ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๑๕


ภายในความเงียบสงบฉ่ำเย็น กลิ่นอายแห่งความสุขสมยังคงลอยเอื่อยเหนือสองร่างเปล่าเปลือยที่นอนตระกองกอดแนบชิดใต้ผืนผ้าห่มเดียวกัน หลังจากสงครามพิศวาสเพิ่งยุติไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ทิ้งไว้เพียงซากของชิ้นส่วนเครื่องนอนที่ตกเกลื่อนพื้น และผ้าปูที่ยับรุ่ยร่าย

แต่จู่ๆเสียงหนึ่งดังกรีดร้องขึ้นมา เรียวคิ้วของราโมน่าย่นเข้าหากันด้วยความรำคาญและพยายามปรือเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นมาเพื่อหาที่มาของเสียง แต่ระหว่างนั้น ร่างอุ่นที่กอดซ้อนอยู่ข้างหลังยกศีรษะขึ้นและออกคำสั่ง

“ปิดเสียง”

เจ้าสิ่งที่น่ารำคาญเงียบลงในทันใด และเธอได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากเขา ก่อนริมฝีปากอุ่นจะจูบลงมาที่ไหล่พร้อมพูดงึมงำอย่างเกียจคร้าน
“พี่ต้องไปทำงานแล้ว”

กล้ามเนื้อท่อนแขนที่เธอหนุนแทนหมอนขยับเกร็งขึ้น เมื่อเขางอแขนเพื่อใช้มือลูบปัดปอยผมยาวอันแสนยุ่งเหยิงของเธอ

“อืม..เช้าแล้วหรือคะ”

ราโมน่าพึมพำตอบอยู่ในความงัวเงีย พลิกร่างนอนหงายพลางคิดว่า ถึงเวลาที่เธอต้องตื่นขึ้นมาเผชิญความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงของชีวิตแล้วเช่นกัน และในจังหวะเดียวกัน ร่างกายหนาหนักของอนาวินขยับขึ้นทาบทับ และกดสะโพกลงบดเบียดแสดงถึงเจตนารมณ์ที่ต้องการแสวงหาความรักจากเธออีกครั้ง

“ครับ..เช้าแล้ว” เขาตอบเสียงต่ำอยู่กับซอกคอของเธอ พร้อมมือซุกซนลูบไล้ จับคลำไปทั่ว

ร่างกายปวดระบมจากการเรียกร้องอันแสนทรหดจากเขาเมื่อค่ำคืนทำให้ราโมน่านึกอยากประท้วง แต่การโอ้โลมแสนเว้าวอนของเขาก็สามารถดึงแรงปรารถนาของเธอให้ลุกโชนขึ้นมาอีกจนได้

“..พี่ต้องไปทำงานไม่ใช่หรือคะ..”

เธอเตือนด้วยซุ่มเสียงเลื่อนลอย และเขาก็เงยหน้าจากผิวเนื้ออ่อนละมุนตอบด้วยร้อยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“เรายังมีเวลาจ้ะ”
และขยับเคลื่อนไหว ครอบครองเธอสมใจ




ราโมน่ายืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้าไร้เครื่องสำอาง เส้นผมยาวปล่อยสยายเคลียร์หลังตามธรรมชาติซึ่งดูขัดกับชุดราตรีสีดำหรูหราที่สะท้อนให้เห็นในขณะนี้ เธอหันหยิบกระเป๋าถือใบเล็กมาเปิด ซึ่งภายในมีแค่โทรศัพท์มือถือ กระดาษทิชชู่ห่อเล็กและลิปสติกสีแดงสดกับลิปกรอสเท่านั้น และเธอเลือกที่จะหยิบลิปกรอสสีชมพูเรื่อมาทาบนเรียวปาก พลางปรายสายตามองภาพของอนาวินที่สะท้อนผลุบๆโผล่ๆในกระจกเงายามเขาเดินผ่านไป-มาข้างหลังเธอ ขณะพูดคุยโทรศัพท์กับใครบางคนที่เพิ่งโทรเข้ามา ร่างเพรียวสมบูรณ์แบบของเขาสวมกางเกงผ้าสีน้ำตาลที่ยังไม่ได้รูดซิบ และเสื้อเชิ้ตสีครีมเพิ่งจะถูกหยิบมาสวมลวกๆ เส้นผมดกดำชื้นน้ำยังคงยุ่งเหยิงจากการใช้ผ้าขนหนูขยี้เช็ดและเสยขึ้นให้พ้นจากใบหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยยามตอบโต้คู่สนทนา

สายตาของราโมน่ายังติดตรึงอยู่กับอิริยาบถอันเป็นธรรมชาติของเขาที่เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสได้เห็น ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้เธอรู้สึกอิ่มเอมพร้อมๆกับความทุกข์ตรมในผลกระทบจากการที่เธอปล่อยใจให้หลงระเริงไปตามความต้องการโดยไร้การควบคุม..เรียวปากอิ่มที่เริ่มมีสีสันคลี่ยิ้มในดวงหน้าดั่งยอมรับชะตากรรมพลางก้มลงอีกครั้งเพื่อเก็บลิปสติกคืนกระเป๋าอย่างไม่เร่งรีบ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพบว่าร่างของอนาวินนั้นคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วและมาหยุดยืนซ้อนอยู่ด้านหลังไม่ห่างจากตัวเธอสะท้อนอยู่ในกระจกเงา สายตาสีเข้มกำลังจับจ้องมาจากด้านหลัง หญิงสาวมองสบชั่วครู่จึงหันไปหาเขา ยื่นมือไปติดกระดุมเสื้อให้

สายตาตกกระทบกับแผ่นอกกว้างสีแทนดึงความทรงจำอันแสนหวานให้ลอยกรุ่นในความนึกคิดอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างเขาขยับเข้าใกล้จนเธอได้กลิ่นกายหอมสะอาดของเขาชัดเจน ซึ่งขณะนี้เป็นกลิ่นเดียวกับที่ติดอยู่บนผิวของเธอ และเมื่อเขายกมือมาไล้หลังมือเลื่อนขึ้นไปตามเรียวแขนก่อนปลายนิ้วพันเกี่ยวเล่นเบาๆกับปอยผมของเธอ ราโมน่ารู้สึกถึงความอุ่นซ่านไปทั่วร่างกายและส่วนหนึ่งคลอคลองร้อนผ่าวอยู่ที่กระบอกตา เมื่อจิตใต้สำนึกไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในห้วงอารมณ์นี้เธอหวงแหนเขามากแค่ไหน และมันคงจะสร้างความปวดร้าวให้เธอได้มากมายยามที่ต้องทนดูเขาเคียงข้างผู้หญิงคนอื่น และแม้ว่าจะทำใจยอมรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอนั้นตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนและพร้อมจะยุติลงได้ทุกเมื่อ แต่ลึกๆภายในใจ เธอก็อดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า ตัวเธอนั้นมีความสำคัญสำหรับเขาแค่ไหน หรือมีค่าเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไปเท่านั้น..

กระดุมแต่ละเม็ดที่เธอบรรจงติดให้เต็มไปด้วยความกังขาและครุ่นคิด จนกระทั่งกระดุมเม็ดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง มือของอนาวินยกขึ้นมากุมมือของเธอก่อนที่จะผละจากเขา
“คิดอะไรเหรอครับ”

“โม้นาแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเองค่ะ” เธอแค่นยิ้มและตั้งท่าจะหันกลับ แต่ฝ่ามือของเขายังคงยื้อไว้แน่นพร้อมพูดเสียงเคร่งเครียด “ถ้าเป็นเรื่องของเรา พี่ก็อยากรู้นะว่าโม้นาคิดอะไร กังวลเรื่องอะไร”

ราโมน่ามองสบเขา ก่อนจะตอบไปตามตรง
“..ค่ะ..โม้นากำลังคิดเรื่องของเราและก็กังวลด้วย..แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น เพราะอีกไม่นานเรื่องของเราก็คงจบลงแล้ว..ใช่มั้ยคะ พี่จิล”

แม้ว่าคำพูดของเธอจะออกมาพร้อมรอยยิ้ม แต่อนาวินกลับเห็นความร้าวรานที่ซุกซ่อนหลังดวงตาคู่สวย
“พี่มั่นใจว่า เรื่องของเรามันไม่จบลงง่ายๆอย่างที่โม้นากำลังคิดหรอก เพียงแต่พี่ไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรามันจะไปไกลได้แค่ไหนเท่านั้น และพี่เองก็ให้คำสัญญาอะไรไม่ได้ นอกจากคำยืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันมาจากความรู้สึกดีๆที่เรามีร่วมกัน ไม่ใช่เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของพี่หรือของโม้นาเท่านั้น” สองมือของเขาเลื่อนมาโอบกุมใบหน้าของเธอให้มองสบเขาเต็มตาและยิ้มอย่างเชื่อมั่น “แต่ตอนนี้พี่สามารถให้คำสัญญาโม้นาได้อย่างหนึ่งว่า นับจากนี้ พี่จะมีแค่โม้นาคนเดียว เหมือนๆกับที่โม้นาเองก็มีพี่คนเดียวเช่นกัน..พี่ให้คำสัญญาแบบนี้ พอจะช่วยให้ความกังวลของโม้นาหายไปมั้ยครับ”

มีแววล้อเลียนเจือปนมากับประโยคท้าย ราโมน่าอมยิ้ม เมื่อหัวใจของเธอตอบรับและเชื่อถือในคำสัญญาที่ได้ยินอย่างไม่มีข้อแม้ ก่อนจะยืดตัวขึ้นจูบปลายคางแกร่ง
“โอเคค่ะ”

แต่อนาวินนิ่วหน้า ก่อนโคลงหัวไม่พอใจ
“อะ..แบบนี้ไม่โอเคล่ะ”

คนฟังนิ่วหน้าสงสัยบ้าง
“ทำไมคะ”

เขาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าโอเค มันต้องแบบนี้” พลางรวบร่างเธอมากอดแน่นพร้อมทาบริมฝีปากดื่มด่ำกับเรียวปากของเธอ และทำท่าจะเลยเถิดเมื่อได้รับการตอบสนองอันดีเยี่ยม จนหญิงสาวต้องออกแรงผลักร่างเขาให้ออกห่างเพื่อเตือนสติ

“โม้นาว่า พี่คงไม่เหลือเวลาแล้วนะคะ”

อนาวินทำหน้าสุดเซ็ง ก่อนดึงเธอมากอดรัดแรงๆเพียงอึดใจเดียวก็ผ่อนแรงพร้อมซบใบหน้าลงกับไหล่ของเธอ
“ทำไมวันนี้ไม่ใช่วันหยุดน้า พี่จะได้กอดโม้นาทั้งวันเลย..”

หญิงสาวหัวเราะคิกกับเสียงคร่ำครวญ สองแขนโอบกอดร่างของเด็กชายตัวโตด้วยความสุขล้น
“ถึงจะเป็นวันหยุด พี่จิลก็กอดโม้นาทั้งวันไม่ได้หรอก เพราะโม้นามีอีเว้นช่วงบ่ายค่ะ”

เธอได้ยินเสียงถอนใจเฮือก ก่อนร่างจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ และเขาก็พูดประชดประชันโชคชะตา
“โอเค..ชีวิตต้องทำงาน งาน แล้วก็งาน”

“ค่ะ งาน งาน แล้วก็งาน เพราะฉะนั้น ตอนนี้พี่ก็ควรรีบแต่งตัวไปทำงานได้แล้วนะคะ..โม้นาจะออกไปคอยข้างนอก” ว่าพลางก็หันไปหยิบกระเป๋าถือใบเล็กของตน แต่ก่อนจะเดินผ่านเขาออกไปทางประตูห้องนอน เธอก็พูดยั่วเย้าส่งท้าย “เร็วๆนะคะท่านประธาน เดี๋ยวจะไปทำงานสายให้พวกลูกน้องเก็บไปนินทา” และขยิบตาล้อเลียน จึงถูกเขาตอบโต้ด้วยการตบบั้นท้ายงอนแน่นหนั่นอย่างมันเขี้ยวด้วยน้ำหนักมือที่ทำให้เจ้าของร่างถึงกับส่งสายตาค้อนขวัก ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง อนาวินจึงหันมาจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย พลางฮึ่มฮั่มในความคิด..ถ้าหากไม่ติดในภาระหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ รับรองว่า ราโมน่าจะไม่มีวันได้เดินลอยนวลออกไปจากห้องนอนของเขา อย่างน้อยก็สักสาม-สี่วันนั่นล่ะ!

เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นบนโต๊ะทำงาน เรียกความสนใจจากชายหนุ่มวัยกลางคนให้ละสายตาจากเอกสารมาตอบรับผู้เรียกหา
“ครับ คุณจิล”

“เข้ามาหาผมหน่อย”

“ครับ”

ผู้รับคำสั่งปิดเครื่องคอมพ์และเก็บเอกสารก่อนลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูเข้าห้องทำงานของอนาวิน ซึ่งนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง

ชายหนุ่มหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงานและเอ่ยถาม
“คุณต้องการอะไรหรือครับ”

“นั่งก่อนสิ”

ร่างสูงเพรียวเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะยอบตัวลงนั่งตามคำสั่ง อนาวินจึงเอ่ยถาม
“ผมอยากรู้ ว่าในแต่ละเดือนมีโนติสส่งมาให้ป๊าผมเยอะมั้ย”

“ถ้าส่งให้ท่านประธานจะมีไม่มากหรอกครับ”

“แล้วป๊าเคยอ่านบ้างมั้ย”

ผู้ถูกถามหยุดคิดเพียงอึดใจ ก่อนตอบ
“ไม่ทั้งหมดหรอกครับ..คือ..ท่านไม่ค่อยมีเวลา คุณเองก็ทราบดี”

อนาวินพยักหน้าเล็กน้อย พึมพำอย่างเห็นด้วย
“ใช่ ป๊ามีเรื่องให้คิดให้ทำเยอะทีเดียว” และถอนใจเบาๆ ก่อนจะออกคำสั่ง “งั้นเดี๋ยวคุณรวบรวมโนติสย้อนหลังไปสักสาม-สี่ปี แล้วเอามาให้ผมเลย”

“โนติสย้อนหลังหรือครับ” เลขาฯหนุ่มทวนคำด้วยความกังขา

“ใช่ หวังว่าคุณคงไม่ทิ้งไปหมดแล้วนะ”

“ไม่ครับ ผมแสกนเก็บเข้าไฟล์ไว้ครับ”

“ดี งั้นผมขอเดี๋ยวนี้เลยนะ อ้อ! แล้วถ้าคุณขวัญประชุมเสร็จแล้ว บอกให้เขาเอาบันทึกประจำวันของฝ่ายรับเหมามาให้ด้วยนะ”

“ย้อนหลังด้วยใช่มั้ยครับ”

“ใช่ หาย้อนหลังไปให้ได้มากที่สุด”

เลขาฯหนุ่มนิ่วหน้า
“คุณจิลจะเอาข้อมูลพวกนี้เพื่อหาอะไรเหรอครับ”

“ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน บางทีถ้าได้อ่านข้อมูลพวกนี้ ผมอาจจะรู้ว่าจะต้องหาอะไรก็ได้”
คำตอบนั้นไม่ช่วยให้ความคลางแคลงใจของผู้ถามลดลงไปเลย แต่ก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ทำตามที่เจ้านายหนุ่มต้องการ



ร่างเพรียวระหงในชุดสูทกระโปรงทำงานของพิมพ์ศิริก้าวออกจากห้องประชุมและเอ่ยสั่งงานกับเลขาฯหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึมขณะตรงกลับเข้าห้องทำงาน และเห็นเลขาฯของพี่ชายกำลังเดินเข้ามาหา
“มีอะไรรึ คุณพัฒนา”

“คุณจิลอยากได้บันทึกประจำวันย้อนหลังของฝ่ายรับเหมาทั้งหมดครับ”

คนฟังนิ่วหน้า “บันทึกย้อนหลังเรอะ”

“ครับ ดูเหมือนคุณจิลกำลังหาอะไรสักอย่าง แต่เขายังไม่บอกผม”

“อืมม์..เดี๋ยวฉันจัดการให้”

“ครับ”

เมื่อคล้อยหลังคนของอนาวินไปแล้ว พิมพ์ศิริก็ส่งคำสั่งให้เลขาฯของตน
“เดี๋ยวคุณไปจัดการตามที่คุณจิลสั่งให้เสร็จ ก่อนที่เราจะออกไปพบลูกค้านะ”

“ครับ”

เมื่อชายหนุ่มรับคำแล้ว เธอก็หันเปิดประตูเข้าห้องทำงาน พลางสงสัยว่าญาติผู้พี่กำลังค้นหาอะไร แต่เพียงครู่เดียว เธอก็หันมาให้ความสนใจงานของตนเองต่อ และเหมือนว่าช่วงเวลาจะผ่านไปไม่เท่าไหร่ เลขาฯหนุ่มก็อินเตอร์คอมรายงานกลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

“คุณขวัญครับ คุณชัยวัฒน์บอกว่ายังไม่มีเวลาหาบันทึกให้เราครับ”

พิมพ์ศิริขึงโกรธทันทีที่นึกถึงหน้าของหัวหน้าฝ่ายรับเหมาที่มักคอยขัดแข้งขัดขาเธอเสมอ ซึ่งเธอก็ไม่แปลกใจในการที่อีกฝ่ายกล้าผยองพองขนกับเธอ เพราะถือว่าตนเองเป็นคนของ ดนุพงษ์

‘ฮึ! อยากลองดีกับฉันใช่มั้ย’

หญิงสาวปิดหน้าจอมอนิเตอร์ พร้อมลุกขึ้นออกจากห้องตรงดิ่งสู่ฝ่ายรับเหมา โดยร่างของเลขาฯหนุ่มรีบก้าวตามติด



ภายในห้องทำงานของฝ่ายรับเหมามีแต่ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ บ้างก็เดินขวักไขว่ส่งเสียงโหวกเหวกหาสิ่งที่ต้องการ บ้างก็แยกตัวเข้าไปจับกลุ่มปรึกษางานในห้องกระจก บ้างก็มุ่งมั่นอยู่กับโทรศัพท์ และบางคนก็แอบพักผ่อนสมองด้วยการเล่นเกมคอมพิวเตอร์อย่างเมามัน และจำต้องรีบเลื่อนเปลี่ยนหน้าจอ เมื่อจู่ๆก็ถูกเพื่อนที่นั่งใกล้ใช้เท้ายันเข้ากับตัวเก้าอี้ เมื่อเห็นพิมพ์ศิริก้าวดุ่มๆเข้ามาภายในด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ที่แม้ผู้ชายในแผนกนี้ทุกคนจะลงความเห็นตรงกันว่า ทุกส่วนที่ประกอบขึ้นมาเป็นหญิงสาวนั้นสวยงามจับตาจับใจเพศตรงข้ามมากทีเดียว แต่ด้วยลักษณะดุดันแข็งกร้าวและสายตาเฉี่ยวคมที่คอยจะจ้องลึกเข้าไปถึงแก่นวิญญาณของคู่สนทนา ทำให้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะจะรู้สึกทั้งเกร็งทั้งอึดอัด และหากมีเรื่องงานที่จำเป็นต้องรายงานให้หญิงสาวรู้หรือเซ็นอนุมัติ พวกเขาต้องโยนหัวโยนก้อยหรือแทบจะถูกบรรดาพวกพ้องจับฉลาก ถีบส่งกันมาเลยทีเดียว

ปฏิกิริยาของบรรดาชายหนุ่มพากันหยุดชะงักและเหลียวมองตามยามร่างเพรียวระหงเดินผ่านหน้าพวกเขาตรงไปยังห้องด้านในของหัวหน้าแผนกที่เปิดประตูค้างไว้..ซึ่งภายในห้อง หนุ่มใหญ่ร่างท้วมนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งกำลังพูดกลั้วหัวเราะอยู่กับลูกน้องคนสนิทสองคน คนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ในขณะที่อีกคนยืนกอดอกพิงกรอบประตูฟังหัวหน้าของตนกำลังพูดถึงเจ้านายสาวอย่างสนุกปาก

“วันๆคงไม่รู้จะทำอะไรมั้ง จู่ๆถึงได้นึกอยากอ่านบันทึกประจำวันของพวกคนงานว่ะ”

“นั่นสิ ถ้าไม่ได้เป็นลูกของคุณศรา คงเป็นได้แค่คนชงกาแฟให้พวกเรานะครับ ลูกพี่” คนที่นั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานรับเป็นลูกคู่พร้อมพากันหัวเราะครืน ในขณะที่คนยืนกอดอกคิดจะเอ่ยแย้ง เพราะเห็นถึงความสามารถในการทำงานของหญิงสาวตั้งแต่สมัยที่ยังคอยติดตามช่วยงานผู้เป็นบิดาไปตามไซน์งานตั้งแต่สมัยเธอเป็นสาวรุ่น แต่เขายังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมา สายตาก็เหลือบเห็นร่างของคู่กรณีเดินมาใกล้แล้ว และจากน้ำเสียงอันดังลั่น เขาคิดว่าหญิงสาวคงได้ยินแน่นอน

และก่อนที่หัวหน้าจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เขารีบเอ่ยทักทายในจังหวะที่เธอมาถึงปากประตู “..เอ่อ..สวัสดีครับ คุณขวัญ” พลางขยับเปิดทางให้หญิงสาวก้าวเข้ามา

และเสียงทักทาย ทำให้สองหนุ่มในห้องชะงักงันหันขวับไปมองทางประตู แล้วก็พากันหน้าเผือดซีด และลูกน้องทั้งสองก็รีบพาตัวเองออกจากห้อง ฝ่ายหัวหน้าลอบกลืนน้ำลายก่อนจะทำตัวให้เป็นปกติโดยคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำความผิดอะไร และไม่สนใจว่าหญิงสาวจะรู้สึกโกรธรึไม่กับคำพูดเมื่อครู่ เพราะเขาถือว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นธรรมดาๆเท่านั้น

เขายังนั่งบนเก้าอี้อย่างสบาย ขณะเอ่ยถาม
“คุณขวัญมีธุระอะไรหรือครับ ถึงได้ลงมาที่แผนกนี้ด้วยตัวเอง”

“วิรัชบอกว่าคุณไม่มีเวลาว่างพอจะหาสิ่งที่ฉันต้องการได้เดี๋ยวนี้ แต่เท่าที่ฉันเห็น เวลาของคุณมีเหลือเฟือเลยนะ” พิมพ์ศิริพูดเสียงเย็น

อีกฝ่ายแค่นยิ้ม “ตั้งแต่เช้าผมเพิ่งจะมีเวลาพักดื่มกาแฟก็เมื่อไม่กี่นาทีนี้เองนะครับ..เห็นใจคนทำงานกันบ้างสิ ผมไม่ใช่เครื่องจักรนะ จะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยน่ะ”

พิมพ์ศิริรับรู้ถึงมุมปากของตนกระตุกยามที่อารมณ์ถูกยั่วยุให้ถึงจุดเดือด ซึ่งเธอพยายามเก็บกดไว้ไม่ให้มันระเบิดออกมาให้กลายเป็นตัวตลกในสายตาของผู้คนเหล่านี้..บรรดาผู้ชายที่คอยหยามหยัน ดูถูกดูแคลน และคอยจับจ้องหาความผิดพลาดของเธอไปสารพัด..และเธอก็เบื่อที่จะทนกับความรู้สึกเส็งเคร็งพวกนี้เต็มที
หญิงสาวผ่อนลมหายใจช้าๆ พลางก้าวเดินจนถึงโต๊ะทำงาน โน้มตัวลงเท้ามือข้างหนึ่งบนขอบโต๊ะ มืออีกข้างยกขึ้นเท้าสะเอว สายตาเฉียบคมจ้องเขม็งอย่างคุกคาม แสยะรอยยิ้มเย็นจนชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความเย็นวาบแล่นไปตามไขสันหลัง

“ถ้าคุณไม่อยากถูกลดขั้นไปเป็นกุลีตามไซน์งานล่ะก็ ภายในครึ่งชั่วโมง ไฟล์ที่ฉันต้องการต้องไปวางอยู่บนโต๊ะทำงานของฉัน..หวังว่าคุณคงเข้าใจชัดแจ้งในคำสั่งนะ”

หัวหน้าแผนกลอบกลืนน้ำลายอย่างเก็บอาการไม่อยู่ แต่ก็ยังพยายามดื้อรั้น
“คุณทำแบบนั้นกับผมไม่ได้หรอก”

“ในเมื่อคุณไร้ความสามารถในการทำงาน ฉันก็ต้องหาคนที่เหมาะสมกว่ามาทำแทน ซึ่งคงมีหลายคนทีเดียวที่พร้อมจะเสียบตำแหน่งนี้แทนคุณ” รอยยิ้มหยันยังคงค้างบนใบหน้าของพิมพ์ศิริยามที่เธอยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างผู้ที่ถืออำนาจเหนือกว่า “และถ้าคุณยังสงสัยว่าฉันทำอะไรได้บ้าง คุณก็จะได้เห็นในครั่งชั่วโมงนี้ โดยที่คุณดนุพงษ์ก็ไม่มีสิทธิ์มายับยั้งอำนาจการสั่งการของฉันได้”

หัวหน้าแผนกนิ่งขึง จนเมื่อหญิงสาวเดินมาดนางพญานำเลขาฯหนุ่มออกไปจากห้องแล้ว เขาจึงรีบยกหูโทรศัพท์รายงานดนุพงษ์ ซึ่งคนฟังก็นิ่วหน้าด้วยความฉงน

“บันทึกประจำวันย้อนหลังเรอะ”

“ครับ แถมจะเอาเดี๋ยวนี้ด้วย ไม่รู้จะรีบอะไรกันนักกันหนา ถึงขั้นขู่ไล่ผมด้วยซ้ำไป ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”

คนฟังลอบผ่อนลมหายใจอย่างรำคาญ “ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไปซี่ ไม่เห็นจะต้องมีปัญหาอะไร อ้อ! ก็อปปี้ไฟล์ให้ผมชุดนึงด้วยนะ”

“ได้ครับ” หัวหน้าแผนกตอบรับเสียงอ่อย และผิดหวังเล็กน้อยเพราะคิดว่า ดนุพงษ์จะแสดงความคิดเห็นในเชิงลบต่อพิมพ์ศิริร่วมกับเขา

ดนุพงษ์วางสาย แล้วก็หันไปสบตากับลูกน้องคนสนิทที่นั่งนิ่งหน้าโต๊ะทำงานฟังบทสนทนา ก่อนเอ่ยถาม
“คุณจะเอาไฟล์พวกนั้นมาทำไมครับ”

“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าพวกเด็กๆกำลังหาอะไร” ดนุพงษ์ตอบยิ้มๆพลางลุกขึ้นยืนหยิบเสื้อสูทสีเข้มที่ถอดแขวนบนราวไม้มุมห้องมาสวม

“แต่ตอนนี้เราไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า..ดูอาการเจ้านายหน่อย ว่าไปถึงขั้นไหนแล้ว”
ร่างสูงเพรียวภูมิฐานในสูททำงานสีเข้มเรียบเนี้ยบก้าวนำคนสนิทออกจากห้องทำงาน



และไม่ถึงยี่สิบนาที สิ่งที่พิมพ์ศิริต้องการก็ถูกนำมาวางให้ตรงหน้า โดยเลขาฯหนุ่มพูดยิ้มๆ
“สงสัยคุณชัยวัฒน์คงจะกลัวคุณขวัญลดตำแหน่งจริงๆนะครับ รีบหน้าตั้งเอาไฟล์มาให้คุณด้วยตัวเองเลย”

หญิงสาวเพียงแค่นยิ้ม หยิบยูเอสบีแฟรชไดร์ฟมาหมุนเล่นอยู่ในมือ

“เดี๋ยวผมเอาไปให้คุณจิลเลยนะครับ”

แต่หญิงสาวลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวฉันเอาไปให้เอง คุณเตรียมเอกสารสำหรับลูกค้าไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน”

“ครับ”


พิมพ์ศิริเปิดประตูเข้าห้องทำงานของอนาวินโดยไม่ให้พัฒนาแจ้งเตือนก่อน จึงทำให้เธอได้เห็นร่างของญาติหนุ่มนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้ทำงาน แขนข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าศีรษะกับพนักเท้าแขน มีแฟ้มงานเปิดค้างวางบนหน้าขาโดยมืออีกข้างวางทับอยู่ บนโต๊ะทำงานยังมีแฟ้มอีกหลายฉบับวางซ้อนและหน้าจอแล็ปท็อปยังเปิดค้างไว้ แต่ดวงตาของเจ้าของห้องกลับปิดสนิทไม่รับรู้การมาถึงของเธอที่เดินเข้ามาหยุดตรงหน้า

หญิงสาววางสิ่งที่ถือลงบนโต๊ะแผ่วเบา และหันสายตาทอดมองบุรุษตรงหน้าด้วยอารมณ์อ่อนหวานอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรู้สึกกับผู้ชายได้ แสงแดดอ่อนละมุนลอดผ่านกระจกกรองแสงโอบคลุมร่างอันสมบูรณ์แบบของเขาให้ดูอ่อนโยน ใบหน้าเข้มหล่อเหลาดุจเทพเจ้าบันดาลกระจ่างชัดในสายตาและเหมือนมีพลังดึงดูดให้เธออยากสัมผัส..ลมหายใจผ่าวกระทบฝ่ามือที่ยื่นแตะผิวแก้มสากระคายแผ่วเบา และในห้วงลึกของอารมณ์ เธออยากสัมผัสเขามากกว่านี้ แต่หากกระทำเช่นนั้น เขาคงตื่นขึ้นมาและความรู้สึกดีๆที่พี่ชายคนนี้มีให้เสมอมาคงแปรเปลี่ยนหรือถูกทำลายลงจนไม่เหลือดี ซึ่งเธอก็ไม่พร้อมที่จะเสี่ยงเสียเขาไปเช่นนั้น

มือของเธอค่อยห่างจากใบหน้าของญาติหนุ่ม สายตายังคงวนเวียนอ้อยอิ่งทุกเครื่องหน้าตรึงใจอีกชั่วอึดใจ ก่อนปรับสีหน้าและความรู้สึกให้เป็นปกติ และปลุกเขา

“..เฮีย”

อนาวินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะลืมตามองคนตรงหน้า และเมื่อเห็นว่าเป็นญาติผู้น้องใบหน้าเคร่งเครียดค่อยคลายลง
“อ้าว ขวัญเองเหรอ..” เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าก่อนรวบเอกสารที่วางบนตักกองรวมกับเอกสารบนโต๊ะ

“หน้าตาเหมือนคนอดนอนเลยนะเฮีย..เมื่อคืนกลับดึกเหรอ” เธอถามออกไปเพราะเข้าใจว่าเมื่อคืนเขาไปงานเลี้ยงและคงร่วมฉลองกับกลุ่มเพื่อนนักธุรกิจจนดึก หรือไม่ก็ดื่มมากไป

แต่คำถามของเธอกลับกระตุ้นความทรงจำของอนาวินให้คิดถึงราโมน่าที่ทำให้เขาแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน และอารมณ์หวามรัญจวนใจที่ได้รับจากหญิงสาวยังติดตรึง แจ่มชัด และไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่า ในขณะนี้ร่างกายเขากำลังคิดถึงและโหยหาหญิงสาวได้อย่างมากมาย ทั้งๆที่เพิ่งห่างจากเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มก้มหน้า ซ่อนรอยยิ้มที่ไม่อาจห้ามได้หลบสายตาของญาติสาวก่อนตอบไปตามน้ำ
“อืมม์..เมื่อคืนหนักไปหน่อย” แล้วก็เหลือบเห็นยูเอสบีวางบนโต๊ะ จึงหยิบมันขึ้นมา “นี่ใช่ไหมที่เฮียต้องการ”

“ค่ะ ว่าแต่เฮียกำลังหาอะไรเหรอ”

ชายหนุ่มเสียบยูเอสบีเปิดไฟล์แสดงผลบนจอดิจิตอล และเอนร่างมองแฟ้มมากมายที่ปรากฏออกมา ปลายนิ้วสัมผัสเลื่อนไปยังปีแรกที่ย้อนหลังไปห้าปี พลางตอบญาติสาว

“เฮียกำลังหาต้นตอของปัญหาระหว่างเรากับพวกรัตนากร เพราะดูเหมือนว่า ต้นเหตุของปัญหามันเริ่มมาจากระดับล่าง ก่อนมันจะลุกลามขึ้นมาเป็นปัญหาใหญ่ระหว่างสองบริษัท เฮียคิดว่า ถ้าลองไล่อ่านบันทึกประจำวันของพวกหัวหน้าคนงาน เราอาจจะเห็นถึงความผิดปกติ..และบางที เราอาจจะรู้ไปถึงหนอนบ่อนไส้ที่แฝงตัวอยู่ในบริษัทเราก็ได้”

พิมพ์ศิรินิ่วหน้ามองญาติหนุ่มที่ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอ
“เฮียคิดว่าในบริษัทเรามีหนอนบ่อนไส้เหรอ”

“มีสิ” อนาวินตอบอย่างมั่นใจ ก่อนหมุนเก้าอี้มาพูดกับเธอ “ตารางเดินทางของป๊าน่ะ นอกจากพวกบอดี้การ์ดแล้วก็จะมีแค่คนวงในที่สนิทกันเท่านั้นถึงจะรู้ว่าวันๆป๊าจะไปที่ไหนบ้าง และคืนนั้นหลังออกจากงานเลี้ยง ป๊าก็ไปที่กาสิโน ซึ่งป๊าจะไปแค่เดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้งเท่านั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนร้ายจะหอบอาวุธสงครามคอยเฝ้าถล่มขบวนรถของป๊าได้ทุกวันน่ะ แต่คืนนั้น พวกมันมีเวลาวางกับดัก มีเวลาขนคนขนอาวุธพอที่จะถล่มขบวนรถของป๊าจนยับ ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่ายเรามีไส้ศึก พี่มั่นใจว่าคนของเราไม่มีทางเสียทีพวกมันแน่”

พิมพ์ศิริครุ่นคิดตาม
“นั่นสิ พวกบอดี้การ์ดคงไม่มีวันทรยศอาแปะแน่”

“ใช่ เพราะฉะนั้นก็เหลือแต่พวกคนวงในที่เป็นพวกๆกันเท่านั้น และป๊าก็ไม่เคยมีเพื่อนสนิทมากไปกว่าพวกบอร์ดกับพวกผู้ถือหุ้นในบริษัทเราเท่านั้น” อนาวินตอบอย่างมั่นใจจากพฤติกรรมของบิดาที่เห็นมาตั้งแต่เยาว์วัย ที่จะคบหาสมาคมหรือออกงานสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนนักธุรกิจก็แค่พอเป็นพิธีเท่านั้น และเพื่อนที่เคยพูดถึงหรือไปทานข้าวร่วมกันที่บ้านก็มีแค่ไม่กี่คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาผู้ถือหุ้นรายใหญ่กับบอร์ดบริหารบางคน และความสนิทสนมที่คนเหล่านั้นมีกับบิดาสามารถนำไปสู่การรู้ลึกถึงชีวิตส่วนตัวของบิดามากกว่าบุคคลทั่วไป รวมทั้งตารางการทำงานในชีวิตประจำวันของบิดาด้วย

“แล้วเฮียคิดว่า พวกรัตนากรจะมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ตามกระแสข่าวไหม”

“ไม่รู้สิ เฮียเองก็อยากรู้เหมือนกัน” เสียงที่ตอบเคร่งเครียด เพราะเขาเองก็กลัวเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้จริงๆอย่างที่หลายคนสงสัย และถ้าหากเป็นเช่นนั้น เส้นทางระหว่างเขากับราโมน่าคงไม่มีทางให้เดินต่อไปแน่นอน หรือแม้แต่พื้นที่ให้ยืนร่วมกันก็คงไม่มีเหลือ!

ความกังวล ความกลัว ความหวาดวิตก แล่นปราดไปทั่วร่าง และส่งความรู้สึกแปลบปลาบเมื่อคิดถึงวันที่เขาต้องเสียราโมน่าไป

“ข้อมูลเยอะขนาดนี้ คงต้องใช้เวลาอ่านนานทีเดียวกว่าจะหาจุดเชื่อมโยงได้..ถ้าอย่างนั้น เรียกคนที่ว่างๆมาช่วยกันหลายๆคนดีกว่า” พิมพ์ศิริเสนอความคิดเห็น

“พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พี่จะใช้คนของเราจริงๆที่ไม่ใช่คนภายในบริษัท เดี๋ยวจะกลายเป็นแหวกหญ้าให้งูตื่น”

“นั่นสิ ตอนนี้เราไว้ใจใครไม่ได้เลยจริงๆ” หญิงสาวพึมพำ ก่อนก้มมองเวลาที่ข้อมือ “งั้นขวัญไปแล้วนะเฮีย มีนัดกับลูกค้าน่ะ”

อนาวินพยักหน้า “ขอบใจสำหรับเจ้าสิ่งนี้นะ”

“ด้วยความยินดีเสมอ” พิมพ์ศิริตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีใครได้เห็นบ่อยนัก ก่อนหันเดินออกจากห้อง

อนาวินจึงกดโทรศัพท์เรียกเลขาฯหนุ่ม บอดี้การ์ดคนสนิทและน้องสาวให้เข้ามาหา และรอไม่นานบุคคลทั้งสามก็เข้ามายืนต่อหน้าเขาภายในห้องทำงาน และเมื่อมีโมรียาอยู่ตรงนี้จึงไม่แปลกที่อนาวินจะเห็นร่างของเตชิตพ่วงมาด้วยอีกคน

“งานสำคัญเร่งด่วนอะไรของเฮียน่ะ ถึงบอกกันทางโทรศัพท์ไม่ได้อะ” โมรียากอดอกถามด้วยอารมณ์สงสัยปนหงุดหงิดเล็กน้อยกับคำพูดลับลมคมนัยให้อยากรู้ตั้งแต่ตอนที่เขาโทรศัพท์ตามตัวเธอ

ซึ่งผู้เป็นพี่ชายก็อมยิ้มยามตอบน้องสาว
“ถ้าเฮียไม่พูดอย่างนั้น กว่าจะได้เห็นเราก็คงต้องรอเป็นชั่วโมงมั้ง”

คนฟังเปลี่ยนท่ามาเป็นเท้าสะเอวอย่างเข่นเขี้ยว “นี่เฮียหลอกหนูเล็กเรอะ” แล้วก็เริ่มโวยวาย “โธ่เอ้ย! หนูเล็กอุตส่าห์ยกเลิกนัดช่างทำเล็บเพื่อรีบมาหาเฮียเลยนะ”

อนาวินหัวเราะครืน ก่อนเปิดหน้าจอดิจิตอลให้เห็นถึงไฟล์ของรายงานบันทึกประจำวัน
“เอ้า ช่วยกันอ่านเจ้านี้ให้หมด แล้วก็แยกแต่ละหัวข้อไว้ เพื่อเราจะได้หาจุดเชื่อมโยง”

โมรียาอ้าปากค้างกับแฟ้มรายงานเต็มพรืด
“หมดเนี่ยนะ..เพื่ออะไรกัน!?”

“อ่านๆไปเดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า” แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปดึงร่างที่แข็งทื่อของน้องสาวมากดให้นั่งลงบนเก้าอี้ทำงานของเขา ก่อนหยิบแล็ปท็อปอีกเครื่องส่งให้เตชิต แล้วก็ออกคำสั่งกับทุกคน

“เอาล่ะ เลือกมุมทำงานกันตามสบายเลย”

ชายหนุ่มทั้งสามจึงเริ่มคัดลอกไฟล์โดยแบ่งแต่ละปีใส่แล็ปท็อปที่มีกันคนละเครื่องแยกไปนั่งตามมุมต่างๆ ซึ่งเตชิตกับโจ้เดินไปนั่งบนโซฟารับแขกพร้อมสมุดจดในมือ ส่วนพัฒนาเดินออกจากห้องไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตน
โมรียากดคำสั่งปรับขนาดเพื่อเธอจะได้อ่านง่ายที่สุด พลางบ่นงึมงำกับการที่ตัวเองต้องมานั่งจับเจ่าอยู่ภายในห้องทำงานของพี่ชาย

“เรื่องแค่นี้ใช้คนอื่นก็ได้ ไม่เห็นต้องให้หนูเล็กทำเองเลย หึ! เฮียต้องจ่ายค่าแรงหนูเล็กเพิ่มด้วยนะ..แล้วลายมือพวกนี้ โอ้ย! ให้ตายเหอะ ทำไมมันอ่านยากขนาดนี้เนี่ย แน่ใจนะว่าใช้มือเขียน”

อนาวินอมยิ้มและโน้มตัวลงจูบกลางกระหม่อมน้อยๆของคนขี้โวยวาย
“ใจเย็นน่าน้องรัก เดี๋ยวเฮียเลี้ยงหนม”

โมรียาปรายสายตาค้อน
“เขาไม่ใช่เด็กๆนะจะได้เอาขนมมาล่อกันน่ะ” แล้วก็หันมาให้ความสนใจกับข้อมูลตรงหน้า อนาวินจึงหยิบแฟ้มงานเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวริมกระจก

ทั้งหมดนั่งทำงานในส่วนของตนได้ครู่ใหญ่ บานประตูก็ถูกเคาะและเปิดออกในนาทีต่อมาจากมือของจตุพล
“อ้าว! คนเยอะเลย กำลังทำอะไรกันล่ะครับ” ถามพลางเดินตรงไปยังอนาวิน

“ก็ช่วยๆกันอ่านอะไรนิดหน่อยครับ” อนาวินตอบ และโมรียาก็ขยายความกึ่งประชด

“ค่ะ ก็แค่บันทึกประจำวันย้อนหลังของพวกคนงานไปห้าปี เท่านั้นเอง”

จตุพลนิ่วหน้าสงสัยหันไปยังอนาวิน
“อ่านไปทำไมกันครับ”

“ก็ ผมกำลังหาสาเหตุที่ทำให้เรากับพวกรัตนากรทะเลาะกันน่ะครับ”

“มันจะมีอะไร พวกนั้นมันก็แค่ต้องการจะล้มเรา เพราะอยากขึ้นเป็นผู้นำในวงการก็เท่านั้นเองครับ..ผมว่ามันจะทำให้เราเสียเวลาเปล่าๆ”

“แต่เมื่อก่อนเรากับฝ่ายนั้นก็ยังดีๆกันอยู่เลย การที่จู่ๆเขาหันมาเล่นงานเราเนี่ยมันต้องมีสาเหตุนะครับ และผมก็ต้องการรู้ถึงสาเหตุนั้น”

จตุพลเห็นถึงความมุ่งมั่นของชายหนุ่ม เขานิ่งไปอึดใจก็โคลงหัวพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็ตามใจคุณ..แต่ตอนนี้คุณคงต้องไปกับผมแล้วล่ะ เพราะเสี่ยพงษ์อยากคุยกับเราถึงโครงการร่วมทุนที่หัวหินน่ะครับ”

“ตอนนี้เลยเหรอ”

“ครับ เขาให้เราไปพบที่คลับเฮ้าส์ เพราะคืนนี้เขาจะบินไปฮ่องกง แล้วก็อยู่เป็นเดือนเลย”

“โอเค งั้นเราก็ไปกันเลย”
อนาวินลุกขึ้น เดินไปหยิบเสื้อสูทของตนมาสวม แล้วก็เดินนำจตุพลตรงไปที่ประตู แต่ก่อนจะเปิดบานประตูออกไป เขาก็หันมาพูดกับบุคคลที่เหลือ “ตั้งใจทำงานกันนะ เด็กๆ” แล้วก็ขยิบตาให้น้องสาวที่นั่งหน้าตูมเป็นการส่งท้าย ก่อนหันเดินจากไป

โมรียาทำปากขมุบขมิบตามหลังพี่ชายก่อนหันมากระฟัดกระเฟียดอ่านบันทึกต่อ แต่ไม่กี่อึดใจ ความเบื่อหน่ายที่มีก็ทำให้เธอลุกขึ้นเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเตชิต โดยโจ้เหลือบสายตามองเพียงเสี้ยวนาที ก็หันกลับมาสนใจอ่านต่อ แต่หูยังคงได้ยินเสียงใสเอ่ยชวนคนสนิทด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

“พี่เต้..เราออกไปดูหนังกันดีกว่า”

“เราควรทำตามที่คุณจิลสั่งนะครับ อย่างน้อยให้ได้สักสอง-สามเดือนก่อนก็ยังดี” เตชิตตอบโดยที่สายตายังจับจ้องหน้าจอ

“โหย เฮียไม่ได้รีบเอาตอนนี้เสียหน่อย แถมหนูเล็กก็แกะลายมือพวกนี้อ่านจนปวดตาแล้วนะ” เธอกระเง้ากระงอดใส่ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งเงียบและไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจคำร้องขอ เธอจึงพ่นลมหายใจใบหน้างอง้ำ

“โอเค หนูเล็กให้เวลาพี่เต้ชั่วโมงนึงก็ได้” แล้วก็ขยับตัวยกขาขึ้นนั่งพับเพียบบนโซฟา เอนร่างซบศีรษะกับต้นแขนแกร่ง และหลับตาลงอย่างสบายอารมณ์

เตชิตเหลียวใบหน้ามองเธอเพียงครู่ก็หันกลับมา และสบเข้ากับสายตาของโจ้ที่หลบไม่ทันเข้าพอดี
สองหนุ่มสบสายตากันนิ่งเพียงอึดใจ ต่างฝ่ายต่างก็ก้มหน้าอ่านงานในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบไปเงียบๆ และโจ้ก็ไม่ใส่ใจกับภาพที่เห็น เพราะจากการที่เขาเป็นคนสนิทของอนาวินจึงทำให้เห็นภาพเหล่านี้จนชินตา..ถึงแม้ใครๆต่างก็รู้ว่าโมรียานั้นหวงเตชิตมากแค่ไหนในฐานะบอดี้การ์ดคนสนิท แต่หญิงสาวก็ไม่เคยแสดงท่าทีสนิทชิดเชื้อเช่นนี้ต่อหน้าใครๆ โดยเฉพาะกับผู้เป็นบิดา หญิงสาวก็ยิ่งระมัดระวังการกระทำของตนเอง แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ยกเว้นยามเมื่ออยู่กับพี่ชายเท่านั้น เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร อนาวินไม่เคยดุหรือปรามในพฤติกรรมของน้องสาวเลยสักครั้ง และเขาก็เข้าใจว่า ทำไมเจ้านายหนุ่มถึงไม่เคยปรามน้องสาว ซึ่งเป็นเพราะ ไม่ว่าโมรียาจะกระทำอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจต่อผู้ติดตามคนนี้มากแค่ไหน แต่สิ่งที่เตชิตแสดงตอบมานั้น ก็คือใบหน้าที่เรียบสงบและท่าทีนิ่งเฉยไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึกเท่านั้น

เตชิตละสายตาจากหน้าจอเหลียวมามองร่างของคนที่อิงซบอีกครั้ง แล้วก็พบว่า โมรียานั้นหลับไปจริงๆแล้ว และเพียงแค่เขาขยับตัวเบาๆ เสียงครางประท้วงจากเธอก็ดังขึ้นก่อนจะขยับร่างซุกซบเพื่อหามุมสบายโดยที่ดวงตายังปิดสนิท ชายหนุ่มจึงหันไปหาโจ้ ที่เหลือบตามองอยู่ก่อนแล้ว

“ล็อกประตูที”

โจ้ลุกขึ้นทำตามที่เตชิตบอก เพราะเข้าใจว่าเตชิตไม่อยากปลุกหญิงสาวและก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาเห็นภาพความไม่เหมาะสมของโมรียาในขณะนี้ด้วยเช่นกัน

ขณะที่โจ้ลุกขึ้นไปทำตามที่ขอ ร่างของโมรียาก็ขยับไหลเลื่อนลงมาหนุนศีรษะกับหน้าขาของเตชิต ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทลำลองของตนมาคลุมลงบนสะโพกปกปิดช่วงขาเรียวขาวละมุนที่พ้นชายกระโปรงสั้นออกมา สายตาอ่อนโยนทอดมองดวงหน้าที่ตกแต่งสีสันจัดจ้าน ปลายนิ้วปัดไล้แผ่วเบากับเส้นผมยาวละเอียดดำขลับที่ส่วนหนึ่งสยายปกคลุมท่อนขาเพียงอึดใจ ก็หันมาให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่โจ้จะเดินกลับมา

ช่วงเวลาดำเนินผ่านไปอย่างเงียบเชียบ..พร้อมๆกับความรู้สึกของเตชิตก็ไม่เคยหยุดนิ่งไปจากโมรียาเช่นกัน




รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโดมิเนียมในเวลาค่อนข้างดึก และภายในรถ ราโมน่ากำลังหันไปกล่าวคำขอบคุณปริพันธ์ ที่เขาอุตส่าห์รอรับเธอกลับมาจากงานแสดงนาฬิกาและเครื่องประดับที่เธอได้ร่วมเดินแบบ

“ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์อยู่รอโม้นาจนดึก แถมยังขับรถมาส่งถึงที่เลย”

“ไม่เป็นไรครับ สำหรับโม้นาพี่เต็มใจอยู่แล้ว”

ราโมน่ารับรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา แต่ภายในใจเธอกลับรู้สึกถึงความอึดอัด เพราะดูเหมือนว่าในช่วงระยะหลังมานี้ ปริพันธ์เริ่มจะรุกเธอหนักทีเดียว
“แหม โม้นาดีใจจังที่มีพี่ชายใจดีถึงขนาดนี้น่ะค่ะ”

หญิงสาวจำต้องตอกย้ำความรู้สึกที่แท้จริงให้เขารับรู้อีกครั้ง แม้ว่ามันคงจะสร้างความรู้สึกผิดหวังให้เขาบ้างก็ตามที แต่คิดว่ายังดีกว่าจะปล่อยให้เขาถลำลึกในขณะที่ตัวเธอเองก็มีใครอีกคนอยู่แล้ว..และเธอก็หวังว่า สักวัน ปริพันธ์จะถอดใจจากเธอและหันไปมองหาผู้หญิงคนอื่นที่ดีพร้อมสำหรับเขาจริงๆ

และคำพูดของราโมน่าก็ทำให้ปริพันธ์รู้สึกแปลบปลาบใจพอสมควร และหลายครั้งเขาก็ตั้งคำถามว่า จะมีสักวันไหมที่ราโมน่าจะมองเขาเป็นมากกว่า พี่ชาย
แต่ไม่ว่าอย่างไร ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

“ขับรถกลับดีๆนะคะ..กู๊ดไนท์ค่ะ”

เสียงบอกลาของเธอขณะที่เปิดประตูรถก้าวออกไป ทำให้เขาจำต้องแค่นยิ้มตอบรับ
“กู๊ดไนท์ครับ”

ราโมน่ายืนโบกมือให้อีกครั้ง จนกระทั่งชายหนุ่มขับรถแล่นจากไป เธอจึงหันเดินหมายขึ้นห้องพัก แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือทำให้เธอต้องหยุดเดิน และเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรหา หัวใจของเธอไหววาบขึ้นมาทันที

“พี่รออยู่ที่หน้าถนนนะ”

อนาวินพูดแค่นั้นก็ตัดสัญญาณไป และเหมือนว่า เขาคงจะรู้ว่าเธอกลับมาพร้อมปริพันธ์และเขา คงไม่พอใจ
หญิงสาวกล้ำกลืนความรู้สึกผิดในใจคิดอยากจะเดินหนีขึ้นห้องพักเพื่อยุติเรื่องทุกอย่าง แต่หัวใจของเธอกลับร่ำร้องหาเขาจนเจ็บร้าว และผิดที่ตัวของเธอเองที่ไม่เคยตัดใจไปจากเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือแม้แต่ในวินาทีนี้ ..ร่างของเธอหันหลังกลับอย่างเชื่องช้า สองขาก้าวเดินผ่านป้อมยามออกจากอาณาเขตของคอนโดมิเนียมมายืนบริเวณริมถนนเหลียวมองหารถของอนาวิน และเห็นรถยนต์คันหรูติดฟิล์มเข้มแล่นเข้ามาจอดโดยประตูห้องผู้โดยสารตอนหลังอยู่ตรงหน้าของเธอพอดี และเปิดต้อนรับเธอในไม่กี่อึดใจ

ราโมน่าก้าวเข้าไปนั่งบนเบาะนุ่มข้างกายอนาวินซึ่งกำลังกดสวิตซ์ให้กระจกทึบที่กั้นระหว่างคนขับกับห้องผู้โดยสารเลื่อนขึ้นปิดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม และทันทีที่บานประตูรถปิดสนิท ร่างของเธอก็ถูกรั้งขึ้นมาเกยบนตัก สองแขนแข็งแกร่งโอบกอดแนบแน่น ท้ายทอยถูกจับตรึงเมื่อเขาประทับจุมพิตเร่าร้อนเต็มอารมณ์โหยหา

ในความเลื่อนลอย ราโมน่ารู้สึกถึงการเคลื่อนที่ของรถยนต์ และเพียงครู่ ริมฝีปากที่กำลังเรียกร้องดุดันค่อยคลายจากริมฝีปากของเธออย่างอ้อยอิ่ง และหน้าผากเขาจรดอยู่กับหน้าผากเธอ ซึ่งในตอนนี้ เธอเห็นรอยยิ้มเจืออยู่บนใบหน้าคมเข้ม และสายตาที่ทอดมองสบนั้นช่างแสนอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรู้สึกผูกพันล้ำลึก จนเธออดใจไม่ไหวที่จะเป็นฝ่ายจูบเขาบ้างอย่างแผ่วเบาที่ข้างแก้มสากระคายจากไรหนวดเครา ปลายคางคร้ามแกร่งและเลื่อนมายังมุมปากเรียบตึงที่ยังคงหยัดยิ้ม สายตาของเขาไม่ได้ละไปจากเธอแม้เสี้ยวนาที ก่อนมือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นมาไล้ผิวข้างแก้มและประคองใบหน้าเธอเพื่อประทับจุมพิตอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ เป็นไปอย่างเชื่องช้าอ่อนหวาน แต่กลับสามารถปลุกเลือดในกายของเธอให้ร้อนผ่าวไปทั่วร่าง สองแขนของเธอโอบกอดตอบสนองเขา เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกอันเปี่ยมล้นที่เธอมี..ทั้งๆที่รู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นแสนมืดมนและไร้ทางออก แต่เธอก็เลือกแล้วที่จะรักเขาและพร้อมจะเสี่ยงเดินเคียงข้างเขาไปจนกว่าจะถึงทางตัน !


.............

จบตอนค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

^__^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2555, 13:53:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2555, 13:53:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 2324





<< ตอนที่ ๑๔   ตอนที่ ๑๖ >>
sai 17 ก.ย. 2555, 16:25:23 น.
หายไปนานเลยนะค่ะ^^


nunoi 17 ก.ย. 2555, 16:59:40 น.
เอาใจช่วยทั้งพี่จิล และ หนูโม้นา นะจ๊ะ


anOO 17 ก.ย. 2555, 18:41:57 น.
ท่าทางหนอนบ่อนไส้จะมากมายหลายคนเลยนะ หาให้เจอเร็วๆ ล่ะ


ระรินใจ 17 ก.ย. 2555, 20:01:17 น.
แหะๆ แค่เดือนเดียวเองค่ะ คุณsai^^"



รับทราบค่า คุณnunoi



หนอนบ่อนไส้กับผู้ร่วมขบวนการนี่ รวมๆแล้วหลายสิบคนเลยค่ะ คุณan00


Zephyr 17 ก.ย. 2555, 20:20:17 น.
ฮิ้ววว รักท่ามกลางสงครามสองตระกูลนี่มันลุ้นจริงๆเลย อิอิ
ยังหวานได้แรงดีไม่มีตกทั้งโม้นาและพี่จิล
พี่เต้กะหนูเล็กก็ยังรักคลุมเครือนะเนี่ย
ขวัญจะมีคู่มั้ยคะ สงสารอ่ะ แอบรักพี่จิล เฮ้อ


ปอยอะนะ 17 ก.ย. 2555, 20:31:38 น.
พี่เต้ก็ช้าเกินเหตุ

พี่จิลแซงหน้าไปแว้ว


Edelweiss 17 ก.ย. 2555, 22:18:56 น.
ต้องลุ้นให้หนูเล็กเดินให้รุกหนักแล้วล่ะ ถ้ามัวแต่รอพี่เต้คงเป็นแม่สายบัวแน่ ๆ


หมูอ้วน 18 ก.ย. 2555, 12:34:58 น.
ปูเสื่อรอตอนต่อไปค่ะ


ระรินใจ 18 ก.ย. 2555, 13:59:20 น.
คุณ Zephyr === ตอนนี้มีโอกาสเก็บเกี่ยวความหวานก็ต้องเร่งกักตุนกันหน่อย ไว้ชดเชยความขมในอนาคตค่ะ..คู่พี่เต้ก็ยังคงคลุมเครือกันต่อไป ส่วนขวัญมีคู่แน่นอนค่ะ เพราะคนเขียนใจดี..ฮิ้ววว..



คุณปอยอะนะ === พี่เต้ช้าแต่ชัวร์ค่ะ ส่วนพี่จิลก็ปล่อยๆเขาไปเถอะ เพราะเรื่องนี้เป็นของเขา อิอิ



คุณEdelweiss === ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูเล็กเธอแรงได้ใจอยู่แล้ว ^^



คุณหมูอ้วน === จ้าาา..


bloomberg 18 ก.ย. 2555, 15:40:01 น.
ตอนละเดือน เดือนละตอน ไรเตอร์ให้เวลาเรา ๆ ทำใจรับความขมขื่นเหรอ โอ้ว!!! ไม่น้า


ระรินใจ 18 ก.ย. 2555, 21:34:56 น.
ฮี่ๆ ไม่ถึงขนาดนั้นค่า คุณbloomberg


Okuriumi 20 ก.ย. 2555, 14:08:04 น.
มาแล้ว


ผักหวาน 5 ต.ค. 2555, 13:51:20 น.
สนุกจัง อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account