พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 22. กลับมาโพสต์ให้จบตามคำเรียกร้อง

22.

“กินยาแล้วหลับไปแล้วค่ะ”

มาลีลงจากชั้นบนแล้วมารายงานให้กลยุทธได้รับรู้ กลยุทธมีสีหน้าเป็นห่วง

“คงไม่พาไปตะลอนที่ไหนอีกแล้ว”

“พาไปได้แต่ต้องระวังให้มากๆ ถ้าไม่ให้ไปไหนเสียเลย กุลก็เครียดอีก”

“สงสารกุลจังเลยค่ะ”

“แล้วสงสารพี่ชายกุลบ้างไหม”

แววตาของกลยุทธเชื่อมอยู่ที่วงหน้าของมาลี มาลีรีบเสสายตามองทางอื่น กลยุทธยังจ้องหน้าหญิงสาวอยู่อย่างนั้น

“ยังไม่ตอบเลย”

“ขอเวลาให้ฉันบ้างซิ แค่นี้ก็รู้สึกว่ามันเร็วไปแล้วนะ”

มาลีบอกตามตรง กลยุทธระบายลมหายใจออกมา

“ทำอะไรกินกันดีกว่า อยากกินยำ มาลีทำยำอะไรเป็นบ้าง”

พูดไปตาของเขายังจ้องอยู่ที่หน้าของมาลี มาลีมองเขาแล้วรีบลุกขึ้น ร่างสองร่างประชิดกัน มาลีเลี่ยงไปในครัว กลยุทธรีบเดินตามไป

“คิดถึงนะ”

กลยุทธบอกตามตรง มาลียิ่งหน้าแดงหนักเข้าไปอีก ชายหนุ่มรวบมือหญิงสาวมากุมไว้ทั้งสองข้าง

“ผม”

ยังไม่ทันที่กลยุทธจะพูดจบประโยคโทรศัพท์ของมาลีก็ดังขึ้น มาลีรีบขัดขืนดึงมือออกแล้วรีบเดินมายังกระเป๋าสะพาย พอได้ยินเสียงปลายสายมาลีก็ทำหน้าเมื่อย

“ไงเสาร์อาทิตย์ จะไม่ให้ฉันเห็นหัวเลยหรือไง”

นันทาที่อารมณ์เสียจากเรื่องเพื่อนๆ ไม่ตามใจเธอโดยการออกไปเที่ยวเต้นรำในคืนนี้ จึงหันมาโวยวายใส่มาลีที่ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า

“ก็กำลังจะกลับ พี่มีอะไรหรือคะ” มาลีพยายามระงับสติอารมณ์ตนเอง

“ไม่มีอะไรหรอก ห่วงเธอนะซิ เที่ยวตะลอนๆ ไปไหนกับใคร ฉันจะรู้ไหม ไปกับผู้ชายหรือเปล่า อยากเตือนไว้ ผู้ชายหน้าไหนก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เธอเองยังอ่อนต่อโลกนัก อย่าคิดนะว่าที่หน้าตาดีๆ พูดไพเราะหู มันจะจริงใจกับเธอ น้ำตาเช็ดหัวเข่ากันมาไม่ใช่น้อย ผู้ชายกรุงเทพฯ มันเย็นชากว่าคนบ้านป่านัก เตือนแค่นี้แหละ ถ้ายังไม่ได้พลาดท่าเสียทีใครก็รีบกลับบ้าน”

นันทาตัดสัญญาณไปแล้ว มาลีนึกอยากจะโกรธ แต่เมื่อนึกถึงความหวังดีในน้ำเสียงแปร๋นๆ นั่นแล้ว เธอก็โกรธนันทาไม่ลง เพราะเธอเองกำลังใช้ชีวิตล่อแหลมอย่างที่พี่นันทาพูดออกมาเหมือนตาเห็น

กลยุทธแปลกใจเมื่อมาลีมองหน้าตนเอง แล้วสายตามีคำถาม

“ใครเหรอ”

“พี่สาว ให้รีบกลับบ้าน เอาไว้วันหลังนะคะ ยำเยิมอะไรนั่น กลับก่อนนะคะบอกกุลกัญญาด้วย”

มาลีรีบหยิบกระเป๋าแล้วผลุนผลันออกไป กลยุทธมองตามแล้วโคลงศีรษะแล้วยิ้มชื่นกับท่าทางเป็นธรรมชาติของสาวบ้านป่า

ด้วยปวดหัวและอ่อนเพลีย ทำให้กุลกัญญาไม่ได้รับโทรศัพท์ที่นิวัฒน์โทรมาเพื่อถามอาการ นิวัฒน์จึงโทรหามาลีซึ่งนอนครุ่นคิดถึงใบหน้าของพี่ชายกุลกัญญา เธอมีแฟนแล้วอย่างนั้นหรือ เขาขอคบหาดูใจกับเธอ มาลีรู้สึกว่าตัวเองวางตัวไม่ถูก จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของมาลีดังขึ้น เป็นเบอร์ของนิวัฒน์

“กุลไม่รับสาย เป็นไรหรือเปล่า” นิวัฒน์ไม่อ้อมค้อมตามนิสัย

“ปิดโทรศัพท์มั้ง กินยาแล้วนอนพักไปแล้ว พรุ่งนี้ค่อยโทรคุยกัน”

“กุลเป็นโรคอะไร” นิวัฒน์มีน้ำเสียงร้อนรนขึ้น

“ถามเขาเองแล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนนะวัฒน์ แกอย่าคิดทำลายผู้หญิงคนนี้เด็ดขาดเลยนะ เขารักแกก็บุญแล้ว รู้นะว่าพี่ชายเขารักน้องสาวเขามาก เข้าใจไหม”

“รู้แล้วน่า เห็นเราเป็นคนอย่างไร”

“ไม่รู้ พูดไว้ก่อน แค่นี้นะมีสายเข้า”

เมื่อเห็นว่าเป็นใครโทรมา มาลีตั้งใจกดสลับรับ แต่เมื่อจะกดรับสัญญาณก็หายไป แล้วสัญลักษณ์ ‘เบอร์ที่ไม่ได้รับสาย’ ก็ปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอ

มาลีใคร่ครวญ เธอควรจะโทรหาเขาไหม ชัชชัยคือผู้ชายต้องห้าม แต่เมื่อไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงของเขา ยอมรับว่า ‘นึกถึง’ และ ‘เป็นห่วง’ เมื่ออีกใจมันร่ำร้องว่าเขาดีกับเธอ ทำให้มาลีจำต้องกดเชื่อมสัญญาณ แล้วเพลงรอรับสายก็วิ่งสู่ประสาทหูก่อนจะส่งต่อไปยังหัวใจ

‘อยากบอกให้รู้ฉันยังอยู่ ตรงนี้ฉันยังอยู่ จะคอยดูแลหัวใจของเธอให้เข้มแข็ง อยากบอกให้รู้ ฉันยังอยู่ วันนี้หรือเมื่อไร อย่ากลัวอะไรขอให้มั่นใจ จับมือกันไว้แล้วเดินไป พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะพร้อมเคียงข้างเธอ’

“สวัสดีครับ” น้ำเสียงนั้นนุ่มกังวานแฝงไว้ด้วยความแจ่มใสเหมือนเดิม

“โทรมาทำไม”

มาลีถามตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อมเพียงแต่พยายามทำให้ ‘มะนาวมีน้ำ’ ขึ้นมาอีกนิด

“ต่อสายผิด” ชัชชัยแกล้งรวนกลับมา

“งั้นวางสายนะ”

มาลีตัดสายทิ้งในทันที เมื่อตัดสายแล้วใช่ว่าเธอตัดใจจากเขาได้ พอถอนหายใจยังสุดสาย โทรศัพท์รุ่นพันกว่าบาทก็มีเสียงเรียกเข้า มาลีนั่งมองจนกระทั่งสายตัดไป แล้วก็ดังขึ้นอีก

“มีไร” มาลีทำเสียงหงุดหงิดกลับไปเมื่อตัดสินใจกดรับสัญญาณ

“คิดถึง” เขาพูดเสียงผะแผ่ว

“อือ” มาลีพูดสั้นๆ แล้วก็นิ่ง อยากรู้ว่า เขาจะพูดอะไรต่อไปอีก

“เหนื่อยไหม” มาลีไม่ตอบ

“วันนี้ไปไหนมา” เขายิงคำถามอีก แต่มาลีก็ไม่ตอบ

“วันนี้นะ ผมตื่นแต่เช้าเลย นอนกับชาวบ้าน เป็นโฮมสเตย์อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนี้นะมีเนื้อที่ประมาณสองไร่ ต้องนั่งเรือหางยาวเข้าไป อยู่ห่างจากชายฝั่ง แล้วรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อะไร” มาลีหลุดถามเขากลับไป

เมื่อเขาเล่าต่อ เขาก็จะมีคำถามกลับ อาทิเช่น เกาะที่ว่านั้นมีความยาวของหาดทรายเท่าไหร่นะ เมื่อมาลีทวนสิ่งที่เขาเล่าให้ฟังไปแล้วได้อย่างแม่นยำ เขาก็ชมมาลีว่าเป็นสุดยอดคน มาลียิ้มขำกับมุกตื้นๆ ของเขา จนกระทั่งเวลาผ่านไปสองชั่วโมง มาลีตาปรือๆ ฟังเขาสาธยายถึงทะเลชุมพร แล้ว จู่ๆ เขาก็บอกว่า

“แค่นี้นะง่วงนอนแล้ว ตาปรือแล้ว ฝันดีนะครับ จู๊ฟฟฟฟฟ”

ด้วยง่วงเหมือนกันทำให้มาลีรับคำไปง่ายว่า “ค่ะ” แต่เมื่อหลุดปากออกไปแล้ว ในใจของมาลีนั้นเหมือนมันสว่างไสวด้วยพลังของ ‘บางอย่าง’ ทีเดียว


แม้จะพยายามหลบเลี่ยงไม่ยอมพบหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือ ‘ยาม’ ที่เคยช่วยเหลือตนเองในวัยเด็ก แต่ใช่ว่าเรื่องของนายวิจักษ์ คนหน้าใสปากบางสีแดงมีคิ้วเข้มตาเรียวรีอย่างกับนักแสดงหนังชาวเกาหลีที่กำลังอยู่ในกระแส จะห่างหายไปจากหัวสมอง

เช้าขึ้นมาที่เคาน์เตอร์ยามหน้าทางเข้าออฟฟิศ นันทาจะเห็นว่ามีถุงขนมวางอยู่ แม้เพียงปรายตามองเธอก็รู้ว่า เพราะสายตาแบบนั้นของเขาหรอกถึงทำทั้งสาวแท้สาวเทียมหลงเสน่ห์ แต่เธอจะไม่ยอมเป็นคนเช่นนั้นแน่

ที่ผ่านมาเรื่องระหว่างเธอกับชัชชัย ก็ทำให้เธอขายหน้ากับเพื่อนและรู้สึกแย่กับตัวเองพอแล้ว กว่าจะรักษาใจให้มีความสุขได้ เธอใช้เวลาและเงินซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอางของแต่งตัว ออกเที่ยวเตร่ตามต่างจังหวัดและต่างประเทศไปมากโข
ความรักหากมันเกิดขึ้นง่ายๆ ความเจ็บปวดมันก็จะย้อนกลับมาง่ายๆ เช่น เมื่อสอดกระเป๋าสะพายเข้าลิ้นชักแล้ว นันทาก็ได้ยินเสียงเหมือนทุกๆ วัน

“เฮ้ย ไม่แน่นะแก วันนี้ยิ้มให้ด้วยนะ ฉันเอาขนมไปให้ แอบแต๊ะอั๋งมือขาวๆ ไปแล้วมองตาชั้นเชื่อมเลย”

“ฮะแอ่ม”

นันทาแกล้งกระแอมไอ เพื่อให้พี่จุ๋มยุติการสนทนาโทรศัพท์ ที่พาดพิงถึงยามที่อยู่ด้านนอก แต่พี่จุ๋มหาได้สนใจ

“แกอยากให้ทาบเขาส่งเข้าประกวดเหรอ ต๊ายถ้าเกิดได้ขึ้นมาจะทำอย่างไงเนี่ย ข้าวหลาม ปลาช่อนห่อหมกเลยนะแก พวกนังกอคงชอบ เทคะแนนให้อยู่หรอก”
แม้จะเลี่ยงใช้ศัพท์เฉพาะ แต่นันทาก็พอรู้อยู่บ้างว่าพี่จุ๋มหมายถึงอะไร?
“เดี๋ยวฉันจะลองทาบดู แต่แกต้องออกค่าขัดสีฉวีวรรณเขาหน่อยนะ เงินรางวัลที่ได้ก็ชักสัก 20 เปอร์เซ็นต์ซิ ที่เหลือก็ให้เด็กไปกิน อะไรนะให้หมดก็ได้แต่ขออย่างว่านิดนะเหรอ”

นันทาใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงสภาพของวิจักษ์ที่ต้องเป็นเหยื่อพวกกะเทยเหล่านี้ เธอจะช่วยเขาอย่างไรดีนะ เขาร้อนเงินหรือเปล่า เขาเข้ากรุงเทพฯ มาทำไม ทำไมมาเป็นยามอาชีพที่คนมองว่าต่ำต้อย ที่บ้านเขายากจนอย่างนั้นหรือ

นันทาถอนหายใจออกมา พอดีกับที่พี่จุ๋มวางสายโทรศัพท์ลงแล้วมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

“นันทาเธอว่าวิจักษ์เป็นไงบ้าง”

นันทาทำหน้าครุ่นคิด

“พี่จุ๋มกับเพื่อนจะทาบเขาส่งเข้าประกวด man for men ของ จีผับ”

“นั่นมันบาร์เกย์นี่พี่” นันทามีสีหน้าตกใจ

“ไม่ได้นะ”

“อ้าว ทำไมจะไม่ได้ เธอเป็นไรกับเขาล่ะถึงจะมาห้าม” พี่จุ๋มทำหน้าสงสัย

“ไม่รู้ล่ะ งานนี้พี่มั่นใจว่าเขาต้องได้”

“พี่ถามเขาแล้วเหรอ”

“เงินเดือนยามจะสักเท่าไหร่กั้น พอกินเร้อ พี่ว่าจะลงทุนจ้างสักหมื่น เอาเงินฟาดหัวไป งานนี้นะเธอเงินรางวัลตั้งสามหมื่น ถ้าได้มาพี่ก็ให้เขาสองหมื่น หรือคนละครึ่ง กำไรเห็นๆ”

“แล้วถ้าเขาไม่ได้ล่ะ”

“แค่ได้กลิ่นกายชายหนุ่ม พี่ก็ว่าคุ้มแล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก ตรง
นั้นพี่ไม่เสียดาย งั้นเดี๋ยวพี่ไปตะล่อมๆ ถามอะไรดูก่อน เผื่อไม่
ต้องเสียเงิน”

ว่าแล้วพี่จุ๋มก็หมุนตัวออกจากโต๊ะทำงานไป

พักเดียวพี่จุ๋มก็มีสีหน้ากระหยิ่มใจกลับมา นันทาไม่กล้าเอ่ยปากถามจนกระทั่งเพื่อนพนักงานคนหนึ่งเอ่ยปากถามขึ้นมา

“ยังหรอก แค่ถามๆ ดูเท่านั้นแหละว่าอยากได้อะไรพิเศษบ้างไหม โทรศัพท์รุ่นไหน เดี๋ยวพี่ว่าจะหาเสื้อผ้าของเราไปให้เขาลองใส่ดูหน่อย ลองให้แต่งก่อนแล้วชวนไปเที่ยว เวลายังเหลือเฟือ”

เมื่อได้ยินใจของนันทาเต้นแรง ถ้าวิจักษ์หลุดไปในวงจรของพวกพี่จุ๋มชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร รายไหนรายนั้น ‘ก่อน’และ ‘หลัง’ ที่ ‘ต้องการ’ พี่จุ๋มกับพวกจะปฏิบัติแตกต่างกันเป็นอย่างมาก



วันนั้นทั้งวันนันทาไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงาน เธอผุดลุกนั่ง เดินไปมาระหว่างห้องน้ำซึ่งจะต้องผ่านหน้าประตูที่มีวิจักษ์นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ นันทาอยากเข้าไปแนะนำตัวเอง อยากบอกเล่าเรื่องเมื่อในอดีตให้เขาฟัง แต่เธอจะเริ่มอย่างไร
จนกระทั่งถึงเวลาเย็นนันทาเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเหลือบดูนาฬิกาจึงได้รู้ว่า ความมืดได้มาเยือนเสียแล้ว นันทาเก็บของลงกระเป๋า อารมณ์อยากกลับบ้านไม่มีเหมือนเคย ทำไมเธอถึงไม่อยากกลับบ้าน ด้วยทุกคนปรารถนาบ้านสักหลัง เธอโชคดีมากกว่าคนอื่นที่ได้บ้านได้รถมาอย่างง่ายดาย แต่เธอกลับไม่รักบ้าน ไม่รักสมบัติ เพราะที่บ้านมันไม่มีคนที่เธอรักอย่างนั้นหรือ

แต่เมื่อเปิดไฟ แล้วเปิดประตูออกมา ยามที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือก็เงยหน้าขึ้น นันทาสบตากับเขาอย่างบังคับสายตาตัวเองไม่ได้ แววตาของเขาคล้ายมีความสงสัย มือนันทาไร้เรี่ยวแรง กระเป๋าที่อยู่ในมือพร้อมแฟ้มเอกสารที่จะนำไปเสนอลูกค้าในวันพรุ่งนี้ตกลงสู่พื้น ยามร่างสูงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมาเก็บของให้ ด้วยเครื่องแบบที่รัดกุมแนบเนื้อ ทำให้ร่างสมส่วนนั้นดูสง่าผ่าเผย

“ขอบคุณค่ะ”

เมื่อของของตนกลับเข้าสู่อุ้งมือแล้วน้ำเสียงของนันทาแผ่วเบา

“ไม่เป็นไรครับ”

เขาพูดสั้นๆ ใบหน้ายิ้มๆ แต่แววตายังมีความสงสัยแฝงอยู่

“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ” ไม่มีคำลงท้ายแต่ก็ไม่ได้ห้วนสั้นจนดูมีชนชั้น

“เลิกหนึ่งทุ่มครับ”

เมื่อได้ยินคำตอบ นันทาก็มีเรื่องอยากถามอีก แต่เธอจำเป็นต้องช่วยเขาไหม นันทารีบสาวเท้าเพื่อที่จะลงบันไดไปยังลานจอดรถ พอดีกับเม็ดฝนก็ร่วงหล่นเหมือนเป็นฉากที่สวรรค์ ตั้งใจมามอบให้คนทั้งสองคนต้องมีความสัมพันธ์กันเพิ่มขึ้น นันทารีบถอยออกแล้วยืนชิดผนัง ในเบื้องต้นนั้น ลมยังไม่พัดเอากลิ่นละอองน้ำฝนเข้ามา นันทาก็ยืนอยู่ที่บันไดขั้นแรก แต่เมื่อฝนตกหนักขึ้น แล้วลมก็หอบเอาละอองและความเย็นมาหา นันทาจึงขยับขึ้นมาที่บริเวณพื้นหน้าประตูกระจก
นันทาก้มดูนาฬิกาตัวเอง แล้วถอนหายใจออกมา

“ให้ผมกางร่มไปส่งให้ที่รถให้ไหมครับ”

น้ำเสียงของเขาปร่าแปร่งไม่ใช่สำเนียงคนภาคกลาง นันทามีสีหน้าครุ่นคิด ถ้าเธออยู่ใต้ร่มกับเขาสองคน ฉากนี้คงทำให้เธอมีความสุข แต่ถ้าใครมาเห็น เธอเองนั่นแหละจะเสียเปรียบ หรือ “รอให้ฝนหยุดก็ได้” แต่เอ๊ะ ทำไมเธอไม่ยืมร่มเขากลับไป นันทาครุ่นคิด บางทีเขาคงมีความจำเป็นที่ต้องใช้ร่มเหมือนกัน

นันทายังคงยืนทำใบหน้านิ่ง ในสายตาของวิจักษ์นั้น กิริยาของผู้หญิงคนนี้ น่าจะเรียกว่า ‘เชิด’ และ ‘หยิ่ง’ เป็นแน่ เขามาทำงานที่นี่ ในตึกสำนักงานของบริษัทนี้ ก็มีผู้หญิงที่เขารู้สึกคุ้นๆ หน้าอยู่คนเดียวเสียละมั้ง ที่แทบไม่มีคำทักทาย ไม่แลสบตาเขา หรือหยอกเย้าอย่างคนอื่น

วิจักษ์ก้มมองสภาพตัวเอง ชุดยาม กับชุดเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ไม่ได้ต่างกันนักหรอก หน้าที่ก็ยังไม่ต่างกัน เขาคงเกิดมาเพื่อต้องนั่งเฝ้าพิทักษ์ทรัพยากรอันมีคุณค่าของโลกไว้กระมัง

‘ตอนนี้จักษ์ก็ทำงานไปก่อน งานยามก็ดีนะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เราสามารถจดช็อตโน้ตไปท่องได้เลย ยืนไปนั่งไป อ่านชีทของรามฯ ไป ทำใจให้อยู่กับหนังสือตลอดเวลา แล้วเราจะเรียนจบได้เร็ว’

เป็นคำแนะนำจากพี่ตรีทศ ที่แม้ยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียน แต่พี่ตรีทศก็ได้ไปปรึกษาเพื่อนและฟันธงกลับมาว่า ‘รัฐศาสตร์การปกครองเท่านั้น’ ซึ่งจะทำให้ตรีทศได้วุฒิปริญญาตรีมานอนกอดอย่างเร็วที่สุด

และที่สำคัญ หากวิจักษ์ต้องการเรียนให้จบโดยเร็ว พี่ตรีทศก็พร้อมจะช่วยส่งเสียจนกระทั่งจบหลักสูตร แต่ตัวเขาเองที่คิดว่า ควรเผชิญโลกตามความตั้งใจตัวเองเสียก่อน และอีกอย่าง หากความปรารถนาดีของพี่ตรีทศเกิดมีอะไรแอบแฝง แล้วเขาตามใจสนองคืนไม่ได้ เขาก็จะไม่ได้ขึ้นชื่อว่า ‘เนรคุณ’


ฝนยังคงตกกระหน่ำ ทีนี้วิจักษ์เป็นคนที่ต้องก้มดูนาฬิกาบ้าง ได้เวลาที่เขาจะกลับบ้านแล้วเหมือนกัน แต่พี่ยามที่มีหน้าที่ในตอนกลางคืนยังไม่มา คงเป็นเพราะสายฝน วิจักษ์ลุกขึ้นเก็บของลงกระเป๋าสะพาย เขาเองก็ต้องเปลี่ยนเสื้อก่อนกลับบ้านเหมือนกัน แม้จะว่าไม่แคร์สายตาของใคร แต่เมื่อมีคนมอง เขาจำต้อง ทำตัวให้ดูสูงส่งในความรู้สึกของคนอื่น

“จะกลับแล้วเหรอ” นันทารีบถามขึ้นทันทีเมื่อเดาว่าเขาเคลื่อนไหวเพื่อจุดประสงค์ใด

“ครับ เลยมาหลายนาทีแล้วผมต้องลงไปตอกบัตรข้างล่าง เดี๋ยวพี่เขาก็คงมา อีกอย่างที่ออฟฟิศด้านหลังคงส่งคนอื่นมาประจำ หากพี่ยามมาไม่ได้”

“บ้านอยู่ที่ไหน” นันทาตัดสินใจถามกลับไป

“ถามทำไมครับ” นันทาไม่คิดว่าวิจักษ์จะย้อนถามกลับมาอย่างนี้

“เผื่ออยู่เส้นเดียวกันจะได้ไปส่ง”

อยากตบปากตัวเองนัก ทำไมถึงได้เสนอตัวออกไปอย่างนั้น คนฟังมีสีหน้าแปลกใจ

“ครับ” เขาพูดสั้นๆ พลางยกเป้ขึ้นสะพาย

“กางร่มไปส่งฉันที่รถแล้วกันนะ ได้ไหม”

“ครับ”

วิจักษ์ก้มลงไปที่ใต้เคาน์เตอร์หยิบร่มคันสีดำขึ้นมาแล้วกางออก เขามองหญิงสาวที่ยังมีสีหน้าลังเล แล้วนันทาจึงได้ตัดสินใจ


เมื่อสตาร์ตรถแล้วขับไปส่งวิจักษ์ให้เข้าไปตอกบัตรจากสำนักงานป้อมยามที่อยู่ด้านหน้าโรงงานผลิตเสื้อผ้า นันทาก็รอรับวิจักษ์ให้ขึ้นมานั่งบนรถเพราะเธอจะให้เขาติดรถกลับไปด้วย

เมื่อส่งตัวยาวดูเกะกะเข้านั่งคู่กับคนขับแล้ว เขาก็พ่นลมหายใจออกมา
นันทาเองทำทีเป็นสนใจอยู่กับการขับรถระมัดระวังกับถนน จนทำให้บรรยากาศดูตึงเครียดขึ้นมา

“ส่งผมลงที่ป้ายรถเมล์ก็ได้นะครับ แค่นี้ผมก็ไม่เปียกฝนแล้ว” วิจักษ์บอกตามตรง

“เอางั้นหรือคะ” เป็นครั้งแรกที่นันทาลงท้ายคำสุภาพออกมา

“วันนี้ฉันจะขอบคุณโดยการขับรถไปส่งที่บ้านแล้วกัน อ่อนนุชแค่นี้เองไม่ไกลเลย”
วิจักษ์ปรายตามามองคนขับรถ ผู้หญิงคนนี้คิดอย่างไรกับเขาหว่า หรือว่าในเบื้องต้นวิจักษ์คิดในทาง ‘เสนอ’ เหมือนรายอื่นๆ ที่เคยประสบมา แต่ดูแล้วเจ้าหล่อนก็ไม่ได้มีคารมหรือลีลาต้อนเขาแต่อย่างใด

“บ้านคุณอยู่ที่แถวไหนครับ”

นันทานิ่งเงียบไม่ตอบ เมื่อนันทาไม่ตอบ วิจักษ์จึงนั่งนิ่งมองอยู่ที่ข้างถนน หากเขาไม่ได้นั่งรถของผู้หญิงคนนี้มา คงยืนตัวชื้นน้ำฝนเหมือนคนข้างถนน เขานึกถึงชีวิตสบายๆ ในอุ้มผาง เวลาทุ่มสองทุ่มแบบนี้ บางวันเขาเข้านอนแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่วิจักษ์ถอนหายใจออกมา

“พักอยู่กับใคร”

แล้วเสียงของนันทาก็แทรกความเงียบขึ้นมา วิจักษ์มองหน้าหญิงสาว คาดเดาความรู้สึกของคนกรุงเทพฯ ไม่ออกจริงๆ

“พี่ชายครับ”

“บ้านหรือห้องเช่า” นันทายังซักไซ้

“บ้านครับ” วิจักษ์ตอบสั้นๆ จนกระทั่งรถถึงจุดที่มีน้ำเอ่อล้นถนน

“รถเราจะดับไหมเนี่ย”

นันทาเปรยออกมาเบาๆ ทำนองปรึกษา วิจักษ์เองก็พลอยกังวลไปด้วยเหมือนกัน แล้วนันทาก็บังคับรถตามรถคันหน้าออกจากจุดน้ำท่วมมาได้ ท่ามกลางเสียงถอนหายใจของวิจักษ์

“หิวข้าวหรือยัง”

นันทาถามเมื่อมองนาฬิกาดิจิตอลที่คอนโทรล วิจักษ์ครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี เมื่อตอบช้า นันทาจึงบังคับรถให้ชิดขอบถนนซึ่งมีร้านข้าวต้มตั้งอยู่

“ทานข้าวต้มกันก่อนดีกว่า”

วิจักษ์อึกอัก ด้วยเงินในกระเป๋าเขานั้นมีไม่ถึงห้าร้อยบาท

“ฉันเลี้ยงเอง ลงมาซิ”

แล้วนันทาก็ปลดล็อกประตู ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วเปิดประตูทำท่าจะลงจากรถ วิจักษ์เองยังครุ่นคิด เขานึกถึงพี่ตรีทศขึ้นมา วันนี้วันหยุดของพี่เค้า คงทำอาหารไว้คอยนั่งกินด้วยกัน


เมื่อขัดขืนไม่ได้ วิจักษ์จำต้องพาร่างสูงโปร่งของตนเอง มานั่งเจียมตัวอยู่ตรงข้ามกับหญิงสาวที่จัดว่าเปรี้ยวทีเดียว

“สั่งได้เลยนะ เอาสักสามสี่อย่าง เอาที่จักษ์ชอบนะ”

แม้คำเรียกขานก็ดูสนิทปากขึ้น จนวิจักษ์งุนงง ผู้หญิงคนนี้ดูแปลก เดี๋ยวขรึม เดี๋ยวสดใส คล้ายกับคนที่มีอะไรอยู่ในใจ

“มองฉันทำไม” นันทายิ้มพลางหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดจาน

“เราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ” วิจักษ์รู้สึกคุ้นๆ หน้าผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินคำถาม นันทารู้สึกตัวลอยขึ้นมาทีเดียว

“คุ้นหน้ามากหรือคะ”

วิจักษ์พยักหน้าตอบรับ นันทาไม่พูดอะไรต่อ เธอก้มลงมองเมนูแล้วเรียกเด็กในร้านมาสั่งอาหาร

ในมื้อนั้น นันทาจงใจทำให้วิจักษ์รู้สึกอึดอัด เธอจะพูดเมื่ออยากพูด และจะตอบคำถาม เมื่อคิดว่าตอบไปแล้ว เขาจะไม่รู้เรื่องของเธอมากกว่าที่เธออยากให้รู้..


เมื่อรถของนันทาลับตาไปแล้ววิจักษ์ก็ถอนหายใจออกมา เขามองเข้าไปในบ้าน เห็นว่าไฟโคมที่ผนังเปิดพอให้มีแสงสว่าง ส่วนไฟฟ้าชั้นสองในห้องนอนของพี่ตรีทศนั้นปิดสนิท เมื่อพ้นประตูรั้วเขาได้ยินเสียงแอร์ครางกระหึ่ม แสดงว่าพี่ตรีทศอยู่ในห้อง

วิจักษ์ผลักประตูเข้าไป บนโต๊ะอาหารมีฝาชีวางไว้ เขารู้ทันทีว่าในนั้นจะมีอาหารรอเขาอยู่ เมื่อเปิดฝาชีเห็นปลานึ่งตัวใหญ่กับผัดกะเพราเครื่องในไก่ และต้มยำซี่โครงหมู ความรู้สึกผิดแล่นมาจับที่ความรู้สึกเขาทันที หากเขาไม่ทานอาหารมื้อนี้ คนปรุงรสคงเสียน้ำใจแน่นอน

วิจักษ์เดินขึ้นชั้นบน เมื่อเปิดประตูห้องนอนของตนเข้าไป เขาต้องแปลกใจเมื่อเห็นเตียงนอนมีที่นอนและผ้าปูสีน้ำตาลเข้าชุดกับหมอนหนุนและหมอนข้างพร้อมกับผ้าห่มลายดอกที่มีเฉดสีเดียวกัน ที่ตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ของพี่ตรีทศ มีตู้อีกหลังซึ่งมีสีเดียวกับเตียง เขายังได้กลิ่นใหม่ของมัน

เขาอยากจะไปเคาะห้องพี่ตรีทศร้องถาม แต่เขาก็ไม่เคยได้กล้ำกรายเข้าไปในนั้น ยิ่งเป็นยามวิกาลแบบนี้ วิจักษ์นั่งนิ่งอยู่บนเตียงแล้วล้มตัวลงนอน

ในเวลานี้เขาอยากโทรหามาลีเหลือเกิน แต่เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขารู้ก็พอรู้ว่ามาลีจะพูดกับเขาว่าอย่างไร









จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ส.ค. 2555, 20:13:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ส.ค. 2555, 20:13:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1662





<< 21. กลับมาโพสต์ให้จบตามคำเรียกร้อง   23.“พี่ชายนะพี่ชาย ทำกับแขกกุลได้ ขอโทษนะคะ” >>
อ้อย 22 ส.ค. 2555, 00:28:41 น.
เมื่อไรคุณชัชจะกลับมาสักทีค่ะ หายไปนานนะคะ


wii 22 ส.ค. 2555, 01:34:38 น.
เฮ้อจะว่าไปมาลีก็หลายใจจับปลาหลายมือนะเนี่ย จะปล่อยคนนี้ก็เสียดายคนโน้น อยากรู้จังว่าใครน้อคือพระเอกตัวจริงของมาลี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account