ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 23.2 “ผมไม่เคยคิดอะไรกับเขาเกินศิษย์กับครูครับ”

แม้เรื่องที่สำลีรายงานมานั้นจะเป็นเรื่องที่ควรยินดี แต่วรนุชที่มีอคติว่าอนงค์นางนั้นมีฐานะแย่กว่าก็ยังรู้สึกว่างานนี้เธอจะยอมแพ้ลูกชายกับอนงค์นางไม่ได้

...แต่ว่าครุ่นคิดทำให้อนงค์นางกับลูกชายมีอันต้องเลิกกันอย่างไรก็คิดไม่ออก กระทั่งขณะที่เดินดูสินค้าอยู่ในห้างสรรพสินค้า หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อของในกระบะลดราคาทำให้วรนุชต้องนิ่วหน้า ครุ่นคิดว่าเคยเห็นเด็กสาวที่ดูเปรี้ยวเข็ดฟันนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่และพอลำดับความทรงจำได้แล้วว่าครั้งหนึ่งขณะไปเดินที่ห้างแห่งหนึ่งกับเพื่อน เธอเห็นวิษณุจักรเดินอยู่กับเด็กสาวผู้นี้ด้วยทีท่าสนิทสนม

...แม้จะรู้ว่าลูกชายไม่ได้คิดจริงจัง แต่ว่าเวลานี้วรนุชนึกอยากจะใช้เด็กคนนี้ทำประโยชน์ให้กับตัวเอง วรนุชจึงได้เดินเข้าไปทักด้วยน้ำเสียงโอบอ้อมอารีเป็นอย่างมาก

“หนู...”

หน่อยที่กำลังเลือกชุดชั้นในลดราคาเงยหน้ามองคนร้องทัก

“คะ รู้จักหนูเหรอคะ”

ด้วยตรงลานลดราคานั้นเปิดเพลงเสียงดังวรนุชจึงเอ่ยปากชวน

“เคยซิ...แล้วตอนนี้ก็อยากคุยด้วย เข้าไปนั่งในร้านขนมคุยกันหน่อยได้ไหม”
สำหรับหน่อยแล้ว เรื่องใด ๆ ก็ตามที่เข้ามาในชีวิต หน่อยจะคิดว่าเป็นเรื่องสนุกอยู่เสมอ หน่อยจึงเดินตามวรนุชไปอย่างไม่มีอิดออด...หลังจากได้เครื่องดื่มมาคนละแก้วแล้ววรนุชก็ไม่อ้อมค้อม

“ฉันเคยเห็นเธอเคยควงกับลูกชายฉัน วิษณุจักรน่ะ ความสัมพันธ์ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”

หน่อยหยุดคิดเพียงครู่...แล้วก็ตอบอย่างคนมั่นใจในตัวเองว่า “ก็...นาน ๆ จะเจอกันทีค่ะ ไม่ได้มีอะไรกัน” ไม่มีอะไรกันของหน่อย แปลว่าใช่ว่าไม่เคยมีอะไรกัน แต่ว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เธอพอใจและวิษณุจักรเองก็พอใจ หญิงสาวพบกับเขาไม่กี่หน ทั้งที่อยากจะเจอกับเขาบ่อย ๆ

“ตอนนี้เขาไปติดผู้หญิงคนหนึ่งฉันกลุ้มใจมากเลย”

“ผู้หญิงแบบไหนคะ”

“เรียนจบแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราวน่ะ เอาตรง ๆ เลยแล้วกัน ผู้หญิงคนนั้นเขาก็โอเคนะ แต่ว่าจนไปหน่อย แล้วลูกชายฉันก็ทำท่าจะจริงจัง ฉันไม่อยากได้เด็กคนนี้เป็นสะใภ้”

“แล้วมาบอกหน่อยทำไมคะ”

“อยากให้เธอช่วยทำให้เด็กคนนั้นไม่อยากได้ลูกชายฉัน...”

“งานนี้หน่อยจะได้เท่าไหร่คะ” น้อยไม่อ้อมค้อมเพราะรู้ว่าฐานะของคู่สนทนาเข้าขั้นเศรษฐี

“เบื้องต้นก็ห้าพัน”

“น้อยไปค่ะ”

“สี่พัน”

“ขอตัวก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วหน่อยก็ลุกขึ้น แต่ว่าวรนุชก็เร็วพอที่จะบอกราคาไล่หลังไปว่า “ถ้าหนึ่งหมื่นบาทล่ะเธอพอจะช่วยฉันไหวไหม”


“แม่ลองชิมขนมนี่หน่อยซิครับ” ด้วยจะรีบนำขนมปั้นขลิบฝีมือของอนงค์นางไปให้แม่ตัวเองลองชิม

เขาจึงให้อนงค์นางขับรถนำขนมมาให้เขาที่ทำงาน และหลังเลิกงานวิษณุจักรก็ขับรถกลับไปหาแม่ที่บ้าน

โดยก่อนหน้านั้นเขาได้นัดหมายให้แม่ทำหมูพะโล้เมนูโปรดของเขาไว้รอด้วย

“ฝีมือใครเหรอ” นางสำลีโทรมารายงานหมดแล้วแต่วรนุชก็แสร้งถามไปอย่างนั้น

“ฝีมือนางครับ นางเขาจบคหกรรมมา...” อันที่จริงวิษณุจักรก็รู้อยู่แล้วว่าแม่นั้นน่าจะรู้เรื่องทุกเรื่องในระหว่างที่อนงค์นางอยู่ที่บ้านเขาดีอยู่แล้ว แต่เขาก็แสร้งไม่รู้ไม่ชี้บ้าง

“ชิมหน่อยนะครับ ถ้าไม่อร่อยเขาจะได้ปรับปรุงรสชาติ”

เมื่อลูกชายคะยั้นคะยอวรนุชจึงตักขนมปั้นขลิบที่คนทำจะต้องใจเย็นเป็นอย่างมากไม่งั้นขอบของตัวขนมจะบิดเป็นเกลียวให้เสมอกันไม่ได้...และเมื่อขนมสัมผัสกับประสาทรับรสวรนุชยอมรับว่ารสมือของอนงค์นางใช้ได้ทีเดียว แต่ก็ต้องตอบไปว่า “อืม...” สั้น ๆ แค่นั้น แล้วสายตาของวรนุชก็ทำเป็นสนใจรายการโทรทัศน์ต่อ

“อืม..นี่คือ” วิษณุจักรเซ้าซี้

“เค็มไปนิดนะ เค็มขี้มือหรือเปล่า”

“ผมจะบอกให้เขาปรับปรุงรสชาติหน่อยแล้วกัน...แม่อยากทานขนมอะไรอีกไหม ผมจะให้นางเขาลองทำมาให้แม่ชิม”

“มีเวลาว่างมากหรือไง งานการไม่ทำหรือไง...”

“ตอนนี้เขายังไม่ได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราวครับ...ไปเรียนวาดรูปจิตกรรมไทยมาแล้วก็รับงานที่โรงแรมหิมวันต์กับอาจารย์ของเขา แล้วก็ช่วยงานที่บ้าน...แล้วผมอยากได้ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านครับแม่ เพราะเราเองก็มีมากพออยู่แล้ว กลับบ้านแล้วมีของอร่อย ๆ กินเลย ผมว่ามันโอเคนะครับ”

“เกรงว่าจะขยันเฉพาะตอนนี้นะซิ แต่งไปแล้ว ป้าสำลีก็เหนื่อยเพราะนิ้วของเธอ”

“ไม่หรอกครับ นางไม่ใช่คนนิสัยอย่างนั้น”

“จะรีบแต่งกันเลยไม่ได้หรอกนะ คบหากันไปก่อน สักสามสี่ปี”

“ผมอายุมากแล้วนะครับ”

“เมื่อก่อนพอแม่ถามทำไมถึงไม่คิดแต่งงานจักรก็บอกว่า ผมยังอายุไม่เยอะ...ขอสักใกล้ ๆ สี่สิบ”

“ผมเจอคนถูกใจแล้วครับแม่”

“แล้วพวกเบี้ยบ้ายรายทางของเราล่ะเคลียร์หมดแล้วหรือยัง”

“ไม่น่าจะมีใครมีปัญหาอะไรหรอกครับ ผมไม่เคยจริงจังอะไรกับใคร”

“ให้มันจริงเถอะ...ไม่ใช่มาตามถล่มงานแต่งอย่างในละครโทรทัศน์ ขายหน้าแขกเหรื่อแย่เลย”

“แม่จะไปขอนางให้ผมแล้วใช่ไหมครับ”

“ยัง...แม่พูดเผื่อ ๆ ไปอย่างนั้น อย่าทำตัวเป็นเด็ก ๆ นักเลย เพิ่งจะรู้จักกัน ดู ๆ กันไปก่อน จะรีบปิดโอกาสตัวเองไปถึงไหน...แต่งแล้วถ้ามันไม่ใช่ หรือไปเจอคนที่ดีกว่า มันไม่ได้เลิกกันง่าย ๆ หรอกนะ”

ฟังเหตุผลของแม่แล้ววิษณุจักรก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ...



พอเห็นว่าอนงค์นางจะไปโรงแรมเพื่อเอาขนมไปให้วิษณุจักรตามที่ชายหนุ่มต้องการ จรินนาก็ถือโอกาสฝากขนมที่ตัวเองช่วยอนงค์นางทำนั้นไปให้เดชาพงษ์ได้ชิม โดยที่วันนี้จรินนาไม่ยอมไปพบเขาอย่างที่ได้บอกไว้ เหตุผลที่จรินนาบอกกับอนงค์นางนั้นก็คือว่า “เมื่อคืนเขาน่าจะโทรมาถามเรื่องดอกไม้ เขาก็ไม่โทรมา ดังนั้น วันนี้พี่ก็ขอเล่นตัวอีกวันแล้วกัน”

เมื่อเดชาพงษ์ได้ขนมปั้นขลิบที่เขาก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นฝีมือของอนงค์นางหรือว่าจรินนากันแน่...เขาก็โทรหาจรินนาเมื่ออนงค์นางคล้อยหลังในทันที....แต่เรื่องที่เขาถามกลับไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องขนมแต่เป็นเรื่องดอกไม้ที่จรินนาน่าจะอยากให้ถามมากกว่า

“คุณจินดอกไม้เมื่อวานหอมไหมครับ”

“หอมค่ะ หอมฟุ้งตลบอบอวลจนต้องเอาออกไปไว้ที่ระเบียง”

“โห...เยอะไปเหรอครับ”

“คิดอย่างไรไปสั่งดอกไม้ร้านนั้น แน่มากเลยนะคะ”

“ก็ อุดหนุนคนกันเองครับ...”

“สั่งให้เขามาส่งด้วยตัวเองด้วยเหรอคะ”

“เปล่าครับ...เขาไปส่งด้วยตัวเองเลยเหรอครับ”

“ค่ะ มากับคนชื่อเกียรติ ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กันมา เซอร์ไพร์สมากนะคะ”

“แล้วสุเขาบอกอะไรบ้างละครับ”

“เขาบอกว่ามีผู้ชายเจ้าเล่ห์ผู้ชายใจร้ายคนหนึ่งสั่งให้เอามาส่ง”

“โห...”

“ไม่สงสารเขาบ้างเหรอคะ...”

“ทำไมต้องสงสาร”

“ก็น่าจะรู้ว่าเขาคิดอะไรกับพี่กล้วย”

“ผมไม่เคยคิดอะไรกับเขาเกินศิษย์กับอาจารย์ครับ”

“เค้าก็สวยนะคะ รู้มาว่า ทอดสะพานน่าดูด้วย”

“ครับ” เดชาพงษ์ตัดบทเพราะไม่อยากพูดเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว...แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“นึกอย่างไรไปเรียนทำขนมครับ...”

“ลูกติดพันจากการที่ต้องเป็นแม่บ้านให้ป๊าเต็มตัวน่ะคะ แล้วอีกอย่าง เป็นผู้หญิงมีวิชาความรู้แบบนี้ติดตัวไว้มันก็เป็นเรื่องที่ดีมากไม่ใช่เหรอคะ”

“ดีสำหรับผมในอนาคตแน่นอนครับ”

“ขยันหวานจังเลยนะคะ”

“ต้องโทษขนมปั้นขลิบของคุณจินเลยครับ...ถ้าไม่ได้ขนมหวาน ๆ มากลั้วคอผมก็คิดอะไรหวาน ๆ แบบนี้ไม่ออกหรอกครับ”



หนิงต้องแปลกใจเมื่อเห็นหน่อยที่บ่นว่าเงินไม่พอใช้ ซื้อรองเท้าสาน กระเป๋าสะพาย และชุดชั้นใน รวมถึงไก่ทอดติดมือกลับเข้ามาในห้องพัก...

“ถูกหวย” หน่อยบอกพลางหยิบรองเท้ามาสวมแล้วเดินหมุนไปหมุนมาในห้อง

“นี่มันไม่ใช่วันหวยออกนะ”

“ก็ซื้อไว้นานแล้ว เพิ่งตรวจ ก็เลยรู้ว่ามันถูก อย่าสงสัยมากนัก กินไก่ไป” พอรับงานมาแล้วหน่อยก็นึกได้ว่าครั้งที่เคยนอนกับวิษณุจักรนั้น ตอนที่เขาหลับหญิงสาวเคยถ่ายรูปหน้าตัวเองซึ่งกำลังกระโจมอกโดยมีเขานอนอยู่ข้างหลังไว้ในโทรศัพท์ ดังนั้นพอคุณนายวรนุชเสนองานมาให้ หน่อยก็นำไฟล์รูปนั้นไปอัดใช้ปากกาเมจิเขียนทับหน้าตัวเองแล้วก็เขียนด้านหลังรูปไว้ว่า ‘ไม่อยากมีปัญหาก็อย่ายุ่งกับผัวฉัน’ก่อนจะไปหย่อนไว้ในตู้จดหมายหน้าร้านของอนงค์นาง

...และเช้าวันพรุ่งนี้ พ่อหรือแม่ของอนงค์นางก็คงจะได้เห็นรูปใบนั้นแล้วปัญหาก็จะตามมา...เพราะผู้ชายที่มีประวัติว่าสำส่อนนั้น ไม่ควรค่ากับลูกสาวคนเดียวของร้านนี้อย่างแน่นอน

...เพียงแค่นี้งานของเธอก็จบ และถ้ามันยังไม่จบ หน่อยก็มีก็อกสองเพราะที่หน้าร้านมีเบอร์โทรศัพท์บ้าน โดยพรุ่งนี้ช่วงที่อนงค์นางออกจากบ้านไปทำงาน ก่อนที่พ่อกับแม่ของอนงค์นางเห็นรูป หน่อยจะโทรเข้าเบอร์บ้านแต่เช้า..แล้วหน่อยก็จะโกหกพ่อหรือแม่ของอนงค์นางที่รับสายว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียน ขอเบอร์โทรศัพท์มือถือของอนงค์นางมาเก็บไว้

...และถ้าแผนสองไม่ได้ผล แผนที่สามคุณวรนุชจะให้เธอไปปรากฏตัวที่บ้านของวิษณุจักรในช่วงที่อนงค์นางทำงานอยู่ เพียงแค่นี้อนงค์นางจะต้องทนวิษณุจักรไม่ได้แน่ ๆ

หนิงดึงกล่องใส่ไก่ทอดมาดู พลางมองหน่อยด้วยสายตาไม่เชื่อใจนัก...เพราะหน่อยนั้นเคยอกหักผิดหวังจากชายที่ตัวเองรักมากและเสียตัวให้ไปแล้ว หลังจากนั้นหน่อยก็ปล่อยตัวแลกเงินกับชายที่กล้าเสนอ... ซึ่งหนิงไม่ชอบวิธีการหาเงินแบบนี้ หน่อยก็เลยไม่ได้ทำอีก และครั้งนี้หนิงอดสงสัยไม่ได้..

“คิดว่าหน่อยไปขายตัวมาอีกละซิ”

“อดคิดไม่ได้”

“บอกว่าไม่ทำแล้ว ก็ไม่ทำแล้ว....เชื่อใจกันบ้าง”

“ไม่ทำก็ดีแล้ว แล้วได้เงินมาแล้ว ก็รู้จักประหยัดบ้าง...สุรุ่ยสุร่ายแบบนี้พอเรียนจบอพยพเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯ จะเอาทุนเอารอนที่ไหนไป”

“ถึงเวลาก็มีเองแหละ”

“นึกถึงยามเจ็บไข้ได้ป่วยบ้างไหม”

“ก็ยืมหนิงไง”

“ทำตัว...”

“ตั้งแต่มีแฟนเป็นมหาสึกจากพระนี่ขยันเทศนาจริง ๆ เลยนะ...ถามจริง ๆ เหอะ ขลุกอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ไฟมันสปาร์คบ้างไหม”

หนิงค้อนให้หน่อยแล้วก็พูดอุบอิบว่า “ไม่ใช่พระอิฐพระปูนมันก็มีบ้างอะไรบ้างพอกรุบกริบ ๆ”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ส.ค. 2555, 08:15:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ส.ค. 2555, 08:15:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 2263





<< 23.1 "พี่จะไม่ทำให้อาจารย์ของนางกับสุอกหักหรอก กลัวโดนรุมตบ...”   24.1“แฟนเก่าพี่ คนที่คบหากันก่อนที่พี่จะกลับมาอยู่นครสวรรค์...” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 23 ส.ค. 2555, 08:16:10 น.
อรุณสวัสดิ์ จุ๊บ ๆ....ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ....โค้งสุดท้ายแล้ววววววววว


แว่นใส 23 ส.ค. 2555, 08:22:27 น.
ทำให้ได้แล้วกันนะ


imsoul 23 ส.ค. 2555, 08:28:32 น.
โถ แม่ใจร้าย สงสารนาง พี่จักรสู้ๆนะ


nateetip 23 ส.ค. 2555, 08:52:55 น.
น่าร้ากกกกก ไปๆมาๆตอนนี้ลุ้นคู่น้องนางแทน อิอิ..


sai 23 ส.ค. 2555, 08:56:26 น.
อุปสรรคที่มาทดสอบความรักของนางและพี่จักร


Zephyr 23 ส.ค. 2555, 09:29:16 น.
เฮ้อ แม่นะแม่ หาเรื่องปวดหัวให้พี่จักรอีก
เอ้าถือซะว่าแม่สร้างบททดสอบความอดทนละกันนะ


nutcha 23 ส.ค. 2555, 09:37:15 น.
แม่พี่จักรเล่นแรงจัง นางจะรับมือไหวไหมน้า


nunoi 23 ส.ค. 2555, 10:11:15 น.
ร้ายจริงๆ นะคุณแม่


konhin 23 ส.ค. 2555, 10:17:15 น.
เอ๊ะ คู่ไหนคู่เอกนะ แซวค่ะแซว แบบว่ามันลุ้นกว่ากับอีกคู่อ่ะ ทำไมคุณแม่พี่จักรร้ายจัง
คู่เอกตัวจริงหวานซ้าาาาาาา


จุฬามณีเฟื่องนคร 23 ส.ค. 2555, 10:36:01 น.
แฟนเก่าน้องจินยังไม่ออกมาครับ....เดี๋ยวตามกลับมาจากเมืองนอกทีหลัง...อว๊ากกกก


innam 23 ส.ค. 2555, 11:06:27 น.
นางมารแผลงฤทธิ์ (คุณแม่นะ)


คิมหันตุ์ 23 ส.ค. 2555, 12:11:21 น.
โอ้ว แม่เจ้า ...หนทางช่างขรุขระนัก


anOO 23 ส.ค. 2555, 16:24:44 น.
พี่จักรจะรู้ไหมนะ ว่าคุณแม่อยู่เบื้องหลัง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account