คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 56 ฝากความยินดี

ยกที่ 56 ฝากความยินดี


วันนี้เป็นอีกวันที่หลังจากเลิกงานตามตะวันจะแวะมาดูแลตะวันที่บ้านอาทิตยะ
พร้อมของฝากติดไม้ติดมือ

หลายเดือนหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพ
ที่ไม่ต่างจากผู้พิการเช่นนี้

ตามตะวันที่รู้สึกผิดกับการกระทำของตนจึงพยายามชดเชยเวลาที่มี
ในการดูแลตะวันให้กลับมาเป็นดังเดิมด้วยหัวใจรักและเยื่อใยผูกพันธ์
ทำให้อาการของตะวันดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้สามารถขยับแขนขาได้บ้างแล้ว
หากก็ยังไม่อาจพูดจาเป็นถ้อยคำออกมาได้…

“ตามรู้ว่าพี่ทรมานแค่ไหน…แต่ไม่ว่าอย่างไรตามก็จะไม่จากพี่ไปไหนอีก
ต่อให้พี่จะพยายามไล่ตามด้วยการกระทำก็ตาม…”

ตามตะวันกล่าวในขณะที่กุมมือทั้งสองของตะวันไว้มั่น
แววตาที่มองเขาแน่วแน่มั่นคง

“ตามรักพี่และจะขอแค่รักเรื่อยไป…ถึงพี่จะไม่หายเป็นปกติดังเดิม
ตามก็จะยังคงรักและไม่ทิ้งพี่…ตามเดินทางมาจนสุดทางแล้ว ไม่ขอไปไหนอีกแล้วค่ะ”

ตะวันพยายามยกมือของตัวเองอย่างยากลำบาก
เพียงเพื่อจะเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวตรงหน้า

ตามตะวันจึงจับมือนั้นมาแนบแก้มเอาไว้แล้วยิ้มทั้งน้ำตา…

“คนๆนึงกว่าจะสมหวังในรักได้ทำไมมันถึงยากเย็นนัก…
เพราะตามแท้ๆ ถ้าตามไม่เอาแต่ยึดมั่นถือมั่น ตามกับพี่คงเข้าใจกันไปตั้งนานแล้ว”

ตะวันส่ายหน้าไหวๆ แทบอยากจะพูดออกไปว่าไม่ใช่ความผิดของเธอเลย
เป็นเพราะเขาหูเบา ตาบอด มองข้ามสิ่งสำคัญไป…

“เมื่อก่อนตามเกลียดคำพูดที่หลุดจากปากของพี่ที่สุด
เพราะมันทำให้ตามเจ็บปวดและทำร้ายจิตใจตาม…

แต่ตอนนี้ สิ่งที่ตามอยากได้มากที่สุดก็คือ คำพูดจากปากของพี่
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบไหนตามก็อยากได้ยิน…”

ตะวันน้ำตาคลอ เขาเองก็อยากทำให้เธอแต่ก็ไม่อาจทำได้

เขามันคนบาป จึงถูกลงทัณฑ์ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
ถึงจะมีโอกาสได้บอกความจริงในใจให้เธอฟังอีกครั้ง…

เขารู้ตัวดีว่าทำได้เพียงแค่เก็บมันเอาไว้…

เมื่อวันที่ตาสว่างเห็นกระจ่างถึงทุกสิ่งที่เคยมองไม่เห็น
หากปากของเขากลับไม่อาจพูดหรือสื่อสารบอกใครๆได้

…ไม่มีทางออกที่จะบอกรักเธอได้เลย…

“พี่ไม่ต้องพูดหรือบอก ตามก็รู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับตาม…”

ตะวันยิ้มกว้างเพราะคนตรงหน้าพูดราวกับหยั่งรู้จิตใจของเขา…

ตามตะวันยิ้มตอบก่อนจะสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้
เพราะรู้ว่าเขาต้องการ

หลายเดือนที่ผ่านมา เธอเรียนรู้ที่อ่านจิตใจของเขาผ่านสายตา
เพราะแววตาของเขากลับมามีชีวิต ไม่ไร้ความรู้สึกอย่างแต่ก่อน…

และเพราะแววตาคู่นั้นกำลังมองไปยังด้านหลังของเธอด้วยสีหน้าแปลกใจ
เธอจึงหันกลับไป…ไม่คาดคิดว่าจะเจอบุคคลที่กำลังเดินมายังเขาและเธอ…

“พี่โมเล็ก…”เสียงนั้นเบาหวิว แววตาวูบไหวเพียงครู่
ก็กลับมาฉายแววร่าเริงยิ้มให้ผู้มาใหม่ที่ถือกระเช้าผลไม้อยู่ในมือ

“พี่เอาผลไม้มาฝาก…ตั้งแต่คุณตะวันป่วย พี่ยังไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเลย”

หนุ่มใหญ่ยื่นกระเช้าผลไม้ในมือให้กับตามตะวันพร้อมรอยยิ้มบาง
ก่อนจะหันไปยิ้มให้ตะวัน…คนป่วยที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งจึงยิ้มให้อย่างยินดี

“นั่งก่อนสิคะพี่โมเล็ก…”ชนาธิปนั่งลง เพียงครู่เด็กในบ้านก็นำน้ำ
และของว่างมาเสริฟก่อนจะเดินกลับไป

บทสนทนาระหว่างตามตะวันกับชนาธิปจึงเริ่มขึ้น
โดยมีตะวันนั่งฟังโดยไร้ข้อโต้แย้ง เพราะไม่อาจโต้แย้งได้นั่นเอง…

“ที่พี่มาวันนี้ พี่ต้องการมาหาเธอกับคุณตะวัน
เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยด้วยกันให้เข้าใจ…”
ตามตะวันมองหน้าคนพูดก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร…

“พี่ยินดีด้วยนะที่เธอกับคุณตะวันเข้าใจกันได้…”

น้ำเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่นกล่าวออกมาก่อนจะหันไปทางตะวัน

“ชีวิตผมมีผู้หญิงแค่สองคนที่ผมรักมากที่สุด…
คนหนึ่งได้จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ ท่านรักและเลี้ยงผมมาตั้งแต่แบเบาะ

ส่วนอีกคน คือคนที่ผมพร้อมจะเสียสละทุกอย่างได้เพื่อเธอ
ผมรักและรอเธอมานาน หวังเพียงสักวันเธอจะหันมารักผมบ้าง…

แต่ยิ่งรักเท่่าไหร่ ก็ยิ่งอยากยอมแพ้…เพราะยิ่งรักก็ยิ่งรู้ว่าเธอรักใครที่ไม่ใช่ผม…

ผมต่อสู้กับความต้องการของตัวเอง ต่อสู้กับเป้าหมายของตัวเอง…
พยายามให้เธอมีอิสระในขณะที่ผมไม่อาจปล่อยเธอไปเป็นของใครอื่นได้…”

หนุ่มใหญ่หันไปทางตามตะวันที่นั่งก้มหน้ามองมือของตัวเองนิ่ง
ก่อนจะหันไปมองตะวันที่กำลังมองเขาด้วยความกระดากอาย

“ทะเบียนสมรสระหว่างเธอกับผมมันเป็นเพียงแค่กระดาษ
ที่ตีตราว่าเธอเป็นของผม ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากโฉนดที่ดิน
ที่มีชื่อผมเป็นผู้ครอบครองโดยชอบธรรม
แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนั้นเลย…

เพราะไม่ว่าจะก่อนที่ผมจะเป็นเจ้าของโดยชอบธรรมหรือตอนนี้…
เจ้าของที่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนดินนั้นจริงๆก็ไม่ใช่ผมอยู่ดี…

โฉนดที่ดินในมือผมจะมีความหมายอะไร
ในเมื่อที่ดินผืนนั้นถูกครอบครองแบบปรปักษ์โดยคุณมาตลอดสิบกว่าปี…

ตอนนี้สิทธิในการครอบครองของผมหลุดสลาย…

แม้จะต้องการสักแค่ไหน ก็คงไม่มีสิทธิ์อีกต่อไปแล้ว…”

พูดจบหนุ่มใหญ่ก็วางซองเอกสารสีน้ำตาลไว้บนตักของหญิงสาวที่เขาเฝ้ารัก
เฝ้าดูแลทนุถนอมมานานก่อนจะลุกขึ้นแล้วตั้งใจจะกล่าวทิ้งท้ายก่อนจากไปว่า

“พี่เต็มใจทำเพื่อเธอเสมอนะตาม ขอแค่เธอมีความสุข…
และพี่ยินดีด้วยจากใจจริงที่วันนี้เธอค้นเจอจุดหมายปลายทางของตัวเอง

คุณเป็นคนโชคดีที่เป็นที่รักของเธอ…ขอให้คุณรักเธอให้มากกว่าที่ผมรัก”

ตอนท้ายชนาธิปหันไปพูดกับตะวันที่เขารู้ดีว่าผู้ชายคนนี้
ก็รักตามตะวันไม่ได้น้อยไปกว่าเขา…หนุ่มใหญ่จึงยิ้มให้ตะวันแล้วหันหลังให้

ในเมื่อธุระของเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว
คนที่เลือกแล้วที่จะเป็นคนจากไปอย่างเขายินดีและเต็มใจ
เพราะรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงในสักวัน…วันที่เขาต้องปล่อยตามตะวัน
ให้เป็นอิสระจากการครอบครองตามกฎหมาย…

“อย่าเพิ่งไปค่ะพี่โมเล็ก…”
เท้าที่กำลังก้าวชะงัก หันกลับมาทางเจ้าของเสียงใสที่รั้งเขาไว้

“ตามขอบคุณค่ะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างทุกความรู้สึกที่พี่มอบให้ตามตลอดมา…
ตามขอโทษที่ทำให้พี่เสียใจ…”หญิงสาวน้ำตาคลอ
เพราะตื้นตันกับน้ำใจของผู้ให้ที่แท้จริง

ตอนที่เธอไร้ที่พักพิงทางกายและทางใจในต่างแดนก็มีเขาคอยเป็นที่พักพิง
คอยดูแลเธอ พยุงและประคับประคองเธอให้ผ่านพ้นช่วงเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้…

ช่วงที่เธอป่วยทางจิตเนื่องจากสูญเสียลูกในท้องไปพร้อมๆกับพ่อของลูก
ที่มาทอดทิ้งเธอกลางคัน ตอนนั้นเธอแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
ไม่อาจบอกเล่าความทุกข์นั้นให้ใครรับรู้ได้
แม้กระทั่งบิดามารดาเธอก็ไม่อาจบอกกล่าวให้ท่านรู้ กลัวท่านจะเป็นทุกข์

แรกๆปองขวัญเธอก็มิได้บอกกล่าว ดังนั้นจึงมีแค่เขาที่คอยเป็นกำลังใจสำคัญ
เป็นที่พักพิงให้เธอได้ปรับทุกข์ หากไม่มีเขา เธอคงฆ่าตัวตายด้วยความโง่เขลาไปแล้ว…

การจดทะเบียนนั่นเขาก็เต็มใจทำเพื่อปกป้องเธอ
และเพื่อจะได้ดูแลเธอในต่างแดนได้สะดวกในฐานะสามีตามกฎหมาย…

ไม่เคยสักครั้งที่เขาจะกระทำล่วงเกินหรือย่ำยีเธอ…

ไม่เคยสักครั้งที่จะทำให้เธอเสียใจ ยอมตามใจเธอทุกอย่าง…

ผู้ชายที่แสนดีคนนี้ ทำไมเธอถึงไม่รัก เธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน…

ไม่เข้าใจว่าทำไมคนดีๆถึงไม่รัก

ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รักคนที่ทำให้เจ็บให้ช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า…

และไม่ว่าจะถามตัวเองสักกี่ครั้ง เธอก็ไม่อาจให้คำตอบตัวเองได้เลย
ว่าทำไมถึงไม่รักคนดีๆอย่างพี่โมเล็ก…รักทำไมกับคนที่มีแต่ทำให้เสียใจ
เสียน้ำตาอย่างพี่เพลิง

…เธอรู้แค่เพียงว่าเธอรักพี่เพลิงคนเดียวตลอดมาเท่านั้นเอง…

“พี่โมเล็กเป็นหมอเมื่อยามที่ตามไม่สบาย เป็นทนายคอยช่วยเหลือเมื่อยามที่ตามมีภัย
เป็นครูสอนศิษย์โง่ๆให้เห็นคุณค่าของชีวิต
เป็นพ่อเป็นพี่ เป็นเพื่อนให้ตามมาตลอด…ตามขอโทษที่ไม่เคยได้ทำอะไรเพื่อพี่เลย…
ตามเสียใจ…”

น้ำตาหญิงสาวร่วงลงเมื่อรู้ว่าอะไรอยู่ในซองสีน้ำตาลนั้น

…เขากำลังคืนอิสระให้กับเธอ
โดยที่ไม่เคยป่าวประกาศต่อคนทั่วๆไปว่าเธอกับเขาจดทะเบียนสมรสกันแล้ว
เขาปกป้องเธอจนวินาทีสุดท้ายก่อนจะจากไป…

ชนาธิปวางมือบนบ่าตามตะวันแล้วยิ้มบาง…

“แค่เธอยิ้มได้ มีความสุข พี่ก็มีความสุขแล้ว…พี่มีความสุขที่ได้ทำเพื่อเธอ
อย่าคิดมากเลยตาม…”

หนุ่มใหญ่เลื่อนมือลงมากุมมือตามตะวัน
แล้วจูงเธอเข้าไปนั่งใกล้ๆตะวันเช่นเดิมแล้วส่งมือเธอให้กับตะวัน

คนป่วยมองหน้าชนาธิปด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้งถึงน้ำใจของเขา
แล้วพยายามจะยกมือของตัวเองขึ้นไปรับมือของตามตะวันมากุมไว้ได้

เท่านั้น…ชนาธิปก็ยิ้มออกมา…แล้วกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากทั้งสองไป
ด้วยรอยยิ้มบางที่มุมปากว่า

“ลืมความหลังที่ทำให้เจ็บปวดซะนะตาม แล้วเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้งด้วยรอยยิ้ม…

ผมขอฝากดูแลเธอต่อจากผมด้วย…คุณต้องทำได้ดีกว่าผมแน่ๆ
เพราะคุณคือคนที่เธอรักและเฝ้าติดตามคุณมาตลอด เหมือนชื่อของเธอ...

ขอให้ทั้งสองรักษาความรักที่มีให้ดีก่อนจะสาย…”

ตะวันและตามตะวันต่างพยักหน้าพร้อมกันด้วยรอยยิ้ม
และแววตาปริ่มน้ำตาด้วยความตื้นตันใจ


ชนาธิปจากไปแล้ว หากทั้งสองยังคงนั่งนิ่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
ก่อนจะหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย…

“ตามรักพี่เพลิงนะคะ และพร้อมจะเป็นคู่ชีวิตของพี่จากนี้และตลอดไป”

ตะวันยิ้มกว้างจนแทบอยากจะดึงคนตรงหน้าเข้ามากอด
หากก็ยังทำอย่างนั้นไม่ได้เช่นเคย…

“พี่ก็รักเธอ…”ตามตะวันตกใจ มองคนตรงหน้าแล้วยิ้มดีใจ
กอดตะวันเอาไว้แน่น

“พี่พูดได้แล้ว…พี่พูดได้แล้วจริงๆเหรอคะ…”ตะวันเองก็ตกใจ
เพราะไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพยายามพูดสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่สามารถกระดกลิ้นได้

หากครั้งนี้เขากลับพูดกับเธอได้ แม้ไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก
แต่มันฟังได้ศัพท์ชัดเจนเลยทีเดียว…

“พี่…พูด…ได้…แล้ว…ตาม…”ตะวันพยายามพูดช้าๆทีละคำ
ตามตะวันดีใจจนน้ำตาไหลแล้วกอดเขาไว้อีกครั้ง…

“พี่รักเธอ…”



พันทิวาที่แอบมองภาพบุคคลทั้งสองจากพุ่มไม้ก็มิอาจห้ามรอยยิ้ม
ที่เห็นบุคคลที่เธอรักอย่างตะวันกลับมาพูดได้อีกครั้ง…

แม้คำแรกที่เขาพูดจะทำให้จิตใจเธอห่อเหี่ยวไปบ้าง
แต่ต่อจากวันนี้ไปไม่กี่วัน เธอก็จะก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
ในฐานะน้องสะใภ้ของพี่เพลิงแล้ว…

แม้จะใจหายแต่ความรักมากมายที่มอบให้ตะวันมาตลอด
ทำให้พันทิวายิ้มได้ที่เห็นเขามีความสุขกับคนที่เขารัก…

“ฝากความยินดีไปบอกเขาสองคนด้วยนะเจ้าแมงมุมตัวน้อย
ว่าฉันเพื่อนนาย…ยินดีกับเขาสองคนจากใจจริง…

เพราะฉันไม่กล้าบอกเขาสองคนด้วยตัวเอง…
ฉันกลัวว่าจะอ่อนแอร้องไห้ต่อหน้าเขาสองคนให้อับอายชาวบ้านเขา…”

พันทิวากล่าวกับแมงมุมที่แฝงตัวอยู่ตรงพุ่มไม้ที่เจอโดยบังเอิญ
ก่อนจะเดินไปยังทางขึ้นเรือนเพื่อตระเตรียมสถานที่จัดงานแต่งงาน
ที่จะมีข้ึนในอีกไม่กี่วัน…แล้วมองสภาพโดยรอบของที่นี่
ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

…ใครจะคิดว่า เธอจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอาทิตยะ…

…แม้จะไม่เคยคาดฝันว่าจะมาในฐานะนี้ก็ตาม แต่ความอบอุ่นของสถานที่แห่งนี้
ก็ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้สึกได้ว่า ที่นี่เหมือนบ้านของเธอ

…น่าเสียดายที่คนที่เธอจะแต่งงานด้วยไม่ใช่พี่เพลิงที่เธอวาดฝันไว้…

แต่เป็นนายดินทรายที่เธอไม่แน่ใจว่าจะพยายามให้รักเขาได้รึเปล่า…

ไม่แน่ใจว่าเธอกับเขาจะไปด้วยกันได้สักแค่ไหน

…ในเมื่อใยรักไม่มีให้ถักทอ แมงมุมอย่างเธอจะสร้างรังรักให้ตัวเองพักพิงได้อย่างไร

…ไม่มีใยรัก รังรักก็ไม่มี…




“พี่ว่าชุดนี้น้องมุมใส่แล้วดูเป็นผู้หญิิ้งผู้หญิงมากเลยนะคะ…”
เลอเลิศเอ่ยชมเมื่อมองชุดเจ้าสาวที่พันทิวากำลังลองสวมใส่อยู่ในขณะนี้

ทว่าคนถูกชมกลับยืนหน้าบอกบุญไม่รับ ทำเอาคนชมพลอยหน้าหงอไปด้วย

“แหม…คนกำลังจะแต่งงาน…เขาควรจะยิ้มอย่างมีความสุขสิคะ…
นี่อะไร…ได้แต่งกับคุณดินที่แสนจะเลอเลิศเพอร์เฟค
แต่กลับทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนี้ เจ้าตัวเขามาเห็นเข้า
จะเสียใจเอานะคะคุณน้องมุมขา…”

พันทิวาแบะปากด้วยสีหน้าไม่พอใจสุดขีดเมื่อได้ยินชื่อว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ
ที่ปล่อยให้เธอหัวหมุนอยู่คนเดียวกับการตระเตรียมสถานที่และชุดแต่งงาน
รวมทั้งเรื่องเชิญแขก ด้วยเหตุผลว่างานยุ่ง

เธอน่ะรู้ว่าเขายุ่งจริงๆ แต่ก็ไม่น่ายุ่งซะจนปลีกเวลามาช่วยเธอบ้าง
อย่างชุดของเขาก็ให้เธอจัดการให้อีก…

“เรื่องของเขาสิคะพี่เริศ…อยากแช่งให้ตายๆไปซะด้วยซ้ำ…”

“ว้ายยยยย…ตายแล้ว…พูดอะไรแบบนั้นคะคุณน้องมุมขา…อกพี่เริศจะแตกดับ”

เลอเลิศกรีดเสียงแหลมปรี๊ดพลางเอามือกุมหน้าอกตัวเอง…

“เกิดคุณดินเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ น้องมุมได้เป็นหม้ายกันหมากนะคะ…”

“ช่างสิคะ…มุมเบื่อเขาจะแย่ ขนาดยังไม่แต่งยังรู้สึกเบื่อและเซ็งขนาดนี้
ถ้าแต่งไป มีหวังชีวิตที่เคยแสนสุขอยู่บนคานน้อยของมุมต้องมีอันพังแน่ๆ

โอ้ย…มุมจะทำยังไงดีคะพี่เริศ…”

พันทิวาโอดครวญด้วยสีหน้าเซ็งจัดก่อนจะสะบัดหน้าจะเข้าไปเปลี่ยนชุด
แต่ต้องชนเข้ากับใครบางคนที่ยืนขวางอยู่เต็มๆจนแทบหงายหลัง
หากไม่มีลำแขนของเขาคว้าไว้ได้ทันเธอคงล้มไปกองกับพื้นให้ได้เจ็บไปแล้ว…

พันทิวามองใบหน้าคมคายกับแววตานิ่งๆของพสุธที่จ้องมองเธออยู่
ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยายามทรงตัว ถอยห่างออกจากคนตรงหน้าหนึ่งก้าว

…พสุธมองพันทิวาในชุดเจ้าสาวแบบอาหรับสีชมพูเข้ม
ที่มีผ้าคลุมลูกไม้ปกปิดศีรษะยาวลงไปถึงกลางหลังดูสวยแปลกตา

…ตอนแรกกะว่าจะนั่งเครื่องไปดูงานที่เชียงใหม่เลย แต่ต้องเปลี่ยนใจ
อยากมาดูว่าที่เจ้าสาวว่าจัดการเรื่องงานแต่งไปถึงไหนแล้ว
ไม่คิดว่าต้องมาได้ยินประโยคเมื่อครู่จากปากของเธอเข้า…

“ฉันแค่มาดูให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวก็ต้องบินไปเชียงใหม่แล้ว…”

พูดจบพสุธก็หันไปทางเลอเลิศที่ยืนหน้าถอดสีอยู่ตั้งแต่เห็นพสุธ
เดินเข้ามาในห้องลองชุดแล้ว…

“พี่รักไม่อยู่เหรอครับ…”เลอเลิศส่ายหน้า

“ไม่อยู่ค่ะ…ออกไปข้างนอกกับน้องปอง อีกสักครู่คงจะกลับ…”

“ง้ันฝากบอกพี่รักด้วยนะครับว่าชุดเจ้าสาวสวยมาก…”
เลอเลิศยิ้มกว้าง สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีก่อนจะพูดล้อชายหนุ่มว่า

“แค่ชุดเหรอคะที่สวย…”พสุธจึงมองไปทางพันทิวาที่ยืนสงบนิ่งเหมือนตุ๊กตา

“ถ้าไม่สวย ผมคงไม่แต่งงานด้วยหรอกครับ…งั้นขอตัวก่อนนะครับ”

พูดจบพสุธก็ขอตัวกลับทันที โดยไม่มีถามไถ่ว่าที่เจ้าสาวเลยสักคำ…

พันทิวาจึงได้แต่มองแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไปอย่างเคืองๆ

“ไปเลยไป…คนอะไร นิสัยไม่ดี…”

“น้องมุมนั่นแหล่ะนิสัยไม่ดี…เป็นสาวเป็นนางควรหัดพูดจาให้ไพเราะ
เหมือนที่สุนทรภู่กล่าวไว้ว่า อันอ้อยตาลหวานลิ้นนั้นสิ้นซาก
ไม่เหมือนลมปากที่หวานหูไม่รู้หาย…เห็นแบบนี้แล้วพี่ปวดเฮด…”

เลอเลิศส่ายหัวกุมขมับก่อนจะปลีกตัวเดินไปอีกทาง
ปล่อยให้พันทิวายืนหน้างอเป็นจวักอยู่คนเดียว

…เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาไม่เจอหน้าเขาถึงได้รู้สึกเซ็งๆ หงุดหงิดงุ่นง่าน
แต่พอเขามาให้เห็นหน้ากลับอยากจะไล่ให้ไปไกลๆตา…

“โธ่เอ้ย…แกเป็นบ้าอะไรของแกนะ…”พันทิวายกมือกุมศีรษะแล้วสะบัดหน้า…



..............................................................



“ยินดีด้วยนะครับเจ้านาย ตอนได้ยินข่าวผมตกใจแทบตกเก้าอี้…
ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้…”

คีรีบูรกล่าวกับพสุธระหว่างที่นั่งรถจากสนามบินไปยังบ้านพัก…

“ขอบใจ…ว่าแต่เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว…”

พสุธพยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามถึงเรื่องงานแทน
ตลอดเส้นทางทั้งสองจึงพูดคุยกันด้วยเรื่องงาน จนรถมาจอดตรงหน้าบ้านพัก

พสุธกระตุกคิ้วนิดนึงเมื่อเห็นคนงานสี่ห้าคนมารอเขาอยู่หน้าบ้านพัก

“ว่าไง…มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า…”พสุธถามคนงานที่จูงลูกๆมาด้วย

“คือ…พวกสี่คนนี้เขาคิดว่าคุณดินจะมาพร้อมกับว่าที่นายหญิงน่ะครับ…
ก็เลยขอให้พวกเราพามาหา…”

พสุธมองไปยังเด็กสี่คนที่ยืนก้มหน้างุดแล้วระบายยิ้มที่มุมปากนิดนึง…

“พี่แมงมุมของพวกเราเขายุ่ง ก็เลยไม่ได้มาด้วย…เอาไว้คราวหลังจะพามานะ…”

เด็กๆเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของคำพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง…

“งั้นพวกเราฝากของขวัญวันแต่งงานให้พี่แมงมุมได้มั้ยครับ…”

เด็กผู้ชายที่ดูจะกล้าหาญกว่าคนอื่นกล่าวขึ้นพร้อมกับโชว์ของขวัญในกล่องเล็กๆในมือขึ้น…

“พวกเราสี่คนช่วยกันทำค่ะ…นึกว่าพี่แมงมุมจะมาด้วย ก็เลย…”
พสุธรับกล่องขวัญในมือเล็กๆนั้นมาแล้วกล่าวว่า

“ขอบใจมาก…พี่แมงมุมคงดีใจ…”เด็กๆยิ้มร่าแล้วมองไปทางบิดาของตน

“งั้นพวกผมคงต้องขอตัวไปทำงานต่อนะครับ…
พวกเราทั้งหมดที่ปางไม้ฝากแสดงความยินดีมาถึงคุณดิน
กับว่าที่นายหญิงของพวกเราด้วยครับ…”พสุธพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง…

“ฝากแสดงความยินดีไปถึงพี่แมงมุมด้วยนะคะ…
ฝากบอกว่าพวกเรารอพี่แมงมุมกลับมาที่นี่ มาเล่นน้ำงมหินสวยๆด้วยกันอีก…”

พสุธพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้เด็กๆที่ดูจะตกหลุมกับดักของแมงมุมเจ้าเสน่ห์เข้าให้แล้ว…
ก่อนจะก้มมองกล่องของขวัญในมือด้วยแววตาใคร่รู้ว่่ามีอะไรอยู่ในนั้น

…เด็กๆพวกนั้นทำอะไรให้เธอนะยัยโซดาซ่า…

“ดูเด็กๆจะชอบคุณมุมนะครับเจ้านาย…เจอกันไม่กี่ครั้งเอง…
ก่อนกลับ คุณมุมเธอทำของที่ระลึกพร้อมซื้อเป้เดินทางให้ด้วย
ตอนนั้นเด็กๆดีใจใหญ่…เห็นเธอดูแข็งๆแบบนั้นแต่เข้ากับคนที่นี่ได้ง่าย…
เด็กที่นี่มีน้ำใจครับ…พ่อแม่ของเขาสอนมาดี…”

พสุธยืนฟังนิ่งๆก่อนจะเดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้ผู้ช่วยอย่างคีรีบูรยืนงง
ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายของตนจึงดูเย็นชาผิดไปจากคนเดิมที่ขี้เล่น
มีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ…

แม้เขาจะเสียดายผู้หญิงน่ารักๆอย่างพันทิวา หากก็อดยินดีกับเธอไม่ได้
ที่ได้เคียงคู่กับผู้ชายที่ดีพร้อมอย่างเจ้านายของเขา…




..................................................



วันงาน แขกเหรื่อที่มาในงานต่างเฝ้ามองหาเจ้าสาวกับเจ้าบ่าว
ที่ยังคงทำพิธีทางศาสนาอยู่บนเรือนด้านใน…

พสุธนั่งล้อมวงบนพื้นพรมชั้นดีภายในห้องรับแขก
กับบรรดาพยานในพิธีที่ต้องไม่น้อยกว่าสองคน
และผู้ปกครองของฝ่่ายเจ้าสาวซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่จะขาดไม่ได้…

โดยมีฑยาวีย์นั่งอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนเจ้าบ่่าวที่คอยสะกิดให้เจ้าบ่าว
ที่อาจตื่นเต้นประหม่าในการรับคำของโต๊ะอีหม่ามผู้ทำพิธีแต่งงาน

เมื่อจบคำของโต๊ะอีหม่ามที่ถามเจ้าบ่าวเป็นภาษาอาหรับ
ในการรับเจ้าสาวเป็นภรรยาหรือไม่…พสุธตอบรับออกไปอย่างถูกต้องชัดเจนว่า 'รับ'…

โต๊ะอีหม่ามผู้ทำพิธีจึงเดินไปยังห้องที่เจ้าสาวนั่งอยู่
ซึ่งแยกออกจากห้องที่เจ้าบ่าวนั่งอยู่ก่อนจะถามเจ้าสาวที่มีม่านบางๆขวางกั้นอยู่ว่า

จะรับเจ้าบ่าวที่ชื่อนี้ ลูกของบุคคลนี้ด้วยสินสอดเท่านั้นเท่านี้เป็นสามีหรือไม่…

พันทิวาที่มีอากิโกะนั่งกุมมืออยู่ข้างๆตอบกลับไปว่า....'รับ'…

เท่านั้นเป็นอันว่าพิธีเสร็จสิ้นลงโดยมีทั้งพยานที่เป็นบุคคล
และลายเซ็นของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงรวมทั้งของพยาน
และผู้ปกครองของฝ่ายหญิงกับโต๊ะอีหม่ามกำกับไว้ว่าทั้งสอง
เป็นสามีภรรยากันและเป็นที่อนุมัติแก่ทั้งสองที่จะอยู่กินกัน
ด้วยพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า…

พันทิวาจึงถูกอากิโกะซึ่งทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวนำตัวจากห้องหอ
มาส่งให้กับเจ้าบ่าวที่รออยู่ข้างนอกที่ห้องรับแขก…

พสุธรับมือบางซึ่งเป็นที่อนุมัติแก่เขาที่จะแตะต้องเธอโดยไม่ผิดบาปอีกต่อไป
แล้วหยิบแหวนเพชรน้ำร้อยที่มีเพชรสีชมพูล้อมรอบ
ซึ่งเขาเป็นผู้ออกแบบเองสวมให้กับเจ้าสาวที่กลายเป็นภรรยาของเขา
อย่างถูกต้องตามหลักศาสนาแล้ว…

พันทิวาหลุบตาต่ำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของพสุธที่คงกำลังมองเธออยู่

…ปกติเธอไม่เคยเขินเอยเขาอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก่อนเลย
มันรู้สึกแปลกๆตั้งแต่เดินออกมาจากห้องนั้นแล้ว…

พสุธยิ้มที่มุมปาก มองใบหน้างามที่ตกแต่งอย่างดีด้วยช่างมืออาชีพ
ซึ่งถูกล้อมกรอบด้วยผ้าคลุมศีรษะที่มีลูกไม้สวยงามเรียงตัวอยู่บนผ้าสีชมพูสด
ของชุดเจ้าสาวที่ปกปิดเนื้อนวลเนียนของเจ้าสาวทุกสัดส่วน
ดูเหมาะสมลงตัวเข้ากันกับรูปร่างหน้าตาของคนสวมใส่…
จนมิอาจละสายตาจากคนตรงหน้าได้

“มัวแต่จ้องกันอย่างนี้ แขกเหรื่อที่กำลังรอชมความงามของเจ้าสาว
ตรงสนามหญ้าด้านล่างคงชะเง้อคอคอยกันใหญ่แล้วล่ะมั้ง…”

วายุที่มีปองขวัญยืนอยู่ข้างๆหยอกคู่บ่าวสาวด้วยรอยยิ้ม

สิ้นรักที่ยืนเคียงกันกับรังสิมันต์เดินเข้าไปหาพันทิวาแล้วกอดเอาไว้หลวมๆ
ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“พี่ดีใจด้วยนะมุม…ต่อไปนี้น้องสาวคนนี้ของพี่จะได้เลิกชักใยอยู่บนคานน้อยสักที…”

ประโยคนั้นทำเอาหลายๆคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับยิ้มขัน…

มารดาของพันทิวาเองก็อดน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ
ที่เห็นลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝาไม่ได้ จึงซบศีรษะกับบ่าสามีที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ฝากดูแลน้องสาวคนนี้ของพี่ด้วยนะดิน…ถึงแมงมุมจะดื้อจะซนเหมือนเด็กไปบ้าง
แต่เขาเป็นคนน่ารักนะ ระวังจะตกหลุมรักแมงมุมเจ้าเสน่ห์คนนี้
จนขึ้นมาจากหลุมไม่ได้ล่ะ…พี่ขอเตือนเอาไว้ก่อน…”

สิ้นรักกล่าวกับพสุธที่ยืนยิ้มเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย

“ไม่แน่ว่าอาจเป็นเขาที่ตกหลุมดำอย่างผมจนหาทางออกไม่เจอก็ได้นะครับ…”

พันทิวาหันขวับมามองคนพูดทันทีที่เขาพูดจบ
ก่อนจะหลุบตาต่ำอีกครั้งเมื่อเขาจ้องเธอกลับอย่างไม่ลดละ…

…แววตาของเขาวันนี้ทำให้รู้สึกแปลกๆชอบกล…
มันทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย…


“มาอยู่ที่นี่แล้วอย่าทำตัวเป็นลิงปืนต้นไม้เหมือนอยู่บ้านสวนนะเจ้ามุม”

พยัคฆ์พูดในขณะวางมือลงบนบ่าของน้องสาว พันทิวาจึงส่งค้อนให้พี่ชาย
ไปเป็นที่ระลึกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากทุกๆคนในห้องรับแขก

“ยินดีด้วยนะจ๊ะน้องรักของพี่ ลงจากคานแล้วสิ
คราวนี้ก็เหลืออีกสองหนุ่มเท่านั้นที่ยังยืนยงเฝ้าเสาคานของบ้านอาทิตยะ…
ยอมให้น้องปาดหน้าไปอย่างหวุดหวิด…”

ธารากล่าวกับพสุธก่อนจะหันไปทางพี่ชายอย่างตะวัน
กับน้องชายอย่างวายุที่กำลังฉีกยิ้มส่งมาให้

“นั่นน่ะสิคะ…ตอนแรกๆเหยี่ยวก็กำลังเชียร์พี่ลมสุดใจว่าจะลงจากคาน
ปาดหน้าพี่เพลิงสำเร็จรึเปล่า เห็นปาดหน้ากันไปปาดหน้ากันมาอยู่ตั้งนาน

ที่ไหนได้ ทั้งสองกลับโดนเจ้าดิน เจ้าม้ามืดของเราปาดหน้าไปซะงั้น…”

ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะของทุกคนในห้องรับแขกลั่น

จะมีก็แต่พันทิวาที่ได้แต่ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
พสุธลอบมองท่าทางนั้นของหญิงสาวแล้วยิ้มที่มุมปากนิดนึง

“ประธานชมรมคานน้อย คอยรักของเราก็โดนน้องมุมปาดหน้ามาเหมือนกันค่ะ…
เห็นตั้งท่าจะลงจากคานน้อยอยู่เหมือนกัน
สงสัยขาสั้นค่ะ เลยลงไม่ทันขายาวๆอย่างน้องมุม…”

เลอเลิศอดใจไม่ไหวเมื่อเห็นสิ้นรักกับคุณหมอของเธอยืนส่งยิ้มหวานๆให้กัน
จนมดดำมันแดงแห่กันมาไต่ขาของเธอที่ยืนหมั่นไส้อยู่ใกล้ๆ

“อีกไม่นานเกินรอครับพี่เริศ เพราะถึงว่าที่เจ้าสาวของผมจะขาสั้น
ลงจากคานช้ากว่าคนอื่น แต่ผมมือยาว สาวถึงอยู่แล้วครับ…”

รังสิมันต์หันไปหยอกเลอเลิศที่สะบัดหน้าพรืดไปอีกทางอย่างขำขัน

สิ้นรักยืนก้มซ่อนหน้าแดงๆของตน หากรังสิมันต์รู้ทันจึงพูดย้ำ
แกล้งคนหน้าแดงต่ออีกนิดว่า

“ถ้าประธานชมรมถูกลากลงจากคานสำเร็จ ใครจะเป็นผู้โชคดี
แบกคานน้อยต่อไปล่ะครับพี่เริศ…”

สิ้นรักเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันที
ก่อนจะรู้ตัวว่าโดนคนตรงหน้าลวงสังหารให้เสียแล้ว
สิ้นรักจึงยกมือปิดหน้าตัวเองทันทีที่รู้ตัวว่าเขาหลอกมองหน้าแดงๆของเธอ

รังสิมันต์จึงได้แต่ยิ้มขันกับท่าทางนั้นของเธอ

“นี่ไงคะ…ทายาทคนต่อไป…ท่ีจะมารับช่วงต่อ…”

ปองขวัญชี้ไปทางพี่ชายฝาแฝดของเธอที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอัดวิดีโอ
เก็บบรรยากาศของงานอยู่

เต็มกมลที่โดนน้องสาวโยนคานเข้าใส่แทบรับคานมาแบกไว้เกือบไม่ทัน

“ใช่แล้วค่ะ…พี่ปุ๊…คือ…ทายาท…คนต่อไป…”ช่อลิลลี่เสริม
รับมุกต่อจากปองขวัญพร้อมเสียงซาวด์แทร็ก

“แหม…ไม่ต้องดีใจจนพูดไม่ออกก็ได้พี่ปุ๊…
อยากได้คานน้อยของพี่เป็ดวามาแบกไว้นานแล้วล่ะสิ ลี่รู้น้าาาาา…”
เต็มกมลมองคนพูดอย่างเคืองๆ

“ความจริงแกเหมาะกับตำแหน่งนี้มากกว่าใครนะไอ้ลี่…
เพราะถ้าแกรับมรดกตกทอดจากไอ้สิ้นไป รับรองว่าไม่มีใครได้รับต่อจากแกอีกแน่ๆ…
แกจะได้เป็นทายาทแบกคานน้อยตลอดไปไง…”

“ทำไมล่ะพี่ปุ๊ พูดซะลี่งงนะเนี่ย…”

“ก็เพราะว่าไม่มีใครเขากล้าแต่งงานกับแกน่ะสิ…
ดังนั้น มรดกท่ีตกทอดมาถึงแกก็จะเป็นของแกไปจนตายไงล่ะ…ไอ้ลี่…”

เท่านั้น ช่อลิลลี่ก็ถึงกับลมออกหู ย่างสามขุมเข้าไปหาเต็มกมล
ด้วยแววตาวาววับจับแสง แต่ไม่ทันได้ฟาดฟันกัน
เต็มกมลก็รีบเผ่นลงจากเรือนไปพร้อมเสียงหัวเราะดังสะท้าน

บอกเป็นนัยๆให้รู้ว่า คานน้อยที่สิ้นรักอุตส่าห์แบกข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากญี่ปุ่นนั้น
ตกทอดไปเป็นของใครต่อจากนี้…



หลังจากนั้น…เจ้าบ่าวก็ประคองเดินเคียงคู่กับเจ้าสาวลงไปยังสนามหญ้า
ซึ่งเป็นสถานที่รับรองแขกในงานซึ่งถูกตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม

ทิ้งให้ตะวันมองตามหลังทั้งสองไปด้วยรอยยิ้ม
ตามตะวันนั่งลงข้างๆรถเข็นของตะวันแล้วถามเขาว่า

“พี่เพลิงคิดว่า ดินกับแมงมุม เขาสองคนจะมีทางรักกันได้รึเปล่าคะ…”
ตะวันหันไปสบตาคนพูดแล้วยิ้มที่มุมปาก

“พี่ว่าเขาสองคนน่าจะรักกันไปแล้วมากกว่า…แค่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง…มั้ง”

คำพูดตอนท้ายเหมือนไม่กล้าฟันธง…
ตามตะวันกระตุกคิ้วนิดนึง แล้วค่อยๆเข็นรถพาตะวันไปยังระเบียงบ้าน
ที่สามารถมองเห็นภาพบรรยากาศของงานทั้งหมดได้…





หลังส่งบ่าวสาวเข้าห้องหอเรียบร้อย…
พสุธก็ออกเดินทางไปดูงานที่ประเทศเยอรมันทันที…
เพราะวันมะรืนจะมีประชุมระดับนานาชาติเกี่ยวกับงานด้านสถาปัตยกรรมที่นั่น…
งานนี้พสุธจึงมิอาจบอกปัดได้ จะให้พี่สาวอย่างอากิโกะไปแทน
เจ้าตัวก็ติดงานไม่สามารถออกเดินทางในช่วงนี้ได้
อีกทั้งหลานแฝดของเขาก็กำลังไม่สบาย…จึงเป็นหน้าที่ของเขา
ที่จะเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
ซ้ำยังต้องเร่ร่อนไปดูงานที่ญี่ปุ่นกับที่สิงคโปร์เป็นคิวถัดไปอีก...
ตารางการเดินทางของเขาแน่นเสียยิ่งกว่าครั้งใดๆในชีวิตของการทำงาน...

คืนเข้าหอจึงเป็นคืนส่งตัวเจ้าบ่าวไปต่างประเทศแทน…

พันทิวายืนส่งพสุธตรงประตูขาออกด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
เพราะต้องรับแขกและเดินดูแลแขกเหรื่อทั้งวัน
ตั้งแต่เช้าจนบัดนี้เกือบเที่ยงคืนแล้ว เธอยังไม่ได้พักหายใจหายคอเลย

แถมยังต้องถ่อสังขารนั่งรถมาที่สนามบินเพื่อส่งเจ้าบ่าวขึ้นเครื่องอีก

จะมีคู่บ่าวสาวคู่ไหนในโลกใบนี้บ้างนะที่เหมือนคู่ของเธอ…

แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะจะได้ไม่มีเจ้าบ่าวคอยกวนใจ
ก็เขาเล่นทัวร์ดูงานยังต่างแดนร่วมเดือน…คราวนี้ล่ะเธอจะได้ไม่ต้อง
เจอหน้าเขาให้ไม่สบายในหัวใจ…

“ดูแลตัวเองด้วยนะดิน…ถ้าพี่ไปแทนเราได้พี่ก็อยากจะไป…
ไม่อยากให้คืนส่งตัวต้องจบลงแบบนี้เลย…”

อากิโกะพูดกับน้องชายด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจและรู้สึกผิดนิดๆ…

“อย่ากังวลไปเลยพี่เหยี่ยว ผมบินเดี่ยวได้สบายอยู่แล้ว
ตอนแรกกะจะกระเตงเจ้าสาวไปด้วย แต่เห็นใจให้อยู่ทางนี้ดีกว่า…”

ประโยคหลังพสุธหันไปทางพันทิวาที่ยืนปิดปากหาวหวอดๆไปไม่รู้กี่รอบแล้ว…

“งั้นส่งผมแค่นี้ดีกว่า…เดี๋ยวผมก็จะเข้าไปแล้ว
เพราะถ้าช้ากว่านี้มีหวังเจ้าสาวของผมต้องกลายเป็นคนสามหาวแน่ๆ ฮีๆๆ”

พสุธหัวเราะในตอนท้าย คนที่กำลังหาวเพราะง่วงนอนสุดๆได้ยินเข้า
จึงหันมามองว่าเขาหัวเราะอะไร เธอไม่ทันฟัง

พสุธเห็นสีหน้างงๆของเธอก็ให้นึกเอ็นดู…จึงเดินเข้าไปสวมกอดเธอ
แล้วพูดให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า

“แล้วจะรีบกลับมานอนกอดนะจ๊ะเมียจ๋า…”

พันทิวาผลักคนพูดออกทันทีราวกับเขาเป็นของร้อน
ก่อนจะทุบเข้าที่หน้าอกพสุธสองทีด้วยสีหน้าเคืองๆ

เรื่องอะไรเขาต้องเรียกเธอว่า 'เมียจ๋า' ด้วย
มันแสลงในหัวใจยังไงก็ไม่รู้สิ เธอไม่ชอบคำๆนี้เลยจริงๆ ให้ตายเถอะ

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า…”พสุธยิ้มกว้างก่อนจะหันไปลาพี่น้องคนอื่นๆที่มาส่งเขา
เว้นพี่ชายคนโตเพราะไม่สะดวกที่จะมาส่ง

เมื่อสั่งลาเสร็จชายหนุ่มก็เดินเข้าไปข้างใน

ก่อนไปยังไม่วายหันมามองหน้าหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาอีกครั้ง

พันทิวาแสร้งทำสีหน้าเมินเฉย ทั้งที่ก็อยากจะส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้เขาอยู่เหมือนกัน

…ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยด้วยเถิด…

นี่คือสิ่งเดียวที่พันทิวาทำได้ในขณะนี้ เพราะเธออายหากต้องพูดให้เขาได้ยิน

…คนเคยร่วมงานกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย
อย่างไรเสียก็อดห่วงไม่ได้เหมือนกัน มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความห่วงใย
ของคนที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนก็เท่านั้น…




ดังนั้นตลอดระยะเวลาเกือบเดือน พันทิวาถูกขอร้องให้อยู่บ้านอาทิตยะ
โดยมีหน้าที่คือดูแลบ้าน หรือจะเรียกให้ถูก ก็คือ เฝ้าบ้านนั่นเอง

เธอก็เลยรับงานจากบริษัทมาทำที่บ้าน และแวะเวียนไปหาสิ้นรัก
ช่วยเหลืองานในส่วนที่เธอทำอยู่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่คู่รักต่างพากันจัดงานแต่งงาน
สิ้นรักจึงยุ่งอยู่กับงานแต่งของคนอื่น จนไม่มีเวลาให้กับเรื่องความรักของตัวเอง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะลงใต้เพื่อไปพิชิตหัวใจของมารดาของรังสิมันต์

หากเอาเข้าจริง เธอกลับไม่สามารถปลีกเวลาลงไปได้

ส่วนรังสิมันต์นั้นกลับไปที่เกาะรังหลายสัปดาห์แล้ว
เพราะมีภาระหน้าที่ต้องทำเช่นกัน

หากก็ไม่ลืมที่จะโทรคุยกันสองเวลา คือตอนตื่นนอนกับตอนเข้านอน…

แม้อุปสรรคความรักจะยังคงมีอยู่ แต่ทั้งสองต่างเชื่อว่า

เมื่อถึงเวลาเขาและเธอคงได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันในที่สุด

เพราะรังสิมันต์เองก็อยากอยู่ห่างจากสิ้นรักในช่วงที่ยังไม่แต่งงานกัน
เนื่องจากอยู่ใกล้ทีไรอดใจไม่ไหวทุกที อยู่ห่างๆกันอย่างนี้
แม้จะคิดถึงสักแค่ไหน แต่ก็ทำให้หญิงสาวที่เขารักปราศจากมลทินด้วยน้ำมือเขา

…เขาจึงต้องอดเปรี้ยว ไว้กินหวาน…



“เดี๋ยวนี้ขึ้นนั่งแท่นแทนดินแล้วเหรอ…”

พันทิวามองหน้าเจ้าของเสียงที่ไม่แม้แต่จะเคาะประตู้ห้องก่อนเข้ามา
สงสัยคงคิดว่าคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้เป็นนายดินทรายล่ะสิ
สีหน้าถึงได้แสดงออกถึงความไม่พอใจสุดขึดเมื่อเห็นเธอ…

“ถ้าคิดจะมาหาแฟนเก่าของเธอล่ะก็…เขาไม่อยู่หรอก…”

“ฉันรู้ว่าดินไม่อยู่ ที่มาเนี่ยก็อยากจะแวะมาดูหน้าของภรรยา
ที่มีหน้าที่แค่ทำงานรองมือรองเท้าดินเท่านั้นแหล่ะ…

เห็นได้ข่าวมาว่าเจ้าบ่าวเล่นเดินทางไปต่างประเทศในคืนส่งตัวด้วยนี่…
ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมา ปล่อยให้เจ้าสาวนอนรอเก้อในห้องหอเป็นเดือนอย่างนี้…
น่าเห็นใจจริงๆ…”

น้ำเสียงและสีหน้าราวกับสมเพสอีกฝ่าย มิได้ทำให้พันทิวารู้สึกเจ็บปวด
ออกจะเห็นใจและสมเพสคนพูดเสียมากกว่า

“เก็บความรู้สึกของเธอเอาไว้ปลอบใจตัวเองดีกว่านะ…
แล้วกลับบ้านไปก็รีบอาบน้ำสระผมซะด้วยล่ะ

ฉันรู้สึกว่าหัวของเธอเริ่มส่งกลิ่นเน่าๆขึ้นมาแล้วนะ…
เดี๋ยวจะกลายเป็นหมาวัวเน่า…ฉันเตือนเอาไว้ก่อน…

เพราะคนอย่างฉันเป็นคนรักสะอาด ไม่ชอบใช้ของร่วมกับใครซะด้วย…
กลัวติดเชื้อโรคน่ะ…”คนฟังแทบเต้นร่า หากก็หักห้ามกริยาท่่าทางดังกล่าวเอาไว้ได้…

“ดินเขาบอกฉันหมดแล้วล่ะว่าทำไมต้องแต่งงานกับเธอ…
คนอย่างเธอน่ะไม่มีทางหยุดผู้ชายอย่างดินได้หรอก…
เขาเป็นผู้ชายเจ้าสำราญ ซึ่งเธอคงต้องขยันทำความสะอาดและฆ่าเชื้อหน่อยล่ะนะ…”

“ถ้ามาเพื่อที่จะสมน้ำหน้าฉัน…เธอก็ควรจะกลับไปได้แล้วล่ะ…
เพราะฉันมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย ไม่มีเวลามาเสวนาเรื่องไร้สาระกับเธอหรอกนะ…”

พันทิวาพูดตรง ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา
ทำให้คนฟังถึงกับโกรธหน้าแดง…

“ก็ได้…แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่าคนอย่างฉันไม่มีวันยอมแพ้ทอมอย่างเธอแน่
ถึงดินจะแต่งงานไปแล้ว แต่มันก็แค่การแต่งงานหลอกๆก็เท่านั้น…”

พันทิวาหัวเราะฮึๆในลำคอมองคนพูดไปก็ส่ายหน้าไป

“การแต่งงานหลอกๆมันก็ยังดูดีกว่าถูกหลอกกินฟรีล่ะน้า…
อย่างน้อยเลิกกันไปก็ยังได้สมบัติเป็นของแถม…
ไม่เสียตัวเสียใจเปล่าๆ ว่ามั้ยล่ะ…”

คนฟังจ้องพันทิวาด้วยแววตาวาวโรจน์…ยัยนี่กำลังด่าเธอ…

“แต่ถ้าเธอต้องการให้เขาจัดงานแต่งงานให้อย่างฉันด้วยล่ะก็ ฉันก็ไม่ว่านะ
ฉันเองก็จะได้เธอมาช่วยทำงานแบ่งเบาภาระด้วย…จะได้ไม่เหนื่อยอย่างนี้…

เธอเองก็ไม่ต้องแอบหลบๆซ่อนๆให้เป็นขี้ปากชาวบ้านเขา…
เพราะสถานะของแฟนเก่าของเธอน่ะเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้โสดอย่างเมื่อก่อน…

ดังนั้น ถ้าเธอยังไม่เลิกนิสัยการกินแบบเก่าๆ คนที่น่่าสมเพสและน่าเห็นใจ
ก็จะเป็นเธอ…ไม่ใช่ฉันหรอก…เธอเองก็ดูฉลาด น่าจะเข้าใจอะไรได้ง่าย”

คำพูดแสบๆคันๆกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้าทำให้คนที่กะจะมาสมเพสเวทนาอีกฝ่าย
ถึงกับโดนสวนกลับแบบปวดแสบปวดร้อนแทน…

“เพราะคงอีกนานกว่าฉันจะหย่ากับเขา…เธอเองก็รู้นี่ว่าสมบัติของเขาน่ะ
มีไม่ใช่น้อย ยิ่งนานวันก็ยิ่งเพิ่มพูน อย่างน้อยกว่าจะหย่ากัน
ฉันก็คงได้กำไรจากการแต่งงานหลอกๆครั้งนี้ไปเยอะเหมือนกัน

ยิ่งเขาไม่หลงไหลในตัวฉันแต่กลับไปหลงไหลเธอแทนก็ยิ่งดี
เพราะเผลอๆฉันอาจไม่ต้องเสียตัวเสียใจอย่างที่เธอกำลังประสบอยู่ในตอนนี้…

แล้วพอหย่ากันก็ได้สมบัติพร้อมกับพรหมจรรย์กลับบ้านไปด้วย…
จะหาสามีใหม่ก็คงไม่ยาก เพราะยังสดและกลับมาโสดอีกรอบ…
เธอลองคิดดูสิ…ว่าจะมีหญิงใดในโลกนี้ที่จะน่าอิจฉาเท่าฉันอีก…”

พันทิวากล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่นต่างจากอีกฝ่ายที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะโต้กลับไป
เพราะพันทิวาเร็วกว่าก้าวนึงเสมอ…

“อย่างว่าล่ะนะ คนทำผิดบาป แอบลักลอบทำอะไรกันแบบผิดๆ
จะหาความสุขที่แท้จริงและความโชคดีอย่างคนที่เขาทำทุกอย่าง
ให้ถูกทำนองคลองธรรมคงไม่ได้…เพราะไอ้ที่เธอคิดว่าเขาจะรัก
และหลงไหลคลั่งไคล้เธอน่ะ มันจะยืนยาวรึไง…

ถ้าเขารักเธอจริง ทำไมถึงไม่ขอเธอแต่งงานและอยู่กินกันอย่างเปิดเผยล่ะ
หรือว่าเธอเต็มใจที่จะหลบๆซ่อนๆอยู่แบบนี้…

ผู้ชายที่มักมากอย่างนั้น ยิ่งมีให้ชื่นชมพร้อมกันหลายๆคน
เขาก็ไม่จำเป็นต้องสลัดใครสักคนทิ้งไปนี่…ว่ามั้ย…”

“เธอพูดเหมือนไม่ชอบดิน แล้วทำไมถึงยอมแต่งงานกับเขา…”

“แล้วเธอเห็นว่าฉันสูญเสียอะไรไปกับการแต่งงานครั้งนี้บ้างล่ะ…
ชื่อเสียงของฉันก็ได้คืนมา หน้าที่การงานก็ก้าวหน้าขึ้น
ชีวิตความเป็นอยู่ก็สุขสบาย เพราะครอบครัวอาทิตยะก็แสนจะอบอุ่น…
ทุกคนต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน…ฉันไม่เห็นว่าการแต่งงานหลอกๆที่เธอว่า
จะทำให้ชีวิตของฉันตกต่ำลงสักนิด…ทำไมฉันต้องปฏิเสธสิ่งดีๆแบบนี้ด้วยล่ะ…”

“ที่แท้เธอก็เห็นการแต่งงานเป็นเรื่องของผลประโยชน์
ถ้าดินรู้เข้าคงเสียใจ…”

“เพราะฉันไม่ใช่คนที่เห็นการอยู่กินกันก่อนแต่งงานเป็นเรื่องสนุกน่ะสิ…
มันเหมือนกับยอมสังเวยร่างกายและจิตใจให้กับความรักใคร่โดยใช่เหตุ…

และนายดินทรายก็คงไม่มัวมานั่งเสียใจกับการสูญเสียผลประโยชน์
เล็กๆน้อยๆของเขาที่ฉันได้ไปหรอก…เพราะเขาก็ยังคงเป็นเขา
ที่คงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอย่างเธอบอก…

และฉันก็ไม่เคยมีนโยบายที่จะหยุดผู้ชายเจ้าชู้อย่างเขาด้วย…
เพราะมันคงลำบากน่าดู…ฉันขี้เกียจพยายามให้เสียเวลาเปล่าๆ…”

คนฟังถึงกับอึ้งกับความคิดของพันทิวา
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่นะ…ภายนอกว่าแข็งแล้ว ข้างในนั้นยิ่งแข็งกว่า

เธอว่าพสุธเป็นแผ่นดินที่แน่นหนักต่อความหวั่นไหว
และมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆแล้ว

แต่มาเจอผู้หญิงตรงหน้า พันทิวายิ่งกว่าแผ่นหินเสียอีก…

แผ่นหินที่เหมือนไม่รู้สึกสะทกสะท้านต่อสิ่งใด
เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามทำให้ผู้หญิงตรงหน้าสั่นไหวและเจ็บปวดครั้งใด
กลับเป็นเธอเสียเองที่ต้องเจ็บกายเจ็บใจกลับไปทุกครั้ง…







“ยังไม่เข้านอนอีกเหรอคะพี่เพลิง…”พันทิวาเดินมายังระเบียง
ก็พบว่าตะวันยังคงนั่งอยู่บนรถเข็นทั้งๆที่ตามตะวันกลับคอนโดไปตั้งนานแล้ว

“พี่ยังไม่ง่วง ก็เลยเอางานที่บริษัทมาดูแก้เซ็ง ไม่ได้ทำงานนานๆ
รู้สีกกลั้นเนื้อกลั้นตัวยังไงก็ไม่รู้…”

พันทิวานั่งลงบนม้านั่งใกล้ๆรถเข็นของตะวัน
ก่อนจะยิ้มบางอย่างเข้าใจความรู้สึกของคนพูด

“ว่าแต่เราเถอะ ทำไมยังไม่นอนอีก…”หนุ่มใหญ่หันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขา

“มุมก็ยังไม่ง่วงเหมือนกันค่ะ ก็เลยกะจะออกมานั่งรับลมตรงระเบียงบ้าน
เพราะเวลากลางคืนมักจะได้กลิ่นดอกมะลิโชยมา ทำให้รู้สึกเย็นสบาย
ผ่อนคลายดีค่ะ…มุมชอบบรรยากาศตรงระเบียงบ้านที่สุดเลยค่ะ…”

หญิงสาวกล่าวในขณะที่ยิ้มทั้งปากทั้งตา…ตะวันมองเสี้ยวหน้าของเธอ
แล้วก็ให้นึกเอ็นดู…คิดถึงน้องสาวสุดท้องอย่างพิศนภาขึ้นมา

“เห็นเรามาอยู่ที่นี่แล้วมีความสุขดี พี่ก็ดีใจ…”

“ทุกคนที่นี่ต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกัน อยู่ด้วยแล้วอบอุ่นไม่ต่างจากอยู่ที่บ้านน่ะค่ะ…
อีกอย่างมุมไปอยู่ต่างแดนมาหลายปี ก็เลยชินแล้วกับการย้ายที่และการเปลี่ยนแปลง…”
พันทิวากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เหมือนนกนั่นแหล่ะค่ะ…ที่ต้องโผบินจากถิ่นป่าไพร่
ข้ามภูเขาใหญ่ที่ทั้งสูงชันและแสนลำบากไปสู่สังคมเมืองที่แสนวุ่นวาย
หวังเพียงจะนำความสำเร็จที่ฝันไว้กลับบ้านเกิด…แต่กว่าจะบินคืนรังได้
ปีกที่บอบช้ำต้องข้ามผ่านภูเขาสูงชันอีกครั้ง ต้องฝ่าแดดลมฝนมาหลายปี…
และทุกครั้งที่มุมหมดแรงจะบินต่อ มุมก็นึกถึงคำพูดที่แม่เคยฝากไว้
ก่อนจากอ้อมอกท่านไปอยู่ยังต่างแดนเสมอ…”

พันทิวาหันมายิ้มให้ตะวันแล้วพูดถึงถ้อยคำของมารดาว่า…

“แม่มุมบอกมุมเอาไว้ว่า…รุ้งกับดาวอาจจะอยู่บนฟ้าเดียวกัน…
แต่มันจะปรากฏให้เห็นกันคนละเวลา…ไม่มีใครได้เป็นเจ้าของของมันหรอก…

ก่อนรุ้งจะทอให้เราเห็น เราต้องเจอและผ่านเมฆฝนไปให้ได้ก่อน…
แม้จะไร้มือใครมาประคอง เราก็ต้องบินต่อไป…
เพื่อจะได้เห็นรุ้งสวยงามทอสีสันอยู่บนฟ้าหลังฝน…
และเมื่อตะวันลับฟ้า นกบินกลับรัง ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเราจะสิ้นแสงสว่าง
หรือการเดินทางของชีวิตได้สิ้นสุดลง เพราะบนฟ้ายังมีสิ่งสวยงามไม่ต่างไปจากรุ้ง
นั่นก็คือดวงดาว…ให้มุมเดินต่อไปแม้ไม่มีรุ้งสวยงามในยามค่ำคืน
แต่ฟ้าก็ยังมีดวงดาวระยิบระยับจับฟ้า…”

พันทิวาหันมามองตะวันที่กำลังมองดวงดาวบนท้องฟ้า
แม้ดวงดาวจากจุดที่มองอยู่นั้นจะต่างจากดวงดาวที่บ้านซึ่งดูสุกสะกาวกว่าที่นี่
เพราะที่บ้านนั้นไม่มีแสงสีคอยบดบังแสงของดวงดาว

ดวงดาวที่บ้านจึงดูน่ามองกว่าที่นี่ยิ่งนัก…
แม้จะเป็นดาวดวงเดียวกัน แต่กลับมองเห็นไม่เหมือนกัน…

“แม่ตำลึงบอกว่า…เราไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าสิิ่งสวยงามอย่างรุ้งกับดาวมาครอบครอง
เราก็สามารถมองมันด้วยความสุขได้…

ความสุขจึงไม่ได้อยู่ที่ได้ครอบครองสิ่งที่เราต้องการ
แต่ความสุขมันอยู่ที่สิ่งที่เราต้องการยังคงสวยงามทุกครั้งที่เรามองมัน…

ถ้าการไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการมันเหนื่อยเกินไป ก็กลับคืนรังเถิด…
เพราะที่รังยังมีพ่อกับแม่รออยู่เสมอ…”

ตะวันยิ้มให้พันทิวาที่แววตากำลังสั่นไหวระริก…เขารู้ว่่าทำไมเธอจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา…
พันทิวาอาจจะกำลังท้อแท้กับอะไรบางอย่าง…

“เมื่อคืน…มุมฝันเห็นรุ้งที่สวยมากๆ ในชีวิตมุมไม่เคยเห็นรุ้งที่ไหน
จะสวยงามเท่าในฝันมาก่อน…มันเป็นรุ้งที่มีสีสันสวยงามในยามกลางคืน
ท้องฟ้ามืดดำสนิท แต่กลับมีรุ้งพาดผ่านมาให้มุมได้เห็น

มุมพยายามที่จะถ่ายรูปสายรุ้งนั้นเก็บไว้ให้คนอื่นได้ดูบ้าง
แต่พอจะกดชัตเตอร์ รุ้งนั้นก็หายไป มุมก็เลยมองหาแสงตะวันที่ทำให้เกิดรุ้ง
เพราะถ้าไม่มีตะวัน ก็คงไม่มีรุ้งให้มุมเห็น…

มุมก็เลยมองหาตะวันซึ่งคงอยู่ทิศตรงกันข้ามกับรุ้ง แต่กลับไม่เจอ
เห็นเพียงแสงรำไรอยู่ตรงขอบฟ้า มุมก็เลยงงๆว่ารุ้งมาได้ยังไง…

มุมก็เลยหันกลับมามองรุ้งอีกครั้ง ก็เห็นรุ้งยังคงทออยู่บนฟ้าสีดำ
มุมเลยพยายามที่จะถ่ายรูปอีกครั้ง มันก็หายไปอีก
พอมุมวางกล้องลง รุ้งก็โผล่มาให้เห็นอีก…

มุมจึงพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะถ่ายภาพสายรุ้งนั่น
แต่ก็เหมือนเดิม มุมก็เลยเลิกถ่่าย เลิกวุ่นวายกับการพยายาม
แล้วหันไปชื่นชมมองรุ้งอย่างเต็มตา เลิกสนใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

แล้วมุมก็พบว่ามุมมีความสุขมากๆเลยค่ะที่ได้มองมันเต็มตา
ขนาดตื่นขึ้นมามุมยังยิ้มอยู่เลย…”

พันทิวายิ้มในขณะที่มองไปยังท้องฟ้า

ตะวันหันมาก็เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอที่แต้มรอยยิ้มอยู่…
ตะวันจึงถามออกไปว่า

“แล้วระหว่างแสงตะวันกับสายรุ้ง อะไรคือสิ่งที่เรามองแล้วมีความสุขกว่ากันฮึแมงมุม…”

พันทิวาหันมามองก็พบว่าคนที่นั่งข้างๆ
มองเธออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว หญิงสาวจึงรู้สึกเขินนิดๆ…
ก่อนจะตอบออกไปว่า…

“ถ้ามุมเป็นดอกทานตะวัน มุมคงตอบไปว่า ดวงตะวันแล้วล่ะค่ะ
เพราะมุมเห็นดอกทานตะวันมันได้แต่เฝ้ามองดวงตะวัน
ติดตามดวงตะวันอยู่ตลอดเวลาที่ดวงตะวันสาดแสงอยู่บนฟ้า
และยังคงเฝ้ารอดวงตะวันในวันรุ่งขึ้นเสมอจนกว่าจะเหี่ยวเฉาไปอย่างน่าสงสาร…

ถ้าดอกทานตะวันไม่มีความสุขที่ได้ติดตามดวงตะวัน
มันก็คงไม่ทำอย่างนั้น…พี่เพลิงว่ามั้ยคะ…”ตะวันยิ้มบางตรงมุมปาก

“บางครั้งดอกทานตะวันอาจจะไม่ได้มีความสุขตลอดเวลาที่เฝ้ามองดวงตะวันก็ได้…
มันอาจจะกำลังร้องไห้ที่ต้องแสงตะวันที่บางครั้งก็ร้อนเกินไปสำหรับมันก็ได้…”
พันทิวายิ้มพลางคิดตาม…

“แต่บางครั้งแสงตะวันก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นนะคะ…
เวลาเห็นตะวันใกล้ลับขอบฟ้าไป…มุมยังแอบใจหายเลยค่ะ…”

“แล้วรุ้งล่ะ…”

“ถ้าไม่มีดวงตะวัน จะมีรุ้งได้ยังไงล่ะคะ…”

“แล้วถ้าบนท้องฟ้ามีทั้งรุ้งและดวงตะวันพร้อมกัน เราจะเลือกแหงนมองอะไรล่ะครับ…”
พันทิวายิ้มเมื่อจนแต้ม…

“ก็ต้องรุ้งอยู่แล้ว ก็รุ้งออกจะสวยน่ามองออกอย่างนั้น…”

“แสดงว่าดวงตะวันสำหรับเรา มีไว้เพื่อให้ความอบอุ่นเท่านั้น
แต่ถ้าให้เลือกมอง เราก็ต้องเลือกมองรุ้งใช่มั้ย…

แม้แต่รุ้งที่เกิดขึ้นในยามมืดมิดอย่างกลางคืน
เราก็ยังเลือกที่จะมองรุ้งมากกว่ามองดวงดาวที่มีให้เห็นเป็นประจำทุกค่ำคืน…

เพราะฉะนั้น รุ้งจึงมีความสำคัญและทำให้เรามีความสุข…
มากกว่าการมองดวงตะวันและมองดวงดาว
ที่เราเห็นและชื่นชมเป็นประจำใช่มั้ยแมงมุม…”

“โธ่พี่เพลิง…รุ้งน่ะเกิดขึ้นบ่อยๆซะที่ไหนล่ะคะ…นานๆจะมาให้เห็นสักที
มุมก็ต้องขอเลือกมองรุ้งไว้ก่อนอยู่แล้ว…ดวงตะวันกับดวงดาวน่ะ
มองเมื่อไหร่ก็ได้นี่นา…เพราะอย่างไรซะทั้งสองก็คงไม่หนีหายไปไหนอย่างรุ้ง…
ที่เมื่อถึงเวลาก็ต้องจางหายไปจากฟากฟ้า ไม่รู้เมื่อไหร่จะกลับมาให้เห็นอีก”

พันทิวากล่าวราวกับเข้าใจความนัยของอีกฝ่าย

เขากำลังพูดเหมือนให้เธอเลิกมองเขาในแบบนั้นเสีย…
โดยพยายามให้เธอหันไปมองสิ่งสวยงามอย่างรุ้งแทน…

“แสดงว่าเราคงกำลังรอรุ้งที่จางหายไปจากฟากฟ้าอยู่ใช่มั้ย…”

พันทิวากระตุกคิ้วนิดนึง พี่เพลิงสื่อตรงๆจนเธอใจสั่นแปลกๆ

“ถ้าพี่เพลิงหมายถึงน้องชายของพี่ล่ะก็…ไม่ใช่เลยค่ะ…เขาไม่ใช่สายรุ้ง
เพราะมุมไม่ได้รอเขากลับมาสักหน่อย…ออกจะมีความสุขที่สุด
ที่ไม่มีคนมาคอยหาเรื่องกวนใจ…”

“ไม่รู้สึกโล่งๆบ้างเลยเหรอ ที่ไม่มีเขาน่ะ…”พันทิวาส่ายหน้าไปมา

“ไม่เลยค่ะ…ทุกอย่างยังเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น…
เพราะถ้าเขาเป็นรุ้ง มุมก็คงได้แค่มองอยู่ดี…ไม่มีทางได้ครอบครอง
ไม่ว่าจะยามกลางวันหรือยามกลางคืน…เหมือนดวงตะวันนั่นแหล่ะค่ะ
ถึงจะทำให้มุมอบอุ่นใจแค่ไหน แต่ก็ได้แค่มองอยู่ไกลๆเหมือนกัน…”

“แล้วถ้าดวงตะวันหายไป กับสายรุ้งหายไปจากฟากฟ้า อะไรจะทำให้เรา
รู้สึกใจหายได้มากกว่ากัน…”

พันทิวาครุ่นคิดแล้วหันไปมองท้องฟ้า

ถ้ารุ้งที่เธอเห็นในฝันเกิดมีจริงๆในโลกใบนี้…
แล้วรุ้งที่ว่าโผล่มาให้เห็นบนฟ้าที่มืดมิดแบบนี้ขึ้นมาจริงๆล่ะก็
เธอคงไม่ขอมองสิ่งใดอีกแล้ว

แต่รุ้งที่เธอเจอมันแสนจะธรรมดาอย่างที่เคยพบเห็นบ่อยๆ
ไม่เหมือนสายรุ้งในความฝัน…

ดังนั้น…ระหว่างดวงตะวันกับรุ้ง เธอคงเลือกดวงตะวันอย่างพี่เพลิงอยู่ดี…

ในเมื่อรุ้งที่พี่เพลิงหมายถึงคือนายดินทราย…
ผู้ชายที่ไม่ได้สวยงามน่ามองอย่างรุ้งในความฝันของเธอ…
เรื่องอะไรเธอจะต้องใจหายถ้าคนที่ต้องจากไปเป็นเขา…

“สำหรับมุมดวงตะวันย่อมสำคัญกว่ารุ้งอยู่แล้วค่ะ…เพราะรุ้งหลากสี
เป็นเพียงแค่สิ่งสวยงามประดับท้องฟ้าเท่านั้น รุ้งไม่ได้ทำให้มุมรู้สึกอุ่นใจ
หรือทำให้มุมมองเห็นหนทางก้าวเดิน…ขาดรุ้งไปมุมคงไม่ตาย
แต่ถ้าต้องขาดดวงตะวันไป…คงไม่ใช่แค่มุมเท่านั้นที่ต้องตาย
ทุกชีวิตก็คงต้องดับสิ้นไปเหมือนกัน…

อาจจะใจหายไปบ้างตอนที่รุ้งกำลังจะจางหายไป
แต่รุ้งก็ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับมุมมากนัก
สุดท้ายมุมก็จะลืมรุ้งไปเอง…เมื่อไม่เจอกัน…”

พันทิวาตอบออกไปแบบนั้นโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดดังกล่าวนั้น
จะมีใครผ่านไปผ่านมาแล้วได้ยินบ้าง…

ส่วนตะวันเมื่อได้ฟังดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออก…จนทั้งสองเงียบไปครู่นึง
หนุ่มใหญ่จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยการเปลี่ยนบทสนทนา…

“เราเห็นด้วยมั้ย…ถ้าพี่จะจัดตั้งมูลนิธิเพื่อผู้พิการขึ้นมา…”
พันทิวาหันมามองคนพูดแล้วยิ้มออกมา

“เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะ…พี่รักเองก็ยังจัดตั้งโครงการต้นฝันที่ฉันรัก
เพื่อผู้พิการทางสมองหรือออทิสติกเหมือนกันค่ะ…

ตอนนี้กำลังไปได้ดีทีเดียวเลยค่ะ…ว่่างๆมุมยังแวะเวียนเข้าไปช่วยสอนงานศิลปะ
ให้กับพวกเขาเลยค่ะ ถ้าพี่เพลิงอยากไปบ้างก็บอกได้นะคะ เดี๋ยวมุมจะพาไป”
ตะวันยิ้มบางก่อนจะพยักหน้าด้วยแววตาสนใจในสิ่งที่พันทิวาพูดถึง

“ดีสิ เพราะพี่เองก็ไม่ต่างจากผู้พิการ…ก็เลยเข้าใจ เห็นใจ
ผู้พิการที่ไม่ได้สะดวกสบายมีเงินทองมากมายอย่างพี่…”

“พี่เพลิงคงหมายถึงมูลนิธิสำหรับช่วยเหลือผู้พิการทางกายใช่มั้ยคะ…”
ตะวันพยักหน้า

“งั้นจะตั้งชื่อว่าไงดีล่ะคะ…”

“นั่นน่ะสิ…เราว่าพี่ควรจะตั้งชื่อมูลนิธิว่ายังไงดี…”

“เอ่อ…”พันทิวาครุ่นคิด เพียงครู่ก็คิดออก

“หรือจะตั้งชื่อว่ามูลนิธิแสงตะวันดีคะ…”ตะวันส่ายหน้้าโดยแทบไม่ต้องคิดนาน

“พี่อยากจัดตั้งในนามของตระกูลอาทิตยะ เพราะจะนำเงินกองกลาง
มาช่วยเหลือสนับสนุนมูลนิธิ…หรือจะชื่อมูลนิธิอาทิตยะดี…”
พันทิวาเอียงศีรษะไปมาราวกับครุ่นคิด ก่อนจะเสนอแนะความคิดของเธอออกไปว่า

“มุมว่า ชื่อมูลนิธิอาทิตย์อุทัย…ก็ดีเหมือนกันนะคะ…
เพราะอาทิตย์อุทัย หมายถึงพระอาทิตย์ขึ้น เหมือนการเริ่มต้นวันใหม่
เป็นการผ่านพ้นคืนวันอันมืดมนมาได้ เป็นแสงแรกที่ส่องทางสว่างให้กับผู้คน
พี่เพลิงว่าไงคะ”

ตะวันพยักหน้าหงึกหงักในขณะที่กำลังครุ่นคิดก่อนจะยิ้มออกมา

“พี่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ…พี่ชอบชื่อนี้ เพราะความหมายดี
ชื่อก็เกี่ยวโยงกับตระกูลของพี่ด้วย…ขอบใจเรามากๆ…
มูลนิธิอาทิตย์อุทัย…”ตะวันทวนถ้อยคำหรือชื่อที่พันทิวาเสนอนั้น
ก่อนจะนึกถึงกาพย์บทหนึ่งที่เขาเคยท่องตอนเด็กๆขึ้นมา

“ก้าวมาเถิดมวลมิตร เป็นอาทิตย์ยามอุทัย
สว่างกระจ่างไกล เพื่อขับไล่ความมืดมน”

ตะวันกล่าวพลางมองหน้าพันทิวาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเคยได้ยิน
กาพย์ข้างต้นบ้างไหม พันทิวายิ้มกว้างก่อนจะท่องกาพย์
ไปพร้อมๆกับตะวันว่า…

“เบิกฟ้าให้แจ่มใส เปิดหูตาประชาชน
แสงทองส่องสถล ให้ผู้คนได้ก้าวเดิน…”

ท่องจบทั้งสองจึงยิ้มให้กันและกัน

“กาพย์นี้นานมากจนมุมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
นี่ถ้าพี่เพลิงไม่ท่องให้ฟัง มีหวังมุมคงนึกไม่ออกแน่ๆ…”

“ใช่…มันนานมากแล้ว…และหลายๆคนคงจะลืมไปแล้ว
ถ้าเราไม่พูดคำว่าอาทิตย์อุทัย พี่ก็คงนึกไม่ออกเหมือนกัน…”

“มุมชอบกาพย์บทนี้มากเลยค่ะ…ความหมายมันลึกซึ้งดี…”
พันทิวากล่าวชื่นชม

“ง่วงรึยังล่ะเราน่ะ…พี่เห็นเมื่อกี้มีแอบหาว…”

“ชักง่วงแล้วเหมือนกันค่ะ พี่เพลิงล่ะคะ…”หญิงสาวหันไปถามอีกฝ่าย
ด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“พี่ก็รู้สึกว่าควรจะพักได้แล้วเหมือนกัน…จะได้หายไวๆ…”

“ใช่แล้วค่ะ…งั้นเดี๋ยวมุมพาพี่ไปส่งที่ห้องนะคะ…”ตะวันไม่ขัด
พันทิวาจึงลากรถเข็นของตะวันไปยังห้องนอนของเขา
จัดแจงให้เขานอนแล้วห่มผ้าให้ ก่อนจะยิ้มให้หนุ่มใหญ่

“หลับฝันดีนะคะพี่เพลิง…”ตะวันยิ้มบาง

“เราก็เหมือนกัน หลับฝันดีนะครับ…”

“งั้นมุมปิดไฟหัวเตียงให้นะคะ…”

พูดพลางมือก็ทำอย่างที่พูด
ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของตะวัน
ค่อยๆเดินกลับมายังห้องนอนของตนด้วยรอยยิ้มสุขใจ

เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือดูแลพี่เพลิง มายฮีโร่ของเธอตั้งแต่เด็กจนโต

พี่เพลิงเป็นวีรบุรุษสำหรับเธอตลอดมา เขาเก่งและมีความรับผิดชอบสูง
เป็นผู้นำที่ดี เป็นพี่ชายคนโตที่รักน้องๆ เป็นคนที่เห็นใจผู้อื่น
ทำเพื่อคนอื่นๆเสมอ และเป็นคนรักที่น่ารักมากๆ

ยามที่เห็นพี่เพลิงยิ้มให้พี่ตามทีไรแล้วทำให้รู้ว่าพี่เพลิงมีมุมที่น่ารักๆเหมือนกัน…

คิดมาถึงตรงนี้ก็ให้อิจฉาพี่ตามที่เป็นเจ้าของหัวใจของพี่เพลิง…

ทว่า…อยู่ๆยิ้มสดใสบนใบหน้าของหญิงสาวมีอันต้องหุบลงทันที
เมื่อเปิดประตูห้องนอนมาเจอคนที่เธอไม่คาดคิดว่าจะเจอในขณะนี้


“เอ่อ…นายกลับมานานแล้วเหรอ…”

พสุธที่นั่งนิ่งๆตรงปลายเตียงของเขาที่พันทิวายึดครองเพียงลำพังมาร่วมเดือน
แววตาที่จ้องมองมาทางพันทิวาดูแปลกๆจนหญิงสาวถึงกับขมวดคิ้ว

“ก็นานพอจะได้เห็นได้ฟังอะไรดีๆ…”เสียงนั้นทุ้มต่ำ

“อะไรดีๆที่ว่าน่ะ อะไรเหรอ…”พันทิวาถามด้วยสีหน้างงๆ

แค่เขาอยู่ในห้องที่เธอนอนคนเดียวมาร่วมเดือนเธอก็งงๆและตกใจอยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าเขากลับมาจากต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน
แถมยังพูดอะไรที่เข้าใจยากอีก

พันทิวาจึงค่อยๆย่างเข้าไปทีละนิด เพราะอดระแวงไม่ได้
กับการต้องอยู่ในห้องนอนตามลำพังกับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเธอแล้วอย่างนี้

…ความกังวลจู่โจม…

คืนนี้เธอจะนอนหลับได้ยังไง ในเมื่อเจ้าของห้องเขากลับมา
โดยไม่บอกกล่าวให้ได้ตั้งตัวบ้างเลย อยู่ๆก็กลับมาอย่างนี้
แล้วเธอจะหนีไปนอนที่ไหนล่ะเนี่ย ให้นอนกับเขาในห้องนี้มีหวังขาดทุน

นายนี่เชื่อใจได้ซะที่ไหน…

“งั้น…ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ…”พันทิวาหาทางออกโดยการอาบน้ำ
แม้ก่อนหน้านี้จะอาบไปแล้ว และก็สวมชุดนอนแล้ว
แต่เธอก็ยังอยากจะเข้าไปอาบน้ำสักพัก เผื่อจะหาทางหนีทีไล่ได้ในระหว่างอาบน้ำ…

“เชิญ…”เสียงเย็นๆนั้นทำให้พันทิวาใจคอไม่ดีนัก แต่ก็ยังใจกล้าเดินไปยัง
ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนอีกชุดออกมาแล้วกอดเอาไว้แน่น

เอาวะ…อาบน้ำดีกว่าต้องมายืนอ้ำๆอึ้งๆอยู่ในบรรยากาศวังเวงแบบนี้ล่ะน่า
อย่างน้อยๆก็พอจะหาเวลาตั้งรับกับคนตรงหน้าได้ดีกว่าตอนนี้…

ทว่า ไม่ทันได้ก้าวไปยังห้องน้ำ พสุธลุกพรวดเดียวก็ถึงตัวเธอ
แล้วรวบร่างของพันทิวาเข้ามาสวมกอดเอาไว้แน่นก่อนจะพรมจูบไปทั่วใบหน้า
ที่เพิ่งประแป้งไปหมาดๆ แล้วผลักร่างบางกระแทกกับตู้เสื้อผ้า สบตาหญิงสาวนิ่งนาน

พันทิวาหายใจหอบถี่ เพราะตั้งตัวแทบไม่ทัน
เขาจู่โจมรวดเร็วราวกับพายุทอร์นาโดเข้าถล่มชายฝั่ง…

พันทิวาหลบสายตาเขาด้วยการเบือนหน้าหนี แล้วผลักอกของเขาออกห่าง

หากพสุธกลับจับคางของเธอให้หันมาก่อนจะก้มลงจุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปาก
ที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมาก่อน จากนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นรุกเร้า
จนพันทิวารู้สึกหวั่นไหววูบวาบไปทั้งร่างกับจุมพิตแรก

ชุดนอนที่กอดอยู่ร่วงลงไปกองกับพื้น ลำแขนของเธอเผลอโอบรอบคอเขาอย่างลืมตัว
เท้าทั้งสองแขย่งขึ้นเพื่อตอบรับจุมพิตนั้นอย่างเผลอไผล…

พสุธจึงช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้ม ตอนแรกตั้งใจแค่เพียงจุมพิตเท่านั้น
หากปฏิกิริยาตอบสนองดังกล่าวทำให้เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน
จึงค่อยๆวางร่างบางลงบนเบาะนุ่มขณะที่ยังคงจุมพิตริมฝีปากนั่น…

นิ้วเรียวก็ค่อยๆปลดกระดุมชุดนอนตัวยาวของเธอออกทีละเม็ดจนครบ
จากน้ันจึงค่อยๆหอมแก้มเธอ ไซร้ซอกคอของเธอด้วยแรงเสน่หา

พันทิวาสั่นสะท้านเมื่อมือหนาลากผ่านเนินอกและหน้าท้องแบนราบของเธอ

หญิงสาวสะดุ้งโหยง สติที่หลุดหายกลับเข้าร่างก่อนจะดีดตัวขึ้น ผลักร่างหนาออก
ยกมือขึ้นกระชับสาปเสื้อชุดนอนเข้าหากัน มองหน้าพสุธขณะที่หายใจหอบถี่
แล้วกระถดร่างจนชนเข้ากับหัวเตียง สายตาระแวดระวังกลับมาอีกครั้ง

“อย่า…อย่าทำแบบนี้…”พสุธกัดฟันข่มอารมณ์ที่กำลังลุกโชน
ลูบหน้าตัวเองไปมา ก่อนจะลุกขึ้นหันหลังให้กับหญิงสาว
ที่มองตรงไหนก็ยั่วใจเขาไปหมดพลางกล่าวว่า

“จะไปอาบน้ำไม่ใช่เหรอ…”พันทิวารีบลุกพรวดพราดวิ่งเข้าห้องน้ำทันที
ก่อนจะกดลูกบิดประตูทรุดเข่าลงตรงนั้นอย่างอ่อนแรง

แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องน้ำ
หญิงสาวระแวงไม่กล้าเปิดออก หากเมื่อได้ยินเสียงเขาบอกว่าจะเอาชุดนอนมาให้
พันทิวาจึงเปิดประตู้แง้มหน้าออกมาแล้วรับชุดนอน
ที่เขายื่นให้แล้วรีบปิดประตูห้องน้ำทันที

ทำเอาพสุธถึงกับยิ้มที่มุมปากกับอากัปกิริยานั่นของเธอ…
และอดไล้ริมฝีปากตัวเองด้วยรอยยิ้มไม่ได้
เมื่อรู้ว่าจูบแรกของพันทิวาเป็นของเขา…

ซึ่งก็แสดงว่าเธอยังคงบริสุทธ์ืผุดผ่อง ไม่เคยผ่่านมือชายใดมาก่อน…

ชีวิตของผู้ชายมากรักอย่างเขา ไม่เคยได้จูบแรกจากหญิงใดมาก่อน
นอกจากผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามหลักศาสนาของเขา…

เพราะผู้หญิงที่เขาคบมา ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ชำนาญการอย่างดีมาแล้วทั้งนั้น

…ครั้งนี้ที่เขาจูบเธอจึงให้ความรู้สึกแตกต่างจากครั้งไหนๆ
มันแปลกๆในหัวใจจนเขาไม่อยากค้นเลยว่า ความรู้สึกแปลกๆที่ว่านั้นคืออะไร

…เขารู้แค่ว่าเขาอยากกลับมาเจอเธอจนต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จไวๆ
เมื่อเสร็จจากงานก็รีบบึ่งกลับบ้าน ไม่คิดว่าจะเจอเธอนั่งยิ้มอย่างมีความสุข
อยู่ตรงระเบียงกับพี่ชายของเขาอยู่นาน…

แถมยังพาไปส่งถึงห้องนอนอีก มันทำให้เขาอดคิดไปไม่ได้ว่า
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอทำอย่างนี้ให้พี่เพลิงทุกคืนรึเปล่า…

เท่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านแปลกๆ ทั้งๆที่ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย

…หรือเขาจะชอบเธอขึ้นมาจริงๆ…

ทว่าคำพูดของพันทิวาที่พูดกับพี่ชายของเขามันทำให้เขาอารมณ์เสียมิใช่น้อย
เขาดูไร้ค่าสำหรับเธอขนาดนั้นเลยหรือ…







กว่าที่พันทิวาจะออกจากห้องน้ำได้ก็เกือบชั่วโมง หญิงสาวค่อยๆ
บิดลูกบิดแล้วแง้มหน้าออกมาทีละนิด มองไปรอบๆห้องก็ไม่พบสิ่งใด
จึงค่อยๆก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนตัวใหม่ที่กะทัดรัด รัดกุมกว่าตัวก่อน…
ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากระจกแล้วหยิบหวีขึ้นมาสางผมของตัวเอง

หลังจากนั้นก็ชะโลมครีมลงบนเนื้อผิวแล้วทาแป้งฝุ่นพอเป็นพิธี…
เมื่อเสร็จกิจหน้ากระจก จึงหันไปมองหาเจ้าของห้องอีกคน…ก็ไม่พบ…

พันทิวาจึงค่อยๆพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก…

“สงสัยคงไปนอนที่ห้องอื่นแล้วล่ะ…”บ่นงุมงำคนเดียวเสร็จก็เดินไป
ยังประตูห้องก่อนจะกดล็อกประตูแล้วเดินกลับมายังเตียงนอน

ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่กลับมาเยือนอีกครั้ง…หญิงสาวจึงปิดตาคลุมโปง…
พยายามสลัดภาพเหล่านั้นออกไปจากใจจากความรู้สึกให้หมด…
ก่อนจะเข้าสู่นิทรา

เพียงไม่นานก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีบางอย่างกระดุ๊กกระดิ๊กข้างๆกายเธอ
พันทิวาลืมตาโพลง มองไปยังด้านข้างก็พบว่าเป็นพสุธ
ที่กำลังแทรกกายเข้ามานอนข้้างๆเธอ

หญิงสาวดึดตัวลุกขึ้นทันที แล้วกระถดถอยหนี กอดผ้าห่มเอาไว้แน่น…

“นายเข้ามาได้ยังไง ในเมื่อฉันล็อกประตูแล้วนี่…”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับประตูล็อกไม่ล็อกด้วย ในเมื่อฉันไม่ได้ออกไปไหนสักหน่อย”
พันทิวาส่่ายหน้าไหวๆ เธอแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้ นอกจากเธอเท่านั้น…
แล้วพสุธก็เฉลยออกมาว่า

“ฉันนั่งอยู่ตรงระเบียงห้อง…เธอคงมองไม่เห็นล่ะมั้ง…”

พูดจบก็ดึงผ้าห่มในมือพันทิวามาห่มพลางนอนราบลงอย่างเดิม

“ไม่ได้นะ นายจะนอนบนนี้ไม่ได้…”

“ทำไมจะไม่ได้…”พสุธยกมือเท้าศีรษะนอนตะแคงมองหน้าพันทิวา

“ฉันไม่ชอบนอนกับใคร มันทำให้นอนไม่หลับ…”

“เดี๋ยวฉันกล่อมให้สักเพลงสองเพลงเธอก็หมดแรงหลับไปเองล่ะน่า…”

พสุธยิ้มที่มุมปากในขณะที่กล่าวเป็นนัยๆ แววตาวิววับ

“จะบ้ารึไง…”

“ไม่บ้าหรอก ผัวเมียที่ไหนเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหล่ะ…”

“แต่เราไม่ใช่นี่…”

“ไม่ใช่ที่ไหน…เธอตอบรับว่ายอมรับฉันเป็นสามีแล้ว…หรือว่าลืม…”

“ก็เราตกลงกันแล้ว…”

“ตกลงกันว่าไง…”

“ก็ตกลงว่าเราจะไม่ยุ่งกันไง…”

“ฉันพูดอย่างนั้นเหรอ…”พสุธทำเป็นไขสือ

“ไม่รู้ล่ะ…ถ้านายอยากนอนบนนี้ เดี๋ยวฉันหาที่นอนที่อื่นเองก็ได้…”

พันทิวาว่าพลางลุกขึ้นหนี ทว่าพสุธรีบคว้ามากอดเอาไว้ได้ทัน
พร้อมกับหอมแก้มนั้นไปฟอดใหญ่…

“หอมจัง…”พันทิวายกมือปัดแก้มที่เพิ่งโดนขโมยไปหมาดๆ
ป่านนี้แป้งที่เพิ่งทาไปมิหลุดหมดแล้วหรือ…

“ปล่อย…”

“ไม่ปล่อย…จะกอดอยู่อย่างนี้แหล่ะ…ทั้งหอมทั้งนิ่มแบบนี้น่ากอดจะตาย”

“เอ๊ะ…บอกว่าให้ปล่อยไง…”

“เอ๊ะ…ก็บอกว่าไม่ปล่อยไง…”พสุธเลียนเสียงอีกฝ่ายบ้าง

“จะปล่อยดีๆหรือจะปล่อยทั้งจมูกทั้งปากเบี้ยว…”พันทิวาเริ่มขู่ฟอดๆ

หากพสุธกลับลอยหน้าลอยตาราวกับไม่สนใจคำขู่นั่นสักนิด
พันทิวาเริ่มดิ้น หากยิ่งดิ้นก็ยิ่งแน่น…

“ปล่อยสิ…ฉันอึดอัด…”พสุธจึงรั้งร่างนั้นลงไปนอนกอดแล้วหอมแก้มนั้นอีกครั้ง…
ก่อนจะรั้งให้ร่างบางหันไปทางเขาในขณะที่ยังคงกอดเอาไว้แน่นอย่างเดิมไม่ยอมปล่อย…

พันทิวาสบตาพสุธที่จ้องมองมาแล้วหลบสายตาหนี
ไม่กล้าจ้องตอบนานๆ…

“สมมติว่าถ้าฉันตายไป…เธอจะเสียใจมั้ย…”

เสียงนั้นทำให้พันทิวาหันกลับมามองเขาอีกครั้ง ทำให้เห็นสายตาวูบไหวมองเธอแปลกๆ
พันทิวาจ้องพลางส่ายหน้า

“ดีใจมากกว่าน่ะสิ…จะได้ไม่มีคนคอยหาเรื่องกวนใจฉันแบบ…”

เสียงนั้นถูกกลบจนเลือนหายด้วยริมฝีปากของพสุธ…
พันทิวาพยายามผละหนีสัมผัสนั่น หากพสุธกลับพลิกกายขึ้นคร่อม
แล้วพรมจูบไปทั่วใบหน้าของเธอ หญิงสาวดิ้นรนครู่นึง ก่อนจะหยุดดิ้น
นิ่ง และตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้…

พสุธจึงหยุดการกระทำดังกล่าวแล้วพลิกตัวกลับมานอนข้างๆหญิงสาว
เอามือก่ายหน้าผาก มองเพดานนิ่ง…

พันทิวาพลิกกายนอนตะแคงหันหลังให้ชายหนุ่มแล้วกอดผ้าห่มนิ่ง
น้ำตาเริ่มไหลซึมลงสู่หมอนโดยปราศจากเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา…

“แปลกนะที่ฉันอยากกลับมาหาเธอ…ทั้งๆที่เธอไม่เคยอยากเจอฉันด้วยซ้ำ”

พสุธพูดพลางลุกขึ้นแล้วเดินไปยังประตูห้อง พันทิวาลุกขึ้นตาม
มองภาพชายหนุ่มที่เดินจากไปเงียบๆ สักพักเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นมาจากด้านล่าง

พันทิวาปาดน้ำตาก่อนจะล้มตัวลงนอน…รู้สึกโล่งๆ ว่างเปล่า ยามที่มองเขาเดินจากไป
แล้วมองไปรอบๆห้องก็พบกับความเงียบ

ทั้งๆที่มันก็เงียบมาตั้งแต่คืนแรกที่เธอเข้ามานอนแล้ว
แต่เพิ่งรู้ว่าคืนนี้เงียบกว่าคืนไหนๆก็เมื่อกี้นี้เอง

…แปลกที่ใจมาเป็นอย่างนี้…เธอไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลยสักนิดเดียว…







“ดิน…”พสุธเดินเข้าไปสวมกอดหญิงสาวที่เปิดประตูห้องแล้วยิ้มให้เขาแน่น

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ…ไม่เห็นโทรมาบอกเลย…พริกจะได้ไปรับที่สนามบิน”
พสุธไม่ตอบ หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะยกมือขึ้นโอบกอดตอบ…

“เข้าไปข้างในก่อนนะคะ…”พสุธผละออกมาแล้วเดินเข้าไปข้างใน

หญิงสาวจึงเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำเปล่าส่งให้พสุธที่นอนทอดกาย
ราวกับหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บนโซฟา พสุธส่ายหน้า หญิงสาวจึงวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะ
แล้วนั่งลงใกล้ๆชายหนุ่ม ถามเขาด้วยสีหน้ากังวลพลางยกมือขึ้นอังหน้าผากเขา
เมื่อเห็นหน้าแดงๆผิดสังเกต อีกทั้งรู้สึกได้ถึงความร้อนตอนที่เขาสวมกอดเธอเมื่อครู่

…สงสัยคงจะป่วยเพราะผิดอากาศแบบกะทันหัน ร่างกายก็เลยปรับตัวไม่ทัน…

“ตัวรุมๆแบบนี้ พริกว่ากินยาลดไข้หน่อยดีกว่านะ…”ไม่พูดเปล่า
หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบยาในตู้ยาสามัญประจำบ้าน
แล้วส่งยาให้พสุธพร้อมแก้วน้ำ ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
ก่อนจะส่งยาเข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม

หญิงสาวยิ้มบางมองคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
เพราะเวลาที่เขาไม่ดื้อ ว่าง่ายแบบนี้แล้วน่าเอ็นดู
เหมือนเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่และคุณหมออย่างไรก็ไม่รู้สิ…

“ดินยังไม่ตอบพริกเลยว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่…”

พสุธล้มตัวลงนอนบนโซฟาดังเดิมก่อนจะหลับตานิ่ง

หญิงสาวเห็นกิริยาท่าทางเช่นนั้นก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการความสงบ
เธอจึงไม่อยากรบกวนปล่อยให้เขานอนนิ่งๆบนโซฟาอย่างนั้น
ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าห่มพร้อมผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวให้เขา
โดยที่เจ้าตัวนอนหลับตานิ่งไม่ยอมพูดยอมจาจนผิดสังเกต

เนื่องจากหญิงสาวไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน…
เหมือนกำลังน้อยอกน้อยใจอะไรหรือใครมาอย่างนั้น

เมื่อเช็ดตัวเสร็จหญิงสาวจึงห่มผ้าให้แล้วกลับไปเปลี่ยนน้ำ
บิดผ้าหมาดๆวางไว้บนหน้าผากของคนป่วย

พสุธฉุดรั้งมือของหญิงสาวไว้เมื่อเธอกำลังจะลุกจากไป
แล้วกุมมือนั้นกอดเอาไว้แนบแก้ม

หญิงสาวมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นเกลี่ยเส้นผมนุ่มมือของคนป่วยเบาๆ

…เธออยากจะรักคนตรงหน้า แต่ก็รู้ดีว่าต่อให้ลึกซึ้งแค่ไหนเขาก็คงไม่มีวันรักเธอ…
เธอกลัวเจ็บกับการรักเขาข้างเดียวจึงไม่กล้าทุ่มใจรักเขา…

อีกอย่าง…เธออยากทำตัวให้มีคุณค่าหลังจากที่กลับมาครุ่นคิด
ในสิ่งที่พันทิวาพูดให้ฟังเมื่อวันก่อน…

มันทำให้เธอเริ่มเห็นใจคนตรงหน้าที่ต้องแต่งงานไปกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักเขาเลยสักนิด
อย่างยัยแมงมุมสารพัดพิษนั่น

…เธอว่าเธอร้ายแล้วนะ แต่ยัยนั่นร้ายยิ่งกว่าเธออีก…

ไม่รู้ว่าดินโชคดีหรือโชคร้ายที่ต้องเจอะเจอกับผู้หญิงอย่างพันทิวา…
ที่คงเห็นดินเป็นเพียงแค่ดินก้อนเดียวที่ไร้ค่่า…

หญิงสาวนั่งนิ่งมองพสุธจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของชายหนุ่ม
จึงค่อยๆชักมือกลับอย่างเบามือ แล้วเปลี่ยนผ้าที่อังหน้าผาก
ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องนอนของตนไปอย่างเงียบๆ…




...โปรดติดตามตอนต่อไป.....

นักอ่านท่านใดที่ยังรอคอยนายหัวรังอยู่ อย่าเพิ่งทดท้อไปซะก่อนเน้อ
เพราะตอนนี้ ต้องยกให้คู่กัดเขาก่อน
คู่โน้นยังไม่ได้เวลาจะขึ้นชกจริงๆ ที่ผ่านมาแค่วอร์มๆเท่านั้นนะคะ อิอิอิ

เวลาคู่เอกขึ้นสังเวียนจริงๆ นักอ่านคงต้องเครียมผ้าเช็ดหน้า
(ไม่ใช่เอาไว้เช็ดหน้านักมวยเวลาหมดยกข้างๆขอบสังเวียนนะคะ)
แต่เอาไว้เช็ดน้ำตา + เลือดกำเดา และน้ำลายของตัวเองค่ะ...อิอิอิ...

เพราะคู่เอกมันส์ยิ่งกว่าคู่ไหนๆแน่ๆค่ะ...เนื่องจากตัวร้ายก็ร้ายชนิดที่กลืนน้ำลายไม่ลง...
ส่วนตัวเอกของเราก็ดูจะแสบซ่อนเงื่อนซะด้วย...
และคราวนี้จะมีแผนซ้อนแผนและก็ซ้อนแผนและก็ซ้อนอีกแผน
คาดว่าน่าจะซ้อนแผนกันสี่ตลบมั้งคะ...อิอิอิ...คราวนี้นักอ่านเต่าโยก็จะได้งงๆกันล่ะ...
เฮะๆ...



ขอคุยกับนักอ่านจากสองยกก่อนกันค่ะ

1.คุณหมีสีชมพู...ฤทธิ์เดชของแมงมุมสารพัดพิษคงจะยากที่ใครจะเทียบเทียมเท่าค่ะ...อิอิ
เรื่องพานายดินไปตรวจเลือดนี่เป็นความคิดที่เยี่ยมยอดมากค่ะ...
แต่แมงมุมคงไม่คิดว่าอะไรๆจะเลยเถิดมั้งตัวเอง...เลยประมาทซะงั้น...อิอิอิ...
ไว้ใจได้ทีี่ไหนว่ามั้ยคะ...

2.คุณหยองตอด...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...
ยกล่าสุดก็ดูจะน่าสมน้ำหน้านายดินอยู่นะคะ...แต่เต่าโยกลับคิดว่า น่าสงสารนะคะนั่น...อิอิ

3.คุณPampam...นายดินเขากลัวเสียฟอร์มค่ะ...ที่ร้ายเพราะรักนะคะนั่น(มีด้วยหรือ อิอิ)
ก็เลยต้องทนขมขื่นกันไป...อิอิ...เพราะจะบอกไปตรงๆก็คงจะกลัวเสียหน้าอยู่นะคะ

4.คุณgoldensun...ใช่แล้วค่ะ...ดีแตกอย่างนี้ ต้องเจอดีอีกหลายชุดแน่ๆนายดิน...อิอิอิ...
ปล.แสดงว่าอยากเห็นแมงมุมเอาคืนนายดินใช่มั้ยคะ...โยน่ะจัดไว้ให้ตั้งนานแล้วค่ะ
แต่หนทางยังมาไม่ถึง...อิอิอิ...แมงมุมจะจัดหนักจัดเต็มยังไง ต้องมาดูกันค่ะ
แต่บอกได้แค่ว่า...คนละแนวกับพี่ตามค่ะ...อิอิ...เพราะจะออกแนวแมงมุมสารพัดพิษ...


5.คุณLittlewitch...อย่างที่คุณแม่มดว่ามาเลยค่ะ พนักงานระดับกลางไปจนถึงผู้บริหาร
จะงานหนักมากเลยล่ะค่ะ เพราะว่าตำแหน่งมาพร้อมกับภาระหน้าที่...
แม้จะได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็แบกภาระไว้หนักไม่ใช่ย่อย...มีได้มีเสียค่ะ
ไม่มีใครได้ไปซะทุกอย่างค่ะ...บางคนที่ทำหน้าที่พ่วงหลายอย่างเลยทีเดียวค่ะ...
แต่โยนั้น เวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่ พออยากจะพักจริงๆก็จะปิดทุกอย่างหมดค่ะ
ไม่ว่าจะปิดไฟ ปิดโทรศัพท์ ปิดความคิด และก็ปิดตา...เรื่องนี้จึงไม่ได้แค่สื่อเพียงแค่
ความรักเพียงเท่านั้น เพราะชีวิตจริงเรามีภาระหน้าที่ที่ต้องแบกด้วย...
หน้าที่กับความรัก บางครั้งมันก็ไม่อาจเดินทางมาพบกันได้...
และหน้าที่การงานมักจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับคนรักกันค่ะ...
ปล.สงสัยนายหัวรังคงกำลังนั่งปั้นซูชิอยู่มั้งคะ...อิอิอิ...
มาร่วมงานแต่งกับเขาก็ยังไม่วายแย่งซีนเขาไปด้วยนะคะนั่น...
ที่บอกว่ามือยาว ไม่รู้จะสาวรักจังลงมาจากคานน้อยได้เมื่อไหร่อ่ะสิ...ขี้โม้เห็นๆ อิอิ

6.คุณviolette...ใช่แล้วค่ะ...พี่ลมไม่เจ้าชู้...อิอิอิ...เพราะพี่แกรักเดียวใจเดียว
ไม่มีมั่ว...อิอิอิ...
ปล.สงสัยที่แมงมุมยอม คงกลัวนายดินจะจับกินฟรีมั้งคะ...อิอิอิ...

7.คุณพัชรี...กว่าพี่เพลิงจะหาย หลายคู่คงเดินแซงหน้าไปแล้วล่ะค่ะ...
ก็เล่นทำซ่่าไว้มากนี่คะ...โยเลยคิดบัญชีให้หายซ่่าไปเลย...อิอิอิ...
เอาให้เดินไม่ได้ ต่อว่าใครก็ไม่ได้ กอดใครก็ไม่ได้ จะไปทำอะไรใครก็ไม่ได้
เอาให้หายทรนง ให้นั่งทรมานอยู่บนรถเข็ญให้สมใจคนเขียนก่อนค่ะ...อิอิอิ...

8.คุณsupayalak...ตอนนี้โยยกสังเวียนให้คู่นี้เขาค่ะ...
ให้เขาล่วงหน้าพี่ๆไปก่อน เพราะคู่พี่นั้นมีอะไรให้ต้องลุ้นและทั้งบู๊ทั้งบุ๋น
กันเลยทีเดียวค่ะ...อิอิ
ปล.เรื่องมุกแม่ไก่นั้น โยได้มาจากหลานของโยเองค่ะ...หลานของโย
เขาทายปัญหาที่โยเขียนไว้ในเรื่องให้โยตอบ...บอกได้คำเดียวว่า
โยตอบไม่ถูกแม้แต่ข้อเดียว...อย่างว่าค่ะ...ฉลาดไปหมด...ย้ำนะคะว่า ไปหมด...อิอิอิ


9.คุณaom...ได้แต่งค่ะ ได้แต่ง...อิอิอิ...แต่แต่งแล้วจะเจออะไรต่อ
ต้องมาลุ้นกันค่ะ...ใช่ว่าแต่งแล้วนิยายโยจะจบนะคะ...
งานนี้มะช่ายยยยยค่ะขอบอก...เพราะหนทางยังอีกยาวไกล
ขาสั้นๆของเต่าโยยังคลานไหว หัวใจนักอ่านจะคลานไปพร้อมๆกันไหวรึเปล่าน้าาาาาา...
อิอิอิ

10.คุณwii...โยว่าตอนนี้นายดินก็หลงรักแมงมุมหัวปักหัวปำไปแล้วนะคะ
แค่ยังไม่ยอมรู้ตัวรึเปล่าก็เท่านั้นค่ะ...เพราะดูจากสภาพการณ์แล้ว
น่าเป็นห่วงนะคะนั่น...รักคนที่แอบรักคนอื่นเนี่ย มันปวดใจเช่นไร
ลองจินตนาการดูนะคะ...เฮะๆ



สุดท้ายไม่ท้ายสุด

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันนะคะ...


...แล้วเจอกันยกหน้านะคะ...

....ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...

"เต่าโย"



yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ย. 2555, 22:35:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ย. 2555, 22:35:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 3147





<< ยกที่ 1 ประกาศรับสมัครสมาชิกชมรมคานน้อยคอยรัก   ยกที่ 57 วอน >>
violette 27 พ.ย. 2555, 23:18:45 น.
นายดินหลงรักหนูมุมเข้าแล้ว โถๆๆๆพ่อคาสโนว่าสิ้นลาย ฮ่าๆๆๆ
รออ่านคู่เอกดีกว่าท่าจะดุเดือด


บัวขาว 27 พ.ย. 2555, 23:51:43 น.
คุณโย .. คำว่า "สมเพส" ที่ถูกคือ "สมเพช" ค่ะ

=^_^=


goldensun 28 พ.ย. 2555, 00:24:05 น.
สมเพช หมาหัวเน่า หลงใหล
ปากเสียกับมุมไว้มาก กรรมเริ่มสนองแล้ว แต่ก็ยังไปหาผู้หญิงอื่นอยู่ดี
การแต่งงานไม่ใช่ที่สุดของคู่นี้แน่ เป็นจุดเริ่มต้นมากกว่า


konhin 28 พ.ย. 2555, 01:38:45 น.
รักหรือแค่หวง ในเมื่อนายดินก็ยังไม่ได้หยุดที่ีใคร แล้วทำไมหนูมุมต้องหยุดที่นายดินด้วย เหอะๆๆ


หมีสีชมพู 28 พ.ย. 2555, 01:42:12 น.
ที่จริงน่าสงสารพริกนะคะเนี่ย


Pampam 28 พ.ย. 2555, 02:45:14 น.
นายดินเจอคนจริงซะแล้ว แมงมุมสู้ๆ


aom 28 พ.ย. 2555, 06:20:53 น.
รักกันแต่ยังไม่รู้ตัว อิอิ


AprilSK 28 พ.ย. 2555, 08:08:37 น.
คู่นี้มาแรงแซงทุกโค้งจริงๆ


supayalak 28 พ.ย. 2555, 12:28:55 น.
โธ่ !!!!! ลุ้นซะเจ็บใส้เจ็บตับไปหมด นึกว่าแมงมุมจะตกหลุมดำของดินจนตะกายขึ้นมาไม่ได้ซะแล้ว ว้าาาาา อดเลย ยกนี้ต่างคนต่างปล่อยหมัดกันคนละทีสองที ระฆังหมดยกซะก่อน ไม่เป็นไรค่ะ ยกหน้าเดี๊ยวพี่เลี้ยงให้น้ำ กับนวดให้ผ่อนคลายก่อน เดี๋ยวเจอกันนะจ๊ะ แล้วมาดูกันว่า แมงมุมจะตกลงไปในหลุมดำ หรือต้องขุดหลุมดำให้มากขึ้น เอิ้กกกกสสสส


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account