ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 22.1 ...“ไม่ดีกว่าค่ะ พอดีวันนี้จินมากับแฟน ขอตัวก่อนนะคะ...”

บทที่ 22

หลังจากนาทีโทรมาถามถึงคำทำนายเรื่องเนื้อคู่ของเดชาพงษ์เพราะเป็นความต้องการใคร่รู้ของคุณหนูจรินนา เมื่อนาทีขอตัววางสายไปแล้วเมขลาจึงต่อสายโทรศัพท์ถึงพี่ชายคนรองทันที เมื่อเดชาพงษ์รู้ว่าจรินนาน่าจะรู้เรื่องคำทำนายทายทักเรื่องเนื้อคู่ของเขาซึ่งเจ้าตัวเข้าเค้ามากที่สุดไปแล้ว เมขลาก็ยุให้เขารีบทำคะแนนโดยด่วนเพราะมีรางสังหรณ์ว่า คนบางคนก็ไม่ต้องการที่จะลงเอยกับใครสักคนเพราะคำรักนั้นเกิดจากการทำนายทายทัก

...และเมขลาก็เดาได้ไม่ผิด เพราะพอเดชาพงษ์ขยับถ้อยคำหวาน ๆ เข้าไปตามความรู้สึกของตัวเอง จรินนาก็ดูเหมือนจงใจจะหนีเขาจริง ๆ ... ซึ่งถ้าหญิงสาวจงใจหนี เขาก็มั่นใจว่าหญิงสาวหนีเขาพ้นได้อย่างแน่นอน แต่ว่าเขาเองนั้นเล่าเกิดความร้อนรุ่มขึ้นมากระทั่งไม่เสียสมาธิไม่สามารถทำงานได้

...และนัดหมายจากจรินนาที่ว่าจะโทรมาบอกในตอนเช้าก็หายเงียบ จนเดชาพงษ์ต้องรีบโทรไปหาหญิงสาวเมื่อนาฬิกาบอกเวลาสามโมงเช้า...

“คุณจินครับ...วันนี้ตกลงคุณจินว่างไหม”

“เอ่อ ...มาสักสิบเอ็ดโมงก็ได้ค่ะ ขอดูแลบ้านหน่อย ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่า สองคนนั้นปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย ต้องจ้ำจี้จำไช”

“เป็นแม่บ้านแม่เรือนเต็มตัวเลยนะ”

“ค่ะ แค่นี้นะคะ สิบเอ็ดโมงเจอกัน”...

จรินนาไม่ปฏิเสธแต่ว่าก็รีบตัดสายไปไม่อ้อยอิ่งคุยกันเนิ่นนานเหมือนทุก ๆ ครั้ง ทำให้เดชาพงษ์ต้องนึกถึงลูกยุของน้องสาว... “ตื้อเท่านั้นพี่...ตื้อหวาน ๆ แล้วก็เวลาคุยด้วยก็อย่าทางการมากนัก เล่นลิ้นบ้าง อะไรบ้าง...อย่างไรพี่จินหนีพี่ไม่พ้นหรอกนะ คนเป็นเนื้อคู่นิ”

จรินนาไม่หนี แต่จรินนาไม่ยอมเป็นปลาที่ให้เขาจับได้ง่าย ๆ...เดชาพงษ์จึงต้องพิถีพิถันอยู่หน้ากระจกนานขึ้น และกระทั่งเขาขับรถกระบะสี่ประตูที่ขนสัมภาระออกเสียแล้วฉีดสเปย์ปรับอากาศกลิ่นดอกไม้ไปหยุดอยู่หน้าบ้าน พอลงจากรถเด็กสาวชาวพม่าคนหนึ่งที่เขาก็ยังจำชื่อไม่ได้วิ่งมาบอกว่า

“คุณจินให้รอเดี๋ยว” เขาเดินเข้าไปรอในบ้านถามเด็กสาวชาวพม่าว่าคุณบรรจงไปไหน เด็กพม่าตอบว่าออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า เขาจึงอ้อยอิ่งดูต้นกุหลาบที่ป้าสำเนียงปลูกไว้ ซึ่งพอคนปลูกคนดูแลไม่อยู่เขาก็รู้สึกว่ามันเหี่ยวเฉาไร้ดอกที่เคยพราวอยู่ข้างรั้ว และด้วยชอบการทำสวน สายตาของเขาจึงมองหาเสียมที่ใช้พรวนดิน พอเจอแล้วเขาก็ทรุดตัวลงนั่งพรวนรอบ ๆ ต้นกุหลาบ ต้นแล้วต้นเล่ากระทั่งหมดแปลงที่ติดรั้วหน้าบ้าน หลังจากนั้นก็ลงปุ๋ยเม็ดที่ป้าสำเนียงซื้อมาไว้ รดน้ำจนชุ่มพร้อมกันนั้นเขาก็บอกกับเด็กพม่าไว้ว่า หมั่นรถน้ำพรวนดินดอกไม้บ้าง จะได้ออกดอกให้ชื่นใจ และจากที่อาบน้ำแต่งตัวมาจนมีกลิ่นกายหอมฟุ้ง บัดนี้เหงื่อโทรมกายจนเสื้อเชิ้ตเปียกทีเดียว..

จรินนานั้นพอใจกับการไม่นิ่งดูดายของเขาเป็นอย่างมาก และพอเห็นว่าใบหน้าคมเขาพราวไปด้วยเหงื่อชุ่มไปถึงเสื้อที่เขาสวมอยู่หญิงสาวก็เดินกลับเข้าบ้านขึ้นชั้นบนไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาส่งให้เขา...

“ล้างหน้าใหม่ไหม เช็ดตัวหน่อยก็ดีนะ”

เดชาพงษ์คว้าผ้าจากมือหญิงสาวก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำชั้นล่างอึดใจเขาก็ออกมาพร้อมเสื้อที่ติดกระดุมไม่ครบทุกเม็ด ดังนั้นจรินนาจึงได้เห็นว่าที่หน้าอกของเขานั้นมีขนขึ้นเป็นแพทีเดียว...

“ติดกระดุมก่อนไหม”

เขาส่งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กให้หญิงสาวแล้วแสร้งติดกระดุมจนครบทุกเม็ด...

“เยอะไปค่ะ”

“ตัวผมเหม็นเลย...เหงื่อออก”

“ไม่เหม็นหรอก”...

“จริง ๆ นะ”

“ขอตัวเอาผ้าไปเก็บก่อนนะคะ” ว่าแล้วจรินนาก็หมุนตัวขึ้นชั้นบนไปและเมื่อเข้าห้องมาแล้ว จรินนาก็ยกผ้าที่เขาใช้ซับน้ำที่ใบหน้าและคงจะบริเวณหน้าอกด้วยขึ้นดม...


และเมื่อจรินนาเข้ามานั่งในรถของเขาเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็ได้กลิ่นดอกกุหลาบโชยมาจากเบาะหลัง...จนต้องเหลือบตามองหาที่มาของกลิ่น...เขาเอี้ยวตัวไปหยิบดอกกุหลาบจำนวนเกือบสิบดอกที่ยังบานไม่เต็มที่มาถือไว้...

“แอบหักดอกกุหลาบของคุณจินมาให้คุณจิน หวังว่าคงไม่น่าเกลียดนะครับ”

จรินนาหน้าแดงซ่านปรายตามองสายตาของเขา แล้วก้มหน้างุด...เขายื่นดอกกุหลาบให้พร้อมกับบอกว่า “ดอกไม้ของคนยากครับ รับไว้หน่อยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” จรินนารับแล้วดอมดมก่อนจะวางดอกไม้ไว้บนตักของตัวเอง...

“ไปร้านไหนกันดีครับ” เขาเอ่ยปากถาม จรินนาทำท่าครุ่นคิด

“ร้านกุ้งเผาแหละค่ะ ไม่กินกุ้งก็ได้นี่ อย่างอื่นเขาก็มี แล้วได้ยินมาว่ายำตะไคร้เขาอร่อย”...

เดชาพงษ์เคลื่อนรถพาหญิงสาวออกจากหน้าบ้าน พลางถามว่า “หิวหรือยัง เมื่อเช้ากินข้าวกับอะไรครับ”

“เมื่อเช้าทำข้าวต้มกุ๊ยค่ะ ไข่เค็ม ผัดคะน้าปลาเค็ม ถั่วทอด อาหารประจำชาติ...”

“ป้าสำเนียงไม่อยู่นี่คงลำบากเลยซินะ เพราะป้าสำเนียงทำอาหารอร่อยมาก”

“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่จะทำอย่างไรได้...แล้วพี่กล้วยกินข้าวเช้าหรือยังคะ”

“ยังเลยครับ กินกาแฟกับขนมปังไปแล้ว เหมือนจะอยู่ท้องนะ แต่ตอนนี้โหยแล้ว”

จรินนาผินหน้าออกไปมองข้างทาง ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้นั่งอยู่ในรถกับเขาเพียงสองคน และเขาก็ไม่ยอมเปิดเพลงเสียด้วย จรินนารู้สึกว่า หัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้น..

“คุณจินรู้เรื่องคำทำนายของน้องหนูนาแล้วใช่ไหมครับ”

จรินนาไม่ตอบสายตามองถนนตรงหน้าอย่างเลื่อนลอยเดชาพงษ์จึงต้องถามต่อ

“เชื่อไหมครับ”

“ก็...”

“ตอนแรกผมไม่เชื่อหรอกครับ แต่ตอนนี้ผมเริ่มเชื่อ เชื่อมากเสียด้วย”

“ถ้าจินว่าจินไม่เชื่อละ”

“เป็นสิทธิ์ทางความคิดของคุณจินนี่ครับ...”

“ค่ะ”

“แต่ผมก็เชื่อในการกระทำและความรู้สึกของตัวเองนะครับ ถ้าผมไม่ทำอะไรเลย มันก็ยากที่จะลงเอยกัน...และถ้าผมไม่รู้สึกอยากทำ ผมก็คงไม่ทำ...และเมื่อลงมือทำไปแล้ว ผมก็ต้องมั่นใจว่ามันจะสำเร็จ”

จรินนาหน้าแดงซ่าน...นึกค่อนขอดในใจว่า ‘อีตาบ้านี่ จะเผยความรู้สึกอะไร ก็น่าจะหาบรรยายกาศให้มันเป็นใจกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้’

“คุณจินครับ” ไม่พูดแค่ถามแต่เขากลับละมือจากพวงมาลัยมาจับมือข้างขวาของจรินนาไว้ด้วย...จรินนาไม่ขัดขืนแต่หญิงสาวก็ไม่ตอบและไม่หันมามองหน้าของเขา...และเขาก็ยังเซ้าซี้เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงกระเส่าอีกรอบ “คุณจินครับ...”
ครั้งนี้ไม่มีการขานรับหวาน ๆ แต่จรินนาหันหน้าไปมองใบหน้าของเขา...สายตามีคำถามขึ้นมา

“รังเกียจคนจน ๆ อย่างผมไหมครับ”

จรินนาขืนมือออกในทันทีก่อนจะตัดบทไปว่า “จินหิวข้าวจังเลยค่ะ ขับรถเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม...แล้วก็เปิดเพลงด้วย จินว่ามันเงียบจนเกินไปแล้วค่ะ...”


หลังจากที่เดชาพงษ์จอดรถแล้วจรินนาก็ไม่ได้รอให้เขาลงจากรถมาเปิดประตูให้ หญิงสาวเปิดประตูเองและก่อนจะลงจากรถจรินนาก็หันไปบอกกับเขาว่า “จินเดินเข้าไปก่อนนะคะ..”

เมื่อเดินนำเข้ามาในร้านแล้ว จรินนาก็กวาดตามองหาโต๊ะที่คิดว่าน่านั่งที่สุด ซึ่งร้านนี้มันมีทั้งห้องแอร์เป็นห้องโถงใหญ่ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือและโต๊ะรับลมแม่น้ำปิงด้านนอก นอกจากนั้นยังมีโต๊ะที่อยู่ใต้ซุ้มหลังคาไม้ทรงไทยที่ต้องเดินลงบันไดไปเพราะทางร้านจัดร้านตามสภาพของพื้นที่ริมแม่น้ำ....

ยังไม่ทันที่จรินนาจะตัดสินใจ พนักงานเสิร์ฟก็เดินเข้ามาหา..พร้อมกับที่ประตูห้องแอร์มีคุณแม่ของเอกรินทร์เปิดประตูออกมาเช่นกัน

“จิน...”

“อ้าว อาอึ้ม” จรินนายกมือไหว้...

“มากับใครละลูก”

“จินมากับ...” จรินนายังไม่ทันจะตอบ อรุณีก็เหลือบตาไปเห็นเดชาพงษ์ที่เดินตามมาพอดี...อรุณีถอนหายใจเบาๆ แต่เมื่อเดชาพงษ์ยกมือไหว้เพราะรู้จักดีว่าอรุณีคือใคร อรุณีก็ยกมือรับไหว้แล้วก็พูดเหมือนจะเปรย ๆ กับเดชาพงษ์แต่จริงจังกับจรินนาว่า “เดี๋ยวขอตัวพาจินเข้าไปแนะนำให้เพื่อน ๆ ของอาอึ้มรู้จักหน่อยนะ”

จรินนาหันไปหาเดชาพงษ์ เขาพยักหน้ารับรู้ว่าเขาควรจะเป็นคนเลือกโต๊ะด้านนอกเสียเอง...

เมื่อเดินตามแม่ของเอกรินทร์หรือป้าสะใภ้เข้ามาในห้องที่ติดแอร์ อรุณีก็หันมาถามจรินนาเบา ๆ ว่า “มาด้วยกันได้อย่างไร..”

จรินนาไม่ตอบกระทั่งเดินตามไปจนถึงโต๊ะที่หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ละลานตาไปหมด นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มที่พอให้สะดุดตาอีกคนสองคนและสาว ๆ ที่น่าจะหนีการจับคู่ไม่พ้นแน่ ๆ รวมอยู่อีกสามคนด้วย...

“จรินนาลูกสาวของคุณบรรจงค่ะ หลานสาว..”

จรินนายกมือไหว้พลางยิ้มแย้มน้อย ๆ...อรุณียังเจ้ากี้เจ้าการแนะนำคนนั้นคนนี้ที่อยู่ในโต๊ะให้ จรินนาได้รู้จักรวมถึงหนุ่มสาวกลุ่มนั้น จรินนาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จักกลุ่มเลือดใหม่ที่เรียนจบแล้วกลับมาช่วยกิจการของครอบครัวเหมือนตัวเอง..กระทั่งหนึ่งในนั้นที่ป้าสะใภ้ของหญิงสาวแนะนำว่าเป็นแม่ของวิษณุจักรบอกว่า “อรุณีไม่ชวนหลานสาวนั่งด้วยกันก่อน”

จรินนาได้ทีรีบตัดบท...“ไม่ดีกว่าค่ะ พอดีวันนี้จินมากับแฟน ขอตัวก่อนนะคะ...”


จรินนาออกตัวไว้ก่อนที่จะมากินกุ้งเผาว่าแกะกุ้งไม่เป็น ดังนั้นเดชาพงษ์จึงต้องเป็นฝ่ายแกะกุ้งตัวใหญ่ในจานของเขาและส่งเนื้อกุ้งมาใส่จานของจรินนา...หญิงสาวดูนิ้วมือเรียว ๆ ของเขาบิเปลือกกุ้งอย่างคล่องแคล่วแล้วอดถามไม่ได้ว่า “เคยแกะกุ้งให้ใครกินหรือเปล่า”

“เคยครับ บ่อยไป”

แววตาของจรินนามีแววกังขา แต่ว่าเมื่อเขาพูดต่อว่า “พ่อกับแม่ผมครับ นาน ๆ จะพามากินอะไรอร่อย ๆ แพง ๆ แบบนี้สักที หรือไม่ผมก็ซื้อแล้วหิ้วกลับไปบ้าน ส่วนสาว ๆ คุณจินเป็นคนแรกเลยครับ”...

“สมัยคบกับแฟนเก่าละ”

“ตอนนั้นผมยังจนอยู่ครับ..กระเบียดกระเสียร เราคบกันแบบเพื่อนด้วยครับ ไม่มีอะไรพิเศษ”

“ตอนที่เขาแต่งงานไปเจ็บมากไหมคะ”

“ไม่ครับ เพราะก่อนหน้านั้นเรารู้ตัวว่าเราเป็นได้เพียงแค่เพื่อนกัน เพราะผมเองก็มุ่งที่จะเดินตามความฝันของผม เค้าก็มุ่งที่จะสอบบรรจุเป็นครูรัฐบาลให้ได้ เราอยู่ห่างกันด้วย สุดท้ายก็เลยลืม ๆ กันไปครับ..”

“แล้วไม่เจอใครอื่นอีกเลยเหรอ”

“ผมมีความสุขกับงานที่ผมทำมากกว่ามั้ง ผมอยากประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ผมเลือก เพราะผมรู้สึกว่าผมเดินเข้ามาบนเส้นทางสายศิลปะช้าเกินไป ถ้าผมเรียนตั้งแต่สมัย ปวช. หรือไปเรียนศิลปากรมันก็คงจะดีกว่านี้”

“แต่ผลงานที่เห็นนี่ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วนะคะ”

“ผมว่ามันก็ยังธรรมดา ๆ อยู่ครับ แต่ที่เห็นนั่นเป็นเพราะใจรักและผมก็ทุ่มเทกับมันจนไม่มีเวลาสนใจใครครับ...”

แววตาของจรินนามีความชื่นชมอย่างเปิดเผย

“ผมภูมิใจกับสิ่งที่ผมเป็นในวันนี้มากนะครับ...”

“ให้ไปทำงานอื่นที่ได้เงินดีกว่านี้จะไปไหม”

“คำว่าอนุรักษ์มันจะต้องมีคนเสียสละครับ ผมขอเป็นคนเสียสละโอกาสที่ดีกว่านี้ดีกว่า เพื่อให้งานศิลป์แขนงนี้ยังคงอยู่ตามความประสงค์ของสมเด็จพระเทพฯ...”

“ไม่มีอาจารย์เดชาพงษ์คนอื่นก็ทำได้นี่คะ” จรินนาลองหยั่งดูความรู้สึกของเขา

“แต่เมื่อผมเลือกที่จะทำมันแล้ว ผมก็จะทำไปจนถึงที่สุดครับ...”

“ขอโทษนะคะ รายได้ตรงนั้นดีไหม”

เขาส่ายหน้าเบา ๆ

“รายได้ส่วนใหญ่ของผมมาจากจ็อบนอกครับ”

“ทำไมไม่ออกมาทำให้เต็มตัวเลย ตั้งห้าวันในหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแปดเดือนนะคะที่เสียเวลากับนักเรียนในหนึ่งรุ่น...”

“ผมว่าผมอธิบายไปแล้วนะ”

“แล้วถ้า...ถ้าเกิดอาจารย์แต่งงานแล้ว แฟนอาจารย์อยากให้อาจารย์มาช่วยงาน ช่วยกิจการของเขา อาจารย์จะทำได้ไหมคะ” น้ำเสียงของจรินนาเป็นงานเป็นการขึ้นมาและสรรพนามแทนตัวเขาก็บ่งบอกให้เขารู้ว่าหญิงสาวนั้นศรัทธาในอาชีพของเขาเป็นอย่างมาก...เดชาพงษ์ถอนหายใจเบา ๆ ส่งกุ้งที่แกะเสร็จอีกตัวใส่จานให้หญิงสาวพร้อมกับตักน้ำจิ้มในถ้วยราดลงไป แต่ว่าจรินนาก็ตักกุ้งตัวนั้นคืนมาให้

“จินไม่ไหวแล้วค่ะ...อิ่มมากแล้ว”

“แล้วถ้าคุณจินเป็นแฟนผม คุณจินจะให้ผมออกจากงานที่ผมทำอยู่ไหมครับ...”
จรินนายิ้มบาง ๆ ก่อนจะตักกุ้งในจานของเขาคืน...

“จินว่าจินยังกินอีตัวนี้ไหวค่ะ...ขอก่อนแล้วกัน”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ส.ค. 2555, 22:47:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ส.ค. 2555, 22:47:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2290





<< 21.2 “กับเราไม่ใช่เนื้อคู่กัน..ถ้าเป็นเนื้อคู่กันมันก็เข้ามา..."   22.2 “สุต้องยินดีกับอาจารย์ด้วยใช่ไหมคะ” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 20 ส.ค. 2555, 22:48:10 น.
เรื่องนี้มันจะจบลงอย่างไรละเนี่ย....


คิมหันตุ์ 20 ส.ค. 2555, 23:13:48 น.
^^


หนอนฮับ 20 ส.ค. 2555, 23:28:05 น.
มารอ


konhin 20 ส.ค. 2555, 23:42:19 น.
มาลุ้น


sai 20 ส.ค. 2555, 23:46:44 น.
อยากให้มีคนแกะกุ้งให้เค้ากินบ้างงงง


wii 21 ส.ค. 2555, 01:22:16 น.
อ้าวตักกุ้งกลับไปกลับมา เฮ้อออออ


invisible 21 ส.ค. 2555, 02:15:18 น.
รอ ร๊อ รอ หนูจิน


แว่นใส 21 ส.ค. 2555, 06:37:59 น.
55555


nunoi 21 ส.ค. 2555, 11:27:16 น.
กล้าถามพี่กล้วย ก็กล้าตอบหน่อยซิจ๊ะ หนูจิน อิอิ


anOO 21 ส.ค. 2555, 14:51:08 น.
อะไรเนี้ย ถามเค้าแล้วไหมไม่ตอบล่ะ คุณหนูจิน


goldensun 21 ส.ค. 2555, 20:25:20 น.
ตอบด้วยการถามกลับ เลยจบ


nutcha 21 ส.ค. 2555, 21:34:02 น.
พี่ต้นกล้วยเผยความนัยมาแล้วจินจะว่างั้ยล่ะ


Zephyr 22 ส.ค. 2555, 23:55:40 น.
ชักอยากจะกินกุ้งขึ้นมาบ้างแล้ว


Orathai 23 ส.ค. 2555, 10:31:02 น.
นั่นสิ เขายอมรับกันแบบกึ่งๆลองเชิง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account