ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 20.1“ได้ค่าจ้างนิดเดียว จะยื้อเวลาไว้ทำไม...”
บทที่ 20
เสียงกระแอมของเจ้าของบ้านทำให้อนงค์นางที่กำลังสัมภาษณ์คนของเจ้าของบ้านต้องชะงักและหญิงสาวก็ต้องยิ้มกริ่มเมื่อป้าสำลีเห็นหน้าเจ้านายหนุ่มของตนแล้วร้องวี๊ดว๊ายก่อนจะรีบเดินเข้าไปหา...
“ตายแล้วหน้าคุณจักรไปโดนอะไรมาถึงได้กระดำกระด่างแบบนั้น” วิษณุจักรใช้หลังมือเช็ดมือซับหน้าตัวเองแล้วพอลดมือลง เขาก็ถลึงตาให้กับอนงค์นางที่หัวเราะคิกคัก..
“ลืมถ่ายรูปไว้ดูเลย” อนงค์นางหาได้สลด เขาทำตาคาดโทษไว้ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อล้างหน้า และพอออกมาจากห้องน้ำ ขณะใช้ผ้าขนหนูซับหน้าขาวผ่อง ป้าสำลีก็เดินเข้ามาถามว่ามื้อกลางวันจะกินอะไรเพราะจะได้ทำเตรียมไว้ให้..
วิษณุจักรกรอกตาครุ่นคิดก่อนจะบอกว่า “ป้ากลับบ้านไปพักได้เลยครับ เดี๋ยวผม ดูแลตัวเองและดูแลแขกเอง”
“คุณจักร”
“แล้วไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณแม่ด้วยละ..”
“ป้าไม่เคยฟ้อง”
“ถ้าคุณแม่โทรมา ป้าก็บอกว่ายังอยู่เป็นกว้างขวางคอเหมือนเดิม เข้าใจไหม”
นางสำลีทำท่าอิดออดแต่พอวิษณุจักรเดินไปหยิบแบงก์พันมายื่นให้ นางสำลีก็ชักสีหน้าลำบากใจพอเป็นพิธี...ซึ่งวิษณุจักรก็พอจะรู้ทัน
“ป้าอยากได้คุณนางมาเป็นคุณผู้หญิงไม่ใช่เหรอ...รับเงินไปเข้าร้านเสริมสวยฆ่าเวลา แล้วถ้าคุณนางถามว่าป้าไปไหน ป้าก็บอกว่าออกไปซื้อกับข้าวนะ เดี๋ยวผมตามลงไป”
นางสำลีขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปแล้ว อนงค์นางที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงยหน้าเจ้าของบ้านที่วันนี้เจ้าหล่อนรู้สึกว่าเขามีแรงดึงดูดมากกว่าทุก ๆ วัน...
อาจจะเป็นเพราะกางเกงขาสั้นที่เห็นต้นขาขาว ๆ และขนหน้าแข้งดำยาวไม่หยิกหยองจนน่าเกลียด หรือไม่เป็นเพราะเขาสวมเสื้อยืดที่แนบเนื้อทำให้ช่วงไหล่ช่วงอกของเขาเด่นชัดขึ้นมา และจังหวะที่เงยหน้าพินิจพิจารณาเจ้าของบ้าน อนงค์นางก็เห็นสายตาเอาเรื่องเขาเช่นกัน
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องเลยนะ”
“เล่นที่ไหน...พี่จักรละเมอเอง” อนงค์นางยังปากแข็ง แต่หญิงสาวก็ต้องผงะเมื่อเขาทรุดตัวลงนั่งลงที่โซฟาข้าง ๆ ตัวหญิงสาวอย่างจะลองเชิง อนงค์นางรวบหนังสือพิมพ์แล้วขยับตัวหนีเขาที่มีกลิ่นกายหอมฟุ้งในทันที
“ป้าสำลีไปซื้อของที่ไหน”
“ตลาด..พี่อยากกินปลานึ่ง”
“งั้นนางขึ้นไปทำงานก่อนดีกว่า” หญิงสาวตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่เขารั้งไว้จนกระทั่งอนงค์นางเสียหลักแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ล้มลงในอ้อมอกของเขาเพราะยังมีสติยับยั้งชั่งใจตัวเอง...ผู้ชายถ้ามีโอกาสก็พร้อมจะฉกฉวย ดังนั้นอนงค์นางจึงต้องขึ้นเสียงปราม...และมันก็ได้ผล
“พี่จักร..”
“กลัวอะไรพี่”
อนงค์นางขยับหนีไปที่โซฟาอีกตัวอย่างรวดเร็ว...
“กลัวไว้ก่อนแหละดี..ผู้ชายไว้ใจไม่ได้หรอก...”
“ไม่ไว้ใจก็ดีแล้ว...ผู้ชายหน้าไหนก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น...” สายตาวาว ๆ อย่างเป็นต่อของวิษณุจักรทำให้อนงค์นางต้องเบือนหน้าหนี
“นางว่าบ้านพี่น่าอยู่ไหม”
“น่าอยู่มากค่ะ”
“อยากอยู่หรือเปล่า”
“นางมีบ้านของนางแล้ว นางลูกคนเดียว ตึกห้องนั้นไม่เป็นอื่นแน่ ๆ” พออนงค์นางอธิบายแบบ หยิ่ง ๆ แบบนี้ยิ่งได้ใจวิษณุจักรเข้าไปใหญ่
“วันนี้โชว์ฝีมือทำกับข้าวให้พี่กินหน่อยสิ” น้ำเสียงของเขากระเส่าออดอ้อน
“ไหนว่าให้ป้าสำลีออกไปซื้อปลา”
“ปลาอาจจะขาดตลาด แล้วป้าแกก็อาจจะต้องมีธุระด่วนที่บ้าน หลานแกอาจจะร้องไห้โยเย สรุปว่า มื้อกลางวัน ยังไม่มีอะไรกิน”
“เจ้าเล่ห์...”
พอถูกรู้ทันวิษณุจักรก็แสร้งปวดเมื่อยต้นคอ
“งั้นก็ออกไปข้างนอก ร้านอาหารเยอะแยะ”
“วันหยุดแบบนี้พี่อยากอยู่บ้าน...บ้านพี่น่าอยู่จะตายนางก็เห็น ไปเข้าครัวทำอะไรให้พี่กินหน่อย” อันที่จริงนั้นวิษณุจักรอยากชิมฝีมือของหญิงสาวที่มีประวัติว่าเรียนจบคหกรรมศาสตร์มา อยากจะรู้ว่าฝีมือดีแค่ไหน เพราะเขาเองนั้นตลอดชีวิต แม้จะเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายเพราะมีโอกาสไปเรียนอยู่ในกรุงเทพและต่างประเทศ แต่ฝีมือแม่ของเขานั้นไม่เป็นที่สองรองใคร หรือถ้าต้องออกไปกินข้าวนอกบ้านกันแม่ของเขาก็จะต้องสรรหาของอร่อยชนิดมีคนมาพูดถึงเท่านั้น
“ของในตู้มีอะไรบ้างละ”
“เข้าไปดูซิ....ทำเท่าที่มี”
“แล้วนางจะได้ทำงานของนางไหมละเนี่ย”
“งานนั่นเสร็จเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบเลย”
“ได้ค่าจ้างนิดเดียว จะยื้อเวลาไว้ทำไม...”
“ให้มาอยู่วาดตลอดชีวิตเลยเอาไหมละ”
“มาในฐานะอะไรเหรอ”
แม้อนงค์นางจะเริ่มหน้าแดงระเรื่อแต่ว่าวิษณุจักรก็ยั้งปากไว้ทัน และอีกอย่างเขายังไม่พร้อมที่จะพูดถึงอนาคตกับหญิงสาวที่ลึกซึ้งมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้...ดังนั้นเขาจึงชักสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะบอกว่า “ฐานะ ๆ...อะไรดี...ไป ไปทำกับข้าวให้พี่ชิมก่อนดีกว่า ถ้าอร่อยค่อยว่ากัน”
อนงค์นางเบ้หน้าไหวไหล่ทันที...มาทำให้ใจเธอเพริดแล้วปล่อยให้ตกดินจนจุกอย่างนี้เธอไม่มีวันเป็นผู้หญิงที่เขาเรียนเชิญมาคัดสรรดูฝีมือหรอก...
“นางทำไม่อร่อยหรอกค่ะ...ถ้าทำกับข้าวอร่อยนางเปิดร้านขายอาหารไปแล้วไม่มาเรียนวาดรูปหรอก” หญิงสาวหน้างอเพราะรู้สึกโมโห
“งอนอะไรเนี่ย พี่พูดผิดหูอะไร”
“นางขึ้นไปทำงานต่อดีกว่า...ส่วนมื้อกลางวัน พี่จักรเป็นเจ้าของบ้าน ก็ทำเลี้ยงหามาเลี้ยงนางเองแล้วกัน...ขอตัวก่อนนะคะ”...บอกเขาแล้วอนงค์นางที่อยู่ในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนไปด้วยท่าทางอวดดื้อถือดี...เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้วิษณุจักรจึงเอนหลังลงกับโซฟาแล้วยิ้มกริ่มออกมา....
อนงค์นางนั้นรู้สึกใจพองโตเมื่อได้ยินเสียงวิษณุจักรเข้าครัว เสียงสับ เสียงโขก เสียงทัพพีหล่น แล้วก็ตามมาด้วยกลิ่นน้ำซุป จนอนงค์นางน้ำลายไหลและยังไม่ทันให้เขาเดินขึ้นมาตามอนงค์นางก็ละมือแล้วก็ค่อย ๆ ย่องไปยังในครัวสไตล์โมเดิร์นสมกับตัวบ้านของเขา...หญิงสาวค่อย ๆ ยื่นหน้าเขาไป...ได้ยินเสียงเขาฮัมเพลงเบา ๆ ขณะปรุงรสหม้อสแตนเลสที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊สไปด้วย...
“ฮะแอ้ม..” เขากระแอมเหมือนมีตาข้างหลัง ทำให้อนงค์นางสะดุ้งโหยง แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา อนงค์นางจึงต้องเป็นฝ่ายเสนอหน้าไปออดอ้อนเขาเสียเอง...
“ทำอะไรกินคะพ่อครัวใหญ่” เขาหันมายิ้มนิด ๆ แล้วก็ส่ายหัวทำนองไม่รู้ไม่ชี้...อนงค์นางจึงต้องขยับไปหาเขาจนเกือบจะชิดแผ่นหลังกว้าง...
“หอมเชียว...อุ้ย ๆ แกงจืดเต้าหู้ หมูสับ”
“แล้วก็จะเจียวไข่อีกสามฟอง” เขารายงาน
“สองอย่างเหรอคะ”
“ทำได้แค่นี้แหละ...ให้มาแสดงฝีมือมาไม่ยอมมาแสดง...ไหน ๆ ก็ลงมาแล้ว ลองชิมซะว่า น้ำซุปได้ที่หรือยัง” เขาเบี่ยงตัวและตักน้ำซุปในหม้อที่กำลังเดือดพล่านมายื่นให้อนงค์นาง หญิงสาวรับช้อนจากมือของเขามาจ่อที่ปากทำหน้าลังเลก่อนจะยกขึ้นดมกลิ่นหอม...
“แค่กลิ่นก็อร่อยแล้วใช่ไหมละ”
“ชิมก่อนค่อยว่ากัน” พอน้ำซุปหมดช้อนอนงค์นางก็ไอแคก ๆ...เขานิ่วหน้าทันที
“เป็นอะไร...”
“อร่อยมาก เกิดมาไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้เลยค่ะ”
“เว่อร์ไปแล้ว”
แกงจืดกับไข่เจียวบนโต๊ะพร่องไปเพียงนิดที่หน้าบ้านรถเก๋งราคาเฉียดล้านรุ่นใหม่ล่าสุดก็เขามาจอด ไม่มีเสียงกดกิ่งเตือนสองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ในบ้าน ร่างท้วมก็ปิดประตูปังเดินหน้าเริ่ดผ่านรั้วเข้ามาอย่างคนคุ้นเคย...
“แม่พี่มาน่ะ” สีหน้าของวิษณุจักรมีริ้วของความกังวล อนงค์นางเองก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง...ทางบ้านเขาฐานะดีขนาดนี้ เขาคงหวาดฝันว่าจะต้องมีสะใภ้มีฐานะเสมอกันแน่ ๆ...
“สวัสดีครับ..แม่มาได้อย่างไรครับ”
“ทำไมแม่จะมาไม่ได้”
“เข้าบ้านก่อนครับ” แม้เขาไม่เลี่ยงทางให้ ผู้เป็นแม่ก็ต้องเข้าบ้านมาจนได้ และเมื่อเข้ามาแล้ว อนงค์นางที่ยืนรอต้อนรับข้างโต๊ะอาหารก็ยกมือไหว้ด้วยทีท่าอ้อนช้อยแต่วรนุชก็ยังรู้สึกขวางหูขวางตาอยู่ดี
“ใครกัน”
“น้องนางครับ อนงค์นาง ช่างเขียนรูป”
“รูปอะไร” น้ำเสียงห้วน ๆ นั้นก็ยังไม่เท่าดวงตาที่สำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซึ่งมันทำให้อนงค์นางรู้สึกคอแข็งขึ้นมาเช่นกัน
“ผมจะแต่งบ้านสักหน่อยครับ แจ้งให้คุณแม่ทราบแล้วนี่ครับ”
“แล้วนี่สำลีไปไหน”
“ป้าสำลีมีธุระกลับไปแล้ว”
“แล้วกินอะไรกัน” ถามพลางสำรวจไปบนโต๊ะอาหารแล้วก็ต้องเบ้หน้า
“ทำกินกันเองง่าย ๆ ครับ...ฝีมือผมทำเลี้ยงแขก”
“ทำไมไม่ใช้สำลีทำ...กินกันแค่นี้จะอิ่มเหรอ”
“อิ่มค่ะ อิ่มแล้ว” อนงค์นางแทรกเข้ามา...
“กินง่าย อยู่ง่ายดีนี่...ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ” คำว่า ‘ง่าย’ นั้นแม่ของวิษณุจักรจงใจยานคางให้คนฟังรู้สึก อนงค์นางปรายตาไปมองหน้าวิษณุจักร ใบหน้าหญิงสาวเริ่มบึ้งตึง....
“ผมก็บอกแม่ไปแล้วนี่ครับ”
“แต่ฉันอยากได้ยินจากปากของนังหนูนี่”
อนงค์นางจึงต้องเอ่ยชื่อจริงและนามสกุลของพ่อแม่ออกไป...
“ทำไมฉันไม่รู้จัก”
“ครอบครัวเราเล็ก ๆ ค่ะ หาเช้ากินค่ำ ขอโทษนะคะที่ต้องตอบอย่างนี้” เมื่อทางแม่เขาดูถูกดูแคลนก็อนงค์นางก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายว่านอกจากร้านทำกรอบรูปแล้วทางบ้านเธอมีกิจการอะไรหรือมีที่ดินเปล่าอยู่ตรงไหนบ้าง
พอได้ยินคำตอบอวดอื้ดถือดี ดวงตาของวรนุชก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที...
“ปากกล้าดีนี่”
“คุณแม่ครับ...คุณแม่ทานข้าวมาหรือยัง” วิษณุจักรรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณจักรคะ นางขอตัวขึ้นไปทำงานก่อนนะคะ คุณน้าคะ นางขอตัวก่อนค่ะ...” พยายามกดน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแล้วอนงค์นางก็หมุนตัวเดินขึ้นชั้นบนไป....
พออนงค์นางหนีขึ้นชั้นบนไปแล้ว วิษณุจักรจึงเดินไปกระแทกตัวลงนั่งที่โซฟาก่อนจะหยิบรีโมทมาเร่งเสียงโทรทัศน์ ใบหน้าของเขานั้นบูดบึ้งบอกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจในการกระทำของผู้เป็นแม่เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก
“ยังไม่ทันไรเลย เห็นคนอื่นดีกว่าแม่ซะแล้ว”
“แม่คิดไปเองทั้งนั้นเลยนะครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย นางก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” วิษณุจักรเสียงแข็งขึ้นมา ผู้เป็นแม่เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัว ก่อนจะเพ่งมองใบหน้าลูกชาย...
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่า แม่ต้องการคนมีฐานะเสมอกัน”
“แต่แม่ก็น่ารู้ใจผมดีว่าผมไม่ชอบการบังคับ ผมไม่ชอบวิธีคลุมถุงชน และถ้าผมไม่ได้อยู่กินกับคนที่ผมรักคนที่ผมเลือก ผมก็จะขอเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา...คุณแม่ไม่อยากได้หลานสืบสกุลก็ตามใจ”
เสียงกระแอมของเจ้าของบ้านทำให้อนงค์นางที่กำลังสัมภาษณ์คนของเจ้าของบ้านต้องชะงักและหญิงสาวก็ต้องยิ้มกริ่มเมื่อป้าสำลีเห็นหน้าเจ้านายหนุ่มของตนแล้วร้องวี๊ดว๊ายก่อนจะรีบเดินเข้าไปหา...
“ตายแล้วหน้าคุณจักรไปโดนอะไรมาถึงได้กระดำกระด่างแบบนั้น” วิษณุจักรใช้หลังมือเช็ดมือซับหน้าตัวเองแล้วพอลดมือลง เขาก็ถลึงตาให้กับอนงค์นางที่หัวเราะคิกคัก..
“ลืมถ่ายรูปไว้ดูเลย” อนงค์นางหาได้สลด เขาทำตาคาดโทษไว้ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อล้างหน้า และพอออกมาจากห้องน้ำ ขณะใช้ผ้าขนหนูซับหน้าขาวผ่อง ป้าสำลีก็เดินเข้ามาถามว่ามื้อกลางวันจะกินอะไรเพราะจะได้ทำเตรียมไว้ให้..
วิษณุจักรกรอกตาครุ่นคิดก่อนจะบอกว่า “ป้ากลับบ้านไปพักได้เลยครับ เดี๋ยวผม ดูแลตัวเองและดูแลแขกเอง”
“คุณจักร”
“แล้วไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณแม่ด้วยละ..”
“ป้าไม่เคยฟ้อง”
“ถ้าคุณแม่โทรมา ป้าก็บอกว่ายังอยู่เป็นกว้างขวางคอเหมือนเดิม เข้าใจไหม”
นางสำลีทำท่าอิดออดแต่พอวิษณุจักรเดินไปหยิบแบงก์พันมายื่นให้ นางสำลีก็ชักสีหน้าลำบากใจพอเป็นพิธี...ซึ่งวิษณุจักรก็พอจะรู้ทัน
“ป้าอยากได้คุณนางมาเป็นคุณผู้หญิงไม่ใช่เหรอ...รับเงินไปเข้าร้านเสริมสวยฆ่าเวลา แล้วถ้าคุณนางถามว่าป้าไปไหน ป้าก็บอกว่าออกไปซื้อกับข้าวนะ เดี๋ยวผมตามลงไป”
นางสำลีขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปแล้ว อนงค์นางที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงยหน้าเจ้าของบ้านที่วันนี้เจ้าหล่อนรู้สึกว่าเขามีแรงดึงดูดมากกว่าทุก ๆ วัน...
อาจจะเป็นเพราะกางเกงขาสั้นที่เห็นต้นขาขาว ๆ และขนหน้าแข้งดำยาวไม่หยิกหยองจนน่าเกลียด หรือไม่เป็นเพราะเขาสวมเสื้อยืดที่แนบเนื้อทำให้ช่วงไหล่ช่วงอกของเขาเด่นชัดขึ้นมา และจังหวะที่เงยหน้าพินิจพิจารณาเจ้าของบ้าน อนงค์นางก็เห็นสายตาเอาเรื่องเขาเช่นกัน
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องเลยนะ”
“เล่นที่ไหน...พี่จักรละเมอเอง” อนงค์นางยังปากแข็ง แต่หญิงสาวก็ต้องผงะเมื่อเขาทรุดตัวลงนั่งลงที่โซฟาข้าง ๆ ตัวหญิงสาวอย่างจะลองเชิง อนงค์นางรวบหนังสือพิมพ์แล้วขยับตัวหนีเขาที่มีกลิ่นกายหอมฟุ้งในทันที
“ป้าสำลีไปซื้อของที่ไหน”
“ตลาด..พี่อยากกินปลานึ่ง”
“งั้นนางขึ้นไปทำงานก่อนดีกว่า” หญิงสาวตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่เขารั้งไว้จนกระทั่งอนงค์นางเสียหลักแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ล้มลงในอ้อมอกของเขาเพราะยังมีสติยับยั้งชั่งใจตัวเอง...ผู้ชายถ้ามีโอกาสก็พร้อมจะฉกฉวย ดังนั้นอนงค์นางจึงต้องขึ้นเสียงปราม...และมันก็ได้ผล
“พี่จักร..”
“กลัวอะไรพี่”
อนงค์นางขยับหนีไปที่โซฟาอีกตัวอย่างรวดเร็ว...
“กลัวไว้ก่อนแหละดี..ผู้ชายไว้ใจไม่ได้หรอก...”
“ไม่ไว้ใจก็ดีแล้ว...ผู้ชายหน้าไหนก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น...” สายตาวาว ๆ อย่างเป็นต่อของวิษณุจักรทำให้อนงค์นางต้องเบือนหน้าหนี
“นางว่าบ้านพี่น่าอยู่ไหม”
“น่าอยู่มากค่ะ”
“อยากอยู่หรือเปล่า”
“นางมีบ้านของนางแล้ว นางลูกคนเดียว ตึกห้องนั้นไม่เป็นอื่นแน่ ๆ” พออนงค์นางอธิบายแบบ หยิ่ง ๆ แบบนี้ยิ่งได้ใจวิษณุจักรเข้าไปใหญ่
“วันนี้โชว์ฝีมือทำกับข้าวให้พี่กินหน่อยสิ” น้ำเสียงของเขากระเส่าออดอ้อน
“ไหนว่าให้ป้าสำลีออกไปซื้อปลา”
“ปลาอาจจะขาดตลาด แล้วป้าแกก็อาจจะต้องมีธุระด่วนที่บ้าน หลานแกอาจจะร้องไห้โยเย สรุปว่า มื้อกลางวัน ยังไม่มีอะไรกิน”
“เจ้าเล่ห์...”
พอถูกรู้ทันวิษณุจักรก็แสร้งปวดเมื่อยต้นคอ
“งั้นก็ออกไปข้างนอก ร้านอาหารเยอะแยะ”
“วันหยุดแบบนี้พี่อยากอยู่บ้าน...บ้านพี่น่าอยู่จะตายนางก็เห็น ไปเข้าครัวทำอะไรให้พี่กินหน่อย” อันที่จริงนั้นวิษณุจักรอยากชิมฝีมือของหญิงสาวที่มีประวัติว่าเรียนจบคหกรรมศาสตร์มา อยากจะรู้ว่าฝีมือดีแค่ไหน เพราะเขาเองนั้นตลอดชีวิต แม้จะเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายเพราะมีโอกาสไปเรียนอยู่ในกรุงเทพและต่างประเทศ แต่ฝีมือแม่ของเขานั้นไม่เป็นที่สองรองใคร หรือถ้าต้องออกไปกินข้าวนอกบ้านกันแม่ของเขาก็จะต้องสรรหาของอร่อยชนิดมีคนมาพูดถึงเท่านั้น
“ของในตู้มีอะไรบ้างละ”
“เข้าไปดูซิ....ทำเท่าที่มี”
“แล้วนางจะได้ทำงานของนางไหมละเนี่ย”
“งานนั่นเสร็จเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบเลย”
“ได้ค่าจ้างนิดเดียว จะยื้อเวลาไว้ทำไม...”
“ให้มาอยู่วาดตลอดชีวิตเลยเอาไหมละ”
“มาในฐานะอะไรเหรอ”
แม้อนงค์นางจะเริ่มหน้าแดงระเรื่อแต่ว่าวิษณุจักรก็ยั้งปากไว้ทัน และอีกอย่างเขายังไม่พร้อมที่จะพูดถึงอนาคตกับหญิงสาวที่ลึกซึ้งมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้...ดังนั้นเขาจึงชักสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะบอกว่า “ฐานะ ๆ...อะไรดี...ไป ไปทำกับข้าวให้พี่ชิมก่อนดีกว่า ถ้าอร่อยค่อยว่ากัน”
อนงค์นางเบ้หน้าไหวไหล่ทันที...มาทำให้ใจเธอเพริดแล้วปล่อยให้ตกดินจนจุกอย่างนี้เธอไม่มีวันเป็นผู้หญิงที่เขาเรียนเชิญมาคัดสรรดูฝีมือหรอก...
“นางทำไม่อร่อยหรอกค่ะ...ถ้าทำกับข้าวอร่อยนางเปิดร้านขายอาหารไปแล้วไม่มาเรียนวาดรูปหรอก” หญิงสาวหน้างอเพราะรู้สึกโมโห
“งอนอะไรเนี่ย พี่พูดผิดหูอะไร”
“นางขึ้นไปทำงานต่อดีกว่า...ส่วนมื้อกลางวัน พี่จักรเป็นเจ้าของบ้าน ก็ทำเลี้ยงหามาเลี้ยงนางเองแล้วกัน...ขอตัวก่อนนะคะ”...บอกเขาแล้วอนงค์นางที่อยู่ในชุดกางเกงยีนเสื้อเชิ้ตก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนไปด้วยท่าทางอวดดื้อถือดี...เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้วิษณุจักรจึงเอนหลังลงกับโซฟาแล้วยิ้มกริ่มออกมา....
อนงค์นางนั้นรู้สึกใจพองโตเมื่อได้ยินเสียงวิษณุจักรเข้าครัว เสียงสับ เสียงโขก เสียงทัพพีหล่น แล้วก็ตามมาด้วยกลิ่นน้ำซุป จนอนงค์นางน้ำลายไหลและยังไม่ทันให้เขาเดินขึ้นมาตามอนงค์นางก็ละมือแล้วก็ค่อย ๆ ย่องไปยังในครัวสไตล์โมเดิร์นสมกับตัวบ้านของเขา...หญิงสาวค่อย ๆ ยื่นหน้าเขาไป...ได้ยินเสียงเขาฮัมเพลงเบา ๆ ขณะปรุงรสหม้อสแตนเลสที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊สไปด้วย...
“ฮะแอ้ม..” เขากระแอมเหมือนมีตาข้างหลัง ทำให้อนงค์นางสะดุ้งโหยง แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา อนงค์นางจึงต้องเป็นฝ่ายเสนอหน้าไปออดอ้อนเขาเสียเอง...
“ทำอะไรกินคะพ่อครัวใหญ่” เขาหันมายิ้มนิด ๆ แล้วก็ส่ายหัวทำนองไม่รู้ไม่ชี้...อนงค์นางจึงต้องขยับไปหาเขาจนเกือบจะชิดแผ่นหลังกว้าง...
“หอมเชียว...อุ้ย ๆ แกงจืดเต้าหู้ หมูสับ”
“แล้วก็จะเจียวไข่อีกสามฟอง” เขารายงาน
“สองอย่างเหรอคะ”
“ทำได้แค่นี้แหละ...ให้มาแสดงฝีมือมาไม่ยอมมาแสดง...ไหน ๆ ก็ลงมาแล้ว ลองชิมซะว่า น้ำซุปได้ที่หรือยัง” เขาเบี่ยงตัวและตักน้ำซุปในหม้อที่กำลังเดือดพล่านมายื่นให้อนงค์นาง หญิงสาวรับช้อนจากมือของเขามาจ่อที่ปากทำหน้าลังเลก่อนจะยกขึ้นดมกลิ่นหอม...
“แค่กลิ่นก็อร่อยแล้วใช่ไหมละ”
“ชิมก่อนค่อยว่ากัน” พอน้ำซุปหมดช้อนอนงค์นางก็ไอแคก ๆ...เขานิ่วหน้าทันที
“เป็นอะไร...”
“อร่อยมาก เกิดมาไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้เลยค่ะ”
“เว่อร์ไปแล้ว”
แกงจืดกับไข่เจียวบนโต๊ะพร่องไปเพียงนิดที่หน้าบ้านรถเก๋งราคาเฉียดล้านรุ่นใหม่ล่าสุดก็เขามาจอด ไม่มีเสียงกดกิ่งเตือนสองหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ในบ้าน ร่างท้วมก็ปิดประตูปังเดินหน้าเริ่ดผ่านรั้วเข้ามาอย่างคนคุ้นเคย...
“แม่พี่มาน่ะ” สีหน้าของวิษณุจักรมีริ้วของความกังวล อนงค์นางเองก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง...ทางบ้านเขาฐานะดีขนาดนี้ เขาคงหวาดฝันว่าจะต้องมีสะใภ้มีฐานะเสมอกันแน่ ๆ...
“สวัสดีครับ..แม่มาได้อย่างไรครับ”
“ทำไมแม่จะมาไม่ได้”
“เข้าบ้านก่อนครับ” แม้เขาไม่เลี่ยงทางให้ ผู้เป็นแม่ก็ต้องเข้าบ้านมาจนได้ และเมื่อเข้ามาแล้ว อนงค์นางที่ยืนรอต้อนรับข้างโต๊ะอาหารก็ยกมือไหว้ด้วยทีท่าอ้อนช้อยแต่วรนุชก็ยังรู้สึกขวางหูขวางตาอยู่ดี
“ใครกัน”
“น้องนางครับ อนงค์นาง ช่างเขียนรูป”
“รูปอะไร” น้ำเสียงห้วน ๆ นั้นก็ยังไม่เท่าดวงตาที่สำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซึ่งมันทำให้อนงค์นางรู้สึกคอแข็งขึ้นมาเช่นกัน
“ผมจะแต่งบ้านสักหน่อยครับ แจ้งให้คุณแม่ทราบแล้วนี่ครับ”
“แล้วนี่สำลีไปไหน”
“ป้าสำลีมีธุระกลับไปแล้ว”
“แล้วกินอะไรกัน” ถามพลางสำรวจไปบนโต๊ะอาหารแล้วก็ต้องเบ้หน้า
“ทำกินกันเองง่าย ๆ ครับ...ฝีมือผมทำเลี้ยงแขก”
“ทำไมไม่ใช้สำลีทำ...กินกันแค่นี้จะอิ่มเหรอ”
“อิ่มค่ะ อิ่มแล้ว” อนงค์นางแทรกเข้ามา...
“กินง่าย อยู่ง่ายดีนี่...ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ” คำว่า ‘ง่าย’ นั้นแม่ของวิษณุจักรจงใจยานคางให้คนฟังรู้สึก อนงค์นางปรายตาไปมองหน้าวิษณุจักร ใบหน้าหญิงสาวเริ่มบึ้งตึง....
“ผมก็บอกแม่ไปแล้วนี่ครับ”
“แต่ฉันอยากได้ยินจากปากของนังหนูนี่”
อนงค์นางจึงต้องเอ่ยชื่อจริงและนามสกุลของพ่อแม่ออกไป...
“ทำไมฉันไม่รู้จัก”
“ครอบครัวเราเล็ก ๆ ค่ะ หาเช้ากินค่ำ ขอโทษนะคะที่ต้องตอบอย่างนี้” เมื่อทางแม่เขาดูถูกดูแคลนก็อนงค์นางก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายว่านอกจากร้านทำกรอบรูปแล้วทางบ้านเธอมีกิจการอะไรหรือมีที่ดินเปล่าอยู่ตรงไหนบ้าง
พอได้ยินคำตอบอวดอื้ดถือดี ดวงตาของวรนุชก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที...
“ปากกล้าดีนี่”
“คุณแม่ครับ...คุณแม่ทานข้าวมาหรือยัง” วิษณุจักรรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณจักรคะ นางขอตัวขึ้นไปทำงานก่อนนะคะ คุณน้าคะ นางขอตัวก่อนค่ะ...” พยายามกดน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแล้วอนงค์นางก็หมุนตัวเดินขึ้นชั้นบนไป....
พออนงค์นางหนีขึ้นชั้นบนไปแล้ว วิษณุจักรจึงเดินไปกระแทกตัวลงนั่งที่โซฟาก่อนจะหยิบรีโมทมาเร่งเสียงโทรทัศน์ ใบหน้าของเขานั้นบูดบึ้งบอกให้รู้ว่าเขาไม่พอใจในการกระทำของผู้เป็นแม่เหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก
“ยังไม่ทันไรเลย เห็นคนอื่นดีกว่าแม่ซะแล้ว”
“แม่คิดไปเองทั้งนั้นเลยนะครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย นางก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” วิษณุจักรเสียงแข็งขึ้นมา ผู้เป็นแม่เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัว ก่อนจะเพ่งมองใบหน้าลูกชาย...
“แม่บอกแล้วใช่ไหมว่า แม่ต้องการคนมีฐานะเสมอกัน”
“แต่แม่ก็น่ารู้ใจผมดีว่าผมไม่ชอบการบังคับ ผมไม่ชอบวิธีคลุมถุงชน และถ้าผมไม่ได้อยู่กินกับคนที่ผมรักคนที่ผมเลือก ผมก็จะขอเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา...คุณแม่ไม่อยากได้หลานสืบสกุลก็ตามใจ”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ส.ค. 2555, 07:58:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ส.ค. 2555, 07:58:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 2421
<< 19.2 “พาขึ้นสวรรค์อย่างเดียวก็พอแล้วมั้ง...” | 20.2 “รักค่ะ พี่จักรน่ารักมากกกกก ...แต่ให้ทนแม่ผัวแบบนี้ นางไม่เอาหรอก” >> |

จุฬามณีเฟื่องนคร 17 ส.ค. 2555, 08:00:53 น.
ยังไม่มีเวลาจักสลากรายชื่อผู้โชคดี ได้รับ หนังสือเรื่องนี้เลยครับ เอาเป็นว่า ตอนที่ 1-10 หนึ่งเล่ม ตอนที่ 11-20 หนึ่งเล่ม ใครเม้นท์ไว้มากมีสิทธิ์มากนะฮะว์...ขอบคุณจากทุก ๆ คอมเ้ม้นท์ทุก ๆ ไลน์นะครับ แม้ไม่ได้ตอบ ละเอียดทุกเม้นท์ก็ขอให้รู้ไว้ว่า ช่วยนักเขียนตาดำ ๆ ได้เยอะทีเดียว...จุ๊บ ๆ
ยังไม่มีเวลาจักสลากรายชื่อผู้โชคดี ได้รับ หนังสือเรื่องนี้เลยครับ เอาเป็นว่า ตอนที่ 1-10 หนึ่งเล่ม ตอนที่ 11-20 หนึ่งเล่ม ใครเม้นท์ไว้มากมีสิทธิ์มากนะฮะว์...ขอบคุณจากทุก ๆ คอมเ้ม้นท์ทุก ๆ ไลน์นะครับ แม้ไม่ได้ตอบ ละเอียดทุกเม้นท์ก็ขอให้รู้ไว้ว่า ช่วยนักเขียนตาดำ ๆ ได้เยอะทีเดียว...จุ๊บ ๆ


nateetip 17 ส.ค. 2555, 08:09:23 น.
อ่ั่ยยะ..จริงๆชอบคู่นี้มากเหมือนกันนะคะ อยากเชียร์ให้เปิดเล่มใหม่ให้คู่นี้ด้วยน่ะค่ะ ตอนพิเศษเยอะๆก็ได้ เค้าชอบอ่ะตะเอง..^3^
อ่ั่ยยะ..จริงๆชอบคู่นี้มากเหมือนกันนะคะ อยากเชียร์ให้เปิดเล่มใหม่ให้คู่นี้ด้วยน่ะค่ะ ตอนพิเศษเยอะๆก็ได้ เค้าชอบอ่ะตะเอง..^3^

imsoul 17 ส.ค. 2555, 08:36:26 น.
แม่มาแรง แต่จะเอาใจช่วยคู่นี้นะคะ น่ารักมาก
แม่มาแรง แต่จะเอาใจช่วยคู่นี้นะคะ น่ารักมาก

goldensun 17 ส.ค. 2555, 08:42:37 น.
ชอบนางค่ะ เคารพตัวเอง รู้ว่าตัวเองมีดีตรงไหน มีจุดยืนของตัวเองไม่ให้จักรดูถูกได้
แต่จักรก็ยังออกแนวดูๆ กันไปอยู่ แม่จะเป็นคนขวางหรือกระตุ้นจักรกันแน่
นางคงคิดหนักขึ้น หลังเจอแม่จักร
ชอบนางค่ะ เคารพตัวเอง รู้ว่าตัวเองมีดีตรงไหน มีจุดยืนของตัวเองไม่ให้จักรดูถูกได้
แต่จักรก็ยังออกแนวดูๆ กันไปอยู่ แม่จะเป็นคนขวางหรือกระตุ้นจักรกันแน่
นางคงคิดหนักขึ้น หลังเจอแม่จักร

saralun 17 ส.ค. 2555, 08:51:49 น.
นางสู้ ๆ ค่า ^^
นางสู้ ๆ ค่า ^^

invisible 17 ส.ค. 2555, 08:53:46 น.
ชอบคู่ของจักรจัง นางสู้ๆน้าาา
ชอบคู่ของจักรจัง นางสู้ๆน้าาา

sai 17 ส.ค. 2555, 09:02:48 น.
นางน่ารักอ่ะ ไม่อ่อนเกินไม่แข็งเกิน นายจักรก็โอนะแต่ต้องดูวิธีแก้ปัญหาระหว่างแม่กะนางก่อน หุหุ
นางน่ารักอ่ะ ไม่อ่อนเกินไม่แข็งเกิน นายจักรก็โอนะแต่ต้องดูวิธีแก้ปัญหาระหว่างแม่กะนางก่อน หุหุ

konhin 17 ส.ค. 2555, 10:05:37 น.
แบ่งชนชั้นด้วยอ่ะ
แบ่งชนชั้นด้วยอ่ะ

nutcha 17 ส.ค. 2555, 10:25:37 น.
ลุ้นคู่นี้ว่าจักรจะแก้ปัญหายังไง
ลุ้นคู่นี้ว่าจักรจะแก้ปัญหายังไง

คนเหงา 17 ส.ค. 2555, 10:31:04 น.
อ้าวคุณแม่..หนูนางยังกินข้าวไม่อิ่มเลย
อ้าวคุณแม่..หนูนางยังกินข้าวไม่อิ่มเลย

wii 17 ส.ค. 2555, 12:03:03 น.
อ้าวกลายเป็น ว่าที่สะใภ้ซ่าเเม่ยายก็เเสบ พอๆกันทั้งคู่เล๊ย
อ้าวกลายเป็น ว่าที่สะใภ้ซ่าเเม่ยายก็เเสบ พอๆกันทั้งคู่เล๊ย

nunoi 17 ส.ค. 2555, 13:23:55 น.
เอาไงหล่ะคุณแม่ จะให้ลูกชายเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา หรืออยากจะอุ้มหลานหล่ะค่ะ
เอาไงหล่ะคุณแม่ จะให้ลูกชายเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมา หรืออยากจะอุ้มหลานหล่ะค่ะ

innam 17 ส.ค. 2555, 14:40:03 น.
เอาใจช่วยคู่นี้
เอาใจช่วยคู่นี้

หนอนฮับ 17 ส.ค. 2555, 16:14:35 น.
นางต้องอย่างนี้...เชอะ แม่สามีก็แม่สามีเหอะ..สู้ๆ
นางต้องอย่างนี้...เชอะ แม่สามีก็แม่สามีเหอะ..สู้ๆ

Orathai 17 ส.ค. 2555, 23:51:20 น.
แค่จักรคนเดียวก็น่าจะเอาแม่ตัวเองอยู่นะ
แค่จักรคนเดียวก็น่าจะเอาแม่ตัวเองอยู่นะ

Zephyr 22 ส.ค. 2555, 22:42:04 น.
แม่มาแรงทีเดียว
แม่มาแรงทีเดียว