The Royal Wedding : รักนี้ที่วังหลวง
เมื่อเจ้าชายหนุ่มรูปงามแห่งศตวรรษที่ 21 ผู้ที่สตรีทั่วราชอาณาจักรต่่างเฝ้าฝันจะได้ควงคู่ กลับถูกสี่สาวพี่น้องตระกูลหนึ่งไม่เห็นว่าสำคัญ พระองค์จะทำอย่างไร เมื่อปัญหายิ่งหนักขึ้นด้วยสมเด็จพระราชินีมีพระดำรัสต้องการได้สะใภ้หลวงเป็น 1 ใน 4 สาวนั้น

เรื่องราวของซินเดอเรลล่ายุคใหม่เริ่มต้นขึ้น ไม่แปลกและไม่แตกต่าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ใครๆอยากสัมผัสเสมอมา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: สองพี่น้อง

The Royal Wedding 5

คอกม้าในวังหลวงค่อนข้างจะคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องด้วยมีม้าตัวใหม่ชื่อราฟาเอลซึ่งมีพละกำลังดี รูปร่างสง่า และที่สำคัญ พยศ กว่าตัวไหนๆเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ได้ไม่นานนักแต่กลับเป็นที่โปรดปรานของเจ้าฟ้าชายอิศเรศร์อย่างยิ่ง
วันนี้หลวงสีหนาถเข้ามาทำงานในวังหลวงเพื่อดูแลคอกม้าตามปกติ และไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายอิศเรศร์ที่มีราฟาเอลเป็นม้าตัวโปรด ดังนั้นเมื่อถึงคอกม้า หลังจากคุณหลวงให้ข้าวให้น้ำและทำความสะอาดราฟาเอลเสร็จ คุณหลวงจึงพาม้าตัวโปรดไปออกกำลังกาย ทดสอบพละกำลังของม้าหนุ่ม นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจ้าชายไม่พอพระทัยในหลวงสีหนาถนัก เพราะนอกจากเขาจะเป็นคนตรง ดุ และเข้มงวดแล้ว เขายังสามารถมัดใจราฟาเอลไม่ให้พยศได้มากกว่าเจ้าชายเสียอีก

“ม้าตัวนี้กำลังดีมากไหมคุณหลวง” พระสุรเสียงอ่อนโยนตรัสขึ้นขณะหลวงสีหนาถกำลังจูงม้าตัวโปรดเข้าคอกหลังจากออกกำลังกันพอสมควร

หลวงสีหนาถโค้งต้อนรับสมเด็จพระราชินี พลางลูบต้นคอของราฟาเอล

“แข็งแรงที่สุดเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท และจะดีมากหากเจ้าชายเสด็จมาออกกำลังกายกับเจ้าตัวนี้บ่อยๆ

พระราชินีสรวล หึหึ เมื่อนึกงถึงพระราชโอรสแสนดื้อ “อิศเรศร์บอกว่าราฟาเอลพยศเหลือเกินน่ะคุณหลวง แต่เราดูแล้วก็เห็นคุณหลวงไปกับเจ้าตัวนี้ได้ดีนี่”

“แน่ล่ะฝ่าบาท หม่อมฉันมาดูแลเจ้าตัวนี้บ่อยๆ และไม่ย่อท้อที่จะประลองฝีมือกัน แรกๆก็พยศ แต่ไม่นานก็อ่อนข้อให้ หม่อมฉันจึงอยากให้เจ้าชายเสด็จมาทอดพระเนตรเจ้าตัวนี้บ้าง ยิ่งหมู่นี้หายไปนานเลยพะย่ะค่ะ เกรงว่าพระปรีชาด้านนี้จะเสื่อมถอยอย่างน่าเสียดาย”

พระราชินีทรงสรวลดังขึ้นอีก ก่อนจะทรงยื่นพระหัตถ์มาลูบหัวเจ้าม้าตัวงาม “นี่ล่ะสิที่ทำให้อิศเรศร์ไม่ยอมอ่อนข้อกับคุณหลวงเลย เพราะคุณหลวงเข้มงวดและตรงไปตรงมาเช่นนี้เอง ดีแล้วที่บอกเราตรงๆ บ่ายนี้หากอิศเรศร์กลับมา เราจะให้มาพบคุณหลวง เห็นว่าเดือนหน้าลูกสาวคนรองต้องไปคัดตัวแล้วหรือ”

ลูกสาวคนรองที่พระราชินีตรัสถึง คงจะหมายถึงเปี่ยมสุขนั่นเอง และเรื่องคัดตัวที่ว่านั่นก็คือการคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งโอลิมปิก

เมื่อได้ยินเรื่องของลูกสาว หลวงสีหนาถจึงรู้สึกยินดียิ่งนัก และยิ่งเป็นเรื่องที่ออกจากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระราชินีแล้วด้วย ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีพระกรุณาต่อครอบครัวคุณหลวงจริงๆ

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ ตอนนี้เปี่ยมสุขกำลังซ้อมหนักที่โปโลคลับเกือบทุกวัน หม่อมเคยจะเอามาซ้อมเอง แต่ก็ดื้อเหลือเกิน บอกว่าถ้าซ้อมกับพ่อตัวเองแล้วจะขี้เกียจง่าย”

พระราชินีทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยความรู้สึกเอ็นดูเรื่องของลูกสาวคุณหลวง เนื่องด้วยโปรดสาวๆครอบครัวของหลวงสีหนาถเป็นทุนเดิม และถ้าเป็นไปได้ ก็มีพระราชประสงค์ที่จะทรงรับ 1 ใน 4 สาวนี้มาเป็นสะใภ้หลวง

ถ้าพระราชโอรสทรงไม่ขัดขืน และเหล่าสาวๆไม่ได้รังเกียจความเป็นเพลย์บอยของเจ้าชาย แต่ก็ไม่แน่ พระราชินีทรงคิด ลูกสาวทั้งสี่ของคุณหลวงก็เป็นปุถุชนธรรมดา อาจจะมองเพียงว่าอิศเรศร์เป็นเจ้าชาย ไม่ได้ไตร่ตรองลึกเข้าไปข้างในว่าจริงๆแล้วอิศเรศร์เป็นคนอย่างไร

“เสด็จแม่ตรัสอย่างกับว่าจะมีผู้หญิงที่ไม่ได้มองว่าชายเป็นเจ้าชายอย่างนั้นล่ะพะย่ะค่ะ”

พระดำรัสของพระราชโอรสในครั้งก่อน ได้สร้างความกังวลให้แก่พระราชินีไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเถิด หากทรงคิดว่าผู้หญิงสมัยนี้เหมือนๆกันหมด ก็สู้เลือกจากลูกสาวของหลวงสีหนาถ ที่เพรียบพร้อม ทั้งชาติตระกูล ฐานะ และความรู้ไม่ดีกว่าหรือ ถึงแม้จะมีคนเคยเสนอลูกสาวของข้าหลวงคนอื่นๆในวัง แต่สาวๆเหล่านั้นกลับถูกส่งไปเรียนต่างประเทศ ได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรมต่างชาติ จนลืมขนบธรรมเนียมของภัทรประเทศไปเสียหมด

“คิดอย่างนี้ถือว่าฉลาดดีนะคุณหลวง ท่าทางคนรองคงจะซนมากล่ะสิ แล้วลูกสาวคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง เราไม่ได้พบอีกเลยตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็กๆกันอยู่”

คุณหลวงยิ้มหน้าบาน เมื่อจะให้เล่าเกี่ยวกับลูกสาว เนื่องด้วยคุณหลวงรักลูกๆทุกคนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจแน่นอนว่า เหตุใด พระราชินีถึงสนพระทัยในสี่สาวนัก และยังมีพระกรุณาให้ทั้งครอบครัวเข้าเฝ้าในวันอาทิตย์ที่ใกล้จะถึงนี้อีก

“โตกันหมดแล้วพะย่ะค่ะ คนโตชื่อด้วยรัก ตอนนี้ช่วยคุณหญิงดูแลงานบ้าน พร้อมกับรับสอนเปียโนเด็กๆไปด้วย ส่วนคนที่สามชื่อยาใจ คนนี้เรียนเก่งที่สุดเลยฝ่าบาท กำลังส่งใบสมัครเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษด้านเศรษฐศาสตร์พร้อมกับทำงานวิจัยกับทางอาจารย์มหาลัยที่สนิทกันด้วยกระหม่อม”

พระองค์ทรงพยักพระพักตร์ด้วยความชื่นชม “แล้วคนเล็กล่ะคุณหลวง มีสี่คนไม่ใช่หรือ”

“พะย่ะค่ะ คนเล็กชื่อแสนดีกระหม่อม พึ่งเรียนจบกำลังทำงานเป็นบรรณารักษ์ที่ห้องสมุดฝรั่งหลังสถานทูตอังกฤษ ตอนนี้ลูกๆจบกันหมดแล้ว หม่อมก็พลอยโล่งใจ จะได้ฝากผีฝากไข้”

“น่าชื่นใจแทนคุณหลวจริงๆนะ ฉันเองก็มีลูก ฉันก็เข้าใจ เราเองก็อยากให้ลูกได้ดี อรรัมภานั้นวางตัวได้ดีเยี่ยม มีแต่อิศเรศร์เท่านั้นล่ะคุณหลวง อุตส่าห์เรียนจบเกียรตินิยมกลับมา แต่ยังไม่เป็นโล้เป็นพายเสียที”

คุณหลวงได้ยินดังนั้นก็นึกเห็นใจพระราชินี แต่กลับไม่ได้หนักใจอะไรมาก เนื่องด้วยจากการที่คุณหลวงได้สอนเจ้าชายม้าตั้งแต่ยังเล็ก แม้จะห่างเหินช่วงที่พระองค์ไปเรียนต่างประเทศ แต่คุณหลวงกลับเข้าใจดีว่า เจ้าชายนั้นทรงเป็นคนฉลาด และทรงมีความคิดดีพอที่จะไม่ทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสีย

“อย่ากังวลไปเลยพะย่ะค่ะ กระหม่อมสอนเจ้าชายมา ทราบดีว่าพระองค์จะไม่ทรงเหลวไหลเป็นแน่”

“ได้ยินจากปากคุณหลวงอย่างนี้เราก็หายกังวล เพราะรู้ว่า คุณหลวงเป็นไม่เบื่อไม้เมากับอิศเรศร์พอสมควร และคงจะไม่บอกอะไรเพื่อเป็นการเอาใจเรานัก”

ตรัสเสร็จ พระราชินีก็ทรงยื่นห่อผ้าเล็กๆน่ารักให้คุณหลวง “นี่แน่ะสีหนาถ เราอยากเจอลูกสาวน่ารักทั้งสี่คนของท่านจริงๆ นำที่ติดผมเหล่านี้ไปให้พวกเธอด้วยนะ กำชับด้วยว่าให้กลัดผมมากันทุกคน เรามีลูกสองคนคงน้อยไป คุณหลวงมีถึงสี่คนคงสนุกพิลึก”

หลวงสีหนาถมองห่อในพระหัตถ์ด้วยความยินดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก ก่อนจะรับมาด้วยความจงรักภักดี และกล่าวทราบซึ้งในน้ำพระทัยของพระราชินีเป็นล้นพ้น





“คิดอย่างไรเล่าฝ่าบาท ถึงเรียกพวกหม่อมมาขี่ม้าบ่ายร้อนๆอย่างนี้” ชินาคมบ่นยาว หลังจากถูกเจ้าชายทรงเรียกตัวให้มาที่โปโลคลับเป็นเพื่อน

วันนี้เจ้าชายอิศเรศร์ทรงงานที่รัฐสภาเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงเข้าร่วมการประชุมของเหล่าคณะปกครองเพื่อรับฟังเกี่ยวกับรายรับรายจ่ายของประเทศ และทรงเป็นตัวแทนของพระบิดาในการรับร่างเกี่ยวกับแผนพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ

เจ้าชายอิศเรศร์ทรงภาคภูมิใจในตัวเองเล็กน้อย เนื่องจากงานหลวงอย่างเป็นทางการของพระองค์ผ่านไปด้วยดี ได้เสียงชื่นชมพระองค์มากมาย และในการประชุมกับเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิของประเทศครั้งนี้ ความคิดเห็นหลายอย่างของพระองค์เป็นที่สนใจของเหล่าคณะปกครองอย่างกว้างขวาง

เกียรตินิยมจากมหาลัยชั้นนำของโลกอย่างพระองค์ ไม่เคยทำอะไรแล้วไม่สำเร็จ มีแต่ทรงไม่คิดที่จะทำเองเท่านั้น เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ทรงคิด

ดนัยที่กำลังแต่งตัวอยู่อดทนฟังชินาคมได้ไม่นานนัก ก็ออกรับแทนเจ้าชายอิศเรศร์

“ทำมาบ่นนะไอ้ชิ เอ็งน่ะ บ่ายๆก็เบี้ยวประชุมบริษัทพ่อตัวเองแล้ว ว่างซะจนฟุ้งซ่าน มาออกกำลังน่ะดีแล้ว นี่พวกเราก็เอาแต่บริหารข้อมือ จนลืมบริหารส่วนอื่นกันไปนาน”

เจ้าชายสรวล “อะไรคือบริหารข้อมือหรือดอน”

ดอน หรือ ดนัย ซึ่งตอนนี้กำลังรับราชการเป็นนายร้อยตำรวจ เดินตามทางพ่อตัวเองที่เป็นนายพล ก็ตีหน้านิ่งทูลตอบเจ้าชาย

“แหมฝ่าบาท ยกน้ำหนักบรั่นดีกันทุกคืน ทรงลืมเสียได้”

แล้วหนุ่มๆทั้งสี่ ก็หัวเราะครืนพร้อมกัน

“แต่หม่อมก็เริ่มสงสัยแล้วฝ่าบาท พึ่งทรงงานที่สภาเสร็จ ทำไมรีบร้อนมานัก นี่พึ่งบ่ายสามเท่านั้นเอง อีกอย่างได้ข่าวว่าโปรดราฟาเอลไม่ใช่หรือ วังหลวงก็มีบริเวณขี่ม้ากว้างขวางออก”

ทรงพลตั้งคำถามบ้าง เพราะเขาก็พึ่งทำงานที่บริษัทของตัวเองเสร็จ ก็ต้องบึ่งรถมาหาเจ้าชายที่นี่เลย

เมื่อทรงรับฟังหลายเสียงที่ทูลถามพระองค์ เจ้าชายอิศเรศร์จึงทรงลุกขึ้น แล้วทรงรีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาเสียเฉยๆ

“แต่งตัวกันเสร็จแล้วใช่ไหม ไปกันเถอะ” แล้วจึงเสด็จนำพระสหายออกจากห้องเปลี่ยนฉลองพระองค์

ยามบ่ายที่โปโลคลับนั้นร้อนอบอ้าวเหลือเกิน แต่เหล่านักกีฬาขี่ม้าที่มีความหวังจะเข้าคัดเป็นตัวแทนประเทศ กลับซ้อมกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าแดดจะแผดเผาเพียงไหน หรือโค้ชจะดุและเข้มงวดปานใด ก็ไม่เคยมีใครคิดจะเหนื่อยอ่อนขอตัวกลับบ้านแม้แต่คนเดียว

เปี่ยมสุขก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมยาวของหล่อนถูกรวบเป็นผมเปียยาวคล่องแคล่วด้วยฝีมือของพี่สาวคนโต หล่อนฝึกขี่ม้าอย่างแน่วแน่และจริงจัง สติและความนึกคิดทุกอย่างไม่มีวอกแวกไปในเรื่องใดเลย อีกทั้งอาจจะด้วยสายเลือดของนักขี่ม้าระดับตำนานของประเทศ เปี่ยมสุขจึงได้รับมรดกตกทอดของพรสวรรค์นี้ในด้านการมีฝีมือขี่ม้าที่ยอดเยี่ยม จนโค้ชฝรั่งของเธอคิดว่า เปี่ยมสุขไม่น่าจะพลาดตำแหน่งในการคัดตัวแข่งระดับชาติ

หลังจากฝึกซ้อมจนเหน็ดเหนื่อย หล่อนจึงค่อยๆพาม้าวิ่งเหยาะๆกลับเข้ามาในที่พัก ก่อนจะตบต้นคอม้าตัวเก่งเป็นเชิงขอบใจ แล้วจึงถอดหมวกออกจากศีรษะตัวเอง ก่อนจะสะบัดหางเปียยาวให้เป็นอิสระ ร่างสูงระหงในชุดขี่ม้าเหงื่อท่วมตัวเดินอย่างสง่าและคล่องแคล่วเข้ามานั่งดื่มน้ำและพูดคุยกับโค้ชอย่างเป็นกันเอง โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกจ้องมองจากคนในสนามฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ของระดับบุคคลสำคัญของประเทศ

เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ ไม่ได้เสด็จที่โปโลคลับ เพื่อทรงรับเจ้าฟ้าหญิงอรรัมภา และไม่ได้เสด็จมาด้วยเหตุผลที่อยากจะทรงม้าที่นี่ เนื่องด้วยโปรดราฟาเอลกว่าตัวใดๆ แต่เหตุผลของพระองค์คือสาวสวยที่อยู่ห่างไกลออกไปที่สนามของเหล่านักกีฬาฝั่งตรงข้ามต่างหาก

ไม่ผิดหวัง หล่อนมาขี่ม้าที่นี่เกือบทุกวันจริงๆ อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาที่มีฝีมืออีกต่างหาก และถึงแม้จะโปรดเปี่ยมสุข และทอดพระเนตรหล่อนด้วยความชื่นชมในความคล่องแคล่วและมั่นใจ แต่พระองค์กลับทรงตอบไม่ได้เช่นกันว่าโปรดสาวน้อยกระโปรงสีหวานที่ทรงพบที่สถานทูตเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งอาจจะเป็นพี่หรือน้องของนักขี่ม้าสาวสวย มากหรือน้อยไปกว่ากันแน่

แต่ทรงแน่พระทัยว่า พระองค์ทรงโปรดสาวสวยทั้งสองมากกว่าน้องสาวของพวกหล่อนอย่างแน่นอน ที่สำคัญทรงมีแผนในใจสำหรับการสร้างสัมพันธ์ครั้งนี้แล้ว ทั้งๆที่เย็นนี้ทรงมีนัดกับซาร่า พาหล่อนไปทานมื้อคำกันสองต่อสอง

ทรงพลเห็นเจ้าชายทอดพระเนตรอะไรอยู่ จึงเดินเข้าไปทูลให้ทรงม้าแข่งกัน

“ไปกันเถอะฝ่าบาท ตรัสเสมอว่ามีพระปรีชาด้านนี้นัก ทั้งๆที่ไม่ถูกกับหลวงสีหนาถเอาเสียเลย หม่อมก็อยากเห็นฝีมือของพระองค์เสียหน่อย ไม่ได้แข่งกันมานาน”

เจ้าชายจึงละสายพระเนตรจากเปี่ยมสุข ก่อนจะทรงรับคำท้าของพระสหาย แล้วการแข่งโปโลของเหล่าหนุ่มๆก็เริ่มขึ้น และดุเดือด จนเป็นที่สนใจของเหล่าสาวๆที่ม้าขี่ม้าที่คลับแห่งนี้

เปี่ยมสุขกำลังจะลุกไปซ้อมอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่แสนดีจะมารับในอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่เธอก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปด้วยเสียงฮือฮาของเหล่าเพื่อนนักขี่ม้าสาว

“นั่นเจ้าชายและพระสหายนี่นา ไม่ได้เสด็จมาที่นี่เสียนาน แต่วันนี้ทำไมเสด็จมาก็ไม่รู้” หนึ่งในเหล่าสาวกเจ้าชายพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น

สาวๆที่เหลือจึงกรี๊ดกร๊าด และออกความเห็นกันอย่างออกรส

“ทรงพระหล่อมากเลยเธอ พระสหายแต่ละคนก็ล่ำๆ แมนๆ ทั้งนั้น แหมวันนี้เป็นบุญตาจริง ได้ข่าวว่ายังทรงไม่มีแฟนนี่นา”

“แหมแก อย่างกับว่าจะสนพระทัยพวกเรา พระองค์ก็เพลย์บอยจะตาย มีข่าวกับสาวๆแต่ละคนไม่ซ้ำหน้า แล้วแต่ละคนก็ระดับดารานางแบบทั้งน้าน”

“เออใช่ ยายเปี่ยม คุณพ่อเธอเป็นข้าหลวงในวังไม่ใช่หรือ เป็นครูของเจ้าชายด้วยนี่นา เธอเคยพบพระองค์ตัวจริงไหม เป็นอย่างไรบ้าง”

ว่าแล้วทุกๆคนก็หันมาสนใจเปี่ยมสุขกันเป็นตาเดียว ก่อนจะรุมทึ้งตั้งคำถามกันยกใหญ่

เปี่ยมสุขยืนกอดอกฟังเพื่อนพูดจนจบ ก่อนจะเอ่ยอย่างสั้นและเหนื่อยหน่ายแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรในตัวเจ้าชายรูปงามองค์นี้นัก

“เราไม่เคยเจอ ขอตัวก่อนนะ” แล้วผละจากเพื่อนๆที่มีสีหน้าผิดหวังกับคำตอบ และไม่พอใจในท่าทางของเธอ ก่อนจะเดินไปขี่ม้าตัวโปรดอย่างแข็งขัน

หล่อนไม่เคยสนใจเจ้าชายองค์นี้อยู่แล้ว ถึงจะเคยเห็นพระองค์เสด็จที่นี่บ้างก็ตาม แต่การเสด็จแต่ละครั้งนั้นดูวุ่นวาย ต้องมีผู้คนมาต้อนรับและพะเน้าพะนอจนเกินเหตุ ทั้งๆที่เพียงแค่มาทรงม้า และทรงเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถรับผิดชอบพระองค์เองได้แล้วแท้ๆ อีกทั้งท่าทีของพระองค์ก็หยิ่งผยอง ไม่เห็นจะทรงเป็นกันเองและวางตัวดีอย่างที่คุณพ่อว่าแม้แต่น้อย

จะมีอะไรน่าสนใจสำหรับหล่อนมากไปกว่าโอลิมปิกในต้นปีหน้าอีกเล่า

ด้านฝั่งสนามของเหล่าบุคคลสำคัญ เจ้าชายอิศเรศร์ทรงพระสำราญกับการแข่งโปโลอย่างไม่ทรงรู้จักเหนื่อย และไม่ทรงสังเกตเลยว่า มีเหล่าสาวๆยืนชื่นชมพระองค์อยู่ห่างๆด้วยความปลาบปลื้มเพียงใด การแข่งโปโลในครั้งนี้ถึงแม้พระวรกายและกำลังจะไม่ได้ด้อยไปกว่าดนัยนัก แต่คราวนี้พระองค์ทรงพลาดท่าให้พระสหายเสียหลายครั้งหลายครา จนเจ้าชายอิศเรศร์ทรงรู้สึกหงุดหงิดและทรงจริงจังกับเกมนี้มากขึ้น ในท้ายที่สุดแล้ว พระองค์ก็ยังทรงพ่ายแพ้แก่ดนัยไปอย่างชนิดที่เรียกว่าสูสีเหลือเกิน

ม้าหนุ่มแข็งแรงทั้งสี่ตัววิ่งเหยาะๆด้วยความสง่า พาเหล่าบรรดาเจ้านายรูปงามของพวกมันเข้ามาในที่พักโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่ข้าราชบริพารจะพาพวกมันกลับไปพักผ่อนหลังจากออกลวดลายแสดงพละกำลังกันมาหลายชั่วโมง

เจ้าชายอิศเรศร์ ทรงพล ดนัย และชินาคม ตัวเปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อในชุดกางเกงขี่ม้า และเสื้อโปโลเนื้อดี กลับเข้าที่พักด้วยความสดชื่น หลังจากร่างกายได้ขยับเขยื้อนให้สมกำความกำยำและความแข็งแรงของวัยหนุ่ม

เจ้าชายทรงไม่พอพระทัยในตัวพระองค์เอง ที่คราวนี้แพ้ดนัยเสียได้ ทั้งๆที่ทรงเคยชนะอยู่หลายครั้งหลายครา ทั้งๆที่พระองค์มั่นพระทัยในพระปรีชาของตนเองมากนัก หรือผลครั้งนี้จะสืบเนื่องมาจากการที่พระองค์ทรงไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน และอวดดีกับหลวงสีหนาถมากนัก แน่ล่ะ พักหลังมานี้ หลังจากพระองค์เสด็จกลับจากอังกฤษ ทรงเชื่อมั่นในพระองค์เองสูงว่าเก่งกาจมากแล้ว และหลวงสีหนาถนั้น ‘แก่เกินไป’ ที่จะสอนพระองค์ ที่สำคัญถึงแม้พระองค์จะโปรดราฟาเอลและอยากเอาชนะมันมากเพียงใด แต่ราฟาเอลกลับไม่เคยอ่อนข้อให้พระองค์เหมือนที่อ่อนข้อให้หลวงสีหนาถเลย นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่นานๆครั้งจึงเสด็จไปทรงม้าที่คอกของวันหลวง

“ไม่พอพระทัยล่ะสิฝ่าบาท จากนี้ไปคงต้องทรงง้อหลวงสีหนาถเสียแล้ว” ทรงพลที่สังเกตพระอาการได้จากพระพักต์และสายพระเนตรที่แข็งขึ้น ไม่ได้ขี้เล่นเหมือนแต่แรก กล่าวหยอกเจ้าชายขึ้น

ชินาคมซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้น ก็ออกความเห็นบ้าง “ทรงโดดซ้อมเหรอกระหม่อม หม่อมเคยอ่านหนังสือว่า หลวงสีนาถนั้นเป็นแชมป์ขี่ม้าระดับโลกคนแรกของประเทศเรา เขาเก่งมากจนหลายประเทศขอซื้อตัวไปเป็นโค้ชทีมชาติ แต่เขากลับไม่สน แม้ว่าจะถูกซื้อตัวด้วยราคาสูงลิ่วแค่ไหน แต่ฝ่าบาทกลับทรงดื้อกับเขาเสียนี่ น่าเสียดายเป็นแน่แท้”

เจ้าชายหนุ่มทรงจิบชาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ “น่าเสียดายที่เราไม่สนใจที่จะเรียนกับเขาแล้วน่ะหรือ ชินาคม นายรู้ไหม เราเรียนกับเขาตั้งแต่จำความได้ เข้มงวดอย่างกับอะไรดี เรียนจนไม่มีอะไรให้เราศึกษาแล้ว”

ทรงแก้ตัวไปอย่างนั้นเอง ทั้งๆที่ในพระทัยแล้วพระองค์ทรงเริ่มรู้สึกว่า ความรู้และประสบการณ์ของคุณหลวงราชครูนั้น ยังเหลือที่จะถ่ายทอดให้พระองค์อีกนับไม่ถ้วน เพราะเมื่อสมัยเข้าชมรมโปโลของทางมหาลัยที่อังกฤษ ชื่อของหลวงสีหนาถนั้นเป็นที่กล่าวขานในแวดวงการขี่ม้าสากลอย่างกว้างขวาง ถ้าเพียงพระองค์จะทรงเลิกทระนงตนในความเก่งกาจที่ได้ซุ่มซ้อมมาจากอังกฤษเสียหน่อย พระองค์จะทรงได้อะไรจากคุณหลวงอีกมาทีเดียว

“เปล่ากระหม่อม ที่หม่อมบอกว่าน่าเสียดายนั่นก็เพราะว่า…” ชินาคมพูดต่อไป ด้วยสีหน้าทะเล้นและแฝงไปด้วยแววตาเจ้าชู้ ราวกับยามที่ท่องราตรี

แล้วสายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่ชินาคม แต่เขากลับทำท่าอมพะนำ แกล้งไม่อยากทูลเจ้าชายขึ้นมาเสียดื้อๆ จนดนัยที่นั่งฟังอยู่นาน ต้องถามขึ้นอย่างหงุดหงิด

“รีบๆพูดมาเลยไอ้ชิ รำคาญว่ะ”

ชินาคมยิ้มกว้าง ก่อนจะตบศีระษะดนัยด้วยอารมณ์หมั่นไส้ “เจือกจริง ไอ้นี่ คืออย่างนี้ฝ่าบาท ที่น่าเสียดายก็เพราะว่า….อะไรกัน ทรงไม่รู้เลยหรือว่าหลวงสีหนาถมีลูกสาวสวยถึงสี่คนเชียว”

แล้วหนุ่มๆที่เหลือจึงร้องอ๋อ และไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะสาวสวยนั้นทุกๆคน โดยเฉพาะเจ้าชาย ทรงได้สัมผัสมามากนักต่อนัก

“โถ่ชิ เราก็นึกว่า อะไรสำคัญนักหนา” ทรงตัดพ้อ

“ใช่ฝ่าบาท ไร้สาระจริงเอ็ง” ดนัยต่อ

ส่วนทรงพลได้แต่ขำๆ

ชินาคมรู้สึกเสียหน้าที่คราวนี้ความรู้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ก่อนจะพูดอธิบายให้ทุกคนสนใจสักนิดก็ยังดี

“แต่สวยจริงๆนา หม่อมเคยอ่านสัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้ว ถ่ายรูปทั้งครอบครัวด้วย สวยระดับเทพทุกคน ชื่อก็เพราะๆทั้งนั้น แต่เอ…กลับจำหน้าและจำชื่อไม่ได้แล้ว เสียดายจริง ฝ่าบาททีหลังถ้าคบกับสาวทั่วเมืองจนเบื่อแล้ว อย่าลืมพาหม่อมไปหาสี่สาวลูกคุณหลวงบ้างล่ะ น่าสนอยู่”

เจ้าชายอิศเรศร์สรวล พลางนึกถึงใบหน้าดุเข้มของหลวงสีหนาถ ขณะที่ดนัยมองชินาคมเพื่อนตัวแสบด้วยความดูถูก

“ถึงจะสวยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นลูกหลวงสีนาถ เราขอไม่ยุ่งดีกว่า ดุอย่างกับอะไรดี เดี๋ยวยุให้ราฟาเอลสะบัดเราตกหลังขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”

เมื่อตรัสดับฝันสวยงามของชินาคมแล้ว จึงทรงนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีสาวงามที่น่าสนใจอีกนางหนึ่งกำลังขี่ม้าอยู่อีกฝั่งตรงข้าม พระองค์จึงทอดพระเนตรไปที่ฝั่งของเหล่านักกีฬาทันที ก่อนจะทอดพระเนตรว่า การฝึกซ้อมของพวกเขาได้จบลงแล้ว และคราวนี้ แม่ผมเปียยาวนั่นจะหายไปไหนล่ะ…คงจะเป็นที่ล็อบบี้เป็นแน่ เมื่อทรงคิดได้ดังนั้น จึงทรงลุกขึ้นและชักชวนให้พระสหายลงไปหาอะไรรับประทานที่ล็อบบี้ของสโมสร

หลังจากล่ำลากับเพื่อนๆที่ร่วมฝึกซ้อม และกล่าวขอบคุณโค้ชต่างชาติแล้ว เปี่ยมสุขจึงมานั่งรอน้องสาวที่ล็อบบี้รับรองลูกค้า ซึ่งวันนี้แสนดีคงต้องนั่งรถแท็กซี่มารับ วันนี้เปี่ยมสุขเริ่มมีความมั่นใจในฝีมือการขี่ม้าของตนเองมากขึ้น เพราะนอกจากสถิติความเร็วและการทรงตัวในการควบคุมม้าฝ่าสิ่งกีดขวางจะพัฒนาขึ้นตามลำดับแล้ว โค้ชฝรั่งของเธอยังกล่าวชมเธอไม่หยุดปากและนำเธอเป็นตัวอย่างฝึกสอนเพื่อนๆบ่อยๆ จนทำให้หลายคนเริ่มหมั่นไส้ แต่เปี่ยมสุขไม่ได้ใส่ใจอะไรกับตรงนั้น หล่อนเพียงต้องการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ไม่ได้เพื่อที่จะแข่งขันกับใคร

เมื่อเหล่าหนุ่มๆไฮคลาสเดินมานั่งพักผ่อนที่โถงล็อบบี้ สายตาของลูกค้าทุกคู่จับจ้องมาที่พวกเขา โดยไม่มีใครสังเกตได้เลยว่าหนึ่งในหนุ่มหล่อนี้มีเจ้าชายอิศเรศร์เสด็จมาด้วย นั่นก็เพราะว่า เจ้าชายทรง ‘ปลอมตัว’ อีกแล้ว ด้วยแว่นกันแดดคู่ชีพของพระองค์นั่นเอง

“ไม่มีแดดแล้วฝ่าบาท ทรงสวมทำไมกัน” ดนัยถามขึ้นด้วยความสงสัย พลางส่งสัญญาณมือเรียกบริกร

ทรงพลหัวเราะ หึหึ อย่างรู้ทัน มีไม่กี่เหตุผลนักที่เจ้าชายจะทรงทำเช่นนี้ “จะแอบใครล่ะกระหม่อม สาวสวยคนไหนอีก”

และเมื่อได้ยินดังนั้นชินาคมจึงทำหน้าประหลาดใจ “อะไรกันฝ่าบาท เย็นนี้ทรงนัดดินเนอร์กับซาร่าไม่ใช่หรือ แล้วยังจะ…”

เมื่อเหล่าพระสหายส่งเสียงถามอย่างวุ่นวาย เจ้าชายอิศเรศร์จึงส่งเสียงเป็นเชิงเตือนให้เบาลง ขณะที่สายพระเนตรสอดส่องหาสาวสวยนักขี่ม้าคนเดิม ก่อนจะทรงพบว่า เปี่ยมสุขกำลังนั่งหน้าแดงด้วยความเหนื่อย พร้อมเหงื่อโทรมตัวในชุดขี่ม้าเต็มยศ หล่อนไม่ได้สนใจอะไร เพียงแต่มองไปยังทางเข้าด้านหน้าของสโมสรเท่านั้น

เมื่อเจ้าชายทอดพระเนตรดังนั้นจึงทรงคิดแผนการอันชาญฉลาดขึ้น ก่อนจะรับสั่งกับบริกรที่ดนัยเรียกมา

“ช่วยนำน้ำแตงโมไปเสิร์ฟคุณผู้หญิงผมเปียคนนั้นด้วย บอกว่าผมเลี้ยง ขอบคุณมากครับ และนี่ทิปของคุณ”

และเมื่อบริกรจากไปทำตามพระบัญชา พระสหายที่เหลือก็โห่กันขึ้น

“ฝ่าบาท ทรงร้ายจริงๆ แล้วซาร่าจะอยู่ส่วนไหนของพระทัยล่ะนี่” ดนัยหยอก

“แล้วไปโปรดหล่อนตอนไหนกัน พึ่งทอดพระเนตรวันนี้หรือกระหม่อม สวยมากไหม ไม่หันหน้ามาแล้วหม่อมจะรู้ไหมนี่” ชินาคมกล่าวอย่างตื่นเต้นไม่หยุด

ส่วนทรงพลก็พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ ปนตักเตือนตามแบบฉบับของเขา “อย่างนี้…พระฉายาต้องกลายเป็น มกุฏราชกุมารเพลย์บอยเป็นแน่”

ทรงรับฟังดังนั้นจึงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรทรงพลด้วยความไม่พอพระทัย

“นี่เราก็ยังไม่ได้ทำอะไรเสียหาย เราใส่แว่นอย่างนี้ เธอคงไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร”

ทรงพลคนแก้วน้ำอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดต่อไปเรื่อยๆ เพราะเขารู้ว่านื่คือหน้าที่ของเขา หน้าที่ของพระสหายที่ดี เขาจึงไม่กลัวหากเจ้าชายจะกริ้วขึ้นมา

“ทรงทำเผื่อเลือกอย่างนี้ ใจร้ายกับผู้หญิงเกินไปกระหม่อม”

เจ้าชายทรงนิ่งและคิดทบทวนตามคำพูดของพระสหายสนิท ถึงแม้พระองค์จะเริ่มทรงงานต่างๆ เพื่อทำพระองค์เองให้เป็นแบบอย่างที่เหมาะสมสำหรับการได้รับแต่งตั้งให้เป็นมกุฏราชกุมารในปีหน้า แต่เรื่องผู้หญิงเป็นเรื่องเดียวที่ทรงไม่สามารถแก้ไขได้ ตอนแรกพระองค์ทรงคิดจะจีบนางแบบสาวสวยเล่นๆเพื่อทิ้งทวนความเพลย์บอย เพราะพระองค์ทรงฉลาดพอที่จะรู้ทันพระมารดาว่าต้องทรงสรรหาสุภาพสตรีที่เพียบพร้อมและคู่ควรกับพระองค์มาพระราชทานให้ แต่แล้วกามเทพกลับเล่นตลก เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกต้องพระทัยสาวสวยนักขี่ม้าผู้แสนคล่องแคล่ว แล้วไหนยังจะสาวกระโปรงหวานที่สถานทูตอีก จะให้พระองค์ทำอย่างไรได้ เมื่อโปรดพวกหล่อนเข้าให้แล้ว ถึงแม้จะทรงตระหนักเต็มพระอุระว่าไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำเลย

“นายพูดถูก” ทรงกล่าวเรียบๆ ขณะทอดพระเนตรเปี่ยมสุขอนย่างพิจารณา

“ถ้าอย่างนั้น…ก็แค่อย่าให้แม่ผมเปียยาวรู้ว่าเราเป็นใครก็พอ”

นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ทรงพลอยากให้เจ้าชายทรงคิดได้ แต่สิ่งที่ตรัสเมื่อสักครู่ ทำเอาชินาคมและดนัยหัวเราะร่วน ก่อนจะรีบชมเปาะว่า พระองค์ทรงฉลาดและเป็นไอดอลของเพลย์บอยที่แท้จริง

เจ้าชายสรวลยาว ขณะทอดพระเนตรทรงพลที่มีสีหน้าเรียบเฉยด้วยความไม่พอพระทัยพระองค์ ก่อนจะทรงตบบ่าพระสหายรักเบาๆอย่างเข้าใจ

“ไม่เอาน่า เรารู้ตัวหรอก คนนี้คนสุดท้าย เอ…แต่ก็ไม่แน่ ยังเหลืออีกคน…แต่เราไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อหรอกน่า”

ทรงรับสั่งอย่างนั้น ทั้งๆที่ในพระทัยมีแผนการไว้เรียบร้อย แต่แล้วพระองค์ก็ต้องหยุดสรวลทันใด เมื่อทอดพระเนตรว่า ‘ยายตัวแสบ’ กำลังเดินท่าทางเหนื่อยอ่อนเข้ามาหาพี่สาว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่บริกรกำลังวางแก้วน้ำแตงโมตรงหน้าเปี่ยมสุข

แสนดีไม่ได้นั่งรถแท็กซี่มารับพี่สาว เนื่องจากว่าเงินไม่พอ จึงต้องนั่งรถเมล์มา แล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับบ้านโดยให้เปี่ยมสุขเป็นคนจ่าย ดังนั้นด้วยความเพลียจากการนั่งรถ เมื่อหล่อนเห็นว่าบริกรนำน้ำแตงโมแก้วใหญ่วางไว้ให้พี่สาว แสนดีจึงคิดว่าเปี่ยมสุขสั่ง หล่อนจึงไม่รีรอที่จะขอเสียมารยาทพี่สาวสักครั้ง

“โทษค่ะพี่เปี่ยม แสนเงินหมด อุ๊ยพี่สั่งน้ำแตงโมเหรอคะ ขอเปี่ยมดื่มก่อนนะ กระหายมากๆ”

ว่าแล้วหล่อนจึงยกแก้วขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ทำเอาเปี่ยมสุข บริกร และที่สำคัญ สี่หนุ่มที่นั่งไกลออกไม่มากนัก มองกันตาค้าง

เปี่ยมสุข มองน้ำแตงโมแก้วนั้น มองบริกรที่สบตาหล่อนด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะมองน้องสาวด้วยความไม่เข้าใจ

“นี่ไม่ใช่น้ำพี่ แล้ว…นี่คุณเอามาเสิร์ฟผิดเปล่าคะ ฉันไม่ได้สั่ง”

บริกรมองสองสาวตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อย พลางหันไปมองที่โต๊ะของกลุ่มเจ้าชาย

“คุณผู้ชายแว่นดำเขาสั่งมาให้คุณน่ะครับ แต่ผมบอกไม่ทันก็เลย….”

แสนดีหยุดดื่ม แล้วมองหน้าพี่สาวงงๆ ก่อนที่ทั้งสองพี่น้องจะหันตามบริกรมองไปยังหนุ่มแว่นดำที่เขาพาดพิง แต่กลับเจอเพียงสามหนุ่มหน้าตาดีที่ไม่ได้ใส่แว่นดำแต่อย่างใด กำลังจ้องพวกเธอกลับมาเช่นกัน แต่จ้องไม่จ้องเปล่า เนื่องจากมีสองหนุ่มกำลังทำท่าชี้ไปที่หนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้มและจริงจังอีกคนที่เหลือ เป็นเชิงบอกว่า ‘คนนี้ต่างหาก’

ส่วนเจ้าชายอิศเรศร์ เมื่อเห็นว่าแผนของพระองค์ล่มไม่เป็นท่าด้วยน้ำมือของน้องสาวยายผมเปียคนสวย และถ้าหล่อนหันมาคงจะจำพระองค์ได้เป็นแน่ พระองค์จึงต้องทรงรีบก้มพระเศียรหลบลงใต้โต๊ะอย่างเร็ว ดนัย ชินาคม และทรงพล นั้นตกใจในการกระทำของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง แต่ทรงพลกลับกลายเป็นแพะรับบาปเสียเอง

เขาตกใจที่เจ้าเพื่อนตัวแสบทั้งสองชี้เขาอยู่นั่นแหละ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ เมื่อเขาตกที่นั่งลำบากและเป็นสุภาพบุรุษพอ เขาจึงได้แต่ยิ้มส่งกลับมาให้ทั้งสองสุภาพสตรี

บริกรจากไปด้วยความงงงวย ขณะที่เปี่ยมสุขมองทรงพลอย่างไม่ได้รู้สึกอะไร เธอไม่ได้ส่งยิ้มกลับ ถึงแม้จะคิดได้ว่าเขาอาจจะจีบเธอ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ส่วนแสนดีนั้นตื่นเต้น หัวเราะ และกระซิบกระซาบพี่สาวอย่างออกรส

“เขาจีบพี่แน่ะค่ะ ใจดีเสียด้วย ท่าทางก็ดูดีนะ”

เปี่ยมสุขลุกขึ้น แล้วจูงน้องสาวออกไป “เฮ้อ…อย่าไปสนเลย พวกนี้เพลย์บอยทั้งนั้น นี่พี่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่ล่ะสิ”

แสนดีหันกลับไปมองคนพวกนั้น และสังเกตได้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกับใต้โต๊ะก็ไม่รู้ ก่อนจะไม่ได้สนใจและหันกลับมา

“แหะๆ แสนเจอหนังสือถูกใจเลยซื้อจนลืมตัวน่ะค่ะ ว่าแต่พี่เปี่ยม พี่ไม่คิดจะสนใครบ้างเหรอ”

เปี่ยมสุขโบกมือเรียกรถพลางตอบน้องสาวเรียบๆ “ก็สน…แต่แบบนี้จะดีเหรอแสน มันง่ายไปนะพี่ว่า”

แสนดีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกภูมิใจในตัวพี่สาวเป็นอย่างยิ่ง หล่อนรู้สึกเสมอว่าพี่สาวทุกๆคนของเธอนั้นสวย ฉลาด และเก่งกาจ แต่แสนดีไม่เคยรู้สึกต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบและเป็นปมด้อยเลยว่าตัวเธอไม่ดีหรือสวยเทียบเท่าพี่ๆของเธอ







ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2554, 23:27:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2554, 23:27:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1594





<< บังเอิญ   คุณอิทธิ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account