ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน


Tags: ภูต

ตอน: บทที่ 1 พิมมาดา

ภูตคราม

บทที่ 1 พิมมาดา

เสียงรองเท้าส้นสูงที่ดังกระชั้นใกล้เข้ามาทำให้หญิงสาวที่กำลังพรมปลายนิ้วลงบนแป้นเครื่องคิดเลขสำนักงานชะงักความเร็วลงเล็กน้อย แม้เธอจะรู้ดีว่าเจ้าของรองเท้าคู่นั้นเป็นใคร แต่ด้วยเสียงจังหวะการก้าวเดินบอกให้เธอรู้ว่าเจ้าของเสียงรองเท้าคู่นั้นกำลังอยู่ในอารมณ์เร่งรีบ
“มีอะไรเหรอนิล”
เธอเอ่ยถามทั้งที่ดวงตายังคงจ้องอยู่กับตัวเลขในสมุด สาวสวยในชุดกระโปรงสุดเปรี้ยวย่นจมูกเล็กน้อยด้วยความเซ็งที่เพื่อนสาวรู้ทันก่อนจะเอ่ยปากพูด
“พิมยังไม่รู้ใช่ไหม”
“รู้อะไร” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพิมย้อนถามพลางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความฉงน อีกฝ่ายวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะกระซิบกระซาบบอกเพื่อน
“เจ้านายเรียกทุกคนเข้าประชุมในสิบนาที”
พิมมาดาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างงั้นหรือ คุณองอาจไม่เคยเรียกประชุมด่วนขนาดนี้เลยนี่”
“สายข่าวแจ้งมาว่าคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้คือคุณนายนงนภัส”
ชื่อที่หลุดมาจากปากเพื่อนทำให้พิมมาดาระบายลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เพราะนอกจากการเป็นภรรยาลำดับที่สองของนายองอาจแล้ว นงนภัสไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไรเลยในบริษัท ส่วนที่มีคำนำหน้าว่าคุณนายนั้นก็เพราะพนักงานส่วนใหญ่หมั่นไส้ในท่าทีกรีดกรายของเจ้าหล่อน ส่วนนิลเนตรนั้นเรียกแบบเต็มยศว่าคุณนายชะนีนงนภัส
“เขาจะเอาอะไรอีก”
พิมมาดาพูดพลางปิดสมุดงานที่กำลังทำและแยกประเภทเอกสารที่เธอคิดว่าจำเป็นต่อการประชุมออกเป็นกลุ่มก่อนจะจัดวางทุกอย่างเข้าในแฟ้มขนาดใหญ่ นิลเนตรมองเพื่อนที่ทำงานอย่างคล่องแคล่วว่องไวก็อดอมยิ้มไม่ได้ก่อนถาม
“รู้ได้ยังไงว่าจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง”
“เรียกประชุมกะทันหันแบบนี้ต้องเป็นเรื่องด่วนแน่ๆถ้าไม่ใช่เรื่องยอดนำเข้าที่ลดลงก็น่าจะเป็นรายจ่ายที่เกินดุลย์ เอกสารที่เตรียมก็ต้องเป็นรายละเอียดของเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าคุณนงนภัสเข้าประชุมด้วยก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายนอกระบบเพิ่มขึ้น”
พูดพลางหันไปหยิบสมุดจดจำมาถือไว้และมองหน้าเพื่อน
“กำลังจะมีประชุมในอีกไม่กี่นาที จะไม่ไปเตรียมอะไรไว้ก่อนเลยเหรอคะคุณเลขาฯ”
น้ำเสียงล้อเลียนของเธอทำให้นิลเนตรหัวเราะ
“ไปเดี๋ยวนี้แล้วค่ะเจ้านาย” หญิงสาวทำท่าวันทยหัตถ์แบบทหารจากนั้นก็คว้าเอกสารและหันกลับมาโค้งแถมให้กับพิมมาดาอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังห้องประชุมซึ่งอยู่ติดกัน
ความเป็นคนรอบคอบของพิมมาดา เธอจึงเปิดแฟ้มรวมและหยิบเอกสารที่จะนำเข้าประชุมขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง ถึงแม้บริษัทที่เธอทำงานอยู่จะเป็นบริษัทขนาดเล็กแต่ก็เป็นบริษัทยาที่ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้นเอกสารทุกอย่างจึงมีความสำคัญชนิดที่ขาดหายไม่ได้แม้แต่เพียงฉบับเดียว เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่นหญิงสาวจึงรวมทุกอย่างกลับเข้าไปในแฟ้มและหอบมันเข้าไปในห้องประชุม
ในที่ประชุมพิมมาดาพบว่าพนักงานผู้เกี่ยวข้องและคุณองอาจได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอจึงกล่าวขออภัยเบาๆขณะเดินไปนั่งประจำที่แต่ดูเหมือนผู้เป็นนายจะไม่ตำหนิในความล่าช้าเลยแม้แต่น้อยต่างจากนงนภัสซึ่งชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเด่นชัด เธอจึงเปรยออกมาพอให้ทุกคนได้ยิน
“เพิ่งยุรยาตรเข้ามาเหรอยจ๊ะ”
พิมมาดาทำเป็นไม่สนใจในขณะที่นิลเนตรซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างนายองอาจแอบเบ้หน้าล้อเลียน ส่วนพนักงานคนอื่นแสร้งทำเป็นเปิดแฟ้มอ่านเอกสารเหมือนไม่ได้ยินคำประชดประชันของคุณนายหมายเลขสอง
“ไม่ต้องเคร่งเครียดนักก็ได้” เสียงนายองอาจทำลายความอึดอัดภายในห้อง ทุกคนต่างเงยหน้าและหันไปมองเขาพร้อมกัน
“ที่ผมเรียกพวกคุณเข้าประชุมก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญหรอก แค่อยากจะบอกว่าปีนี้บริษัทของเราได้ผลกำไรมากกว่าเดิมถึงสามเท่า” นายองอาจหยุดพูดและหันไปมองพิมมาดา”ใช่ไหมคุณพิม”
“ค่ะ”
หญิงสาวตอบสั้นๆ นายองอาจยิ้มจนตาหยีก่อนจะเลื่อนสายตามองพนักงานไล่ไปทีละคน
“ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากจะแจ้งให้พวกคุณได้ทราบว่า เราจะหยุดทำการสามวัน และพาทุกคนไปพักผ่อนที่เขาใหญ่ แน่นอนว่างานนี้ไม่เกี่ยวกับโบนัส”
เสียงเฮดังมาจากพนักงานฝ่ายชาย ส่วนพนักงานหญิงยิ้มและปรบมือด้วยความดีใจ ต่างจากพิมมาดาซึ่งมีสีหน้ายุ่งเล็กน้อยเพราะการไปเที่ยวย่อมหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น นั่นก็คืองานของเธอจะต้องมากขึ้นตามไปด้วย ดูเหมือนนายองอาจจะอ่านความคิดจากสีหน้าของเธอออก
“เจ้าของความคิดนี้คือคุณนวลศรีและเธอจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ต้องหักจากบัญชีค่าใช้จ่ายของบริษัท”
คุณนวลศรีที่นายองอาจพูดถึงคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย แม้จะดุอยู่บ้างแต่เธอก็เป็นคนมีน้ำใจ เรียกได้ว่าถ้าลูกน้องคนไหนเดือดร้อน สามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเธอได้ตลอดเวลา เมื่อได้ยินคำอธิบายจากผู้เป็นนายแล้วพิมมาดาจึงยิ้มอย่างโล่งอกแต่ก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น
“หมายความว่านงไปด้วยไม่ได้ใช่ไหมคะ”
เสียงหวานแบบใส่จริตเต็มที่ของนงนภัสถามขึ้น ทุกคนต่างหันไปมองเธอเป็นตาเดียว ส่วนนายองอาจยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“ก็คุณนวลศรีไปด้วยนี่”
เสียงพูดกระแทกกระทั้นเชิงเง้างอน ฝ่ายชายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยคุณก็เป็นพนักงานในบริษัททำไมจะไปไม่ได้ อีกอย่างไปหลายคนสนุกดีออก ถ้าคุณไม่ชอบก็ไม่ต้องไป”
นิลเนตรยิ้มทำหน้าสะใจในขณะที่พนักงานคนอื่นกลั้นรอยยิ้มและพยายามปั้นหน้าให้ดูปรกติ เมื่อเห็นว่าแผนการออดอ้อนไม่สำเร็จ นงนภัสจึงลดน้ำเสียงลง
“ทำไมจะไม่ชอบ แต่นงกลัวทำให้คุณนวลศรีไม่พอใจ”
“นวลเป็นคนมีเหตุผล เขาไม่มาใส่ใจกับเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก” นายองอาจตัดบทพลางหันกลับไปยังพนักงาน “งั้นตกลงว่าอีกสองวันพวกเราจะไปเขาใหญ่กัน ใครไปได้หรือไม่ได้ยังไงให้มาบอกนิลเนตร อ้อ เราจะนอนเต้นท์กันนะ ดังนั้นขอให้เตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมด้วย ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วง รับรองว่าทุกคนอิ่มกันจนพุงปลิ้นแน่”
เขาจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีจากนั้นจึงกล่าวปิดการประชุม ขณะที่ทุกคนเริ่มทะยอยออกจากห้องนงนภัสก็เริ่มฉอเลาะนายองอาจอีกครั้ง
“วันนี้ไปกินข้าวเย็นกันที่บางปูนะคะ”
ทั้งนิลเนตรและพิมมาดาชะงักรอฟัง นายองอาจนิ่วหน้าแบบรำคาญ
“ทำไมต้องไปถึงที่นั่นด้วย”
“ก็ที่นั่นบรรยากาศดีแถมอาหารอร่อย นงเคยไปกินครั้งนึงแล้วติดใจ จะไปอีกก็ไม่มีเวลาแถมไม่สะดวกอีกต่างหาก”
พูดพลางทิ้งสะโพกนั่งลงบนตักอย่างวิสาสะ นายองอาจโอบเอวเธอไว้พร้อมกับพูด
“ไม่สะดวกยังไง รถก็มี อยากกินอะไร ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ขับไปเองได้นี่นา”
นงนภัสทำเป็นบิดตัวเอียงไปเอียงมาก่อนจะเอนหน้าซบไหล่นายองอาจพลางไล่นิ้วไปบน
เสื้อสูทด้วยกิริยาราวเด็กไร้เดียงสา
“นงไม่เถียงหรอกค่ะว่าจะขับรถไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นงอยากไปกับคุณองอาจนี่คะแล้วอีกอย่างรถที่คุณซื้อให้น่ะมันเป็นยังไงไม่รู้ สตาร์ทก็ไม่ค่อยติด วิ่งไปบางทีก็ดับกลางทาง มีครั้งหนึ่งมันดันไปดับในซอยเปลี่ยว นงงี้กลัวแทบตาย”
น้ำเสียงอ้อนเต็มที่หวังจะเรียกความเห็นใจ แต่นายองอาจกลับนิ่วหน้า
“รถเพิ่งซื้อให้เมื่อปีที่แล้วเองไม่ใช่เหรอ ลองเอาไปให้ศูนย์ดูหรือยัง”
“ไม่เอาหรอก ที่ศูนย์น่ะเรื่องมาก เดี๋ยวให้เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่จุกจิกน่ารำคาญ” นงนภัสรีบปฏิเสธและก้มลงไปกระซิบข้างใบหู”ซื้อคันใหม่ให้นงได้ไหมคะ”
คราวนี้นายองอาจถึงกับถอนใจ แม้เขาจะชอบนงนภัสมากจนยอมซื้อทั้งรถและคอนโดมิเนียมให้แต่ก็ไม่ได้หลงจนถึงขนาดยอมทำทุกอย่างตามที่เธอร้องขอ เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวต้องการจะได้รถคันใหม่ เขาจึงแกล้งหันไปถามพิมมาดาซึ่งกำลังจะเดินออกจากห้อง
“รายจ่ายของเดือนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ติดลบถ้าไม่มียอดซื้อนอกบัญชีหลักเข้ามาเพิ่มค่ะ” นักบัญชีสาวตอบอย่างรู้ใจ นายองอาจจึงหันไปทางนงนภัส
“งั้นเย็นนี้ทิ้งรถไว้ที่นี่ผมจะเอาเข้าศูนย์ให้ ช่วงนี้คุณขับรถกระบะของบริษัทไปก่อน กลับจากเขาใหญ่คงซ่อมเสร็จพอดี” เมื่อเห็นสาวสวยทำท่าจะแย้งเขาจึงแกล้งทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู”เย็นนี้ผมต้องกลับไปทานข้าวที่บ้าน พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน อ้อคุณพิม”
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปร้องเรียกพิมมาดาที่กำลังจะเดินพ้นประตูห้องออกไป
“ช่วยหยิบกุญแจรถให้นงด้วย”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำและเดินไปหยิบกุญแจรถจากลิ้นชักรวมมายื่นส่งให้นงนภัส อีกฝ่ายดึงกลับไปด้วยกิริยาที่เกือบจะกลายเป็นกระชากจากนั้นจึงสะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าออกไป นายองอาจมองตามพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“เขาเป็นคนอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสาเลย”
“ค่ะ” พิมมาดาตอบสั้นๆแต่ในใจนึกแย้งว่า แบบนี้เขาเรียกว่าสันดานเสียมากกว่าเพราะนงสภัสจะระบายอารมณ์ใส่พนักงานบริษัททุกครั้งที่ไม่ได้ของตามต้องการ โชคดีที่นายองอาจเป็นคนมีเหตุผลดังนั้นเขาจึงไม่ถือเป็นอารมณ์นัก หลังจากจัดการเรื่องกุญแจรถตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงกลับเข้าห้องเพื่อจัดการงานที่ค้างไว้จนเสร็จ ฝ่ายเจ้านายหลังจากตรวจงานและลงชื่อเอกสารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงสั่งให้นิลเนตรหาข้อมูลการท่องเที่ยวของเขาใหญ่ไว้ให้พร้อม จากนั้นจึงขับรถกลับบ้านเพื่อไปหาคุณนวลศรีตามที่นัดไว้
เช้าวันรุ่งขึ้นจัดเป็นวันที่วุ่นวายที่สุดของพิมมาดา เนื่องจากทุกคนในบริษัทต้องช่วยกันจัดการงานให้เรียบร้อยก่อนวันหยุด เอกสารเกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายทุกชิ้นจึงมากองสุมอยู่ตรงหน้าเธอ ในความคิดของคนอื่น งานด้านบัญชีและการเงินเป็นเรื่องน่าปวดหัวแต่สำหรับหญิงสาวแล้วไม่เป็นปัญหาเพราะความเฉลียวฉลาดและการทำงานอย่างเป็นระบบทำให้เธอจัดการงานทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเช้า
ตอนเที่ยงระหว่างพักกินข้าว นิลเนตรเดินสะพายกระเป๋าถือประจำตัวเข้ามาหาพิมมาดาที่โต๊ะพร้อมกับพูด
“วันนี้ฉันไปค้างบ้านเธอนะ”
หญิงสาวหยุดไว้แค่นั้นเพื่อรอคำตอบแต่เมื่อเห็นเพื่อนรักมองด้วยสายตาเป็นเชิงถาม เธอจึงอธิบาย
“ก็พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า ขืนกลับไปนอนบ้านมีหวังตกรถ”
“แล้วเธอเตรียมเสื้อผ้ามาหรือยัง”
“ยัง ฉันเลยขอคุณองอาจลาครึ่งวัน แต่บ้านฉันมันไกลกว่าจะหอบของไปถึงบ้านเธอก็คงดึก ยังไงก็อย่าเพิ่งนอนซะก่อนล่ะ”
“ได้”
พิมมาดารับปากสั้นๆ ส่วนนิลเนตรเมื่อบอกกล่าวเพื่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงนั่งรถยนต์รับจ้างกลับบ้าน ตกเย็นหลังจากแวะห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเครื่องใช้สำหรับการเดินทางแล้วหญิงสาวจึงกลับบ้านซึ่งแม้จะไม่ไกลจากที่ทำงานเท่าใดนัก แต่ก็จัดว่าอยู่ห่างจากชุมชนมากพอควร
บ้านของพิมมาดาอยู่ห่างจากถนนใหญ่มากชนิดที่เธอต้องนั่งรถยนต์เข้าไปแต่ส่วนใหญ่แล้วหญิงสาวมักจะอาศัยบริการจากรถจักรยานยนต์รับจ้างมากกว่าเพราะทั้งสะดวก รวดเร็วและสิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะชาวบ้านในบริเวณนั้นรวมถึงคนขับรถใน
วินทุกคนรู้จักครอบครัวของเธอเป็นอย่างดีโดยเฉพาะคุณตาคุณยายซึ่งเป็นชาวสวนเก่าแก่ สวนผลไม้ที่อยู่ในบริเวณนั้นเกือบทั้งหมดก็เป็นที่ดินของพวกท่านที่อนุญาตให้ชาวบ้านทำกินโดยไม่คิดค่าเช่า ใครเดือดร้อนก็สามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา ความมีน้ำใจของพวกท่านทำให้ชาวบ้านทุกคนให้ความเคารพแม้ทั้งสองจะสิ้นบุญไปแล้วความรักของทุกคนก็ยังคงมั่นคงเหมือนเดิมและยังเผื่อแผ่ไปถึงพิมมาดา หลานสาวเพียงคนเดียว ชาวสวนทุกคนในแถบนั้นต่างให้ความดูแลเอาใจใส่พิมมาดาเหมือนดังเช่นที่เคยปฏิบัติต่อตากับยายของเธอทุกประการ และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หญิงสาวไม่ยอมขายที่ดินให้กับนายทุนที่มักจะเข้ามาติดต่ออยู่เป็นประจำ
ถึงจะเป็นบ้านกลางสวน แต่ความที่เป็นคนมองการไกล คุณตาของพิมมาดาจึงปรับปรุงบ้านไม้หลังเก่าให้กลายเป็นบ้านที่ทันสมัยเพื่อหลานสาวเพียงคนเดียวโดยเฉพาะ ตัวบ้านด้านล่างถูกปรับให้เป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องน้ำภายใน ส่วนชั้นบนถูกแบ่งออกเป็นสี่ห้องโดยห้องหนึ่งจัดเป็นห้องพระ ส่วนห้องเล็กในตอนแรกทำเพื่อเก็บของจุกจิกแต่เมื่อคุณตาคุณยายเสียชีวิตลง พิมมาดาจึงใช้เป็นห้องวางโกศของพวกท่าน ห้องใหญ่ที่มีระเบียงยื่นออกไปด้านหน้าเป็นห้องนอนของเธอ ส่วนห้องเล็กถัดไปทางด้านหลังหญิงสาวมักจะใช้เป็นห้องรับรองแขก ซึ่งมักจะมีแค่นิลเนตรเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้ามานอนเป็นประจำ
ความที่อยู่ท่ามกลางสวน รอบบ้านจึงอุดมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดสร้างความร่มรื่นต่อผู้อาศัยจนแม้วันร้อนที่สุดก็ยังมีลมเย็นพัดเข้ามาตลอดเวลา ไม้ผลหลากพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง หว้า มะปราง ขนุนหรือแม้แต่พืชสวนครัวต่างแข่งกันผลิดอกออกผลให้รับประทานกันแทบไม่หวาดไม่ไหว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการเอาใจใส่ของตัวพิมมาดาด้วย ถึงจะมีความรู้ระดับปริญญาโทและมีความสามารถชนิดที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งยื่นข้อเสนอมาให้แต่เธอไม่สนใจ หญิงสาวรักที่จะดำเนินชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติมากกว่าความหรูหราในเมือง
หลังจากรดน้ำต้นไม้จนเสร็จเรียบร้อยแล้วพิมมาดาจึงจัดกระเป๋า อาบน้ำและรับประทานอาหารเย็น ซึ่งกว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยเวลาก็เลยไปเกือบสามทุ่ม หญิงสาวจึงเปิดโทรทัศน์เพื่อเป็นการฆ่าเวลาแต่หลังจากกดปุ่มเลือกช่องอยู่ราวห้านาทีเธอก็ต้องปิด เพราะนอกจากละครน้ำเน่ากับเกมส์โชว์ไร้สาระแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
“บอกแล้วว่าให้ติดเคเบิ้ล ดูหนังชุดของฝรั่งสนุกกว่าละครพวกนี้ตั้งเยอะ”
คำพูดของนิลเนตรดังวาบขึ้นมาในความคิด พิมมาดายิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดเครื่องเสียงซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกดนตรีประกอบภาพยนต์หรือเพลงบรรเลง หลังจากเปิดไปได้พักใหญ่หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาและบ่นออกมาเบาๆ
“จะเที่ยงคืนแล้วเหรอเนี่ย” เธอชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง”ยายนิลมัวทำอะไรอยู่นะ ป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีก”
บ่นพลางหยิบรีโมตมากดปุ่มเปลี่ยนเป็นวิทยุเพื่อฟังรายการโปรด ท่วงทำนองดนตรีเย็นยะเยือกน่าขนลุกกับเสียงแหบเครือของผู้จัดทำให้หญิงสาวรีบเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งตัวตรงและฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจ
‘เริ่มแรกของเราวันนี้เป็นเรื่องเล่าจากผู้ฟังทางบ้านนะครับ’ เสียงพิธีกรอารัมภบทตามด้วยเสียงดังกุกกักเหมือนกำลังขยับอะไรบางอย่าง’เป็นเรื่องราวสยองขวัญที่เจอะเจอในสถานที่ท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งเจ้าของเรื่องตั้งชื่อว่า ผีโพรงจากลำตะคอง สวัสดีครับคุณ...’
พิมมาดานั่งฟังเรื่องเล่าซึ่งกล่าวถึงการพบกับสิ่งประหลาดที่เชื่อว่าเป็นการกระทำของวิญญาณอย่างสนใจกระทั่งมีเสียงรถจักรยานยนต์มาจอดหน้าบ้านเธอจึงลุกขึ้นและยิ้มอย่าง
โล่งอกเมื่อเห็นนิลเนตรกำลังลงจากรถและควักธนบัตรส่งให้คนขับ
“ทำไมมาช้านักล่ะ”
ประโยคแรกหลุดออกจากปากขณะเปิดประตูรั้วให้เพื่อน อีกฝ่ายถอนหายใจพรืด
“รถชนกันบนทางด่วนน่ะ ติดอยู่สองชั่วโมงกว่าจะหลุดออกมาได้” นิลเนตรบ่นพลางวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะและทิ้งตัวนั่งลงอย่างอ่อนแรง พิมมาดายื่นแก้วน้ำให้พร้อมกับถาม
“กินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว” เพื่อนสาวตอบและนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินรายการวิทยุ”นี่เธอยังฟังเรื่องพวกนี้อีกเหรอยายพิม”
“ก็มันสนุกดีนี่” พิมมาดาตอบ นิลเนตรส่ายหน้าแบบระอาเพื่อนสุดๆ
“พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวเขาใหญ่แต่เธอดันฟังเรื่องผีที่ลำตะคอง งานนี้ฉันมีหวังหลอนจนนอนไม่หลับแน่”
“มันก็แค่เรื่องเล่าเท่านั้น มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
พิมมาดาพูดสีหน้าเรียบเฉย นิลเนตรค้อนเพื่อนวงใหญ่พร้อมกับพูด
“ไม่เชื่อแต่ยังฟัง พิลึกคนจริงๆเลยนะเธอ”
“ก็มันสนุกนี่นา ดีกว่าดูละครตั้งเยอะ” พิมมาดาเดินไปหยิบหมอนกับผ้าห่มที่เธอเตรียมไว้มายื่นให้พร้อมกับถาม”จะนอนหรือยังล่ะ”
นิลเนตรพยักหน้าและทำท่าจะขึ้นไปยังชั้นบนแต่เมื่อเห็นเพื่อนรักเดินไปนั่งเก้าอี้ยาวเธอจึงขมวดคิ้ว
“นี่ยังจะฟังต่ออีกเหรอพิม”
“อื้อ”พิมมาดาตอบสั้นๆพลางโบกมือให้อีกฝ่าย “เธอขึ้นไปนอนก่อนเถอะ ฟังจบแล้วฉันจะตามขึ้นไป”
นิลเนตรส่ายหน้าอย่างระอาใจอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง หลังจากสวดมนตร์ไหว้พระขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางตามธรรมเนียมแล้วเธอจึงเอนตัวลงนอน ความเหนื่อยอ่อนทำให้หญิงสาวหลับสนิทลงอย่างรวดเร็ว
เสียงไก่ขันแว่วแต่ไกลปลุกให้พิมมาดาตื่นขึ้น เธอบิดตัวเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้าจากนั้นจึงผละจากเตียงตรงไปปลุกนิลเนตรที่นอนห้องติดกัน เสียงบ่นพึมพำด้วยความงัวเงียของเพื่อนทำให้หญิงสาวอมยิ้มจากนั้นเธอจึงอาบน้ำแต่งตัวและเข้าครัวเพื่อเตรียมกาแฟ เมื่อได้รับความสดชื่นจากเครื่องดื่มรสกลมกล่อมเรียบร้อยแล้วทั้งคู่จึงออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถจักรยานต์รับจ้างที่นัดเวลาให้มารับและมุ่งหน้าตรงไปยังจุดนัดพบซึ่งก็คือบริษัทของพวกเธอ
เมื่อไปถึงนิลเนตรยิ้มกว้างและเอ่ยปากทักทายเพื่อนร่วมงานอย่างร่าเริง แม้คนที่ไม่สามารถไปด้วยได้ยังอุตส่าห์หอบข้าวเหนียวหมูย่างมาให้เป็นเสบียง ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนานกระทั่งรถกระบะคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดเสียงหัวเราะทั้งหมดจึงยุติลง หลายคนเบ้หน้าอย่างเบื่อหน่ายเมื่อเห็นนงนภัสก้าวนวยนาดลงจากรถและออกคำสั่ง
“ช่วยขนกระเป๋าให้ฉันหน่อย”
นิลเนตรขยับเตรียมจะปฏิเสธแต่พิมมาดากลับเดินไปยังท้ายรถและดึงกระเป๋าเดินทางใบย่อมสองใบออกมา เสียงกระทบกระเทียบเปรยออกมาจากกลุ่มพนักงาน
“ทำตัวเป็นคุณนายเชียวนะนังชะนี”
นงนภัสหันขวับมามองตาวาว สิทธิศักดิ์ หัวหน้าแผนกสินค้าจึงรีบเข้าไปช่วยพิมมาดา หลังจากยัดกระเป๋าทั้งสองเข้ารถเรียบร้อยแล้วนิลเนตรซึ่งยืนหน้าบอกบุญไม่รับจึงพูดขึ้น
“ไปช่วยมันทำไมน่ะ”
“ตัดปัญหาเรื่องมลภาวะทางเสียง”หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เพื่อนของเธอกระแทกลมหายใจค่อนข้างแรง
“ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากได้ยินอะไรไร้สาระ แต่ลองช่วยยายนั่นครั้งหนึ่งเดี๋ยวก็มีครั้งต่อไปไม่มีสิ้นสุด”
“ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกครั้งนี่นา อีกอย่างคุณนวลศรีไปด้วย นงนภัสคงไม่กล้าทำตัวเด่นเป็นคุณนายแน่”
พิมมาดาพูดอย่างอารมณ์ดี นิลเนตรส่ายหน้าและเตรียมจะพูดต่อแต่เสียงร้องทักอย่างร่าเริงดังมาจากทางด้านหลังทำให้เธอต้องหยุดและหันไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา
“สวัสด่ะคุณองอาจ คุณนวลศรี”
“ไหว้พระเถอะจ้ะ”
คุณนายนวลศรีพูดอย่างเมตตาในขณะที่ฝ่าบสามีผงกศีษะรับอย่างเคร่งขรึม
“มากันครบหรือยัง”
“เหลือเจ้าฤทธิ์คนเดียวเท่านั้นครับ” สิทธิศักดิ์ตอบ นายองอาจผงกศรีษะและหันถามนิลเนตร
“เรื่องเขาใหญ่ล่ะว่าไง”
“ดิฉันโทร.ไปยืนยันกับทางอุทยานเรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวทางเจ้าหน้าที่แจ้งมาว่าไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้าและส่งข้อมูลมาให้ด้วย”เธอพูดพร้อมกับดึงกระดาษสองสามใบออกจากกระเป๋ายื่นส่งให้เจ้านาย”วันแรกเราคงไปเที่ยวได้ไม่กี่แห่ง แต่ถ้าใครอยากจะเล่นน้ำจะไปที่น้ำตกผากล้วยไม้ก็ได้ เพราะอยู่ห่างจากจุดกางเต้นท์ไม่มาก”
เธออธิบายพลางชี้แผนที่ที่พิมพ์มาด้วย
“แต่พรุ่งนี้ถ้าตื่นแต่เช้าหลังจากไปเที่ยวที่น้ำตกเหวสุวัตแล้วเราจะไปน้ำตกเหวไทรหรือเหวประทุนก็ได้ ถ้าพวกหนุ่มๆนักผจญภัยอยากเดินป่าก็มีเส้นทางเดินป่าซึ่งมีอยู่หลายจุดอย่างทางไปน้ำตกมะนาว น้ำตกตาดตาภู่ น้ำตกผากระจายหรือน้ำตกเหวนรก”
“เอาไว้ปรึกษากันตอนเดินทางว่าจะไปเที่ยวที่ไหน” นายองอาจพูดหลังจากเปิดข้อมูลอ่านแบบคร่าวๆ นิลเนตรรับคำและพูดต่อ
“ถ้าเป็นไปได้ดิฉันอยากให้สรุปก่อนจะถึงเขาใหญ่เพราะจะได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตอนเข้าที่พัก ส่วนตอนกลางคืนถ้าไม่เหนื่อยนักก็นั่งรถไปส่องสัตว์กับพวกอุทยาน นอกจากว่าเราจะพักกันก่อนแล้วค่อยไปกันวันพรุ่งนี้”
“ผมว่าเราควรไปส่องสัตว์กันตั้งแต่คืนนี้” นายองอาจพูด นิลเนตรพยักหน้ารับและบันทึกลงสมุดประจำตัวจากนั้นจึงถาม
“แล้วเรื่องอาหารล่ะคะ”
“เราจะแวะกินมื้อเที่ยงกันที่เขื่อนลำตะคอง” คุณนายนวลศรีเป็นคนตอบ”ได้ยินว่ากุ้งแม่น้ำที่นั่นตัวหนึ่งหนักเป็นกิโล”
“ตัวโตแบบนั้นผมคงกินไม่ลงหรอก”นายองอาจสัพยอกภรรยา คุณนวลศรีหัวเราะ
“อย่ามาแย่งฉันก็แล้วกัน”
การหยอกเย้าอย่างเป็นกันเองทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกผ่อนคลายแต่ก็ไม่ถึงขนาดพูดจาเล่นหัวกับเจ้านายเหมือนเพื่อนเล่น นิลเนตรซึ่งเป็นช่างพูดอยู่แล้วก็สรรหาเรื่องตลกมาเล่าให้ทุกคนหัวเราะ แต่ที่สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนมากที่สุดก็คือพิมมาดาซึ่งปรกติเป็นคนพูดน้อย วันนี้เธอกลับหยอดมุขขำขันเรียกเสียงฮาจากเพื่อนร่วมงานได้ไม่แพ้เพื่อนรัก ยกเว้นนงนภัสซึ่งยืนแยกตัวออกจากกลุ่ม เมื่อเห็นนายองอาจไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควรเธอจึงสะบัดหน้าเดินไปนั่งรอในรถและแกล้งเปิดเพลงเสียงดังลั่นเหมือนจงใจกลบเสียงหัวเราะของทุกคน นิลเนตรถึงกับเบ้หน้าและบ่นพอให้เพื่อนได้ยิน
“หล่อนทำตัวเด่นอีกแล้ว”
“คงน้อยใจที่คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง”คุณนวลศรีพูดเสียงเรียบและหันไปทางสามี”ไปปลอบเขาหน่อยสิคุณ”
“ไม่ละ”นายองอาจพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ส่วนพิมมาดาเมื่อเห็นเจ้านายหันไปให้ความสนใจด้านอื่นจึงพูดกับนิลเนตร
“น่าจะบอกให้รู้กันบ้าง”
“เรื่องอะไร” เพื่อนของเธอถามอย่างงงัน พิมมาดาจึงพยักหน้าไปที่เอกสารการท่องเที่ยวที่อยู่ในมือ
“ที่เจ้านายจะพาไปเที่ยวเขาใหญ่ อย่าบอกว่าเธอไม่รู้เพราะการเข้าพักอุทยานแห่งชาติต้องจองที่พักล่วงหน้า”
คำพูดเชิงต่อว่าของเธอทำให้นิลเนตรหัวเราะออกมาเบาๆและชำเลืองไปทางนายองอาจที่กำลังยืนหยกเย้าอยู่กับพนักงาน
“ท่านสั่งให้เก็บเป็นความลับ”บอกได้แค่นั้นก็ต้องหยุดเมื่อมีรถยนต์รับจ้างสีเขียวเหลืองคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอด
“ขอโทษครับที่มาช้า” ชายหนุ่มที่ก้าวลงจากรถพนมมือไหว้เจ้านายทั้งสองและหันไปก้มหัวให้กับเพื่อนทุกคน นายองอาจจึงโบกมือ
“เอ้ามากันครบแล้ว ออกเดินทางกันได้”
ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปนั่งประจำที่ จากนั้นรถตู้ทั้งสองจึงเคลื่อนออกจากบริษัทมุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ ระหว่างการเดินทางทุกคนต่างร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งถึงร้านอาหารริมเขื่อนลำตะคอง หลังจากรับประทานอาหารมื้อเที่ยงซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกปลาและกุ้งจนอิ่มหนำสำราญแล้วทั้งหมดจึงออกเดินทางต่อ ขณะที่วิ่งไปตามถนนธนรัตน์ ประตูสู่เขาใหญ่อยู่นั้นคุณนายนวลศรีก็พูดขึ้น
“ฉันว่าเราน่าจะแวะหาซื้ออะไรขึ้นไปกินด้วยนะคะ”
“เป็นความคิดที่ดี แต่จะเอาอะไรดีล่ะ” นายองอาจถาม ฝ่ายภรรยาจึงหันไปทางคนขับรถ
“ข้างหน้ามีร้านอาหาร ช่วยจอดรถที่นั่นก็แล้วกัน” สั่งเสร็จเธอจึงหันกลับมาที่สามี”เย็นนี้คงเป็นไก่ย่าง ส้มตำ ส่วนใครจะกินอะไรก็สั่งเพิ่มกันตามใจชอบ”
เสียงเฮดังมาจากพนักงานที่นั่งอยู่ด้านหลัง พิมมาดายกนิ้วขึ้นจรดเป็นเชิงห้ามให้เบาลงพร้อมกับพูด
“เกรงใจท่านกันหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกหนูพิม นานๆได้มาพักผ่อนกันทีไม่ต้องเข้มงวดนักก็ได้” คุณนายนวลศรีพูดและเลื่อนสายตาไปยังนิลเนตร”หนูนิลจ๊ะ ช่วยโทรศัพท์ไปบอกรถคันหลังด้วยว่าเราจะจอดซื้อของ”
“ค่ะ”
นิลเนตรรับคำและดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจัดการตามคำสั่ง หลังจากซื้ออาหารการกินเสร็จเรียบร้อยรถตู้ทั้งสองจึงออกเดินทางอีกครั้งโดยจอดแวะไหว้ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ตรงบริเวณทางขึ้นซึ่งคุณนายนวลศรีได้ถวายเหล้าขาวให้กับท่านด้วย แม้การเดินทางจะค่อนข้างลำบากเพราะถนนที่คดเคี้ยวแต่ทุกคนก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน นายองอาจเตือนลูกน้องว่าห้ามโยนอาหารให้ลิงที่อยู่ริมถนน เพราะจะทำให้พวกมันโดนรถทับ และสอนด้วยว่าการให้อาหารทำให้สัตว์ป่าเสียนิสัย ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อพวกมันในภายหลัง
“แค่โยนอาหารให้พวกมันเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก”
นงนภัสซึ่งนั่งเงียบมานานพูดขึ้น นายองอาจสั่นศีรษะ
“มองเผินๆเหมือนจะเป็นแบบนั้น แต่ลองคิดให้ดี ถ้าสัตว์ป่าทุกตัวเลิกหาอาหารตามธรรมชาติและมารอขอจากคนแบบนี้ อีกหน่อยบนถนนก็จะมีแต่ซากของพวกมัน เพราะพวกสัตว์น่ะมันรู้จักแต่จะขอ แต่ไม่เข้าใจถึงอันตราย อีกอย่างก็คือมนุษย์บางคนเป็นพวกมักง่ายหรือเห็นแก่ความสนุก คนพวกนี้จะโยนอาหารลงไปทั้งถุงโดยไม่คำนึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสัตว์พวกนี้กินเข้าไป”
“ฉันเคยเจอข่าวกวางตายเพราะกินขวดน้ำ” นิลเนตรพูดขึ้น “ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังมีพวกฝากระป๋อง ถุงพลาสติกอีกด้วย”
“น่ากลัวจัง” พนักงานสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังพูด”งั้นอย่าให้อาหารพวกมันเลยดีกว่า”
“ไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้นรวมถึงการทิ้งขยะด้วย” พิมมาดาเสริม ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยยกเว้นนงนภัสที่กระแทกลมหายใจพรืดและพูดพึมพำ
“หมั่นไส้”
เธอสะบัดหน้าเมินไปอีกด้านจากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ก่อนจะเข้าไปถึงสำนักงานอุทยาน รถได้จอดให้ทุกคนบันทึกภาพทิวทัศน์บริเวณจุดชมวิวแรก ขณะที่เพื่อนกำลังสนุกสนานอยู่กับการเก็บภาพอันงดงาม พิมมาดากลับแยกตัวออกจากกลุ่มและยืนมองทิวเขาสีเขียวขจีที่ทอดยาวออกไปไกลแสนไกล สายลมของขุนเขาที่พัดผ่านมากระทบนำพากลิ่นหอมของทุ่งหญ้ามาสู่นาสิก หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าด้วยความรู้สึกสดชื่นและยิ้มอย่างมีความสุข สมองที่เคยเคร่งเครียดกับหน้าที่การงานเริ่มผ่อนคลาย จิตใจของเธอคงลอยไปไกลมากกว่านี้หากนิลเนตรไม่เดินมาคว้าแขนและลากไปหาเพื่อนพร้อมกับบ่น
“มัวยืนใจลอยอะไรอยู่ได้”
“ไม่ได้ใจลอย แค่เก็บบรรยากาศของป่าเท่านั้น”
พิมมาดาพูด อีกฝ่ายค้อนขวับ
“เอาไว้ค่อยไปเก็บตอนถึงที่พัก ตอนนี้มาถ่ายรูปกันก่อนจะได้ออกเดินทางต่อ”
ไม่พูดเปล่า เพื่อนสาวจับเธอไปยืนกลางกลุ่มและผลัดกันตั้งท่ากันอย่างสนุกสนาน หลังจากปล่อยให้ลูกน้องถ่ายรูปไปได้สักพักนายองอาจก็ต้อนทุกคนขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปยังที่พัก ระหว่างที่เคลื่อนผ่านทุ่งโล่ง ฤทธิ์ซึ่งนั่งอยู่ด้านซ้ายชี้ไปยังเนินดินสีแดงส้มผิดไปจากที่อื่นพร้อมกับถาม
“นั่นอะไรเหรอ”
ทุกคนมองตาม พิมมาดาชำเลืองดูเล็กน้อยก่อนตอบ
“โป่งน่ะ”
“โป่ง” ฤทธิ์ทวนคำและนิ่วหน้า”มันคืออะไร”
หญิงสาวหันไปมองเหมือนไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักแต่เมื่อเห็นสีหน้าของนิลเนตรกับเพื่อนที่เหลือแล้วเธอจึงถาม
“พวกเธอไม่รู้จักโป่งเหรอ”
ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกันหมด พิมมาดาจึงถอนใจและอธิบาย
“โป่ง คือแอ่งดินตามธรรมชาติ เนื้อละเอียดมีพวกกรวด หินหรือทรายปนอยู่บ้าง เนื้อดินมีสีดำ แดงลูกรังหรือขาว ที่แปลกไปจากดินทั่วไปก็คือ มันมีเกลือแร่ต่าง ๆ ปนอยู่ด้วย เช่น เกลือโซเดียมคลอไรด์ เกลือแคลเซียม แมกนีเซียม หรือ โปตัสเซียม”
“แล้วทำไมถึงต้องเรียกว่าโป่งล่ะ”ฤทธิ์ซักด้วยความอยากรู้ พิมมาดานิ่วหน้าเล็กน้อย
“สำหรับเรื่องนี้ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามว่าโป่งต่างจากดินอื่นยังไงก็พอจะบอกได้ว่าเพราะความที่มีแร่ธาตุจำเป็นนี่แหละ พวกสัตว์ถึงต้องลงมากิน เพราะร่างกายของพวกมันขาดเกลือแร่อย่างเช่นพวกกวางซึ่งต้องการแคลเซียมไปบำรุงเขาให้งอกงาม พวกช้าง กระทิง ก็ชอบกินดินโป่งด้วยเหมือนกัน”
ฤทธิ์พยักหน้าหงึกหงักและมองพิมมาดาแบบตำราเดินได้
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณพิมจะรู้เรื่องแบบนี้ด้วย”
“ก็ได้จากการอ่านหนังสือยามว่างน่ะ อีกอย่างก่อนออกเดินทางฉันหาข้อมูลของเขาใหญ่มาเลยได้ความรู้ใหม่มาหลายอย่าง อยากรู้เรื่องทากไหมล่ะ”
เธอหันไปถามพวกที่นั่งอยู่ด้านหลัง นิลเนตรยกมือขึ้นห้าม
“ไม่ต้องเลย น่าขยะแขยงจะตายไป”
พิมมาดายิ้มและหันกลับไปมองถนนตามเดิม รถทั้งสองคันวิ่งต่อไปอีกครู่ใหญ่จึงถึงที่ทำการอุทยาน เมื่อลงชื่อและรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่แล้วทั้งหมดจึงตรงไปยังผากล้วยไม้ หลังจากช่วยกันกางเต้นท์เสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนจึงทะยอยขนสัมภาระลงจากรถ และแยกย้ายกันไปเที่ยวโดยคนที่มีแรงมุ่งหน้าไปยังน้ำตกผากล้วยไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกล ส่วนนายองอาจกับคุณนวลศรีอยู่โยงเฝ้าเต้นท์โดยมีพิมมาดาคอยจัดการเรื่องอาหารการกิน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าความมืดก็เริ่มเคลื่อนเข้าปกคลุมไปทั่วขุนเขา ความร้อนอันเกิดจากแสงแดดในตอนกลางวันถูกแทนที่ด้วยไอเย็นของผืนป่า เหล่าแมลงเริ่มกรีดปีกส่งเสียงสะท้อนก้องสลับกับเสียงร้องของสัตว์ที่ออกหากินยามค่ำคืน ผู้คนที่ออกไปหาความเพลิดเพลินจากพงไพรต่างพากันกลับเข้าที่พัก นักท่องเที่ยวบางคณะจับกลุ่มร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน เช่นเดียวกับกลุ่มของพิมมาดา
แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแต่ความปลอดโปร่งของธรรมชาติและความตื่นเต้นกับชีวิตท่ามกลางขุนเขาทำให้เหล่าบรรดาพนักงานของนายองอาจรู้สึกสนุกจนไม่อยากเข้านอน หลังจากผลัดกันเล่าเรื่องราวชวนหัวกันไปได้สักระยะ นิลเนตรจึงยกนาฬิกาขึ้นดู
“เกือบสามทุ่มแล้ว ไปส่องสัตว์กันเถอะ”
แทบทุกคนต่างลุกขึ้นยกเว้นนงนภัสที่ทำเป็นนั่งหมุนแก้วน้ำเหมือนไม่สนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมกับใคร คุณนายนวลศรีส่ายหน้าพลางสะกิดสามี
“ชวนเขาหน่อย”
นายองอาจถอนใจอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมทำตาม เขาหันไปหานงนภัสพร้อมกับเอ่ยปากชวน
“ไปด้วยกันมั้ยนง”
หญิงสาวทำเป็นเมินหน้ามองไปด้านอื่นก่อนตอบด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นสะบัด
“ไม่ล่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ อุตส่าห์มาเขาใหญ่ทั้งที เอาแต่นั่งอยู่ในเต้นท์จะไปสนุกอะไร”
คราวนี้คุณนายนวลศรีเป็นคนพูด นงนภัสเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะหันไปแสร้งส่งยิ้มให้กับเธอ
“นงปวดหัวค่ะ ไปไม่ไหวจริงๆ”
“ปวดหัวเหรอ เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า”
คุณนวลศรีถามด้วยความเป็นห่วง อีกฝ่ายยักไหล่
“แค่เมารถเท่านั้นค่ะ”
“งั้นเหรอ แล้วทานยาหรือยัง” อีกฝ่ายยังคงถามพลางควานมือลงไปในกระเป๋าหายาแก้เมาให้ หญิงสาวรีบโบกมือ
“ทานเรียบร้อยแล้วค่ะ นี่เดี๋ยวก็ว่าจะเข้านอน เชิญคุณนวลเถอะค่ะ”
เธอพูดตัดบท คุณนวลศรีจึงดึงมืออกจากกระเป๋าและพยักหน้า ส่วนนายองอาจซึ่งดูเหมือนจะรู้นิสัยหญิงสาวดีจึงสะกิดภรรยาพร้อมกับพูด
“ไปกันเถอะ”
ทั้งหมดเดินไปขึ้นรถตู้และขับตรงไปยังที่ทำการอุทยานเพื่อนั่งรถนำเที่ยวที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ซึ่งดูเหมือนในวันนี้จะมีนักท่องไพรมากพอดูเพราะมีรถจอดอยู่สามคัน นิลเนตรพานายองอาจและเพื่อนๆไปขึ้นรถคันแรกซึ่งมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่สองคน เมื่อผู้โดยสารเข้าประจำที่เรียบร้อยแล้วรถทั้งสามจึงเคลื่อนตัวโดยแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง
การส่องสัตว์ในเขาใหญ่คือการนั่งรถวิ่งไปตามเส้นทางที่กำหนดโดยเจ้าหน้าที่จะใช้ไฟส่องกราดเข้าไปในป่าตามจุดหากินของสัตว์ป่า ในความรู้สึกของพิมมาดา การชมชีวิตสัตว์ยามราตรีไม่ได้มีความท้าทายอะไรมากนัก แต่เธอยอมรับว่าตื่นเต้นที่ได้เห็นสัตว์ในมุมมองที่ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นช้างสองแม่ลูกที่ออกมาเดินเล่นกลางถนน หรือนางอายที่เกาะบนยอดไม้สูง และเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นตัวจริงของชะมด ถึงมันจะวิ่งมุดหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วก็เถอะ แต่ที่สร้างความประทับใจให้เธอมากที่สุดก็คือเม่นสามตัวที่เดินเรียงกันเป็นแถวออกหาอาหาร เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธอมักจะนึกว่าเม่นจะต้องเดินกร่างและพร้อมจะยิงขนปักหน้าทุกคนที่เข้าใกล้ แต่ภาพตรงหน้าเม่นทั้งสามแทบไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตา ใบหน้าน่ารักกับท่าทางการเดินที่อุ้ยอ้ายทำให้มันกลายเป็นสัตว์น่าเอ็นดูสำหรับเธอไปเลย
ใช้เวลาราวสองชั่วโมงการส่องสัตว์ก็เสร็จสิ้น หลังจากกล่าวคำขอบคุณเจ้าหน้าที่แล้วทุกคนจึงเดินทางกลับที่พักและแยกย้ายกันเข้านอนยกเว้นพิมมาดา หญิงสาวจุดธูปเดินออกจากเต้นท์ตรงไปยังบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้คนจากนั้นจึงบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเพื่อขออนุญาตพักพิงรวมทั้งขอขมาลาโทษในบางสิ่งที่กระทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อปักธูปลงบนดิน ลมหอบใหญ่ก็พัดกรรโชกผ่านวูบเข้ามา ไฟบนปลายธูปลุกวาบขึ้นและราแสงลงจนกลับเป็นปรกติ ควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งสูงขึ้นไปในอากาศและหมุนหนึ่งรอบก่อนจะลอยหายเข้าไปในป่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้พิมมาดาบังเกิดความกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับคิดว่านั่นคือสิ่งที่เจ้าป่าเจ้าเขาแสดงเพื่อตอบรับในคำอธิษฐาน หญิงสาวจึงยกมือขึ้นพนมอีกครั้งจากนั้นจึงเดินกลับไปยังที่พัก หลังจากเอนตัวลงนอนแล้วเธอยังคงมองผ้าเต้นท์ที่สะบัดไปมาตามแรงลมและปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล แต่ก็เพียงไม่นานเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้หญิงสาวผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
เสียงพูดคุยกับฝีเท้าย่ำไปมาบนพื้นหญ้าปลุกพิมมาดาให้รู้สึกตัวลืมตาขึ้น หญิงสาวควานหานาฬิกาปลุกที่มักจะวางไว้บนหัวนอนด้วยความเคยชินแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เธอกำลังนอนอยู่ในเต้นท์กลางป่าเขาใหญ่ หญิงสาวจึงลุกขึ้นนั่งและกวาดตามองไปรอบตัว ภาพนิลเนตรที่กำลังนอนกอดผ้าห่มของตัวเองกับนงนภัสซึ่งนอนในท่าที่ดูแล้วไม่ยั่วยวนเหมือนอย่างที่เคยจินตนาการไว้ทำให้เธออมยิ้ม หลังจากมองเพื่อนทุกคนแล้วพิมมาดาจึงชะโงกหน้ามองออกไปนอกเต้นท์และขมวดคิ้วเพราะแม้นักท่องเที่ยวหลายคนจะเดินไปเดินมาแต่ท้องฟ้ายังคงมืดมิด หญิงสาวจึงมุดกลับเข้าไปข้างในอีกครั้งและหยิบโทรศํพท์มือถือขึ้นมาดูจึงรู้ว่าเป็นเวลาตีห้าเท่านั้นเอง
“เอาไงดี จะนอนต่อก็คงไม่หลับ”
เธอพูดกับตัวเองและตัดสินใจหยิบแปรงสีฟัน สบู่ เสื้อผ้าชุดใหม่ออกจากกระเป๋าก้าวออกจากเต้นท์เดินตรงไปยังห้องน้ำรวม เพราะความที่ฟ้ายังไม่สาง ผู้คนที่ต่อแถวอยู่จึงมีไม่มากนัก หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงเก็บข้าวของเครื่องใช้กลับเข้าที่จากนั้นจึงออกไปต้มน้ำชงกาแฟ กลิ่นหอมกรุ่นโชยเข้าไปในเต้นท์ปลุกนิลเนตรให้ตื่นลืมตา เธอชะโงกศีรษะออกมาพร้อมกับถาม
“กี่โมงแล้วน่ะ”
“ตีห้าสี่สิบ เธอนอนต่อเถอะ”
พิมมาดาตอบ เมื่อเห็นเพื่อนกลับเข้าไปนอนอีกครั้งเธอจึงเดินไปยังจุดชมวิว สายลมเย็นของขุนเขากับกลิ่นหอมของไอดินยามเช้าสร้างความชุ่มชื่นอย่างประหลาดล้ำ หญิงสาวยกกาแฟขึ้นจิบและทอดสายตามองเทือกเขาสีเทาทึบเพื่อเฝ้ามองความงามจากแสงแรกของอาทิตย์อุทัยซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อลำแสงสีทองเจิดจรัสทาบตัวบนเส้นขอบฟ้า ภาพของแมกไม้สีเขียวที่ค่อยๆกระจ่างชัดขึ้นทำให้พิมมาดารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง โลกของธรรมชาติอันแสนสงบที่มนุษย์ผู้ดำรงชีวิตท่ามกลางความวุ่นวายไม่มีโอกาสได้สัมผัส หมอกสีเงินที่โรยตัวเหนือยอดไม้ดูอ่อนนุ่มคล้ายสำลี พิมมาดานึกอยากจะเป็นผู้วิเศษโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนกลุ่มหมอกอย่างมีความสุข ขณะที่กำลังคิดอะไรอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้นเสียงคุณองอาจก็ดังขึ้นข้างตัว
“เป็นภาพที่เราไม่มีวันได้เห็นหากอยู่ในเมือง”
“คุณองอาจ” พิมมาดาหันไปเอ่ยทัก”เดี๋ยวดิฉันจะไปชงกาแฟมาให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอก”เจ้านายของเธอพูดพลางยกถ้วยกาแฟในมือขึ้น”นวลศรีเขาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวยิ้มและหันกลับไปมองความงามเบื้องหน้าตามเดิม ทั้งสองยืนซึมซับความสดชื่นจากธรรมชาติโดยไม่คุยอะไรกันจนกระทั่งคุณนายนวลศรีและนิลเนตรเดินเข้ามาหา
“หนีมาชมวิวกันอยู่ที่นี่เอง”
เสียงนายหญิงเอ่ยทัก พิมมาดาหันไปพนมมือไหว้และส่งยิ้มให้กับเพื่อน อีกฝ่ายยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มพร้อมกับบ่น
“จะออกมาก็ไม่บอก”
“เห็นเธอกำลังหลับสบาย”หญิงสาวตอบ อีกฝ่ายสั่นศีรษะ
“มาดูทิวทัศน์ทั้งทีทำไมไม่ถือกล้องมาด้วย แบบนี้ฉันก็ไม่ได้เห็นภาพสวยๆน่ะสิ”
“เรายังนอนที่นี่อีกคืน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาดูก็ได้” นายองอาจเป็นคนตอบ”อ้อจริงสิ วันนี้มีแผนจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างคุณนิลเนตร”
“น้ำตกค่ะ พวกหนุ่มๆเขาอยากเดินป่า”
“แบบนั้นฉันคงต้องขอตัว”คุณนวลศรีพูดขึ้นมา พิมมาดาจึงรีบอธิบาย
“ทางไปน้ำตกเหวสุวัตไม่ลำบากหรอกค่ะคุณนวล ลงจากรถเดินไปอีกนิดก็เห็นน้ำตกแล้ว”
“พูดเหมือนเคยมายังงั้นแหละ”
นิลเนตรกระเซ้า พิมมาดายิ้ม
“ฉันถามเจ้าหน้าที่อุทยานมาต่างหาก”
การโต้ตอบไปมาของสองสาวคงดำเนินไปอีกยืดยาวหากนายองอาจไม่ยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้หยุดและพูดสั้นๆเหมือนจะถาม
“เที่ยวน้ำตกกับเดินป่า”
“ค่ะ เมื่อวานหนูขอเส้นทางเจ้าหน้าที่เอาไว้แต่ต้องไปแจ้งอีกทีว่าเราจะไปกันกี่คน ไม่ทราบว่าคุณองอาจจะไปด้วยกันไหมคะ”
เจ้านายไม่ตอบแต่กลับมองหน้าแล้วอมยิ้ม
“กลัวฉันเดินไม่ไหวหรือไง”
“หนูนิลเขากลัวคุณเป็นลมกลางทางต่างหาก”
คุณนวลศรีพูดขัด ฝ่ายสามีหัวเราะด้วยความขบขันพลางยกแขนขึ้นและทำท่าเบ่งกล้ามอวด
“เห็นแบบนี้ฉันยังแข็งแรงไม่แพ้พวกหนุ่มๆ เอาไว้คอยดูตอนเดินป่า รับรองได้เลยว่าพวกเธอตามฉันไม่ทันแน่”
“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ”
คุณนวลศรีพูดด้วยความหมั่นไส้และเลื่อนสายตามองไปยังพนักงานบริษัทที่กำลังเดินเข้ามาหา หลังจากพูดคุยและจัดการกับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วทั้งหมดจึงเดินทางไปยังน้ำตกเหวสุวัต ซึ่งในช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูฝนน้ำจึงลดปริมาณลงกว่าเดิมมากจนสามารถเดินลัดเลาะย้อนขึ้นไปหาน้ำตกได้ไกลพอสมควร ช่วงสายทุกคนย้ายไปชมน้ำตกก่องแก้วและแวะไปส่งคุณนวลศรียังที่พักก่อนจะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเส้นทางเดินป่าแนวน้ำตกเหวนรกเป็นรายการต่อไป
รถจอดในตำแหน่งที่กำหนดปล่อยให้ผู้โดยสารทั้งหมดเดินไปตามทางที่มีลูกศรแจ้งเอาไว้ การเดินทางช่วงต้นเป็นไปอย่างสนุกสนานแต่พอผ่านไปได้สักระยะเสียงพูดคุยก็เริ่มเบาลงโดยเฉพาะพวกผู้หญิงถึงกับขอหยุดพักหลายครั้ง จนเมื่อถึงบริเวณที่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบนงนภัสที่เดินเกาะนายองอาจไปตลอดทางก็เริ่มออกอาการ
“ใครเป็นคนเสนอความคิดนี้นะ”
“ผมเอง”
นายองอาจตอบเพื่อตัดปัญหา นงนภัสทำหน้าง้ำและมองทางเดินที่ทอดยาวไปสุดตา
“นงเหนื่อยจะตายอยู่แล้วขอพักก่อนได้ไหมคะ”
เธอพูดออดอ้อนจนนิลเนตรแอบหันไปทำท่าคลื่นเหียนอาเจียน พิมมาดาตีแขนเพื่อนเบาๆทั้งที่ตัวเองก็กลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่
“เดี๋ยวเขาก็เห็นหรอก”
“สนที่ไหน ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะจับคุณนายนั่นมัดติดไว้กับต้นไม้แล้วปล่อยให้เสือมันคาบไปกินซะ”
“ผมกลัวเสือมันจะไม่กล้าเข้ามาน่ะสิพี่นิล”
ฤทธิ์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังยื่นหน้าเข้ามากระซิบ พิมมาดาตีแขนเขาดังเพียะพร้อมกับดุ
“ปากร้ายนักนะเรา”
เด็กหนุ่มยิ้มแหยในขณะที่นิลเนตรหัวเราะจนท้องแข็ง เสียงของเธอทำให้นงนภัสหันมาตวาดถาม
“หัวเราะอะไรกัน”
“ขำหนอนน่ะ”
นิลเนตรตอบพลางแอบหลิ่วตาให้พิมมาดา หญิงสาวส่ายหน้าอย่างนึกเอือม ส่วนนงสภัสซึ่งดูเหมือนจะไม่เชื่อจึงลุกขึ้นและถามเสียงห้วน
“ไหนหนอนอะไรไม่เห็นมีเลยซักตัว”
นิลเนตรตั้งท่าจะตอบแต่ก็ต้องอ้าปากค้างพลางชี้นิ้วไปที่ปลายเท้าของนงนภัส หญิงสาวขมวดคิ้วก้มหน้ามองตาม เห็นตัวประหลาดคล้ายหนอนสีดำกำลังคลานกระดุบกระดิบอยู่บนหลังเท้าของเธอ พลันเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นลั่นป่า
“ตัวอะไรเนี่ย” พดพลางสะบัดเท้าเต้นเร่าๆทำอะไรไม่ถูก แต่ดูเหมือนพวกที่เหลือจะไม่สนใจเพราะมัวก้มลงสำรวจขาของตัวเอง
“ทากน่ะ” พิมมาดาตอบและก็ต้องถอนใจเมื่อเห็นนงนภัสโผเข้าไปกอดนายองอาจทันทีทั้งที่ยังไม่ทันสิ้นคำพร้อมกับร้องเสียงโวยวายไม่หยุด
“ช่วยปัดมันออกให้หน่อยค่ะคุณองอาจ นงขยะแขยงจะแย่อยู่แล้ว”
“แค่ทากเท่านั้นเองน่ะ”
นายองอาจตอบพลางช่วยดึงออกทีละตัวและโยนทิ้งไปไกล นงนภัสทำท่าขนลุก
“ถึงจะแค่ทากแต่มันน่ากลัวนี่คะ ว้ายดูสิมันมาอีกตัวแล้ว”
เธอส่งเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดลั่นป่า พิมมาดาได้แต่ส่ายหน้าพลางดึงขวดบรรจุน้ำสีน้ำตาลเข้มออกมาจากกระเป๋า นิลเนตรซึ่งกำลังสาละวนกับการแกะทากออกจากขาของตัวเองเห็นจึงถามด้วยความสงสัย
“อะไรน่ะพิม”
“ยาเส้นแช่น้ำ”อีกฝ่ายตอบพร้อมกับยื่นขวดใบนั้นส่งให้เพื่อน”ทาให้ทั่วตัว มันจะช่วยไม่ให้ทากเข้ามาเกาะ”
นงนภัสได้ยินก็ก้าวพรวดมาแย่งขวดน้ำไปจากมือของนิลเนตร
“ฉันทาก่อน”
เจ้าหล่อนเปิดฝาเทพรวดแบบไม่ยั้งจนพิมมาดาต้องเอ่ยปากเตือน
“ทาบางๆก็พอแล้วคุณนง”
“ถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ” นงนภัสตวาดพลางชะโลมน้ำยาเส้นจนตัวเปียกชุ่ม นิลเนตรถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจแต่ยังไม่ทันจะได้ต่อว่าพิมมาดาก็ส่งขวดน้ำอีกใบให้
“เอาไปแบ่งกัน”
จัดการเรื่องยากันตัวทากเสร็จทั้งหมดจึงออกเดินทางต่อ แม้จะเป็นระยะทางเพียงไม่กี่กิโลแต่ความที่เป็นป่าทำให้ทุกคนไปได้ไม่เร็วนัก ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงเสียงซู่ซ่าของน้ำตกก็ดังแว่วมาแต่ไกล
“ใกล้จะถึงแล้วล่ะ” นายองอาจหันมาให้กำลังใจลูกน้อง”เอ้ากัดฟันเดินกันอีกหน่อย ใครไปถึงก่อนมีรางวัล”
เสียงเฮดังขึ้นพร้อมกัน พนักงานทุกคนรวมทั้งนิลเนตรรีบก้มหน้าก้มตาเดินด้วยหวังว่าจะให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุดมากกว่าของรางวัล พิมมาดาเองก็เช่นเดียวกัน แม้จะเมื่อยล้าเหมือนขาจะหลุดแต่ความที่อยากจะให้การเดินทางในครั้งนี้จบลงเสียทีเธอจึงกัดฟันฝืนเร่งฝีเท้าให้ก้าวเร็วขึ้น แต่ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้นก็มีเสียงแหลมเล็กของสัตว์ดังมาจากด้านข้าง ฟังดูเหมือนกำลังตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกทำให้หญิงสาวต้องหยุดชะงัก
“เสียงอะไรน่ะ”
เธอก้มตัวลงมองลอดพุ่มไม้หนาทึบเข้าไปด้านในแต่เมื่อกวาดสายตาสอดส่ายไปจนทั่วแล้วกลับไม่พบอะไรเลยสักอย่าง อย่าว่าแต่สัตว์เลย มดสักตัวก็ยังไม่มี
“สงสัยเราจะเหนื่อยจนหูฝาด”
หญิงสาวพูดติดตลกและขยับจะเดินต่อแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ต้นไม้ขนาดเล็กต้นหนึ่งสั่นไหวอย่างรุนแรงเหมือนโดนเขย่า
เสือ
คำแรกวิ่งผ่านเข้ามาในความคิด พิมมาดาค่อยๆก้าวถอยหลังเพื่อเตรียมจะวิ่งแต่เสียงร้องแหลมเล็กคล้ายสัตว์จำพวกหนูทำให้เธอหยุดความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น หญิงสาวหันไปมองกลุ่มเพื่อนซึ่งทุกคนเริ่มเดินทิ้งห่างไปไกลแล้ว เธอคิดจะวิ่งไปบอกทุกคนแต่เมื่อนึกถึงความน่ารักของเม่นกับข่าวเรื่องสัตว์ป่าตายเพราะความมักง่ายของคนแล้วจึงเปลี่ยนใจ หญิงสาวก้าวเท้าออกจากทางเดินที่กำหนดมุ่งตรงเข้าไปในป่าเพื่อหาเจ้าของเสียงที่ตนเองได้ยิน
ฝ่ายนิลเนตรหลังจากเดินมาได้สักระยะจึงหยุดพักหอบหายใจ เธอยกมือขึ้นโบกให้กับฤทธิ์และสิทธิศักดิ์เพื่อเป็นการบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งสองจึงดึงขวดน้ำออกมาดื่ม
“เป็นไงบ้างยายพิม”
นิลเนตรถามและขมวดคิ้วเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบจากเพื่อน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและมองไปทางด้านหลังพร้อมกับร้องเรียก
“พิม”
เสียงที่ขานรับมีเพียงเสียงกราวจากใบไม้ที่แกว่งไหวกระทบกันเมื่อถูกลมพัด ความเงียบของเพื่อนทำให้นิลเนตรนึกเอะใจ
“เธออยู่ไหนน่ะพิม”
หญิงสาวเรียกด้วยเสียงที่ดังมากขึ้นกว่าเดิม ฤทธิ์และสิทธิศักดิ์จึงเดินย้อนกลับมาพร้อมกับถาม
“มีอะไรหรือครับ”
“ฉันหายายพิมไม่เจอ”
นิลเนตรตอบ ฤทธิ์จึงพยักหน้าไปทางกลุ่มที่เดินนำหน้า
“อยู่กับพวกนั้นหรือเปล่าครับ”
“เขาเดินคู่กับฉันมาตลอด”
นิลเนตรพูดพลางเดินย้อนกลับไปทางเดิม ดวงตาทั้งคู่สอดส่ายไปตามพุ่มไม้ข้างทางเพราะคิดว่าบางทีเพื่อนสาวอาจจะแวะทำธุระเมื่อไม่พบเธอจึงป้องปากตะโกนเรียก
“พิม”
ไร้วี่แววทั้งเงาหรือเสียงตอบรับ นิลเนตรจึงแน่ใจว่าเพื่อนของเธอหายตัวไป เพียงแต่จะเป็นแค่การหลุดออกนอกเส้นทางพลัดหลงเข้าไปในป่าหรือถูกสัตว์ทำร้าย พอคิดถึงเหตุผลประการหลังหญิงสาวจึงเริ่มแหวกพุ่มไม้ข้างทางอย่างบ้าคลั่งและร้องเรียกเพื่อนไม่ขาดปาก เสียงเรียกของนิลเนตรทำให้ทั้งคณะต้องหยุด นายองอาจเดินย้อนกลับมาพร้อมกับถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือคุณนิลเนตร”
หญิงสาวกวาดตามองไปโดยรอบคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง เมื่อไม่พบร่องรอยใดเธอจึงหันกลับมายังเจ้านาย นายองอาจยืนนิ่งตกตะลึงเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดด้วยความตระหนก นิลเนตรตอบเสียงสั่น
“พิมหายไปค่ะ”

*/*/*/*/*












มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ย. 2555, 08:04:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2555, 08:04:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1268





   บทที่ 2 ภูตคราม >>
อสิตา 3 ก.ย. 2555, 08:47:01 น.
มารอติดตามค่า หุหุ


wii 3 ก.ย. 2555, 12:14:37 น.
ตามมาอ่านจากpantipค่ะ รู้สึกว่าจะบทที่เจ็ดหรือเเปดที่เวพพันทิพนี่เเหละ


ameerahTaec 3 ก.ย. 2555, 14:23:19 น.
โอ๊ะ มาที่นี่ด้วยหรอคะ อิอิ เป็นกำลังใจให้คะ


เทียนจันทร์ 3 ก.ย. 2555, 18:36:58 น.
แบบว่าตามันลาย เวียนหัวไปหมด เว้นบรรทัดหน่อยนะค่ะ


มุนีรัตน์ 3 ก.ย. 2555, 20:45:27 น.
ขออภัยเรื่องบรรทัดนะคะ ครั้งหน้าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นค่ะ
โอ้ มีคนอ่านมนพันทิพด้วย มูนนี่จะเร่งลงให้ทันที่นั่นค่ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account