุ่มเทให้ลูก ไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหมคะเมื่อเทียบกับเวลาที่ปริมไม่มีให้กับพี่ เพราะปริมเป็นแบบนี้ เพราะปริมรักลูก พี่เลยต้องมีคนอื่น คนอื่นที่เขามีเวลาใส่ใจพี่ มีเวลาดูแลพี่และยอมมีลูกสาวให้พี่ เพราะแบบนี้ใช่ไหม.....ปริมเข้าใจแล้วค่ะ ปริมเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว ฮือๆๆ” พริมายิ่งเจ็บช้ำมากขึ้นเมื่อมารับรู้สาเหตุที่ทำให้ภัทร์ต้องนอกใจ สาเหตุที่มาจากตัวเธอเอง
“เฮ้อ! พี่ว่าเราพูดกันตอนนี้ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง” ภัทร์ตัดบท
“ไม่ต้องคุยกันแล้วล่ะค่ะ พอแล้ว ในเมื่อปริมผิด ปริมไม่ดี ก็หย่ากันให้จบ ๆ ไปเลย” พริมาประชดประชันเพราะความอดทนที่เคยมีได้หมดลงแล้ว เธอพูดต่อว่า
“แปลกดีนะคะ จากเมียที่ถูกสามีนอกใจถูกสามีสวมเขาให้ เมียที่เฝ้าเลี้ยงดูลูกอย่างดีเมียที่พยายามเป็นแม่ที่ดีให้ลูก จากคนที่ถูก กลับกลายเป็นว่าปริมคือสาเหตุที่ทำให้พี่ภัทร์ต้องนอกใจ ปริมกลายเป็นคนผิด หึๆๆ ตลกดีนะคะ ถ้าปริมเป็นผู้หญิงเลว ๆ เลี้ยงลูกทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ มัวเอาเวลาไปเสริมสวยแต่งตัวช็อปปิ้ง ถ้าปริมทำแบบนั้นพี่โป๊ปคงไม่คบชู้และทรยศปริมใช่ไหมคะ” พริมาหัวเราะเยาะตัวเองทั้งน้ำตา ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าทรยศก็ถึงกับหน้าชา
“โลกนี้มันแปลกดีนะคะ เกิดเป็นผู้ชายทำอะไรก็ไม่ผิด จะนอกใจคนรัก จะมีคนอื่นกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยผิด”
“โธ่โว้ย!” ภัทร์สบถอย่างหัวเสียและเหลืออดที่ถูกเข้าใจผิด เขาพูดกลับไปว่า
“พี่ไม่เคยนอกใจปริมนะ ไม่เคยเลย นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เราคบกันมา”
“ไม่จริง! พี่โป๊ปลืมไปแล้วเหรอคะว่าปริมเคยพบพี่อยู่กับผู้หญิงที่คอนโดครั้งหนึ่ง พี่ลืมไปแล้วเหรอคะ! ปริมเคยบอกพี่แล้วว่านั่นคือโอกาสครั้งสุดท้ายของพี่ ครั้งนี้ปริมจึงไม่มีโอกาสจะให้พี่อีกแล้ว ปริมขอหย่า เข้าใจหรือยังละคะว่าทำไมปริมต้องทำเรื่องเล็กอย่างที่พี่ว่าให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ ปริมจะไม่ทนอีกแล้ว”
“แต่พี่ขอยืนยันนะว่าพี่ไม่เคยนอกใจปริมมาก่อน ครั้งนั้นพี่ไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น วันนั้นน่ะเขาเพิ่งมาถึงคอนโดก่อนปริมได้ไม่นาน และพี่ก็กำลังอาบน้ำอยู่ ที่ปริมเห็นปริมคิดไปเองทั้งนั้น” พริมาต้องแปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ถึงแม้มันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว ภัทร์มาบอกในวันที่มันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
“แล้วทำไมพี่โป๊ปถึงไม่เคยบอกปริม ทำไมไม่เคยอธิบาย” พริมาถามด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนโยนขึ้น
“ถ้าพี่อธิบายในตอนนั้นวันนั้นปริมจะเชื่อพี่เหรอ เพราะปริมได้เชื่อในสิ่งที่เห็นไปแล้ว เหมือนที่พี่ก็เคยเชื่อว่าเปรมเป็นแฟนปริมไงล่ะ พี่เลยเงียบเสียดีกว่าในเมื่อสุดท้ายแล้วเราก็เข้าใจกันแล้ว จะขุดคุ้ยขึ้นมาอีกทำไม”
“แต่พี่ก็ไม่เคยคิดจะอธิบายเรื่องนี้ให้ปริมได้รู้ความจริงเลยทั้ง ๆ ที่เราแต่งงานอยู่กินกันมาตั้ง 6 ปีกว่าแล้วนะคะ พี่ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย ทำไมละคะ ทำไมปล่อยให้ปริมเข้าใจพี่ผิดอยู่ตั้งนาน”
“จะให้พี่พูดเพื่ออะไรล่ะ ในเมื่อเราก็เข้าใจและรักกันดี เรื่องที่มันทำให้เราทุกข์จะพูดไปทำไม แต่ที่พี่พูดขึ้นมาในวันนี้ เพราะอยากให้ปริมได้รู้ความจริงว่าพี่ไม่เคยนอกใจปริมเลยนับตั้งแต่วันที่เราตกลงคบเป็นแฟนกันแล้ว”
“แล้วคราวนี้ละคะ เรียกว่านอกใจได้หรือยัง” พริมาถาม ภัทร์จ้องหน้าหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะตอบออกไปว่า
“อย่างที่พี่บอกปริมตั้งแต่วันที่พี่พาเขาเข้าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ พี่ขอยืนยันว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ พี่พลาดไปแล้ว เพราะความใกล้ชิดและความดูแลเอาใจใส่ในวันที่พี่กำลังน้อยใจปริม เขากำลังอุ้มท้องลูกของพี่ อย่างน้อยพี่ก็ต้องรับผิดชอบเด็กในท้อง” ภัทร์แสดงความเป็นสุภาพบุรุษ
“ช่างมันเถอะค่ะ ปริมไม่อยากพรากแม่พรากลูก และปริมก็คิดว่าพี่โป๊ปก็คงคิดแบบเดียวกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่พาเขาเข้าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ถึงที่บ้าน พี่โป๊ปต้องการจะรับผิดชอบทั้งแม่และลูก ปริมพูดถูกใช่ไหมคะ” หญิงสาวสบตาสามี
“ยิ่งไปกว่านั้น พี่โป๊ปก็คงอยากรับผิดชอบทั้งเมียหลวงและเมียน้อยให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยใช่ไหมคะ” พริมาที่หยุดร้องไห้แล้วถามภัทร์อย่างท้าทาย
“แบบนั้นน่ะ มันมีแต่ในละครค่ะ!!!” พริมาพูดเสร็จก็ลุกเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่แล้วปิดประตูโครมเสียงดังสนั่น
************************
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และทุกคนที่ตามอ่านนะคะ
อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2555, 00:00:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2555, 00:00:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 2118
<< ตอนที่ 9 ครบ 100% ค่ะ | ตอนที่ 11 มา 70% ก่อนนะคะ >> |
violette 10 ส.ค. 2555, 00:11:45 น.
เข้าใจนายโป๊ป แต่ก็ยอมรับการกระทำแบบนี้ไม่ได้อยู่ดีค่ะ
มันคือข้ออ้างของผู้ชายมักง่ายนั่นแหละ
ถ้าจะบอกว่าทำไมปริมไม่มีเวลาให้ทำไมไม่คุยกันก่อนที่จะเผลอไปมีคนใหม่
แล้วขนาดพาคนใหม่มาไหว้พ่อแม่ มันไม่เรียกว่าฉีกหน้าเมียหลวงเหรอคะ
แล้วยังคิดจะรั้งปริมไว้ให้อยู่ด้วยกันทำไม ในเมื่อตอนแรกอ้างเองว่าเพราะปริมไม่มีเวลาให้น้อยใจเลยเผลอไปมีคนใหม่ เผลอกี่ทีล่ะเลยมีลูกติดท้องมาได้
มันเห็นแก่ตัวชัดๆกับการโทษผู้หญิงที่เสียสละมาดูแลลูกเอง ว่าไม่เวลาให้ตัวเอง ข้ออ้างของผู้ชายเลวๆเท่านั้นแหละค่ะ
ยังคงเกลียดพี่โป๊ปต่อไป และก็ไม่เห็นใจด้วย ไม่อยากให้ปริมต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก
เรื่องอดีตที่ว่าไม่ได้นอกใจก็ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เพราะข้ออ้างเรื่องนี้ของนายโป๊ปมันคือโทษผู้หญิงชัดๆ
อินมากไปหน่อยแหะๆ
เข้าใจนายโป๊ป แต่ก็ยอมรับการกระทำแบบนี้ไม่ได้อยู่ดีค่ะ
มันคือข้ออ้างของผู้ชายมักง่ายนั่นแหละ
ถ้าจะบอกว่าทำไมปริมไม่มีเวลาให้ทำไมไม่คุยกันก่อนที่จะเผลอไปมีคนใหม่
แล้วขนาดพาคนใหม่มาไหว้พ่อแม่ มันไม่เรียกว่าฉีกหน้าเมียหลวงเหรอคะ
แล้วยังคิดจะรั้งปริมไว้ให้อยู่ด้วยกันทำไม ในเมื่อตอนแรกอ้างเองว่าเพราะปริมไม่มีเวลาให้น้อยใจเลยเผลอไปมีคนใหม่ เผลอกี่ทีล่ะเลยมีลูกติดท้องมาได้
มันเห็นแก่ตัวชัดๆกับการโทษผู้หญิงที่เสียสละมาดูแลลูกเอง ว่าไม่เวลาให้ตัวเอง ข้ออ้างของผู้ชายเลวๆเท่านั้นแหละค่ะ
ยังคงเกลียดพี่โป๊ปต่อไป และก็ไม่เห็นใจด้วย ไม่อยากให้ปริมต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก
เรื่องอดีตที่ว่าไม่ได้นอกใจก็ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เพราะข้ออ้างเรื่องนี้ของนายโป๊ปมันคือโทษผู้หญิงชัดๆ
อินมากไปหน่อยแหะๆ
อ้อย 10 ส.ค. 2555, 01:13:08 น.
ลองเอาลูกไปทิ้งให้นายโป๊บเลี้ยงสักอาทิตย์สิ แล้วคุณปริมก็ไปแต่งตัวสวยๆ เดินยั่วหนุ่มๆบ้าง
ลองเอาลูกไปทิ้งให้นายโป๊บเลี้ยงสักอาทิตย์สิ แล้วคุณปริมก็ไปแต่งตัวสวยๆ เดินยั่วหนุ่มๆบ้าง
พนาศิลป์ 10 ส.ค. 2555, 07:54:14 น.
ไม่พูดไม่ปรับความเข้าใจกันตั้งแต่แรก แล้วมาระเบิดเอาตอนที่แค่ความรักอย่างเดียวก็ไม่ช่วยอะไรแล้ว เฮ้อ...
ไม่พูดไม่ปรับความเข้าใจกันตั้งแต่แรก แล้วมาระเบิดเอาตอนที่แค่ความรักอย่างเดียวก็ไม่ช่วยอะไรแล้ว เฮ้อ...
pretty 10 ส.ค. 2555, 09:00:11 น.
เฮ้ออออ ทำไมไม่โทษความมักง่ายของตัวเองนะ ขอให้นางเอกเจอคนใหม่ที่ดีกว่าในทุกๆ ด้าน และลงเอยกับคนใหม่คนนั้นค่ะ
เฮ้ออออ ทำไมไม่โทษความมักง่ายของตัวเองนะ ขอให้นางเอกเจอคนใหม่ที่ดีกว่าในทุกๆ ด้าน และลงเอยกับคนใหม่คนนั้นค่ะ
tity 10 ส.ค. 2555, 10:00:12 น.
อยากให้ปริม เจอคนใหม่เร็วๆจัง พี่โป๊ปจะได้รู้สึกมั่ง
อยากให้ปริม เจอคนใหม่เร็วๆจัง พี่โป๊ปจะได้รู้สึกมั่ง
pumkin 10 ส.ค. 2555, 22:49:50 น.
คนเขียนอย่าหายไปนานนะคะ คนอ่านกำลังอินคะ ^_^
คนเขียนอย่าหายไปนานนะคะ คนอ่านกำลังอินคะ ^_^
saralun 14 พ.ย. 2555, 16:01:07 น.
กำละงสนุกเลยค่ะ ^^
กำละงสนุกเลยค่ะ ^^