The Royal Wedding : รักนี้ที่วังหลวง
เมื่อเจ้าชายหนุ่มรูปงามแห่งศตวรรษที่ 21 ผู้ที่สตรีทั่วราชอาณาจักรต่่างเฝ้าฝันจะได้ควงคู่ กลับถูกสี่สาวพี่น้องตระกูลหนึ่งไม่เห็นว่าสำคัญ พระองค์จะทำอย่างไร เมื่อปัญหายิ่งหนักขึ้นด้วยสมเด็จพระราชินีมีพระดำรัสต้องการได้สะใภ้หลวงเป็น 1 ใน 4 สาวนั้น

เรื่องราวของซินเดอเรลล่ายุคใหม่เริ่มต้นขึ้น ไม่แปลกและไม่แตกต่าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ใครๆอยากสัมผัสเสมอมา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: คุณอิทธิ

The royal wedding 6
“ทรงหลบใครกันฝ่าบาท หม่อมไม่เข้าใจจริงๆ หรือทรงเกิดอายขึ้นมา” ชินาคมถามด้วยความสงสัยอย่างที่สุด ในล็อบบี้ของโปโลคลับที่เดิม เมื่อสองสาวคู่กรณีเดินจากไปนานแล้ว

“นั่นสิ ทรงทำตลกไปได้ เสียแผนกันพอดี จะว่าไปก็คงเสียอยู่แล้วล่ะนะ เพื่อนเธอคนนั้นก็ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย” ดนัยออกความเห็นบ้าง

แต่ทรงพลกลับหัวเราะลั่น “ฝ่าบาทต้องกริ้วเพื่อนหล่อนคนนั้นเป็นแน่ เลยทรงต้องหลบใต้โต๊ะ หม่อมเลยกลายเป็นแพะรับบาป” ประโยคหลังทรงพลหันไปทำตาเขียวใส่ดนัยและชินาคม ที่หัวเราะกันอย่างสะใจ

เจ้าชายทรงรำคาญคำวิจารณ์ของพระสหายจึงตรัสขึ้นสั้นๆ “นั่นน้องสาวของหล่อน เราเคยขับรถชน ตะโกนว่าเราลั่นถนนเลย ร้ายชะมัด”

พระสหายทั้งสามหยุดชะงักจ้องพระพักตร์หล่อเหลาของเจ้าชาย ซึ่งบัดยี่ทรงตีหน้านิ่ง

“ชนหล่อนอย่างนั้นหรือกระหม่อม” ชินาคมตาโตด้วยความตกใจ

“ชนรถหล่อนหรอกน่า โวยวายเสียไม่มี”

“เธอไม่รู้หรือว่าพระองค์ทรงเป็น…” ดนัยถามตื่นๆ

เจ้าชายทรงนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น แล้วกลับทรงแย้มพระสรวลออกมาอย่างเสียไม่ได้ น่าแปลกที่พระองค์น่าจะรู้สึกกริ้วมากกว่า

“ไม่รู้น่ะสิ เราใส่แว่นกันแดด หล่อนหาว่าเราเป็นพวกค้ายาด้วยนะ หึหึ ตลกดีเหมือนกัน”

ดนัยและชินาคมหัวเราะลั่น พร้อมกล่าวชมความใจกล้าของผู้หญิงคนนี้

แต่ทรงพลกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เพราะเขาไม่เคยเห็นเจ้าชายทรงแสดงกิริยาเช่นนี้ มาก่อน เขากล่าวยั่วเจ้าชายเรียบๆ “ฝ่าบาททรงกลัวหล่อนหรือ”

เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ ทรงหันพักตร์มาสบตาพระสหาย “ทำไมต้องกลัว”

ทรงพลยิ้มเยาะราวกับรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง แต่เขาคิดว่าไม่สมควรที่จะพูดตอนนี้ “แล้วทรงหลบใต้โต๊ะทำไมล่ะกระหม่อม หรือเขินหล่อน เมื่อกี้พูดถึงหล่อนก็มีแอบยิ้มเสียด้วย”

เจ้าชายไม่กล้าสบพระเนตรกับทรงพลนาน เพราะพระสหายของพระองค์คนนี้ช่างฉลาดเสียนี่กระไร ทั้งๆที่พระองค์เองก็ไม่ได้รู้สึกชอบพออะไรยายตัวร้ายนัก แต่ลึกๆแล้วทำไมถึงทรงรู้สึกอารมณ์ดีทุกครั้งที่นึกถึงหล่อนก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

“บ้าเหรอทรงพล น้องสาวนั่นสวยไม่สู้พี่เลย เจ้าชายของเราทรงเสปกสูงกว่านั้น จริงไหมกระหม่อม นี่จะทุ่มแล้ว ไม่ทรงไปรับซาร่าเหรอฝ่าบาท”

โชคดีที่ชินาคมแก้ตัวให้แทนพระองค์พอดี เจ้าชายจึงรีบแสร้งทอดพระเนตรนาฬิกาบนข้อพระหัตถ์ ก่อนทรงทำท่าเร่งรีบผละจากพระสหายออกมา

“นั่นสิ เราไปก่อนล่ะ ขอบใจมากทุกคนที่มาเล่นโปโลเป็นเพื่อน”

เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ทรงพระดำเนินออกไปแล้ว ปล่อยให้พระสหายทั้งสามนั่งสนทนากันต่อตามประสาลูกผู้ชาย





“เหรอจ๊ะ” คุณหญิงวิสาที่กำลังขมักเขม้นอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเย็นร่วมกับด้วยรักและยาใจ อุทานด้วยความแปลกใจระคนขำขันขึ้นมา เมื่อแสนดีมาแจ้งคุณแม่และพี่ๆคนอื่นๆว่ามีหนุ่มมาจีบเปี่ยมสุขพี่สาวของหล่อน

ร่างบางในชุดกระโปรงสีอ่อนยาวคลุมเข่า กับเสื้อทรงหวานเรียบร้อย กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในครัว มือหนึ่งคอยหยิบขนมจากขวดโหล พลางพูดเล่าเหตุการณ์เจื้อยแจ้วอย่างอารมณ์ดี

“ขำแทบตายค่ะคุณแม่ ตอนที่แสนรู้ว่าน้ำแตงโมนั่นถูกฝากมาให้พี่เปี่ยม” แล้วแสนดีก็หัวเราะร่า ทำเอาพี่สาวทั้งสองคนของเธอหัวเราะไปด้วย

“คนที่จีบพี่เปี่ยมคงงงไปเลยเนอะ ผิดแผนเสียหมด” ยาใจออกความเห็นอย่างขบขัน ขณะหั่นผัก

ด้วยรักซึ่งขณะนี้อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อน กำลังช่วยคุณแม่หยอดทอดมันลงบนกระทะร้อนๆ ก็อดที่จะถามเพิ่มเติมอย่างอยากรู้เต็มที “แล้วเปี่ยมสุขแสนซนของเราทำยังไงล่ะจ๊ะทีนี้”

แสนดีกำลังจะหยิบคุกกี้ผักที่ด้วยรักทำเมื่อตอนบ่ายเข้าปากอยู่แล้วแต่กลับโดนคุณแม่หันมาตีมือเบาๆ

“กินเยอะอีกแล้ว เดี๋ยวก็อ้วนหรอกยายแสน ปิดขวดโหลแล้วมาช่วยแม่แกะกุ้งดีกว่า”

แสนดีรีบใส่คุกกี้ชิ้นสุดท้ายเข้าปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกไปที่อ่างล้างจานซึ่งมีกะละมังใส่กุ้งสดรอคอยให้หล่อนจัดการอยู่

“จะทำอะไรล่ะค่ะพี่รัก พี่เปี่ยมก็แค่หันไปมองว่าเป็นใครด้วยหางตา แล้วก็เชิดหน้าใส่” หล่อนตอบพี่สาวคนโต ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เปี่ยมสุขอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเข้ามาในห้องครัวพอดี

หล่อนตีไหล่น้องสาวเบาๆ “เว่อไปยายแสน แหม รีบมาแจ้งข่าว เพื่อจะได้มีหัวข้อเม้าแตกกันเชียวนะยะพี่น้องบ้านนี้”

แล้วทั้งสี่สาวก็หัวเราะอย่างครื้นเครง

คุณหญิงมารดา หันไปยิ้มล้อลูกสาวคนรองอย่างอารมณ์ดี “ไงเรา มีหนุ่มมาจีบแล้ว ตื่นเต้นไหม อย่าเอาม้าพยศไปไล่เตะเขาล่ะลูก”

เปี่ยมสุขเดินไปกอดมารดาด้วยความรักใคร่ “แหมคุณแม่คะ เป็นใครก็ไม่รู้ ยายแสนก็เล่าเว่อไป เขายังไม่ได้จีบเปี่ยมเลยค่ะ เขาจีบแสนดีต่างหาก น้ำแตงโมงี้…หมดแก้วเลยค่ะ” แล้วทั้งหมดก็ขำขันร่วมกันอย่างครื้นเครง

แต่แล้วใบหน้าผ่องใสของเปี่ยมสุขหลังจากทำความสะอาดร่างกายจนสะอาด กลับค่อยๆขุ่นมัวลง

“คุณแม่คะ เปี่ยมชักไม่อยากเข้าวังวันอาทิตย์นี้แล้ว เปี่ยมอยากซ้อมขี่ม้ามากกว่า”

คุณหญิงปิดเตา พลางตักทอดมันเหลืองน่าทานขึ้นมาจากกระทะเป็นชิ้นสุดท้าย

“เหลวไหลน่ะลูก ซ้อมขี่ม้าน่ะจะเมื่อไรก็ได้ แต่ลูกจะขัดพระราชประสงค์ได้อย่างไร”

เปี่ยมสุขไม่คิดว่าหล่อนจะได้รับการอนุญาตหรอก แต่เธอเพียงแค่ต้องการที่จะพูดออกไปเท่านั้น เพราะตอนนี้สำหรับเธอแล้ว ความนึกคิดทั้งหมดทุกอย่างอยู่ที่การแข่งขันโอลิมปิกเพียงอย่างเดียว เมื่อไม่ได้รับการยินยอมดังคาด หล่อนก็ยืนกอดอก ทำสีหน้าไม่พอใจอยู่ข้างๆยาใจน้องสาวของเธอ

แต่จู่ๆ ยาใจ ก็เลิกหันผักเสียเฉยๆ ก่อนจะหันมาพูดกับคุณแม่อย่างจริงจังว่า “ยาก็ไม่อยากไปค่ะ ยาลืมเล่าเลยว่า….” แล้วหล่อนก็เม้มปาก ราวกับว่าเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทีไรมันจะทำให้เธออารมณ์เสียได้เสมอ

แล้วหล่อนก็เล่าให้มารดาฟังเรื่องที่เธอถูกขังไว้ที่ห้องน้ำของสถานทูตอังกฤษ

แต่แทนที่เรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็นวิจารณ์ที่หนักหน่วง มันกลับเป็นหัวข้อเรียกอารมณ์ขันเสียมากกว่า
“ไม่เห็นตลกตรงไหน” สาวสวยคนที่สามของบ้านยืนกอดอกมองเหล่าพี่น้องของเธอตลกขบขัน

“แต่นั่นเป็นเพราะองครักษ์ของเขาหรอกลูก ยาใจ ไม่ใช่พระประสงค์ของเจ้าชายสักที” คุณแม่ออกความเห็นอย่างมีเหตุผล แต่สำหรับยาใจ เธอคิดว่านี่คือการปกป้องเจ้าชายคาสโนว่า

“นี่น้องต้องอยู่ในห้องน้ำนั่นนานเท่าไรกันกว่าจะได้ออกมา” ด้วยรักที่ตอนนี้หันไปช่วยแสนดีแกะกุ้งอีกแรง เอ่ยถามขึ้น

ยาใจหน้าบึ้ง พร้อมส่งสายตาเกรี้ยวกราดไปให้เปี่ยมสุขที่หัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ

“เกือบสองชั่วโมงมั้งคะ โชคดีนะที่เจอ….” แววตาขุ่นมัวค่อยๆฉายแววสดใสขึ้นเล็กน้อย ยามเมื่อหล่อนนึกถึงหนุ่มแว่นดำที่ช่วยเหลือเธอ

“เจอใครเหรอพี่ยา” แสนดีถาม เมื่อเห็นว่าพี่สาวหล่อนพูดไม่จบ

ยาใจหันหลังกลับไปหั่นผักที่เหลือตามเดิมเพื่อซ่อนอาการเขินอายที่ปรากฏขึ้นชัดเป็นหลักฐานบนใบหน้านวลเนียน

“ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆเขามาเข้าห้องน้ำ พี่ได้ยินเสียงเลยตะโกนเรียก แล้วเขาก็เปิดให้ ก่อนจะพาพี่ออกมาน่ะ ด้านหลังสถานทูตที่เจอน้องพอดียังไงล่ะ”

“หญิง หรือ ชาย” เปี่ยมสุขถามราวกับรู้ทัน เพราหล่อนแกล้งทำหน้าทะเล้นจ้องน้องสาวอย่างจริงจัง

ยาใจไม่กล้าสบตาพี่สาว เพราะหล่อนรู้อยู่แล้วว่าเปี่ยมสุขต้องอ่านสถานการณ์นี้ออกเป็นแน่ น่ารำคาญจริงพวกหัวไวอย่างพี่เปี่ยม!

“ผู้ชาย แต่ไม่เห็นหน้าหรอกนะ เขาใส่แว่นกันแดดน่ะ แล้วนี่มาจ้องหน้ายาทำไมกันล่ะพี่เปี่ยม ไปช่วยคุณแม่จัดโต๊ะอาหารดีกว่านะ”

เปี่ยมสุขหัวเราะเบาๆ อย่างรู้ทัน เพราะหล่อนรู้ว่ายาใจไม่ค่อยได้คลุกคลีกับผู้ชายเท่าใดนัก ซึ่งก็เหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆของเธอนั่นแหละ เพราะพวกเธอทั้งสี่ศึกษาในโรงเรียนหญิงล้วนตลอด เข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนในคณะที่มีแต่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ หรือเลือกคบแต่เพื่อนผู้หญิงเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ยาใจจะประทับใจผู้ชายใจดีคนหนึ่งได้ง่ายนัก แต่สำหรับตัวเปี่ยมสุขเอง หล่อนเรียนขี่ม้า จึงได้พบเพื่อนผู้ชายบ้างพอสมควร และรับรู้ได้ว่า ผู้ชายประเภทไหนควรคบหรือไม่ ในท่สุดหล่อนก็ละสายตาจากใบหน้าแดงก่ำของน้องสาว

“นี่ขนาดไม่เห็นหน้านะ หึหึ ไหนคะคุณแม่ วันนี้มีกับข้าวอะไรบ้าง”

“ก็อย่างที่เห็นล่ะลูก ไปล้างมือก่อนไป๊ ค่อยมาช่วยแม่”

เปี่ยมสุขเดินตัวปลิวไปล้างมือ ขณะที่แสนดีกำลังคิดถึงใครบางคน

ผู้ชายในแว่นกันแดดอย่างนั้นหรือ ทำไมช่วงนี้ถึงมีแต่คนใส่แว่นดำกันนักนะ แล้วตานั่นจะเอารถมาคืนที่บ้านจริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้!


เช้าวันต่อมา เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ทรงตื่นบรรทมเช้ากว่าปกติถึงแม้ว่าเมื่อคืนจะพานางแบบสาวไปทานอาหารค่ำและต่อด้วยพูดคุยกันที่คอนโดหรูของเธอจนดึกดื่น เนื่องด้วยวันนี้ทรงมีพระกรณียกิจมากมาย ทั้งการประชุมสภา การออกเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากับเจ้าฟ้าหญิงอรรัมภา ซึ่งสมเด็จพระราชินทรงรับอุปถัมภ์มาอย่างยาวนาน และอีกภาระหนึ่งที่พระองค์ทรงหมายมั่นว่าจะทำให้ได้ในวันนี้คือการกลับไปทรงศึกษาการขี่ม้ากับหลวงสีหนาถอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ไม่ต้องการให้พระปรีชาสามารถในด้านนี้ลดน้อยลงไปแม้แต่น้อย

โต๊ะเสวยพระพระยาหารเช้าเกือบจะพร้อมในทันทีเมื่อเจ้าฟ้าชายทรงพระดำเนินอย่างสง่างามในชุดสูทอย่างเป็นทางการ และนั่นทำให้พระพักตร์ที่หล่อเหลาดูน่าจับตามากขึ้นไปอีก

“เมื่อคืนกลับดึกไม่ใช่หรืออิศเรศร์ พ่อไม่คิดว่าลูกจะตื่นบรรทมเช้าได้” สมเด็จพระราชาในชุดสูทเนื้อดีอย่างเป็นทางการ ด้วยมาดนิ่ง สง่างาม และน่าเกรงขามกว่าพระราชโอรสมากกว่าตามพระชันษา ตรัสขึ้นด้วยเสียงทุ้มกังวานที่เปี่ยมไปด้วยพระราชอำนาจ

เจ้าชายไม่ตรัสตอบว่ากระไร เพียงได้แต่แย้มพระสรวลเท่านั้น

“ไปกับใครล่ะอิศเรศร์” พระราชินีทรงถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เพราะพระองค์ทรงไม่โปรดผู้หญิงคนไหนสักคนเลยที่เข้ามายุ่งกับพระราชโอรส และที่สำคัญ วันอาทิตย์ที่ใกล้จะถึงนี้อยู่แล้วที่พระองค์จะได้ทรงแนะนำให้พระราชโอรสทรงรู้จักกับผู้หญิง ‘ที่ดี’ ทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกสาวของหลวงสีหนาถ

เจ้าชายทรงทำมาดนิ่ง เพื่อจะตรัสตอบให้น่าเชื่อถือว่า “เพื่อนพะย่ะค่ะสมเด็จแม่” แต่กลับถูกพระเชษภคินี ตรัสตอบแทน

“ซาร่าเพคะเสด็จแม่ นางแบบดาวรุ่งลูกครึ่งออสเตรเลีย” ตรัสเสร็จก็หันไปแย้มพระสรวลให้พระอนุชา ซึ่งบัดนี้ทรงเบิกพระเนตรโตด้วยความตกพระทัย

“ไงล่ะอิศเรศร์ ทีหลังจะพาไปร้านไหนก็ศึกษาก่อนด้วยนะ ว่าเพื่อนพี่เป็นเจ้าของหรือเปล่า” ตรัสเสร็จก็สรวลเบาๆ ยั่วพระอนุชา

พระราชาทรงไม่นิยมยุ่งเรื่องส่วนตัวของเจ้าชายเท่าใดนัก ยิ่งเรื่องความรักด้วยแล้วทรงคิดว่าพระโอรสโตและมีความคิดพอที่จะเลือกคบใครและวางตัวเช่นไร ที่สำคัญกว่านั้นคือ พระราชินีทรงวุ่นวายกับเรื่องนี้คนเดียวก็มากพออยู่แล้ว ดังนั้นจึงทรงยอมให้ศึกนี้เป็นของสมเด็จพระราชินีรับภาระแต่เพียงพระองค์เดียว

เจ้าฟ้าชายหนุ่มหล่อ สบพระเนตรเจ้าฟ้าหญิงอรรัมภาด้วยความไม่พอพระทัย และก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสแก้ตัว พระองค์กลับโดนพระมารดาตรัสสั่งสอนแทน

สมเด็จพระราชินีซึ่งวันนี้ต้องเสด็จไปเปิดงานการกุศลกับพระธิดาองค์โต ทรงสวมฉลองพระองค์เป็นเดรสยาวระดับเข่าสีเหลืองนวลขับพระฉวีให้เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น แต่ถึงแม้จะทรงงดงามเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าฟ้าชายแสนดื้อหายเกรงกลัวพระมารดาไปได้

“แม่พอใจที่ลูกเริ่มออกประชุมสภากับเสด็จพ่อบ่อยขึ้น แต่นั่นไม่สามารถทำให้แม่เห็นเรื่องที่ลูกคบผู้หญิงทั่วเมืองหลวงไปทั่วน้อยลงได้หรอกนะอิศเรศร์”

เมื่อทรงได้ฟังดังนั้น เจ้าชายก็ทำพระศอแข็ง ก่อนจะตรัสเสียงเข้ม ซึ่งนี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพระองค์ที่บ่งบอกว่าจะทรง ‘ดื้อ’ ขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ชายโตพอแล้วนะพะย่ะค่ะ อีกอย่างชายยังไม่ได้คบกับหล่อนเลย ชายพาหล่อนไปทานข้าวในฐานะ ‘เพื่อน’ เท่านั้น”

ทั้งโต๊ะเสวยเงียบลง แต่เจ้าหญิงอรรัมภากลับสรวลเบาๆทำนองว่าไม่ทรงเชื่อพระอนุชา

“แม่ว่าลูกน่าจะโตพอคิดได้เหมือนกับแม่ว่า ไม่มีผู้ชายคนไหนพาผู้หญิงไปทานข้าวสองคนแล้วคิดกับหล่อนแค่เพื่อนหรอกนะ เลิกทำตัวแบบนี้เสียที ไม่ใช่แค่สร้างความเสื่อมเสียให้ราชวงศ์เพราะถูกตราหน้าว่าคาสโนว่าเท่านั้น ลูกยังแสดงออกถึงความไม่ให้เกียรติผู้หญิงด้วย อย่ายุ่งกับหล่อนอีก”
พระราชินีทรงสั่งเสียงเฉียบขาด บรรยากาศในโต๊ะเสวยค่อยๆตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เจ้าฟ้าหญิงอรรัมภาทรงเริ่มคิดว่าตัวพระองค์เองเป็นชนวนของหัวข้อสนทนานี้หรือเปล่า จึงขออนุญาตออกจากห้องเสวยเพื่อไปเตรียมพระองค์ทรงงานการกุศลในช่วงเช้านี้ก่อน ปล่อยให้พระอนุชาทรงโดนระเบิดลงแต่เพียงพระองค์เดียว

พระราชาเองทรงไม่อยากร่วมด้วย จึงนั่งเสวยต่อไปอย่างเงียบๆ โดยมีพระราชโอรสแสดงสีพระพักตร์ดื้อรั้นอยู่ข้างๆ

“ชายจะเลิกคบกับเธอก็ต่อเมื่อชายสมัครใจเอง เสด็จแม่ยังไม่ทรงรู้จักหล่อน แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าหล่อนดีหรือไม่ ชายโตแล้วนะพะย่ะค่ะ ขอให้ทุกอย่างชายได้ตัดสินใจด้วยตัวเองเถอะ ถ้าเพียงเรื่องนี้ชายยังคิดของชายเองไม่ได้ แล้วเสด็จแม่หวังจะให้ชายไปปกครองประเทศได้อย่างไรชายขอตัวไปรอเสด็จพ่อที่รถก่อนนะพะย่ะค่ะ”

ตรัสเสร็จก็ทรงลุกขึ้นจากโต๊ะเสวยโดยฉับพลัน ก่อนจะพระดำเนินอย่างสง่าแต่เต็มไปด้วยอารมณ์กริ้วออกไป

จริงๆแล้วเจ้าชายไม่ได้ทรงพิศวาสนางแบบสาวมากมายเท่าใดนัก แต่ที่ทรงตรัสออกไปแบบนั้น ก็เพราะอยากให้เสด็จแม่เข้าพระทัยว่าพระองค์ทรงมีความคิดที่จะตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้มากเพียงพอ เท่านั้นเอง




ยามเช้าที่บ้านคุณหลวงสีหนาถมักจะมีแต่ความเบิกบานใจเสมอๆ เนื่องด้วยมีลูกสาวแสนสวยทั้งสี่คอยสร้างเสียงหัวเราะและพูดคุยกันอย่างถูกคอตามประสาผู้หญิงนั่นเอง

ด้วยรักในชุดกระโปรงอยู่บ้านสบายๆ เตรียมพร้อมกับการรับสอนเปียโนเหล่าเด็กๆตัวน้อยๆในช่วงเช้า กำลังรินกาแฟหอมกรุ่นใส่แก้วของคุณพ่อ

ส่วนแสนดีในชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ยาวคลุมเข่า มัดผมเรียบตึงด้วยโบว์สีเดียวกันก็ช่วยคุณแม่ตักโจ๊กร้อนๆใส่ถ้วยของทุกคน

“วันนี้วันศุกร์ เดี๋ยวยาต้องไปช่วยงานวิจัยด้านเศรษฐกิจที่มหา’ลัยนะคะคุณพ่อ อาจารย์ท่านติดต่อมาให้ยาช่วยทำชิ้นนี้ชิ้นสุดท้าย ก่อนยาจะไปเรียนโท แต่แหม…” หล่อนจิบกาแฟนิดหนึ่ง

“ยาจะได้เรียนต่อหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เอกสารก็ยังไม่ครบ”

คุณหลวงมองลูกสาวด้วยความเอ็นดู “แล้วลูกอยากไปหรือเปล่าล่ะ อย่าลืมนะลูกว่าความคิดของเรานั้นถูกเสมอ ถ้าเราคิดว่าเราจะได้ไป เราก็ต้องได้ไป”

ยาใจยิ้มรับ คำสอนของคุณพ่อนั้นเป็นสิ่งที่ลูกๆทั้งสี่เคารพ เชื่อฟัง และยึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิตเสมอมา

“ว่าแต่วันนี้ไม่มีโกโก้เหรอคะคุณแม่ เปี่ยมอยากดื่มก่อนไปซ้อมขี่ม้าสักหน่อย”

เปี่ยมสุขถามพลางมองหาเหยือกโกโก้

คุณหญิงวางโถใส่โจ๊กลงพลางสอดส่ายสายตาหาเหยือกที่ว่า

“แม่เห็นยายแสนต้มอยู่นะ หายไปไหนไม่รู้ แต่กินเยอะๆก็ไม่ดีหรอกนะลูก เดี๋ยวไปขี่ม้าแล้วจะจุกเสียเปล่า”

แต่เปี่ยมสุขไม่สน หล่อนจ้องหน้าน้องสาวคนเล็กอย่างเอาจริงเอาจัง “ยายแสน ไหนล่ะโกโก้”

แสนดีราวกับจะไม่ได้ยิน เพราะหล่อนได้แต่ยืนถือเหยือกโกโก้ค้างเอาไว้ พลางจ้องหน้ายาใจ เหมือนต้องการคำตอบอะไรบางอย่าง

“พี่ยาว่าวันนี้เป็นวันอะไรนะคะ”

สมาชิกทุกคนในบ้านสงสัยในกิริยาของหล่อน จึงหันมามองลูกสาวคนสุดท้องกันเป็นตาเดียว

“ก็…วันศุกร์ไงล่ะ พี่ต้องเข้ามหา’ลัย ทำไมเหรอจ๊ะแสน”

แสนดียิ้มกว้าง ราวกับดีใจอะไรบางอย่าง “วันนี้วันศุกร์ แสนก็จะได้รถคืนไงคะ รถของเราน่ะค่ะคุณพ่อ อีตาแว่นดำจะเอามาคืน ทีนี้แสนจะมีรถใช้เหมือนเดิมแล้ว ไม่ต้องลำบากนั่งแท็กซี่ เย้!”

แล้วทุกคนก็ร้องอ๋อ เป็นเชิงเข้าใจในเรื่องเดียวกัน

“เขาจะเอามาคืนหรือเปล่าก็ไม่รู้ บ้านเราเขายังไม่รู้จักเลยไม่ใช่เหรอลูก คนสมัยนี้ไว้ใจยากนะ” คุณหญิงวิสาออกความเห็น ทำเอาแสนดีหน้าเสียเล็กน้อย

เปี่ยมสุขที่อยากดื่มโกโก้ใจจะขาด และไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้นักก็เอ่ยขึ้น “เรื่องรถนี่เดายากค่ะ แต่เรื่องโกโก้นี่อยู่แค่เอื้อม รินให้พี่หน่อยสิแสน”

แสนดีจึงเริ่มรู้สึกตัวแล้วเดินมารินใส่แก้วให้พี่สาว

“แต่ใครจะไปรู้ได้ล่ะเนอะเรื่องนี้ ถ้าไม่หมดวันนี้ไปเสียก่อน เราก็ย่อมมีหวัง จริงไหมจ๊ะแสน อย่าพึ่งคิดมากเลย” ด้วยรักช่วยให้กำลังใจน้องสาว และสรุปเรื่องนี้ได้ออกมาอย่างมีเหตุผลสมเป็นพี่คนโต

ยาใจ ค่อยๆบรรจงทาแยมผิวส้มลงบนแผ่นขนมปังของตน “น่าสนุกดีนะเรื่องนี้ พี่รีบกลับบ้านมารอดูผลดีกว่า”

คุณหญิงขันในความคิดของลูกสาวคนที่สาม ก็หัวเราะขึ้น“แหมทำราวกับติดละครหลังข่าวเลยนะจ๊ะลูก แต่แม่ก็ชักอยากเห็นนายแว่นดำของลูกเหมือนกันนะแสนดี”

แสนดีทำตาโตแสดงความตกใจขึ้นมาทันที “โอ๊ย! ของแสนเสียที่ไหนกันล่ะคะ คุณแม่!”

หัวข้อสนทนายามเช้าวันนี้ทำเอาคุณหลวงหัวเราะอย่างมีความสุข ท่านมองสาวๆที่กำลังคุยกันเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า และคิดว่าตัวเองช่างเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่งละกระมังที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าสาวสวยทั้งห้า

“เย็นวันนี้ผมคงกลับค่ำหน่อยนะคุณหญิง ต้องถวายการสอนเจ้าชายน่ะ เสร็จแล้วก็ต้องไปประชุมสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศ เราก็ต้องไปใช่ไหมยายเปี่ยม ได้ข่าวว่าโค้ชชื่นชมในตัวลูกมากไม่ใช่หรือ”

เปี่ยมสุขส่งยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจให้กับคุณพ่อซึ่งเป็นระดับตำนานขี่ม้าของประเทศ และที่สำคัญ ท่านเป็นดั่งต้นแบบของหล่อน

“เรื่องโค้ชชมนั่นถูกค่ะ แต่เรื่องประชุม เปี่ยมขอตัวดีกว่า จะมารอดูผลเรื่องรถยายแสน” แล้วหล่อนก็หัวเราะเสียงดัง ทำเอาพี่น้องของเธอตลกไปด้วย

“แหม ไหนว่าไม่สนใจ อ๋อ กลัวไม่มีรถไปส่งที่โปโลคลับล่ะซิ” ด้วยรักกล่าวหยอกน้องปิดท้ายการสนทนาในเช้าวันนั้น




ท้องฟ้ายามบ่ายคล้อยของวันนี้ช่างปลอดโปร่ง ก้อนเมฆสีขาวสะอาดลอยจับตัวกันแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ ฉากหลังนั้นเล่าคือผืนฟ้าสีครามสดใส และแสงแดดจ้าที่สาดส่องลงมากระทบผิวดินให้ร้อนระอุ

หลวงสีหนาถกำลังควบคุมคนงานทำความสะอาดคอกม้าของวันหลวงตามปกติ ด้วยหน้าที่อันเคร่งครัด ก่อนพาสัตวแพทย์หลวงที่คุณหลวงนัดมาตรวจสภาพร่างกายของเหล่าม้าในวังเข้ามาในคอกม้าด้านหลังมหาปราสาท

“นี่หรือคุณหลวง ม้าตัวใหม่ที่เจ้าชายโปรดยิ่งนัก” หลวงอดุลย์ สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องม้า และถวายการรับใช้พระราชามาช้านาน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทคนสำคัญของหลวงสีหนาถ กล่าวขึ้น พลางสายตาก็พิจารณาความสง่างามของเจ้าม้าตัวนี้ด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง

หลวงสีหนาถลูบต้นคอราฟาเอลด้วยความรักใคร่มันยิ่งนัก

“ใช่แล้วหลวงอดุลย์ ชื่อราฟาเอล พันธุ์อเมริกันแซดเดิล ถ้าฝึกให้ดี สงสัยจะได้รางวัลในทุกสนามเสียล่ะมั้ง ปราดเปรียวและฝีเท้าดีหาเปรียบยาก เสียดายที่เจ้าชายเพียงแต่โปรดเท่านั้น หาได้มาทรงฝึกซ้อมบ่อยๆ ให้สมกับสมรรถภาพของมันไม่”

หลวงอดุลย์ซึ่งชื่นชอบม้าไม่แพ้กัน แต่พียงไม่มีฝีมือในการขี่ม้าเท่าหลวงสีหนาถเท่านั้น เขาเดินรอบตัวราฟาเอล สังเกตลักษณะและลูบขนสีจันทร์บางอ่อนนุ่มด้วยความหลงใหล

“ลักษณะดีจริงๆคุณหลวง คือคอตรงบ่งบอกว่า แข็งแรง เหมาะแก่การขี่ ตะโหงกสูงเด่น แปลว่าว่องไวยิ่งนัก หลังตรงยิ่งรับน้ำหนักได้ดี มีความอดทนและขี่สบาย ก้นหนาใหญ่แสดงถึงพละกำลังมหาศาล”

“หางติดสูงแสดงว่ามาจากตระกูลดี อกกว้างเหมือนราชสีห์ สะบักยาวกำลังดี ขาหน้าและขาหลังตั้งตรงจะสามารถวิ่งได้ปราดเปรียวและสง่า ที่สำคัญ….”

เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ซึ่งกำลังพระดำเนินมาจากด้านหลังของมหาปราสาทด้วยท่าทีองอาจ และทระนงตน ตรัสอวดความรู้เรื่องม้าด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม แต่แววพระเนตรนั้นฉายความท้าทายส่งไปยังหลวงสีหนาถ ก่อนจะมาประทับหยุดตรงหน้าม้าตัวโปรด แล้วลูบต้นคอแข็งแกร่งของมัน

“สีจันทร์อ่อนแบบนี้ยามถูกแดดฉาดฉายมักจะมีเงาเหมือนทองแดง สวยจับใจยิ่งนัก”

เมื่อพระสุรเสียงกังวานนั้นตรัสสิ้นสุดลง คุณหลวงทั้งสองก็รีบโค้งคำนับเจ้าฟ้าชายทันที

เจ้าชายอิศเรศร์ทรงโค้งตอบด้วยความเคารพต่อผู้ใหญ่ทั้งสอง ก่อนจะตรัสทักทายหลวงอดุลย์ซึ่งพระองค์ทรงไม่ได้พบเจอมาเป็นเวลานาน

“ได้ข่าวว่างานที่กรมเยอะมากอยู่ใช่ไหมคุณหลวง ช่วงนี้โรคในวัวเริ่มระบาดอีกแล้ว”

หลวงอดุลย์โค้งตอบในความใส่พระทัยของเจ้าชาย “หามิได้ฝ่าบาท เข้าหน้าร้อนทีไร กรมปศุสัตว์งานล้นทุกที อีกทั้งตอนนี้ก็มีปัญหาเรื่องการค้าสัตว์สงวนข้ามชาติอีกด้วย ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น เราคงต้องขอบใจคุณหลวงด้วย ที่ช่วยเหลือประเทศของเราในด้านนี้ ถึงว่า ช่วงหลังมานี้ เราไม่ได้พบเจอคุณหลวงเท่าใดนัก จะพบก็แต่หลวงสีหนาถเท่านั้น จริงไหมคุณหลวง”

ประโยคสุดท้ายเมื่อเจ้าชายมีปฏิสันถารกับหลวงอดุลย์เสร็จ จึงหันมาแย้มพระโอษฐ์อย่างเจ้าเล่ห์ประทานหลวงสีหนาถ

หลวงสีหนาถโค้งรับพระดำรัสที่พาดพิงอย่างรู้ทัน โดยไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรเลย เนื่องด้วยเข้าใจดีว่าเจ้าชายทรงชอบเอาชนะตัวเองเพียงใด แต่วันนี้อย่างไรเสีย…ที่เจ้าชายทรงยอมกลับมาเรียนกับตนก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี “หาไม่ได้ฝ่าบาท”

เจ้าชายอิศเรศร์แย้มสรวลกว้างกว่าเดิม ก่อนจะตรัสยั่วคุณหลวงพระอาจารย์ต่อ “วันนี้เราจะมาฝึกกับราฟาเอลเสียหน่อย คุณหลวงจะได้ไม่หาว่าเราได้แต่โปรดมันเพียงอย่างเดียว” หลังจากตรัสยั่วโมโหหลวงสีหนาถเสร็จ เจ้าชายจึงทรงสาวพระบาทไปประชิดตัวม้าหนุ่มด้านข้าง ทรงตั้งท่าจะขึ้นขี่ด้วยความสง่า

“เดี๋ยวก่อนพะย่ะค่ะ” เสียงกึ่งดุกึ่งใจดีของหลวงสีหนาถกล่าวขึ้นห้ามการกระทำของเจ้าชาย

พระวรกายสูงใหญ่นั้นหยุดทันที ก่อนจะทรงขมวดพระขนง “มีอะไรหรือคุณหลวง”

คุณหลวงแสร้งทำแววตาจริงจัง ก่อนจะพูดขึ้นเป็นเชิงดุ “ถ้าพระองค์ทรงทำแบบนั้น ราฟาเอลจะพยศเป็นแน่”

ไม่แพ้กัน เจ้าชายผู้แสนดื้อและทระนงตนเป็นที่สุด ทำพระศอแข็ง และทอดพระเนตรพระอาจารย์กลับด้วยความดึงดัน

“แล้วเราจะคอยดู” ตรัสเสร็จจึงทรงจับบังเหียนแล้วลอยตัวขึ้นจะคร่อมราฟาเอลอย่างสง่า

แต่ทว่าทันทีที่พระองค์ทรงเตะพระบาทขึ้นหลังม้านั้น ราฟาเอลกกลับร้องลั่นพร้อมกับ พยศ สะบัดพระองค์ล้มลงไปกองที่พื้นในพริบตา

หลวงอดุลย์ตกใจวิ่งเข้ามาช่วยเจ้าชายประคองพระวรกายในทันที
แต่หลวงสีหนาถกลับยืนนิ่ง จ้องเจ้าชายซึ่งกำลังส่งสายพระเนตรอย่างกริ้วมาที่คุณหลวง

ราวกับแค้นกันมาแต่ปางก่อน สายตาดุดันของพระอาจารย์และแววพระเนตรอันดื้อรั้นนั้นจ้องกันอย่าไม่ลดละ นี่คงเป็นสงครามเย็นอีกครั้งหนึ่งในหลายครั้งนับไม่ถ้วนระหว่างอาจารย์ผู้เป็นระดับตำนานด้านฝีมือการแข่งม้าระดับโลก และลูกศิษย์ ผู้ซึ่งเชื่อมั่นและทระนงตนว่าเก่งกาจไปเสียทุกด้าน

แต่ถึงกระนั้น หลวงสีหนาถก็ยังคงเอ็นดู และให้อภัยเจ้าชายที่คุณหลวงสอนมาตั้งแต่ครั้งยังทรงเยาว์วัย

หลวงสีหนาถสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ้าชายที่ล้มลงอยู่ที่พื้น ก่อนจะโค้งคำนับ และยื่นมือส่งให้

เจ้าชายรูปงาม มองมือหนาใหญ่ที่เห็นได้ถึงรอยเหี่ยวย่น แตกต่างไปจากเมื่อเกือบสิบปีก่อนที่เริ่มสอนพระองค์อย่างลิบลับ

แม้พระองค์จะทรงดื้อรั้นกับพระอาจารย์เพียงไร และอาจแสดงกิริยาแย่ๆบ้าง แต่ในพระทัยลึกๆแล้ว ทรงเคารพ และชื่นชมฝีมือการแข่งม้าของเขาเสมอมา แต่ที่ทรงไม่ยอมอ่อนข้อกับหลวงสีหนาถนั้น ไม่ใช่เพราะดูถูก ที่เขาแก่ตัวลง แต่เป็นเพราะว่าทรงอยากจะเอาชนะตำนานของประเทศ…พระองค์ทรงต้องการจะปรีชาสามารถเทียบเท่าหลวงสีหนาถนั่นเอง

พระหัตถ์แข็งแกร่งและเรียวยาว ค่อยๆยื่นส่งประทานให้หลวงสีหนาถ พร้อมๆกับที่คุณหลวงจับพระหัตถ์นั้นไว้อย่างมั่นคงก่อนจะดึงร่างสง่างามให้ทรงลุกขึ้นเคียงกัน

แววพระเนตรแข็งกร้าวเริ่มอ่อนลง ก่อนจะทรงก้มพระพักตร์มองพื้นราวกับทรงรู้สึกผิด

“คุณหลวงกรุณาชี้แนะเราด้วย”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลวงสีหนาถรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบซ่อนรอยยิ้มที่เผลอแสดงออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดุต่อไป เพื่อที่จะได้คุมเจ้าชายตัวแสบให้อยู่

“หามิได้พะย่ะค่ะ แต่ราฟาเอลเป็นม้าพยศ และทระนงตนในพละกำลังยิ่งนัก ก่อนขึ้นขี่มัน เจ้าชายต้องใช้พระเนตรสบตามันอย่างจริงจัง แล้วลูบตั้งแต่ศีรษะจนถึงกลางหลังให้มันรู้สึกถึงความรักและให้เกียรติของเรา ที่สำคัญ ต้องพยุงตัวเองนั่งบนหลังราฟาเอลให้นุ่มมากที่สุดพะย่ะค่ะ”

เมื่อทรงรับฟังดังนั้นจึงพระดำเนินไปใกล้ม้าหนุ่ม แล้วทรงทำตามดังที่พระอาจารย์สอน คือสบตาอย่างแน่วแน่ พระหัตถ์แข็งแรงนั้นทรงลูบหัวราฟาเอลอย่างรักใคร่จนถึงกลางหลัง ก่อนจะทรงจับบังเหียน แล้วเหวี่ยงตัวด้วยความนุ่มนวลอย่างที่สุดประทับลงบนหลังม้าแสนพยศได้อย่างง่ายดายด้วยท่าทางอันสง่างาม

เจ้าชายหนุ่มแย้มสรวลอย่างพอพระทัย ก่อนจะกระตุกขากระตุ้นให้ราฟาเอลตื่นตัวและเริ่มออกวิ่งอย่างปราดเปรียวสู่ลานกว้าง

หลวงสีหนาถยิ้มเบาๆ…อย่างน้อยเจ้าชายก็ยังทรงรู้จักที่จะยอมแพ้ และเคารพในตัวเขาอยู่เช่นเดิม

“คนหนุ่มก็อย่างนี้ล่ะนะหลวงอดุลย์ ผมขอตัวตามพระองค์ไปก่อนล่ะ เชิญคุณหลวงดูแลม้าที่เหลือตามสบาย” กล่าวเสร็จพระอาจารย์ก็ขับเคลื่อนม้าดีอีกตัวเข้าไปประชิดลูกศิษย์ ที่กำลังทรงเพลิดเพลินกับม้าตัวโปรด พร้อมกับเริ่มสั่งสอนบทเรียนล่าสุดอย่างเคร่งครัด




ตกเย็นมากแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ยังคงไม่ลับขอบฟ้าไปเสียทีเดียว แสงแดดอ่อนลงจนกลายเป็นสีเหลืองนวลทาทาบผืนฟ้าสีครามให้เหล่าคนที่มีจินตนาการทอดสายตามองดูแล้วรู้สึกงดงามยิ่งนัก

ด้วยรักกำลังนั่งปอกผลไม้จัดวางใส่ลงในจานสำหรับเป็นของหวานหลังอาหารเย็นมื้อนี้อย่างอารมณ์ดีอยู่ที่สวนหลังบ้าน หลังจากเธอเสร็จสิ้นภารกิจสอนเปียโนเด็กๆมาตลอดบ่าย ข้างๆมียาใจกำลังนอนเอกเขนกดูท้องฟ้ายามเย็น พร้อมๆกับแอบหยิบผลไม้เข้าปากเป็นระยะ

“ทำงานเหนื่อยๆแล้วมามองฟ้านี่ก็สบายใจพิลึกนะคะพี่รัก”

ด้วยรักหัวเราะเบาๆ “เหรอจ๊ะ ไหนบอกพี่ซิวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง”

ยาใจเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงอ่อน “ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แต่อาจารย์ท่านบอกว่าไม่อยากให้ยาไปเรียนต่อ ท่านว่าท่านเสียดาย อยากให้ยาอยู่ทำวิจัยกับท่านต่ออีก ทีนี้เราก็รู้สึกแย่เลยสิคะ เพราะยาก็รักอาจารย์ท่านนี้เหลือเกิน ท่านสอนยามากมายจนยาสามารถมีความรู้ได้ขนาดนี้ สู้กับต่างชาติพอไหว เฮ้อ…ไม่อยากเนรคุณคน”

“อ้าว แต่พี่ว่าอาจารย์ท่านพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอกนะจ๊ะ มีอย่างที่ไหนจะเก็บลูกศิษย์ไว้กับตัว ไม่ปล่อยให้เขาไปมีอนาคตเอง พี่ว่ายาก็ไปเรียนต่อเถอะ แล้วจบมาค่อยกลับมาช่วยอาจารย์ก็ยังมีประโยชน์มากกว่าอีกนะ”

ยาใจหยิบผลไม้อีกชิ้นเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย “ก็ถูกของพี่รักนะคะ เฮ้อ…อย่าเอามาคิดมากดีกว่า แล้วนี่คนอื่นๆยังไม่กลับกันอีกหรือนี่”

สิ้นเสียงยาใจ ก็พอดีที่เปี่ยมสุขในชุดกางเกงขาสั้นใส่สบายและแสนดีในชุดเดรสสีฟ้าเรียบร้อย เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเหนื่อยอ่อน ทั้งสองนั่งลงบนเสื่อผืนใหญ่ ก่อนจะชิงหยิบผลไม้กันคนละชิ้น

“โอ๊ย! เหนื่อยชะมัด วันนี้แท็กซี่ก็หายากจริง มีแต่คนขึ้นเต็มทุกคัน กว่าจะโบกได้นะพี่รัก เปี่ยมกับยายแสนรอเกือบชั่วโมง” เปี่ยมสุขบ่นเสียงดัง พร้อมๆกับนอนกลิ้งลงข้างๆยาใจ ที่แกล้งพลิกตัวหนีพี่สาว

“พูดเกินไปอีกแล้วพี่เปี่ยม เกือบครึ่งชั่วโมงต่างหากล่ะคะ วันนี้พวกบรรณารักษ์คนอื่นก็ลาไปไหนกันไม่รู้ เหลือแสนทำทุกอย่างคนเดียว ลมจับเลย” น้องสาวคนเล็กก็บ่นไม่แพ้กัน ก่อนจะถามในสิ่งที่ตนเองอยากรู้เป็นที่สุด

“รถแสนมาหรือยังคะ แต่แสนยังไม่เห็นเลยสงสัยว่าจะยัง….โอ๊ย! อีตาแว่นดำนั่นต้องเบี้ยวแน่ๆ”

ยาใจเห็นน้องสาวเป็นทุกข์จึงรีบพูดปลอบ “ยังไม่ค่ำเลยนะจ๊ะ เรายังพอมีหวังน่า แสนไปอาบน้ำก่อนดีไหมจะได้ใจเย็นๆ”

“โหย เย็นไม่ลงหรอกยา นี่พี่ก็อยากได้คืน ขี้เกียจเรียกแท็กซี่ แล้ววันไหนเงินไม่พอนะ หมดกัน…” เปี่ยมสุขช่วยแสนดีบ่นอีกแรง

ด้วยรักซึ่งปอกผลไม้เสร็จแล้ว ก็เริ่มจัดแจงเก็บของตั้งท่าจะเข้าบ้าน

“แต่ถ้าเขาไม่เอามาคืน สงสัยเราต้องแจ้งความแล้วมั้งจ๊ะ คิดว่ายังไงล่ะแสน นี่เดี๋ยวพี่เอาผลไม้เข้าไปเก็บก่อนนะ ”

ด้วยรักพาร่างบอบบางสูงระหง กลับเข้าไปในครัวแล้ว ปล่อยให้สามสาวที่เหลือคุยกันต่ออย่างเพลิดเพลิน

“เฮ้อเป็นพี่รักก็ดีเนอะ ทำงานที่ตัวเองรักอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปเจอกับปัญหารถติดเหมือนพวกเรา” เปี่ยมสุขยังคงพร่ำบ่นต่อไป

“นั่นสิเนอะ บ้านเรามีความสุขที่สุด” ยาใจออกความเห็น “ถ้ายาไปเรียนเมืองนอกคงคิดถึงบ้านน่าดูเลยนะคะ”

แสนดีนั่งอมยิ้มมองพี่สาวทั้งสองกลิ้งเกลือกบนเสื่อ ก่อนจะแกล้งแทรกตัวไปนอนตรงกลาง เหมือนที่ชอบทำตอนเด็กๆ

แล้วสามพี่น้องก็หัวเราะกันคิกคัก

“พวกเราโชคดีนะคะที่มีครอบครัวแบบนี้” แสนดีเอ่ยเบาๆอย่างมีความสุข เป็นเวลาเดียวกับที่ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า และส่องแสงสุดท้ายของวันเป็นการส่งท้าย โดยไม่รู้ตัวเลยว่า รถซีดานคันใหญ่สีดำ และรถเก๋งขนาดพอเหมาะที่คุ้นเคยได้มาหยุดจอดลงที่หน้าบ้านของพวกเธอแล้ว

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนสุภาพ และกางเกงแสล็คอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยทรงผมเรียบแปล้ ตามแบบฉบับหนุ่มเรียบร้อย ใบหน้าเรียวได้รูปนั้นมีแว่นสีชาแบบคนแก่สวมปกปิดเอาไว้ เขาลุกออกจากรถเก๋งคันเล็ก ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณอะไรบางอย่างกับคนขับในรถซีดานคันใหญ่สีดำ ก่อนที่รถคันนั้นจะขับเคลื่อนไปหลบที่หัวมุมถนนอย่างรู้ดี

ชายหนุ่มส่องกระจกข้างรถสำรวจใบหน้าตนเองอีกครั้ง พร้อมจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง และหวังอย่างแรงกล้าให้การปลอมตัวครั้งนี้แนบเนียนและสมจริง เขาเดินวนไปวนมาที่ประตูของบ้านที่เป็นเป้าหมายราวกับลังเลในอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุด ร่างสูงนั้นก็ยืนอย่างสง่าตามธรรมชาติ ก่อนจะกลั้นหายใจกดกริ่งที่ประตูหน้าบ้านอันร่มรื่นหลังนี้

เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่นาน พลางสายตาก็สอดส่องสำรวจลักษณะบริเวณรอบๆบ้าน แล้วก็ได้เห็นว่า ‘หล่อน’ ไม่ได้จนตรอกอย่างที่บอกจริงๆ ถึงแม้ตัวบ้านจะไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่ก็มีบริเวณกว้างขวาง เป็นสัดส่วน ทรงบ้านนั้นดูก็รู้ว่าได้รับการออกแบบจากสถาปนิกฝีมือดี รวมถึงการดูแลสวนและต้นไม้ภายในบ้านอันร่มรื่นก็บ่งบอกถึงว่าเจ้าของมีเวลาและใส่ใจเพียงไร

เขามองจ้องเข้าไปยังหน้าต่างของบ้าน ก็เห็นได้ว่ามีแสงสว่างอยู่ คงต้องมีคนอยู่บ้านเป็นแน่ และไม่นานนัก ประตูเล็กๆหน้าบ้านก็เปิดออก….

สาวสวยผมยาวดำขลับสลวย ร่างสูงระหงและหุ่นเพรียวบาง ในชุดกระโปรงสบายๆสำหรับอยู่บ้าน แต่กลับน่ามองจนเขาไม่สามารถละสายตาไปได้ เมื่อหล่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ประตูรั้วหน้าบ้าน และแล้วใบหน้านวลเนียนรูปไข่ก็ค่อยๆปรากฏเด่นชัดขึ้น จนเขาเห็นแล้วว่า เครื่องหน้าของเธอนั้นเล่าสวยเพียงใด

“มาหาใครเหรอคะ” เสียงใสๆของหล่อนถามอย่างชัดเจน แต่ดวงตากลมโตกลับจ้องมองที่รถคันเล็กนั่น ก่อนจะเคลื่อนมาสบตาเขา

ชายหนุ่มได้เพียงแต่ตะลึงในทุกๆอย่างที่เป็นหล่อน เขาจ้องเธอจนลืมตัวและกว่าจะรู้สึกอีกที ก็มีอีกเสียงหนึ่งแว่วดังมาจากในบ้าน

“มาแล้วเหรอคะพี่รัก!!!”

เขาหันไปมองตามเสียง ก่อนจะแทบดีใจออกนอกหน้า เพราะสาวหุ่นปราดเปรียวในชุดกางเกงขาสั้นรัดรูป ผมหยิกดำขลับยาวสยาย ที่วิ่งโร่อย่างตื่นเต้นมาหยุดยืนข้างๆสาวสวยอ่อนหวานคนแรก นั่นก็คือยายผมเปียที่เขาพบที่โปโลคลับนั่นเอง

“คุณเอารถมาคืนเราเหรอคะ!!!” ยายผมเปียถามเขาเสียงดัง

ชายหนุ่มยังคงตกตะลึงก่อนจะเอ่ยเพียงสั้นๆ “เอ่อ….” แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงัก ที่จู่ๆ สาวสวยกระโปรงสีหวาน ซึ่งเขาจำได้แม่นว่าพบหล่อนที่สถานทูตอังกฤษในครั้งที่เขาไปเปิดงานที่นั่น เดินอย่างเงียบๆมาหยุดยืนเกาะรั้วเป็นคนที่สามอยู่ข้างๆยายผมเปียยาว

หล่อนมองรถที่รถ ก่อนจะยิ้มให้เขาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ….ดีแล้วที่หล่อนจำเขาไม่ได้

“สวัสดีค่ะ เอารถมาคืนยายแสนเหรอคะ”

หนุ่มร่างสูงใหญ่มองสาวสวยทั้งสามอย่างตกตะลึง ทั้งสามเป็นพี่น้องกันหรือนี่ ถึงแม้ว่าเขาจะพบเจอคนสวยมามากมาย แต่เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหล่อนทั้งสามถึงทำให้เขาหายใจลำบากยิ่งนัก

โครม! “ว้าย!”

ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเสียงของหนักๆกระทบประตูรั้วหน้าบ้าน ก่อนจะละสายตาจากสาวสวยทั้งสามไปมองผู้หญิงคนสุดท้ายที่เพิ่งมาถึง

เป็นหล่อน! หล่อนนั่นเอง ยายตัวร้าย หล่อนมาแล้วว่ะ!!!! คราวนี้เขาไม่เพียงแต่หายใจไม่ออก แต่เริ่มรู้สึกว่าลมจับ

“ยายแสน!” พี่สาวทั้งสามของเธอเรียกน้องคนเล็กด้วยความตกใจที่หล่อนวิ่งพลาดมาชนประตู

แสนดีหัวเราะแห้งๆ “โทษทีค่ะ แสนตื่นเต้น แล้วไหนนายแว่นดำล่ะ”

ชายหนุ่มแว่นหนาเตอะกระแอมเสียงดังอย่างจนใจ จนแสนดีต้องหันไปมอง ก่อนจะแปลกใจเล็กน้อย

“สวัสดีครับ ผมเอารถมาคืนคุณ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้ม พยายามข่มอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ และนี่เป็นครั้งแรกที่คู่กรณีทั้งสองได้สบตากันตรงๆ

เป็นเขา! เป็นเขาแน่แท้ ถึงจะไม่ได้ใส่แว่นดำ แล้วแต่งตัวเหนียมๆ ไม่องอาจเหมือนคราวที่แล้วก็เถอะ แต่หล่อนก็จำเขาได้ เพราะน้ำเสียง และท่าทางยะโสแบบนี้ไงล่ะ

“อ้อ” แสนดีตะลึงไปนิดหนึ่ง หล่อนไม่รู้จะพูดอะไร เพราะไม่คิดว่าเขาจะมาด้วยตัวเอง หรือเขาจะเอารถมาส่งเธอจริงๆ

“คุณรู้ที่อยู่ฉันได้ไง” หล่อนถามเสียงแข็ง เพราะไม่ไว้ใจเขาตั้งแต่แรก ส่วนตอนนี้พี่ๆทั้งสามกำลังตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างสนอกสนใจ

“เอ่อ…” เขาเอ่ยอย่าตะกุกตะกัก พลางหันไปสบดวงตากลมแจ๋วทั้งสามที่จ้องเขาราวกับจะบีบเค้นคำตอบออกมา จนเขารู้สึกกระอักกระอ่วน

“ว่าไงล่ะ” แสนดียิงคำถามต่อ ท่าทางของหล่อนไม่เป็นมิตรเลย

หนุ่มแว่นหนาเตอะหันมาสบตาหล่อนอย่างกล้าๆกลัว ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วตอบเสียงเบา

“ผมสืบจากทะเบียนรถไงล่ะ”

แสนดีฟังแล้วคิดเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยเลยตามเลย เพราะไม่อยากคุยกับคนแบบนี้นาน ก็ดูเขาสิ ทำไมเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นแบบนี้ นี่คือตัวตนของเขาจริงหรือ “เหรอ งั้นก็ดีแล้ว ขอบคุณค่ะ ขอกุญแจรถฉันคืนด้วย”

หนุ่มแว่นล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะยื่นส่งให้เจ้าของรถที่รับคืนมาด้วยความดีใจ

“ขอบคุณคุณมากนะคะ ถ้าไม่รังเกียจมาทานข้าวเย็นกับพวกเราก่อนไหมคะ” ด้วยรักถามเขาอย่างอ่อนหวาน

ชายหนุ่มจ้องใบหน้างามของหล่อนอย่างหลงใหล แต่กลับถูกขัดจังหวะขึ้นไม่เป็นท่า

“อาไร้ จะไปชวนเขาทำไมพี่รัก” แสนดีทักท้วงเสียงสูงด้วยความไม่พอใจ

ยาใจตีแขนน้องสาวเบาๆ “อย่าเสียมารยาทสิจ๊ะ เขาอุตส่าห์เอารถมาคืน ซ่อมให้ด้วยอีกต่างหาก น้องต้องขอบใจเขานะ”

เสียงหวานๆที่คอยแก้ตัวแทนเขา ทำเอาผู้ชายนอกรั้วสบตายาใจด้วยความขอบคุณ หล่อนทั้งสวยและใจดีจริงๆ ผิดกับน้องสาวตัวร้ายลิบลับ

“นั่นสิยายแสน เมื่อกี้คุณแม่ก็บอกนะให้ชวนเขา ทานด้วยกันสิคะคุณ เข้าบ้านกันเถอะทุกคน ยืนจ้องหน้ากันนานละ หิวจะแย่”

เปี่ยมสุขพูดสรุปความเสร็จก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านไป ปล่อยให้ชายหนุ่มมองขาเรียวยาวสวยของหล่อนด้วยความชื่นชมจากนอกบ้าน

ด้วยรักปลดล็อกประตูรั้ว แล้วเปิดให้เขาเข้ามา ก่อนจะยิ้มต้อนรับพร้อมกับยาใจ แล้วเดินนำเขาเข้าบ้าน มีชายหนุ่มเดินตาหวานเชื่อมตามสาวสวยทั้งสอง

“นี่คุณ” เสียงแข็งกระด้าง เรียกเขาห้วนๆ ขณะแสนดีเดินมาประกบด้านข้าง

“อย่ามาคิดตุกติกกับบ้านฉันนะ”

หนุ่มร่างสูงเริ่มมองหล่อนด้วยความรำคาญ แต่ยังคงสะกดอารมณ์ไว้

“คิดมากไปน่าคุณ ผมเอารถมาคืน คุณก็น่าจะพอใจแล้ว”

“ไม่พอใจ คุณน่าจะกลับไปได้แล้ว มาทานข้าวบ้านฉันทำไม”

“อ๊าว! ก็พี่สาวคุณ เชิญผมเองนี่….”

“อ้าวสวัสดีจ้ะ พ่อหนุ่ม มาทานข้าวด้วยกันสิ ขอบใจมากนะจ๊ะที่รับผิดชอบรถของพวกเราให้” เสียงคุณหญิงวิสาเดินออกมาต้อนรับแขกแปลกหน้า

ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ก่อนจะสังเกตได้ว่า คุณแม่ของพวกหล่อนนั้นหน้าตาสะสวยถอดพิมพ์ลูกสาวออกมา อีกอย่าง….เขาว่า คุณแม่ของพวกเธอหน้าคุ้นๆ
“รบกวนเปล่าๆครับ จริงๆผมชนรถเขา ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”

เขาพูดอย่างสุภาพ แต่ทำเอาแสนดีหัวเราะลั่น

“ทีตอนชนไม่เห็นคุณพูดแบบนี้!” ชายหนุ่มหันมามองเธออย่างตะลึง และรู้สึกกลัวหล่อนมากขึ้นทีละน้อย ยายนี่เป็นคนผูกใจเจ็บจังแฮะ

“แสนดี เสียมารยาทนะจ๊ะ ไปจัดโต๊ะอาหารไป๊ อย่าไปสนใจลูกคนนี้เลยนะคะ ถือว่าดิฉันเลี้ยงขอบคุณแล้วกัน แต่เอ๊ะ ไหนลูกสาวฉันบอกว่าคุณใส่แว่นดำ”

ประโยคสุดท้าย ทำเอาชายร่างสูงนึกหาเหตุผลไม่ถูก

“ผมแพ้แดดน่ะครับ แล้วก็สายตาสั้นด้วย นี่เย็นแล้วเลยไม่ต้องใส่แว่นดำ”

แต่คุณหญิงวิสาไม่ได้สนใจคำตอบมากนัก ท่านคิดเพียงว่า ชายหนุ่มคนนี้ถ้าเขาซ่อมรถแล้วนำมาคืนจริงด้วยตนเอง ก็น่าจะถือว่าซื่อสัตย์พอควร

อาหารมื้อเย็นนั้นเป็นไปด้วยดีอย่างน่าประหลาด ถึงแม้เจ้าชายอิศเรศร์ทรงโกหกทุกคนว่าพระองค์มีพระนามว่า ‘อิทธิ’
เจ้าชายอิศเรศร์ทรงรู้สึกอิจฉาเล็กๆที่ยายตัวแสบมีครอบครัวที่อบอุ่น รักใคร่ และเป็นกันเองแบบนี้ คุณแม่ของเธอก็ช่างสวย อ่อนหวานและใจดี ที่สำคัญพระองค์ทรงไม่เคยสัมผัสครอบครัวของคนธรรมดามากนัก แต่เมื่อได้ทรงพบเห็นในวันนี้ ก็รู้สึกโปรดเหลือเกิน ทรงได้ทอดพระเนตรสี่สาวพี่น้องแสนสวยที่คุยกันอย่างสนุกสนานและรักใคร่ ถึงแม้ยายตัวแสบจะพูดน้อยและดูไม่สบอารมณ์ก็ตาม ทรงได้มีโอกาสสังเกตความงามของสามสาวผู้พี่ และทรงลงความเห็นได้ยากว่าโปรดใครมากกว่ากัน เพราะหล่อนทั้งสามทั้งสวย พูดจาดี อ่อนโยน และมีอารมณ์ขัน แต่พระองค์ทรงสามารถสรุปได้ว่า โปรดน้องสาวคนสุดท้องน้อยที่สุด เนื่องจากว่าหล่อนเกลียดขี้หน้าพระองค์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ครอบครัวนี้ช่างวิเศษ และอาหารก็เลิศรส

“คุณทำงานอะไรเหรอคะ” ยายผมเปียซึ่งเขาพึ่งรู้ว่าเธอชื่อเปี่ยมสุข เอ่ยถามขึ้น

เจ้าชายทรงแสร้งเขี่ยเศษอาหารในจาน พลางนึกหาคำตอบ

“เอ่อ ผมรับราชการในกรมทหารม้าน่ะครับ” พระองค์ทรงนึกถึงหน้าแสนดุของหลวงสีหนาถขึ้นมา

ทุกคนในโต๊ะอาหารพยักหน้ารับรู้ ถือว่าพระองค์สำเร็จ

แล้วเจ้าชายก็โดนถามเรื่องส่วนตัวอีกหลายอย่าง แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด พระองค์สามารถโกหกตอบได้ดีทุกครั้ง

การสนทนาดำเนินไปด้วยเรื่องจิปาถะมากมายจนเปลี่ยนจากการทานอาหารคาวมาทานอาหารหวาน ตอนนี้พระองค์ได้รู้เรื่องของครอบครัวนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อของพวกเธอทั้งสี่ อาชีพของพวกหล่อน ความสนใจทั้งหมดของเจ้าชายตกไปอยู่ที่สามสาวเท่านั้น พระองค์มิได้สนพระทัยหรือมีปฏิสันถารกับแสนดีมากนัก (ถึงจะทรงคิดว่า ชื่อของหล่อนเพราะดีเหมือนกัน) อีกอย่างหล่อนก็ไม่ได้สนใจและอยากคุยกับพระองค์เท่าไรนัก

เวลาล่วงเลยมามากแล้ว และทรงคิดว่าองครักษ์ที่ขับรถมาอีกคันหนึ่งคงจะรอพระองค์นานแล้ว เจ้าชายจึงตรัสล่ำลาและว่าพระองค์รู้สึกยินดี และมีความสุขเพียงใดที่ได้มาทานอาหารและพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองในมื้อค่ำสุดวิเศษนี้ ทั้งๆที่พระองค์ทรงเคยชนรถของบ้านพวกหล่อน และเป็นคนแปลกหน้า

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพ่อหนุ่ม เราก็ต้องขอบใจมากนะจ๊ะที่รู้จักแสดงความมีน้ำใจรับผิดชอบรถของพวกเรา ว่างๆจะมาอีกนะจ๊ะ” คุณหญิงวิสากล่าว

เจ้าชายทรงยินดีเหลือเกินที่ถูกเชิญชวนแบบนี้“ยินดีมากครับ แต่ผมต่างหากล่ะที่ต้องขอบคุณ…เอ่อ…” จู่ๆพระองค์ก็ทรงรู้สึกอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นการใจร้ายไปหน่อยที่จะไม่สนใจเธอเพราะเธอสวยน้อยกว่าคนอื่นเมื่อทรงคิดได้ดังนั้นจึงหันพระพักตร์ไปสบตาอันแข็งกร้าวของแสนดี

“ขอโทษคุณด้วยนะแสนดี ผมขอโทษจริงๆ”

พระองค์ตรัสด้วยพระสุรเสียงที่แสดงถึงความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ แม้เธออาจจะไม่เชื่อ และไม่รับก็ตาม มาถึงวันนี้แล้ว ตอนนี้แล้ว อย่างไรเสีย พระองค์คงจะต้องขอโทษหล่อนด้วยความจริงใจเสียที ครอบครัวหล่อนก็ต้อนรับและแสดงน้ำใจต่อพระองค์เพียงนี้ พระองค์จะเสียมารยาทต่อหล่อนได้ลงหรือ

แสนดีตั้งตัวแทบไม่ทัน เมื่อเขาหันมาขอโทษเธอ ที่สำคัญ เธอรู้สึกได้ว่า คำพูดของเขาครั้งนี้ และสายตาที่เขาสบหล่อนเมื่อกี้ บ่งบอกว่าออกมาจากใจจริงๆ

หล่อนได้แต่เพียงจ้องเขาค้างไว้ และดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเท่าไรนัก ก่อนจะล่ำลาทุกคน และจ้องหน้าสามพี่สาวของเธอด้วยนัยน์ตาหวานเชื่อม ก่อนจะตั้งท่าออกนอกห้องทานอาหาร

“ยายแสน ไปส่งคุณอิทธิสิลูก” แสนดีสะดุ้ง ขณะที่เจ้าชายหันพระพักตร์มาสบหล่อน

“ไปสิยายแสน เสียมารยาทนะ” ยาใจไล่อีกคน

แสนดีจึงค่อยๆจำใจลุกออกจากโต๊ะอาหารไปยืนเคียงข้างชายหนุ่ม

เจ้าชายทรงไม่อยากขัดน้ำใจของคุณหญิง จึงยืนรอแสนดีให้เดินออกมาด้วยกัน ระหว่างทางเดินไปถึงรั้วบ้านนั้นทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อกัน แสนดียังรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกๆ แต่จากวันนี้ที่ได้ยินเขาพูดคุย ก็เห็นว่าเขาเป็นคนใช้ได้ในระดับหนึ่ง หล่อนกำลังรู้สึกสับสนเล็กน้อย

ส่วนเจ้าชายนั้นเล่า พระองค์ทรงเกรงที่หล่อนเกลียดขี้หน้าพระองค์ ซึ่งก็สมเหตุผลอยู่หรอก แต่ในอีกความคิดหนึ่ง ก็ทรงอยากพูดคุยกับหล่อนด้วยดี แต่ทรงคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

“ส่งผมแค่นี้เถอะครับ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่กลับ”

เจ้าชายตรัสบอกหล่อน เมื่อเดินมาถึงรั้วบ้าน

แสนดียังคงตีหน้านิ่ง “ไม่เรียกลูกน้องมารับเหรอคะ”

เจ้าชายรู้สึกยอมแพ้ ไม่อยากต่อปากต่อคำกับหล่อน จึงได้แต่แย้มสรวลกว้าง
“นั่นสิครับผมลืมไปเลย คุณอย่าลืมเก็บรถเข้าบ้านด้วยล่ะ จากนี้ไปก็ขับดีดีนะครับ คนใจดีอย่างผมมีไม่มากนัก ลาก่อนคุณแสนดี ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้มากครับ”

พระองค์รีบตัดบทแล้วทรงหันหลังเดินจากไป ปล่อยให้แสนดีรู้สึกกึ่งขำกึ่งโมโหในคำพูดของเขา

“เอ่อ…คุณคะ…” หล่อนเรียกเขาเสียงแผ่วเบาอย่างกล้าๆกลัวๆ

คุณอิทธิหันกลับมาด้วยความสงสัย

“ฉัน…ขอบคุณมากนะคะ” ถึงแม้เธออยากพูดอะไรมากกว่านั้น เช่นขอโทษที่แสดงมารยาทไม่ดีใส่เขา แต่ตอนนี้หล่อนกลับคิดประโยคออกเพียงเท่านี้

แววตาชายหนุ่มส่องแสงประหลาด แม้ตัวเขาเองจะยอมรับว่าความรู้สึกแปลกๆได้เกิดขึ้น แต่เขาก็กลับทำเพียงแค่ยิ้มรับและผงกศีรษะให้หล่อน ก่อนจะเดินจากแสนดีไป

ปล่อยให้สาวน้อยยืนมองเขาที่รั้วบ้านด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด







ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2554, 23:38:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2554, 23:38:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1548





<< สองพี่น้อง   ห้องสมุด >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account