ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: 25.“อย่าเสียเวลาเลยค่ะ ไปตามทางของพี่เถอะ”
ตอนที่ 25
“สรุปว่าเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาแถมยังเสียความรู้สึกอีก...” อรุณีพูดยิ้ม ๆ ขณะวางแก้วกาแฟร้อนลงบนโต๊ะกระจก
“ไม่ต้องมาทับทมกันเลย” วรนุชค้อนให้อรุณีเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ
“แล้วนี่คิดจะทำอะไรต่อไปอีก”
“ว่าจะเอาหนูขวัญไปปรากฏตัวที่บ้านพ่อจักร ข่มขวัญนังนางซะหน่อย”
“ขวัญชีวิน...งั้น ๆ นะ”
“เธอก็ยังอยากได้ขวัญเป็นสะใภ้ เพียงแต่ว่า เธอเอาลูกชายไม่อยู่” ใคร ๆ ก็อยากได้ขวัญชีวินไปเป็นลูกสะใภ้เพราะขวัญชีวิตเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของห้างทองใหญ่กลางเมือง
“แล้วมันต่างกันที่ไหมละ...”
บอกเพื่อนไปแล้วอรุณีก็รอบถอนหายใจเบา ๆ ลูกชายของวรนุชนั้นยังสนใจผู้หญิง ส่วนลูกชายของเธอนั้นหาได้สนใจหญิงคนใด และถ้าจะไขความรู้สึก ระบายให้วรนุชฟังว่าเธอสงสัยว่าเอกรินทร์จะชอบผู้ชายด้วยกัน วรนุชคงได้หัวเราะเยาะแน่ ๆ ดังนั้นอรุณีจึงชวนเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย...
“ที่ดินแปลงนั้น ฉันได้เบอร์โทรเจ้าของเขามาแล้วนะ กว่าจะตามเจอ...ต้องให้คนไปสืบถามสามวันสี่วัน..”
นอกจากจะเป็นแม่บ้านให้สามีที่ขยันทำงานตัวเป็นเกลียวจนกิจการเป็นปึกแผ่นส่งต่อไปถึงชั้น ลูก ๆ แล้ว ทั้งอรุณีและวรนุชยังช่วยเหลืองานสมาคมช่วยเหลือสังคมมาตลอด นอกจากนั้นทั้งสองคนก็ยังมีสายตามองหาลู่ทางทำมาหากินแบบง่าย ๆ นั่นก็คือกว้านซื้อที่ดินเก็บไว้เกร็งกำไร ซึ่งมีที่อยู่แปลงหนึ่งไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก วรนุชสนใจจะซื้อเก็บไว้ให้ลูกชายได้สร้างหมู่บ้านจัดสรร ติดแต่ว่าเจ้าของที่ไม่ได้ประกาศขาย ทิ้งไว้ให้รกร้างเหมือนกับว่าเจ้าของไม่ทุกร้อนเรื่องเงินทอง
“งั้นก็ขอมาเลยแล้วกัน อารมณ์ดี ๆ จะได้โทรคุยกับเขา”
อรุณีเปิดกระเป๋าส่งกระดาษโน้ตให้เพื่อน...ซึ่งมีเพียงเบอร์โทรเท่านั้น
และเมื่อวรนุชกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรู้สึกว่าใจของตัวเองเย็นลงแล้ว วรนุชก็โทรหาเจ้าของที่ดินที่ได้หมายตาไว้ทันที...และพอวรนุชรู้ว่าเจ้าของที่ดินที่มีราคาประเมินเกือบหนึ่งร้อยล้านบาทคือใคร? วรนุชก็ถึงกับตาลีตาเหลือกคุยกับกับเจ้าของที่ดินด้วยเสียงอ่อนหวานแม้ว่าเจ้าของที่ดินจะยังไม่คิดขายที่ก็ตาม และเมื่อขอตัววางสายแล้ววรนุชก็โทรหาลูกชายทันที...
“จักรเหรอลูก...เรื่องอนงค์นางน่ะแม่ยอมแพ้แล้วนะลูก ถ้าตกลงกับหนูนางได้ จะให้แม่กับพ่อส่งเถ้าแก่ไปสู่ขอเมื่อไหร่ก็บอกนะ...แม่ยินดีรับหนูนางเป็นลูกสะใภ้แล้ว”
“ฮะ เกิดอะไรขึ้นครับแม่”
“คือแม่กินปั้นขลิบของหนูนางแล้วเคี้ยวไปเคี้ยวมา แม่ว่ามันใช้ได้เลยทีเดียว อร่อยมาก...สรุปว่า
สำหรับอนงค์นาง แม่อนุมัติแล้วกันนะ...”
วันทอดกฐินที่คุณบรรจงเป็นประธานมาถึง วันนั้นจรินนาตื่นแต่เช้ารีบเข้าครัวทำข้าวต้มปลาให้พ่อกินรองท้อง ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเสื้อคอลูกไม้กับกระโปรงสีขาวมีจีบรอบตัวเอาใจผู้เป็นพ่อ กับส่วนหนึ่งเดชาพงษ์ได้อธิบายให้จรินนาเข้าใจว่าเวลาไปวัดทำไมควรที่จะสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว
วันนั้นเดชาพงษ์กับลูกศิษย์ร่วมขบวนไปกับคณะของคุณบรรจงที่ประกอบไปด้วยญาติพี่น้องเพื่อนฝูงและลูกน้องในที่ทำงาน ยอดเงินที่ติดพุ่มผ้าป่าหลังจากที่ถวายผ้ากฐินไปแล้วเบ็ดเสร็จเป็นเงินเกือบหกแสนบาท ซึ่งคุณบรรจงก็กล่าวว่า เงินที่ตัวเองลงทำบุญไปนั้นเพียงสามแสนบาทเท่านั้น ส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างหาเจ้าของเงินแน่ชัดไม่ได้นั้น จึงเป็นเรื่องที่เอามาถามไถ่กันว่าใครลงไปเท่าไหร่ แต่เมื่อสอบถามไปแล้วหลาย ๆ คนลงมากสุดก็เพียงหลักหมื่นเท่านั้นซึ่งมันก็ไม่น่าจะงอกมาเยอะถึงเพียงนี้ ดังนั้นคณะศรัทธาจึงสรุปกันว่า บางทีเทวดาอาจจะลงมาร่วมทำบุญด้วยก็เป็นไปได้...
“เรื่องแบบนี้มีจริง ๆ หรือคะ” จรินนาเอ่ยถามเดชาพงษ์ขณะที่นั่งล้อมวงกินอาหารกลางวันที่ทางคณะกรรมการวัดทำเลี้ยงคณะศรัทธา
“เป็นไปได้ครับ เงินมีสิริ มีการเคลื่อนที่ได้ หายไปได้ คนที่มีบุญเงินก็ไหลมาหาได้ ทำอะไรก็เจริญรุ่งเรือง คนไม่มีบุญก็หาเงินได้อย่างยากเย็นแสนแสนเข็น ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอกินพอใช้ คนหมดบุญ บางทีเงินก็หายไปเสียเฉย ๆ หายไปจากกระเป๋า แล้วก็มีคำถามว่าหายไปไหน ตกไปตรงไหน ใครเก็บไป เงินส่วนนั้นแหละครับ ที่ผมได้ยินได้รู้มา บางทีเทวดาก็มาเก็บเอาไป แล้วถึงเวลาที่อยากทำบุญหรืออยากช่วยเหลือกิจการงานของพระพุทธศาสนาให้สำเร็จลุล่วง เทวดาก็จะเอาเงินจำนวนนั้นมาทำบุญ...จะว่าไปแล้วมันเป็นเรื่องเล่าที่เหมือนนิทานหลอกเด็กนะครับ แต่บางทีสิ่งอัศจรรย์แบบนี้มันเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาอยู่บ่อย ๆ...”
จรินนาเกลี่ยข้าวในจานกระเบื้องนั่งพับเพียบฟังเขาไปอย่างเพลิน...โดยหญิงสาวไม่ได้บอกกับใครหรอกว่าเงินอีกส่วนหนึ่งที่เธอถอนมาทำบุญกับพ่อนั้นเป็นเงินถึงหนึ่งแสนบาท และเงินหนึ่งแสนบาทนี้เธอเต็มใจทำ เพราะอยากให้เกิดมาเป็นลูกสาวของพ่อของเธออีก กับก่อนหน้านั้น เดชาพงษ์เคยเล่าเรื่องบุญเรื่องกุศลในลักษณะนี้ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ และเรื่องที่เธอชอบมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ข้าวเกิดขึ้นที่ใด
ลูกชาวนาก็จะอธิบายโดยละเอียด แต่ลูกเศรษฐีนั้นจะรู้แต่ว่าข้าวนั้นเกิดในหม้อในจาน เพราะเปิดหม้อเมื่อไหร่ก็เห็นข้าวเมื่อนั้นหรือพอนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารข้าวมาอยู่ในจานตรงหน้า ไม่เคยรู้เลยว่ากว่าจะมาเป็นข้าวสุก นั้นต้องลงทุนลงแรงไปเท่าไหร่ เขาสรุปว่าคนเช่นนั้นเป็นผู้มีบุญญาธิการ เธอเองมองย้อนกลับไปก็นับว่าเป็นคนมีบุญคนหนึ่ง เพราะไม่เคยลำบากตรากตรำกับชีวิตเลย แม้จะเรียนไม่เก่งจนได้ที่หนึ่งของห้องแต่เรื่องอื่น ๆ นั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอน้อยหน้าใคร
...ดังนั้นเธอเชื่อเรื่องบุญที่พ่อหมั่นทำให้เห็นและเรื่องที่เขาอธิบายให้ฟังหลาย ๆ เรื่องระหว่างที่อยู่ด้วยกันตามลำพังอย่างไม่มีความลังเลสงสัย
และถ้าเธอจะเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต...เธอจะเลือกเพราะอุปนิสัยคุณความดีของเขาไม่ใช่เพราะเงินทองของเขาอย่างแน่นอน...
“จิน” เอกรินทร์ที่นั่งอยู่ในวงเดียวกันแต่หันหน้าไปตรงประตูทางเข้าเรียกชื่อจรินนา จรินนาสบตากับเขาก่อนจะมองหันหลังตามสายตาของเอกรินทร์ไป...
“มาได้อย่างไรละเนี่ย”
คนที่ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าศาลาวัดก็คืออภินนท์ คนอื่น ๆ หันไปมองเขาเป็นตาเดียวกันทีเดียว...จรินนาจึงเอ่ยปากบอกว่า “ขอตัวนะคะ”
จรินนาเดินฝ่าผู้คนที่นั่งล้อมวงรับประทานอาหารกันอยู่ไปหาอภินนท์ที่ยืนมองหาจรินนาอยู่เช่นกัน และเมื่อเห็นหญิงสาวเดินหน้าบึ้งตึงไปหา แต่เขากลับยิ้มแย้มยินดีที่ตามหาจรินนาจนพบ...
“จินนี่ พี่มาช้าไปแล้วใช่เปล่า”
“มาช้าไปแล้วค่ะ”
“เขาทำบุญกันไปแล้วเหรอ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่นนท์มาทำไมคะ”
“พี่อยากมาเยี่ยมจินนี่น่ะ คิดถึง...อยากให้จินนี่พาพี่นนท์เที่ยวนครสวรรค์”
“จินไม่ว่างค่ะ”
“ไม่ว่างพี่ก็รอได้”
“รอ...รอทำไมคะ ได้ยินชัดไหมคะ ว่าจินบอกว่าจินไม่ว่าง”
“พี่เปิดโรงแรมรอได้ครับ ขอให้พี่ได้เห็นน้องจินนี่อยู่ในสายตาก็พอแล้ว”
“จินไม่ว่างคือจินมีแฟนแล้วค่ะ”
“พี่รอน้องจินนี่ได้ครับ”
“อย่าเสียเวลาเลยค่ะ ไปตามทางของพี่เถอะ”
“ไม่เสียเวลาหรอกครับ..”
จรินนาพ่นลมหายใจเข้าปอดเบา ๆ และเอกรินทร์นั้นพอจะรู้นิสัยของอภินนท์เป็นอย่างดีเขาจึงลุกออกจากวงข้าวที่มีนาทีนั่งอยู่เคียงกัน เดินมาช่วยจรินนารับหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วย
“อ้าว เอก มาด้วยเหรอ”
“นายไปไงมาไง”
“จินขอตัวก่อนนะคะ” จรินาเห็นว่าเอกรินทร์ช่วยรับหน้าแล้ว จึงเดินกลับมาที่วงข้าวเช่นเดิม ในตอนนี้วงข้าวคุยกันเรื่อง งานหมั้นของแบบสายฟ้าแลบวิษณุจักรกับอนงค์นางที่จะมีในเร็ววันนี้ซึ่งทั้งอนงค์นางและจรินนาเองก็ยังงง ๆอยู่ว่าทำไมแม่ของวิษณุจักรถึงได้ใจอ่อนเร็วนัก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นจู่ ๆ ก็มีเรื่องของเด็กสาวชื่อหน่อยมาเป็นปัญหา...ดีแต่ว่าหนิงโทรมาบอกกับอนงค์นางว่า เธอรู้จักหน่อยเพราะเรียนที่เดียวกันและได้จัดการกับหน่อยไปก่อนแล้ว แต่หนิงก็ไม่ยอมบอกกับอนงค์นางว่าหน่อยเป็นใครอยู่ที่ไหนและใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
เดชาพงษ์ก็นิ่งฟังพลางกินข้าวไปเงียบ ๆ กระทั่งทั้งหมดอิ่มท้องช่วยกันถ้วยชามส่งให้แม่ครัวของวัดช่วยกันล้าง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน..
เมื่อเช้านั้นจรินนาขับรถให้พ่อนั่งมาพร้อมกับป้าสำเนียงซึ่งเมื่อคืนนั้นขอไปนอนค้างที่บ้าน สุนันทา น้องกอล์ฟ ขจรเกียรติ สราวุฒิและหนิงมารถคันเดียวกัน ส่วนอนงค์นางนั้นมากับวิษณุจักรเพียงสองคน ส่วนเดชาพงษ์นั้นขนของที่จะใช้ในการทอดกฐินมาเพียงลำพังเพราะของนั้นอยู่ที่บ้านพักของเขาอยู่แล้ว และพอเห็นว่าเอกรินทร์พาอภินนท์ไปแนะนำให้พ่อของจรินนาได้รู้จัก เดชาพงษ์ก็ยั้งเท้าที่จะเดินไปบอกลาคุณบรรจงกลับบ้านไว้ เขาเดินลงจากศาลาวัดไปโดยไม่ได้ร่ำลาใคร อนงค์นางที่พอรู้เรื่องอยู่บ้างแล้วจึงบอกกับวิษณุจักรเบา ๆ ว่า
“อาจารย์จะสู้อีตานั่นได้ไหมน่ะ” สู้ไม่ได้เพราะลักษณะท่าทางผิวพรรณการแต่งตัวของอภินนท์นั้นดูเป็นลูกผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว และที่อนงค์นางรู้สึกหวั่นใจแทนอาจารย์ของตนเป็นอย่างมาก ก็คือแม่ของ เอกรินทร์ที่รีบเข้ามาคุยกับชายหนุ่ม แสดงความยินดีที่ได้รู้จักอย่างออกนอกหน้า...
“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจินเขานะ พี่ว่าจินเขาไม่ใช่ผู้หญิงโลเลหรอก”
“งั้นก็คงต้องดูกันต่อไปแล้วค่ะ..”
แม้จะปั้นหน้าไม่ถูกแต่เมื่อลูกชายพาเพื่อนเข้ามาพักที่บ้านจริง ๆ อรุณีจึงต้องทำเป็นญาติดีกับเพื่อนของลูกชาย เพราะพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว เมื่อฝืนในสิ่งที่ลูกเป็นไม่ได้ การยอมรับและให้ทั้งคู่คบหากันในสายตาก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้ไปเปิดโรงแรมหลับนอนอยู่ด้วยกัน และพอคนอื่น ๆ มารู้มาเห็นเข้าก็จะเอาไปพูดกันปากต่อปาก เรื่องมันก็ยิ่งจะไปกันใหญ่ แต่ว่าไปแล้วเพื่อนของลูกชายคนนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นคนธรรมดาเสียที่ไหน รถที่ขับมาเอย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเอย นาทีใช้แต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น และหน้าที่การงานกับประวัติว่าเป็นลูกคนเดียวของเจ้าของสวนปาล์มน้ำมันสวนยางพาราทางภาคใต้
...ตลอดจนอุปนิสัยใจคอที่เป็นคนคุยสนุกรู้จักกาลเทศะและมีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วยนั้น ก็ทำให้อรุณีนั้นพลอยยินดีกับเพื่อนสนิทของลูกชายคนนี้ได้ไม่ยาก...
แต่ว่าแฟนเก่าของจรินนาที่เอกรินทร์พาแม่แนะนำให้อาบรรจงได้รู้จักนั้นมีดียิ่งกว่านาทีหลายร้อยเท่า เขาเป็นถึงลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงงานทอผ้า โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งออกต่างประเทศและยังมีกิจการอีกหลายอย่าง ยิ่งทำให้อรุณียิ่งอยากให้จรินนาสลัดเดชาพงษ์ทิ้งเสียเหลือเกิน...
และเมื่อถูกชะตากับอภินนท์แล้วอรุณีจึงเจ้ากี้เจ้าการอาสาขอดูแลอภินนท์โดยไม่สนใจนิ้วมือของลูกชายที่สะกิดเตือน...
คนอย่างจรินนาเองนั้นเมื่อถูกขัดใจก็ยิ่งแสดงออกถึงความต้องการของตน...หญิงสาวประท้วงป้าสะใภ้โดยการเดินออกมาจากกลุ่มมองหาเดชาพงษ์ว่าเมื่อไม่เห็นรถของเขา จรินนาก็โทรไปหาเอกรินทร์..พอเอกรินทร์เห็นเบอร์ของจรินนาเขาก็เลี่ยงออกมารับสาย...
“จินกลับบ้านกับพี่นะคะ เดี๋ยวจินเดินเอากุญแจไปให้ป๊า แล้วก็จะอ้างว่าเราจะพาพี่หนึ่งไปเที่ยวแถว ๆ นี้กัน”
นัดแนะกับเอกรินทร์แล้ว จรินนาก็เดินกลับมาหาพ่อของตนโดยไม่สนใจสายตาเสน่หาของอภินนท์ และไม่สนใจสีหน้าของผู้เป็นป้าสะใภ้ที่นั่งคุยอยู่กับอภินนท์อีกด้วย...
“ป๊าขับรถกลับบ้านไปก่อนแล้วกันนะคะ จินกับพี่เอกจะพาเพื่อนพี่เอกไปเที่ยวแถว ๆ นี้กันก่อน”
“ให้อภินนท์เขาไปด้วยซิ” อรุณีแทรกเข้ามา
“จินต้องการความเป็นส่วนตัวค่ะ” ว่าแล้วจรินนาก็สะบัดหน้าหมุนตัวเดินออกมา...อภินนท์ยิ้ม แหย ๆ ให้อรุณีที่หาได้รู้สึกหวั่นใจกับเรื่องนี้สักนิด และเอกรินทร์ก็ได้ทีขอตัวบ้าง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ อย่างไรคุณแม่ดูแลนนท์เขาด้วยแล้วกัน”
ตบบ่าอภินนท์คนเคยรู้จักกันเบา ๆ แล้วเอกรินทร์ก็เดินตามจรินนาออกมา...
“สรุปว่าเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาแถมยังเสียความรู้สึกอีก...” อรุณีพูดยิ้ม ๆ ขณะวางแก้วกาแฟร้อนลงบนโต๊ะกระจก
“ไม่ต้องมาทับทมกันเลย” วรนุชค้อนให้อรุณีเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ
“แล้วนี่คิดจะทำอะไรต่อไปอีก”
“ว่าจะเอาหนูขวัญไปปรากฏตัวที่บ้านพ่อจักร ข่มขวัญนังนางซะหน่อย”
“ขวัญชีวิน...งั้น ๆ นะ”
“เธอก็ยังอยากได้ขวัญเป็นสะใภ้ เพียงแต่ว่า เธอเอาลูกชายไม่อยู่” ใคร ๆ ก็อยากได้ขวัญชีวินไปเป็นลูกสะใภ้เพราะขวัญชีวิตเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของห้างทองใหญ่กลางเมือง
“แล้วมันต่างกันที่ไหมละ...”
บอกเพื่อนไปแล้วอรุณีก็รอบถอนหายใจเบา ๆ ลูกชายของวรนุชนั้นยังสนใจผู้หญิง ส่วนลูกชายของเธอนั้นหาได้สนใจหญิงคนใด และถ้าจะไขความรู้สึก ระบายให้วรนุชฟังว่าเธอสงสัยว่าเอกรินทร์จะชอบผู้ชายด้วยกัน วรนุชคงได้หัวเราะเยาะแน่ ๆ ดังนั้นอรุณีจึงชวนเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย...
“ที่ดินแปลงนั้น ฉันได้เบอร์โทรเจ้าของเขามาแล้วนะ กว่าจะตามเจอ...ต้องให้คนไปสืบถามสามวันสี่วัน..”
นอกจากจะเป็นแม่บ้านให้สามีที่ขยันทำงานตัวเป็นเกลียวจนกิจการเป็นปึกแผ่นส่งต่อไปถึงชั้น ลูก ๆ แล้ว ทั้งอรุณีและวรนุชยังช่วยเหลืองานสมาคมช่วยเหลือสังคมมาตลอด นอกจากนั้นทั้งสองคนก็ยังมีสายตามองหาลู่ทางทำมาหากินแบบง่าย ๆ นั่นก็คือกว้านซื้อที่ดินเก็บไว้เกร็งกำไร ซึ่งมีที่อยู่แปลงหนึ่งไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก วรนุชสนใจจะซื้อเก็บไว้ให้ลูกชายได้สร้างหมู่บ้านจัดสรร ติดแต่ว่าเจ้าของที่ไม่ได้ประกาศขาย ทิ้งไว้ให้รกร้างเหมือนกับว่าเจ้าของไม่ทุกร้อนเรื่องเงินทอง
“งั้นก็ขอมาเลยแล้วกัน อารมณ์ดี ๆ จะได้โทรคุยกับเขา”
อรุณีเปิดกระเป๋าส่งกระดาษโน้ตให้เพื่อน...ซึ่งมีเพียงเบอร์โทรเท่านั้น
และเมื่อวรนุชกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรู้สึกว่าใจของตัวเองเย็นลงแล้ว วรนุชก็โทรหาเจ้าของที่ดินที่ได้หมายตาไว้ทันที...และพอวรนุชรู้ว่าเจ้าของที่ดินที่มีราคาประเมินเกือบหนึ่งร้อยล้านบาทคือใคร? วรนุชก็ถึงกับตาลีตาเหลือกคุยกับกับเจ้าของที่ดินด้วยเสียงอ่อนหวานแม้ว่าเจ้าของที่ดินจะยังไม่คิดขายที่ก็ตาม และเมื่อขอตัววางสายแล้ววรนุชก็โทรหาลูกชายทันที...
“จักรเหรอลูก...เรื่องอนงค์นางน่ะแม่ยอมแพ้แล้วนะลูก ถ้าตกลงกับหนูนางได้ จะให้แม่กับพ่อส่งเถ้าแก่ไปสู่ขอเมื่อไหร่ก็บอกนะ...แม่ยินดีรับหนูนางเป็นลูกสะใภ้แล้ว”
“ฮะ เกิดอะไรขึ้นครับแม่”
“คือแม่กินปั้นขลิบของหนูนางแล้วเคี้ยวไปเคี้ยวมา แม่ว่ามันใช้ได้เลยทีเดียว อร่อยมาก...สรุปว่า
สำหรับอนงค์นาง แม่อนุมัติแล้วกันนะ...”
วันทอดกฐินที่คุณบรรจงเป็นประธานมาถึง วันนั้นจรินนาตื่นแต่เช้ารีบเข้าครัวทำข้าวต้มปลาให้พ่อกินรองท้อง ก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเสื้อคอลูกไม้กับกระโปรงสีขาวมีจีบรอบตัวเอาใจผู้เป็นพ่อ กับส่วนหนึ่งเดชาพงษ์ได้อธิบายให้จรินนาเข้าใจว่าเวลาไปวัดทำไมควรที่จะสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว
วันนั้นเดชาพงษ์กับลูกศิษย์ร่วมขบวนไปกับคณะของคุณบรรจงที่ประกอบไปด้วยญาติพี่น้องเพื่อนฝูงและลูกน้องในที่ทำงาน ยอดเงินที่ติดพุ่มผ้าป่าหลังจากที่ถวายผ้ากฐินไปแล้วเบ็ดเสร็จเป็นเงินเกือบหกแสนบาท ซึ่งคุณบรรจงก็กล่าวว่า เงินที่ตัวเองลงทำบุญไปนั้นเพียงสามแสนบาทเท่านั้น ส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาอย่างหาเจ้าของเงินแน่ชัดไม่ได้นั้น จึงเป็นเรื่องที่เอามาถามไถ่กันว่าใครลงไปเท่าไหร่ แต่เมื่อสอบถามไปแล้วหลาย ๆ คนลงมากสุดก็เพียงหลักหมื่นเท่านั้นซึ่งมันก็ไม่น่าจะงอกมาเยอะถึงเพียงนี้ ดังนั้นคณะศรัทธาจึงสรุปกันว่า บางทีเทวดาอาจจะลงมาร่วมทำบุญด้วยก็เป็นไปได้...
“เรื่องแบบนี้มีจริง ๆ หรือคะ” จรินนาเอ่ยถามเดชาพงษ์ขณะที่นั่งล้อมวงกินอาหารกลางวันที่ทางคณะกรรมการวัดทำเลี้ยงคณะศรัทธา
“เป็นไปได้ครับ เงินมีสิริ มีการเคลื่อนที่ได้ หายไปได้ คนที่มีบุญเงินก็ไหลมาหาได้ ทำอะไรก็เจริญรุ่งเรือง คนไม่มีบุญก็หาเงินได้อย่างยากเย็นแสนแสนเข็น ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอกินพอใช้ คนหมดบุญ บางทีเงินก็หายไปเสียเฉย ๆ หายไปจากกระเป๋า แล้วก็มีคำถามว่าหายไปไหน ตกไปตรงไหน ใครเก็บไป เงินส่วนนั้นแหละครับ ที่ผมได้ยินได้รู้มา บางทีเทวดาก็มาเก็บเอาไป แล้วถึงเวลาที่อยากทำบุญหรืออยากช่วยเหลือกิจการงานของพระพุทธศาสนาให้สำเร็จลุล่วง เทวดาก็จะเอาเงินจำนวนนั้นมาทำบุญ...จะว่าไปแล้วมันเป็นเรื่องเล่าที่เหมือนนิทานหลอกเด็กนะครับ แต่บางทีสิ่งอัศจรรย์แบบนี้มันเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาอยู่บ่อย ๆ...”
จรินนาเกลี่ยข้าวในจานกระเบื้องนั่งพับเพียบฟังเขาไปอย่างเพลิน...โดยหญิงสาวไม่ได้บอกกับใครหรอกว่าเงินอีกส่วนหนึ่งที่เธอถอนมาทำบุญกับพ่อนั้นเป็นเงินถึงหนึ่งแสนบาท และเงินหนึ่งแสนบาทนี้เธอเต็มใจทำ เพราะอยากให้เกิดมาเป็นลูกสาวของพ่อของเธออีก กับก่อนหน้านั้น เดชาพงษ์เคยเล่าเรื่องบุญเรื่องกุศลในลักษณะนี้ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ และเรื่องที่เธอชอบมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า ข้าวเกิดขึ้นที่ใด
ลูกชาวนาก็จะอธิบายโดยละเอียด แต่ลูกเศรษฐีนั้นจะรู้แต่ว่าข้าวนั้นเกิดในหม้อในจาน เพราะเปิดหม้อเมื่อไหร่ก็เห็นข้าวเมื่อนั้นหรือพอนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารข้าวมาอยู่ในจานตรงหน้า ไม่เคยรู้เลยว่ากว่าจะมาเป็นข้าวสุก นั้นต้องลงทุนลงแรงไปเท่าไหร่ เขาสรุปว่าคนเช่นนั้นเป็นผู้มีบุญญาธิการ เธอเองมองย้อนกลับไปก็นับว่าเป็นคนมีบุญคนหนึ่ง เพราะไม่เคยลำบากตรากตรำกับชีวิตเลย แม้จะเรียนไม่เก่งจนได้ที่หนึ่งของห้องแต่เรื่องอื่น ๆ นั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอน้อยหน้าใคร
...ดังนั้นเธอเชื่อเรื่องบุญที่พ่อหมั่นทำให้เห็นและเรื่องที่เขาอธิบายให้ฟังหลาย ๆ เรื่องระหว่างที่อยู่ด้วยกันตามลำพังอย่างไม่มีความลังเลสงสัย
และถ้าเธอจะเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต...เธอจะเลือกเพราะอุปนิสัยคุณความดีของเขาไม่ใช่เพราะเงินทองของเขาอย่างแน่นอน...
“จิน” เอกรินทร์ที่นั่งอยู่ในวงเดียวกันแต่หันหน้าไปตรงประตูทางเข้าเรียกชื่อจรินนา จรินนาสบตากับเขาก่อนจะมองหันหลังตามสายตาของเอกรินทร์ไป...
“มาได้อย่างไรละเนี่ย”
คนที่ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าศาลาวัดก็คืออภินนท์ คนอื่น ๆ หันไปมองเขาเป็นตาเดียวกันทีเดียว...จรินนาจึงเอ่ยปากบอกว่า “ขอตัวนะคะ”
จรินนาเดินฝ่าผู้คนที่นั่งล้อมวงรับประทานอาหารกันอยู่ไปหาอภินนท์ที่ยืนมองหาจรินนาอยู่เช่นกัน และเมื่อเห็นหญิงสาวเดินหน้าบึ้งตึงไปหา แต่เขากลับยิ้มแย้มยินดีที่ตามหาจรินนาจนพบ...
“จินนี่ พี่มาช้าไปแล้วใช่เปล่า”
“มาช้าไปแล้วค่ะ”
“เขาทำบุญกันไปแล้วเหรอ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่นนท์มาทำไมคะ”
“พี่อยากมาเยี่ยมจินนี่น่ะ คิดถึง...อยากให้จินนี่พาพี่นนท์เที่ยวนครสวรรค์”
“จินไม่ว่างค่ะ”
“ไม่ว่างพี่ก็รอได้”
“รอ...รอทำไมคะ ได้ยินชัดไหมคะ ว่าจินบอกว่าจินไม่ว่าง”
“พี่เปิดโรงแรมรอได้ครับ ขอให้พี่ได้เห็นน้องจินนี่อยู่ในสายตาก็พอแล้ว”
“จินไม่ว่างคือจินมีแฟนแล้วค่ะ”
“พี่รอน้องจินนี่ได้ครับ”
“อย่าเสียเวลาเลยค่ะ ไปตามทางของพี่เถอะ”
“ไม่เสียเวลาหรอกครับ..”
จรินนาพ่นลมหายใจเข้าปอดเบา ๆ และเอกรินทร์นั้นพอจะรู้นิสัยของอภินนท์เป็นอย่างดีเขาจึงลุกออกจากวงข้าวที่มีนาทีนั่งอยู่เคียงกัน เดินมาช่วยจรินนารับหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วย
“อ้าว เอก มาด้วยเหรอ”
“นายไปไงมาไง”
“จินขอตัวก่อนนะคะ” จรินาเห็นว่าเอกรินทร์ช่วยรับหน้าแล้ว จึงเดินกลับมาที่วงข้าวเช่นเดิม ในตอนนี้วงข้าวคุยกันเรื่อง งานหมั้นของแบบสายฟ้าแลบวิษณุจักรกับอนงค์นางที่จะมีในเร็ววันนี้ซึ่งทั้งอนงค์นางและจรินนาเองก็ยังงง ๆอยู่ว่าทำไมแม่ของวิษณุจักรถึงได้ใจอ่อนเร็วนัก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นจู่ ๆ ก็มีเรื่องของเด็กสาวชื่อหน่อยมาเป็นปัญหา...ดีแต่ว่าหนิงโทรมาบอกกับอนงค์นางว่า เธอรู้จักหน่อยเพราะเรียนที่เดียวกันและได้จัดการกับหน่อยไปก่อนแล้ว แต่หนิงก็ไม่ยอมบอกกับอนงค์นางว่าหน่อยเป็นใครอยู่ที่ไหนและใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
เดชาพงษ์ก็นิ่งฟังพลางกินข้าวไปเงียบ ๆ กระทั่งทั้งหมดอิ่มท้องช่วยกันถ้วยชามส่งให้แม่ครัวของวัดช่วยกันล้าง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน..
เมื่อเช้านั้นจรินนาขับรถให้พ่อนั่งมาพร้อมกับป้าสำเนียงซึ่งเมื่อคืนนั้นขอไปนอนค้างที่บ้าน สุนันทา น้องกอล์ฟ ขจรเกียรติ สราวุฒิและหนิงมารถคันเดียวกัน ส่วนอนงค์นางนั้นมากับวิษณุจักรเพียงสองคน ส่วนเดชาพงษ์นั้นขนของที่จะใช้ในการทอดกฐินมาเพียงลำพังเพราะของนั้นอยู่ที่บ้านพักของเขาอยู่แล้ว และพอเห็นว่าเอกรินทร์พาอภินนท์ไปแนะนำให้พ่อของจรินนาได้รู้จัก เดชาพงษ์ก็ยั้งเท้าที่จะเดินไปบอกลาคุณบรรจงกลับบ้านไว้ เขาเดินลงจากศาลาวัดไปโดยไม่ได้ร่ำลาใคร อนงค์นางที่พอรู้เรื่องอยู่บ้างแล้วจึงบอกกับวิษณุจักรเบา ๆ ว่า
“อาจารย์จะสู้อีตานั่นได้ไหมน่ะ” สู้ไม่ได้เพราะลักษณะท่าทางผิวพรรณการแต่งตัวของอภินนท์นั้นดูเป็นลูกผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว และที่อนงค์นางรู้สึกหวั่นใจแทนอาจารย์ของตนเป็นอย่างมาก ก็คือแม่ของ เอกรินทร์ที่รีบเข้ามาคุยกับชายหนุ่ม แสดงความยินดีที่ได้รู้จักอย่างออกนอกหน้า...
“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจินเขานะ พี่ว่าจินเขาไม่ใช่ผู้หญิงโลเลหรอก”
“งั้นก็คงต้องดูกันต่อไปแล้วค่ะ..”
แม้จะปั้นหน้าไม่ถูกแต่เมื่อลูกชายพาเพื่อนเข้ามาพักที่บ้านจริง ๆ อรุณีจึงต้องทำเป็นญาติดีกับเพื่อนของลูกชาย เพราะพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว เมื่อฝืนในสิ่งที่ลูกเป็นไม่ได้ การยอมรับและให้ทั้งคู่คบหากันในสายตาก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้ไปเปิดโรงแรมหลับนอนอยู่ด้วยกัน และพอคนอื่น ๆ มารู้มาเห็นเข้าก็จะเอาไปพูดกันปากต่อปาก เรื่องมันก็ยิ่งจะไปกันใหญ่ แต่ว่าไปแล้วเพื่อนของลูกชายคนนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นคนธรรมดาเสียที่ไหน รถที่ขับมาเอย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเอย นาทีใช้แต่ของแบรนด์เนมทั้งนั้น และหน้าที่การงานกับประวัติว่าเป็นลูกคนเดียวของเจ้าของสวนปาล์มน้ำมันสวนยางพาราทางภาคใต้
...ตลอดจนอุปนิสัยใจคอที่เป็นคนคุยสนุกรู้จักกาลเทศะและมีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วยนั้น ก็ทำให้อรุณีนั้นพลอยยินดีกับเพื่อนสนิทของลูกชายคนนี้ได้ไม่ยาก...
แต่ว่าแฟนเก่าของจรินนาที่เอกรินทร์พาแม่แนะนำให้อาบรรจงได้รู้จักนั้นมีดียิ่งกว่านาทีหลายร้อยเท่า เขาเป็นถึงลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงงานทอผ้า โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งออกต่างประเทศและยังมีกิจการอีกหลายอย่าง ยิ่งทำให้อรุณียิ่งอยากให้จรินนาสลัดเดชาพงษ์ทิ้งเสียเหลือเกิน...
และเมื่อถูกชะตากับอภินนท์แล้วอรุณีจึงเจ้ากี้เจ้าการอาสาขอดูแลอภินนท์โดยไม่สนใจนิ้วมือของลูกชายที่สะกิดเตือน...
คนอย่างจรินนาเองนั้นเมื่อถูกขัดใจก็ยิ่งแสดงออกถึงความต้องการของตน...หญิงสาวประท้วงป้าสะใภ้โดยการเดินออกมาจากกลุ่มมองหาเดชาพงษ์ว่าเมื่อไม่เห็นรถของเขา จรินนาก็โทรไปหาเอกรินทร์..พอเอกรินทร์เห็นเบอร์ของจรินนาเขาก็เลี่ยงออกมารับสาย...
“จินกลับบ้านกับพี่นะคะ เดี๋ยวจินเดินเอากุญแจไปให้ป๊า แล้วก็จะอ้างว่าเราจะพาพี่หนึ่งไปเที่ยวแถว ๆ นี้กัน”
นัดแนะกับเอกรินทร์แล้ว จรินนาก็เดินกลับมาหาพ่อของตนโดยไม่สนใจสายตาเสน่หาของอภินนท์ และไม่สนใจสีหน้าของผู้เป็นป้าสะใภ้ที่นั่งคุยอยู่กับอภินนท์อีกด้วย...
“ป๊าขับรถกลับบ้านไปก่อนแล้วกันนะคะ จินกับพี่เอกจะพาเพื่อนพี่เอกไปเที่ยวแถว ๆ นี้กันก่อน”
“ให้อภินนท์เขาไปด้วยซิ” อรุณีแทรกเข้ามา
“จินต้องการความเป็นส่วนตัวค่ะ” ว่าแล้วจรินนาก็สะบัดหน้าหมุนตัวเดินออกมา...อภินนท์ยิ้ม แหย ๆ ให้อรุณีที่หาได้รู้สึกหวั่นใจกับเรื่องนี้สักนิด และเอกรินทร์ก็ได้ทีขอตัวบ้าง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ อย่างไรคุณแม่ดูแลนนท์เขาด้วยแล้วกัน”
ตบบ่าอภินนท์คนเคยรู้จักกันเบา ๆ แล้วเอกรินทร์ก็เดินตามจรินนาออกมา...

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ส.ค. 2555, 10:14:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ส.ค. 2555, 10:14:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 2432
<< 24.2 “แล้วเธอบอกเขาไปหรือเปล่าว่าใครอยู่เบื้องหลัง” | 25.2 “แต่ทฤษฏีพี่แน่นอยู่นะ” >> |


แว่นใส 26 ส.ค. 2555, 10:34:41 น.
สมควรเนอะ
สมควรเนอะ

sai 26 ส.ค. 2555, 10:57:25 น.
นายนนท์นี่กลับมาเพื่อหวังผลอย่างแท้จริง
นายนนท์นี่กลับมาเพื่อหวังผลอย่างแท้จริง

mottanoy 26 ส.ค. 2555, 11:14:05 น.
I still follow you Na ka. But my computer keep kicking me out :<
I still follow you Na ka. But my computer keep kicking me out :<

invisible 26 ส.ค. 2555, 11:53:55 น.
อรุณียังเจ้ากี้เจ้าการไม่เลิกนะเนี่ย ฮึ่ยๆ
อรุณียังเจ้ากี้เจ้าการไม่เลิกนะเนี่ย ฮึ่ยๆ

anOO 26 ส.ค. 2555, 14:17:43 น.
อีักเดี๋ยวความลับที่นายนนท์ปิดไว้ คงจะถูกเปิดเผย
อีักเดี๋ยวความลับที่นายนนท์ปิดไว้ คงจะถูกเปิดเผย

nunoi 26 ส.ค. 2555, 14:28:28 น.
แหม คุณแม่คุณจักร์ พอรู้ว่านางเป็นเจ้าของที่ดิน รีบจะให้แต่งเชียวนะ
แหม คุณแม่คุณจักร์ พอรู้ว่านางเป็นเจ้าของที่ดิน รีบจะให้แต่งเชียวนะ

nutcha 26 ส.ค. 2555, 14:33:29 น.
ช่างเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการจริง ๆ คุณป้าสะใภ้คนนี้ พี่ต้นกล้วยสู้ ๆ ย้งไงจินก็อยู่ข้างพี่ต้นกล้วยอยู่แล้วแถมว่าที่พ่อตาก็เปิดไฟเขียวให้แล้วด้วย
ช่างเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการจริง ๆ คุณป้าสะใภ้คนนี้ พี่ต้นกล้วยสู้ ๆ ย้งไงจินก็อยู่ข้างพี่ต้นกล้วยอยู่แล้วแถมว่าที่พ่อตาก็เปิดไฟเขียวให้แล้วด้วย

konhin 26 ส.ค. 2555, 18:18:15 น.
เกลียดคนแบบนี้จัง มองคนแต่เปลือก เฮ้อ
เกลียดคนแบบนี้จัง มองคนแต่เปลือก เฮ้อ

คิมหันตุ์ 26 ส.ค. 2555, 21:45:53 น.
อ่าว...พี่กล้วยน้อยใจไปไหนแล้วเนี่ย?
อ่าว...พี่กล้วยน้อยใจไปไหนแล้วเนี่ย?

innam 27 ส.ค. 2555, 08:47:21 น.
งานเข้า
งานเข้า

Zephyr 27 ส.ค. 2555, 18:54:47 น.
ขอขำป้าวรนุชหน่อยนะคุณเฟื่อง 55555 55555555555
อ่ะ กรามค้าง พอแระ แหม เปลี่ยนเร็วมาก แค่ที่ดินราคาเฉียดร้อยล้านเอ๊งงงงง เนอะ
ขัดในนายหน้าซีเมนต์นนท์นี่จริงๆ ฮึ่ยยยย
ขอขำป้าวรนุชหน่อยนะคุณเฟื่อง 55555 55555555555
อ่ะ กรามค้าง พอแระ แหม เปลี่ยนเร็วมาก แค่ที่ดินราคาเฉียดร้อยล้านเอ๊งงงงง เนอะ
ขัดในนายหน้าซีเมนต์นนท์นี่จริงๆ ฮึ่ยยยย

Orathai 3 ก.ย. 2555, 23:06:42 น.
กำลังวุ่นกันเลยเนอะ ตอนนี้
กำลังวุ่นกันเลยเนอะ ตอนนี้