ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน


Tags: ภูต

ตอน: บทที่ 2 ภูตคราม

บทที่ 2 ภูตคราม

คำพูดและสีหน้าตระหนกของนิลเนตรสร้างความตกใจต่อนายองอาจและเพื่อนร่วมงานทุกคนเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างหันมองรอบตัวกันจ้าละหวั่นเพื่อช่วยกันหาแต่ก็ไม่เห็นพิมมาดาแม้แต่เงา นายองอาจจึงถามเลขานุการสาว

“เขาหายไปได้ยังไง”

“ไม่ทราบค่ะ ตอนแรกก็เดินมาด้วยกันดีๆเผลอแป๊บเดียวพิมก็หายไป” นิลเนตรพูดเสียงเครือและทำท่าจะร้องไห้ นงนภัสเบะปากอย่างหมั่นไส้ก่อนจะสะบัดเสียงพูด

“เขาอาจแวะเข้าไปทำธุระในป่าก็ได้”

“ฉันตะโกนเรียกจนลั่นป่า ต่อให้กำลังนั่งทำธุระยายพิมก็ต้องขานรับ” นิลเนตรตอบเสียงกระด้าง นงนภัสเหยียดยิ้ม

“เขาอาจจะเบื่อหรือขี้เกียจพูดกับเธอก็ได้”

“อย่าคิดว่าพิมเขาจะนิสัยเสียแบบเธอสิ” นิลเนตรพูดเสียงมะนาวไม่มีน้ำ นงนภัสถลึงตาใส่เธอด้วยความไม่พอใจก่อนจะหันหน้าไปออดอ้อนกับนายองอาจ

“นงว่าคุณพิมเขาอาจจะแค่แวะทำธุระข้างทางก็ได้ เราเดินล่วงหน้ากันไปก่อนดีกว่าค่ะ”

“โดยทิ้งพิมไว้แบบนี้น่ะหรือ”นายองอาจถาม อีกฝ่ายปรายตาไปทางนิลเนตร

“ก็ให้เพื่อนเขาอยู่รอตรงนี้สิคะ ทางเดินก็มีอยู่แค่ทางเดียวคงไม่หลงกันหรอก”

นายองอาจหันมามองเธออย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดไร้น้ำใจแบบนี้ เพราะเท่าที่ผ่านมาเจ้าหล่อนมักจะทำเพียงแค่วางท่าหยิ่งยะโสกับพนักงานบริษัทซึ่งก็เป็นปรกติสำหรับผู้หญิงสวยที่มักจะมีนิสัยเอาแต่ใจ

“ผมทิ้งเธอไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก”

นายองอาจพูดพลางดึงแขนออกจากการเกาะกุมของหญิงสาว เธอเม้มปากด้วยความโกรธ

“แต่ว่า”

“ตอนนี้ผมไม่อยากฟังความคิดเห็นของคุณ” อีกฝ่ายตัดบทพร้อมกับหันไปทางฤทธิ์ที่กำลังยืนหน้าถอดสี

“ผมจำได้ว่าเราเพิ่งผ่านป้อมของเจ้าหน้าที่อุทยานมา คุณรีบไปบอกพวกเขาว่าคนของเราหลงเข้าไปในป่าขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด”

ฤทธิ์รับคำและวิ่งออกจากที่นั่นทันที นายองอาจถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มเป็นห่วงและร้องห้ามสิทธิศักดิ์ที่ทำท่าเหมือนจะมุดเข้าไปในป่า

“นั่นคุณกำลังจะทำอะไร”

“ผมจะลองเข้าไปหาดูก่อน เผื่อคุณพิมอยู่แถวนี้”

“ป่าไม่ใช่ที่ที่เราจะเดินไปมาได้ตามใจชอบ ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงคุณพิมแต่ทางดีที่สุดก็คือยืนอยู่กับที่และรอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อุทยาน”

ทุกคนรับคำและถอยมายืนรวมกันเป็นกลุ่ม นิลเนตรมองผ่านต้นไม้หนาทึบ ความเป็นห่วงเพื่อนทำให้เธอยกมือขึ้นพนมพร้อมกับสวดมนตร์และอธิษฐานขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยนำพิมมาดากลับออกมาอย่างปลอดภัย

เสียงร้องเหมือนก้อนหินกระทบผิวน้ำที่ดังมาเป็นจังหวะทำให้พิมมาดาชะงักเท้าและหยุดยืนนิ่ง เหมือนเจ้าของเสียงจะรู้ว่าผู้ที่เดินอยู่ด้านล่างกำลังเงี่ยหูฟังมันจึงหยุดลง หญิงสาวกวาดตามองหาจนทั่วแต่ความหนาทึบของป่าช่วยอำพรางสัตว์น้อยใหญ่ได้เป็นอย่างดี หลังจากมองหาอยู่นานเมื่อไม่พบอะไรหญิงสาวจึงเริ่มออกเดินต่อ แต่พอก้าวไปได้เพียงสองสามก้าว เสียงลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง พิมมาดาถึงกับส่ายหัวอย่างระอา

“อยากจะร้องก็ร้องไป”

เธอพูดพึมพำพลางก้มตัวมุดผ่านไม้พุ่มหนึ่งออกไปยังพื้นที่โล่งขนาดไม่ใหญ่นัก ที่นั่นเองที่หญิงสาวได้พบกับที่มาของเสียงที่ได้ยินครั้งแรก

“เจ้าหนูนี่เอง”

พิมมาดาพูดพลางมองเม่นตัวน้อยที่กำลังนอนดิ้นอยู่ใต้พุ่มไม้ เมื่อเข้าไปใกล้เธอจึงพบว่าตัวของมันถูกพันด้วยเชือกพลาสติกโดยปลายด้านหนึ่งโยงไปติดแน่นกับต้นไม้ หญิงสาวจึงขยับเข้าไปหามันอย่างระมัดระวังพร้อมกับยื่นมือออกไป

“อยู่นิ่งๆเจ้าหนูเดี๋ยวฉันจะตัดเชือกนี่ให้”

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเพราะเจ้าเม่นกลับแยกเขี้ยวขู่สลับกับแผดเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว เมื่อแน่ใจว่าการกระทำของเธอทำให้สัตว์ตัวน้อยแตกตื่นพิมมาดาจึงดึงมือกลับและนั่งคิด

“เอาไงดี”

เธอขมวดคิ้วพลางนึกทบทวนถึงตอนที่ช่วยดึงสุนัขที่ถูกรถชนให้พ้นจากถนน ความตกใจและหวาดกลัวทำให้มันกัดทุกคนที่เข้าใกล้ จนเธอใช้กระสอบเก่าๆที่วางอยู่แถวนั้นมาครอบหัวมันเอาไว้เจ้าสุนัขตัวนั้นจึงสงบลงและยอมให้ทุกคนพาไปจนถึงโรงพยาบาล เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงดึงผ้าขนหนูที่เอาไว้ซับเหงื่อมาคลี่ออก พอได้จังหวะเธอจึงโยนมันไปคลุมตัวเม่นเอาไว้ ซึ่งก็ได้ผลเพราะเมื่อทุกสิ่งรอบตัวตกอยู่ในความมืดอย่างฉับพลัน เจ้าตัวน้อยก็หยุดดิ้นรนทันที พิมมาดาจึงรีบเข้าไปอุ้มมันอย่างระวังพลางหยิบมีดพกขนาดเล็กออกมา

“เดี๋ยวฉันจะตัดเชือกนี่ออกให้นะ”

เธอพูดเบาๆพร้อมกับตัดเชือกให้หลุดจากต้นไม้จากนั้นจึงค่อยๆดึงมันออกจากตัวของเม่นแต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะขนที่แหลมคมราวกับเข็มของมันคอยจะแทงมือตลอดเวลา ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาสาวเส้นเชือกอยู่นั้นอยู่ๆหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเฝ้ามอง เธอเงยหน้าขึ้นและกวาดตาไปรอบตัวอย่างหวาดระแวงแต่สิ่งที่พบมีเพียงใบไม้แห้งที่กำลังร่วงโรยลงจากต้นกับสายลมที่พัดผ่านกิ่งไม้จนไหวโยกไปมา เมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติพิมมาดาจึงหันไปช่วยเจ้าเม่นต่อแต่พอทำไปได้สักพักความรู้สึกเดิมก็กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูชัดเจนมากกว่าเดิมเพราะหญิงสาวรู้สึกเหมือนดวงตาคู่นั้นลอยอยู่เหนือร่างของเธอ พิมมาดารีบเงยหน้าขึ้นมองแต่สิ่งที่เห็นคือกิ้งก่าตัวหนึ่งกำลังเผ่นแผล็วขึ้นไปบนต้นไม้ ถึงจะตกใจอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอย่าง
โล่งอก

“กิ้งก่าเองหรอกเหรอ”

เธอพูดพร้อมกับยิ้มให้กับตัวเองและก้มลงทำงานที่ค้างต่อขณะที่ปลดเชือกเส้นสุดท้ายออกจากตัวเม่นอยู่นั้นหญิงสาวรู้สึกเหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ทางด้านหลัง แม้จะมองไม่เห็นแต่เธอก็แน่ใจว่ามีคนยืนอยู่จริง และที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือคนผู้นั้นยืนอยู่ใกล้จนเธอสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่กำลังรดต้นคอ หัวใจของพิมมาดาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวแต่เม่นที่เธออุ้มไว้ในมือนั้นกลับแสดงอาการหวาดกลัวยิ่งกว่าเพราะแม้จะอยู่ภายใต้ผ้าแต่มันกลับดิ้นรนอย่างรุนแรงจนหลุดจากมือและวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว อาการตื่นตระหนกของสัตว์ตัวน้อยทำให้หญิงสาวยืนตัวแข็งก้าวขาไม่ออก มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่สามารถกลอกไปมาได้ พิมมาดาจึงเหลือบมองไปทางด้านหลังและยืนอ้าปากค้างเพราะแม้จะเห็นไม่ชัดนักแต่เธอก็แน่ใจว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างแน่นอน

ในช่วงที่ตกอยู่ในความหวาดกลัว พิมมาดารู้สึกว่าอากาศรอบตัวเริ่มเคลื่อนไหวราวกับสิ่งมีชีวิต มันเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าหมุนวนเป็นวงและเลื่อนไล้ไปตามลำตัวของเธออย่างอ่อนละมุน สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับเธอเป็นอย่างมาก หญิงสาวอยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาแต่ร่างกายที่แข็งราวกับหินทำให้ไม่สามารถทำเช่นนั้น เธอจึงได้แต่ปล่อยให้สิ่งลึกลับลูบไล้ไปตามร่างกาย จนเมื่อสัมผัสนั้นเลื่อนขึ้นไปถึงลำคอมันจึงหยุด ตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงเฮือกเหมือนใครบางคนถอนใจ เรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืนมาอีกครั้ง พิมมาดารีบกระโดดออกจากจุดที่ยืนอยู่และวิ่งออกไปสองสามก้าวจากนั้นจึงหมุนตัวหันหน้ากลับมาโดยหมายจะมองผู้ล่วงละเมิดให้เต็มตา แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่ากับต้นไม้ที่กำลังโยกเอนไปตามลม

“เมื่อกี้มันอะไรกัน”

เธอพึมพำอย่างตระหนก ดวงตาจ้องนิ่งอยู่ตรงตำแหน่งที่ยืนเมื่อครู่ ขณะที่พยายามคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อมีมือข้างหนึ่งตะปบลงบนไหล่

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ”

เสียงถามอย่างสุภาพ พิมมาดาจึงพบว่าเจ้าของมือคือชายสูงอายุในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่อุทยาน อีกฝ่ายมองสีหน้าตื่นกลัวของหญิงสาวพร้อมกับถาม

“คุณพิมมาดาใช่ไหมครับ”

“ค...ค่ะ”

หญิงสาวตอบเสียงสั่นพลางกวาดตามองไปรอบตัว เจ้าหน้าที่ผู้นั้นมองกิริยาเธอด้วยสายตาที่เหมือนจะเข้าใจในอะไรบางอย่าง

“คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไงครับ”

“ฉันได้ยินเสียงสัตว์ร้องเลยเข้ามาดู”

“แล้วเจออะไรหรือเปล่า”

น้ำเสียงที่ถามเจือความหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย พิมมาดาตอบทั้งที่ยังหันมองไปรอบตัว

“ค่ะ ลูกเม่นถูกเชือกพลาสติกพัน ฉันเลยเข้ามาช่วยมัน”

“แค่นั้นหรือครับ”

คราวนี้พิมมาดาหันมามองเจ้าหน้าที่ผู้นั้นด้วยความแปลกใจ

“ทำไมหรือคะ”

อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับเลื่อนสายตามองไปยังจุดที่หญิงสาวพบเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่และยืนจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ

“ผมว่าเรารีบกลับออกไปดีกว่า ทุกคนเป็นห่วงคุณมาก”

พูดจบเขาก็เดินนำออกไปทันที พิมมาดารีบก้าวเท้าตามทั้งที่ในใจยังคงสงสัยในสีหน้าและพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่คนนั้น ระหว่างทางที่เดินมาด้วยกันเธอจึงถาม

“ตรงนั้นมีอะไรหรือคะ”

“อะไรนะครับ” อีกฝ่ายย้อนถามทั้งที่สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้า พิมมาดานิ่วหน้าเล็กน้อย

“เมื่อกี้คุณทำเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง พอจะบอกได้ไหมคะว่ามันคืออะไร”

“ผมแค่มองทุกอย่างตามนิสัยของพราน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยและยกมือขึ้นตบเครื่องหมายอุทยานสองสามครั้ง “หมายถึงงานของเจ้าหน้าที่น่ะครับ”

เขาแหวกใบเฟิร์นที่ระลงมาจากคบไม้และหยุดชะงักอย่างฉับพลันทำเอาพิมมาดาซึ่งตามหลังมาเกือบจะยั้งเท้าไม่ทัน หญิงสาวขยับตรียมจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ต้องยั้งปากเอาไว้ด้วยท่าทีของเจ้าหน้าที่อุทยาน เพราะสีหน้าของเขาแม้จะเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดแต่ดวงตาที่จ้องไปด้านหน้ากลับฉายความพรั่นพรึงออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“มีอะไรหรือคะ”

พิมมาดาขยับเข้าไปกระซิบถาม อีกฝ่ายยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดก่อนจะถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวและเดินเลี่ยงไปอีกด้าน หญิงสาวรีบเดินตามแต่ยังไม่วายอดที่จะเหลียวหลังกลับไปมองจุดที่เจ้าหน้าที่จ้องเมื่อครู่ไม่ได้ ทั้งคู่เดินตามกันโดยไม่มีการพูดจาไปได้สักพัก พิมมาดาจึงถามขึ้น

“เมื่อกี้นี้คุณเห็นอะไรเหรอคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบต่างจากการเดินซึ่งดูเหมือนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หญิงสาวรีบก้าวเท้ายาวๆเข้าไปจนใกล้

“ฉันไม่เชื่อ” เธอพูดและหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นเขาไม่ยอมตอบอะไร อีกฝ่ายจึงจำต้องหยุดและหันกลับมาเตือน

“ใกล้ค่ำแล้วคุณต้องรีบกลับเข้าที่พัก”

หญิงสาวส่ายหน้าและเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เธอเพิ่งประสบ

“ตอนที่ช่วยเม่นฉันเจอเรื่องประหลาด แน่นอนว่าถ้าพูดให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อแต่เจ้าหน้าที่อย่างคุณคงรู้จักเรื่องแบบนี้แน่”

“คนที่หลงป่ามักจะสร้างจินตนาการหลอกตัวเองทุกคน การที่คุณเห็นอะไรผิดธรรมชาติก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

เจ้าหน้าที่อุทยานอธิบายแต่พิมมาดาไม่สนใจ เธอมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่จงใจจะเน้นย้ำถึงความมั่นใจของตัวเอง

“บ้านของฉันอยู่กลางสวน ฉันคุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวตามลำพัง และฉันก็แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เกิดจากจินตนาการแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง”

สีหน้าขึงขังกับน้ำเสียงจริงจังของเธอทำให้เจ้าหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อย สุดท้ายเขาจึงยอมผงกศีรษะ

“ผมรู้”

“งั้นคุณพอจะบอกได้ไหมคะว่าสิ่งที่ฉันเห็นคืออะไร”

ลุงเจ้าหน้าที่ไม่ตอบเธอในทันทีแต่กลับกวาดตามองไปรอบด้านด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่เห็นสิ่งใดผิดปรกติแล้วเขาจึงหันกลับมาทางพิมมาดา

“พูดตอนนี้คงไม่เหมาะ ไว้ถึงที่พักแล้วผมจะเล่าให้คุณฟัง”

พูดเพียงแค่นั้นเขาก็เริ่มก้าวเท้าออกเดินอีกครั้งและไม่ยอมเปิดปากสนทนาอะไรอีกเลย ฝ่ายพิมมาดาเมื่อได้ยินคำพูดเป็นเชิงตอบตกลงแล้วเธอจึงรีบเดินตามโดยไม่ทันได้สังเกตว่าทางด้านหลังภายใต้โคนต้นเคี่ยมคะนองที่สูงเสียดฟ้า มีเงาร่างเลือนลางของใครคนหนึ่งกำลังเฝ้ามองเธออยู่ เมื่อคนทั้งสองหายลับไปจากสายตาแล้วเสียงหนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้น

“เหตุใดจึงปล่อยนางไป”

เปลือกต้นไม้ขยับไหวราวกับมีชีวิต ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งเคลื่อนกายออกมาจากต้นเคี่ยมคะนอง หากมีผู้ใดมาพบก็คงคิดว่าเขาคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะต่างก็เพียงเครื่องแต่งกายที่เป็นหนังสัตว์ห่อหุ้มกายกับดวงตาสีน้ำตาลทองที่สะท้อนแสงวาววับราวกับนัยน์ตาของสัตว์ป่าเขายืนนิ่งไม่ขยับ มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่หันไปมองผู้กำลังก้าวเข้ามาหา

“ข้ายังไม่หิว”

บุรุษผู้นั้นตอบโดยมิได้ขยับริมฝีปาก อีกฝ่ายหยุดยืนในระยะห่างเพียงหนึ่งช่วงแขนและมองคู่สนทนาด้วยสายตาแปลกใจ

“หากข้าจำไม่ผิดอาหารมื้อสุดท้ายของเจ้าคือเมื่อสองจันทร์เพ็ญที่แล้ว เวลานานขนาดนั้นเจ้าจะบอกว่ายังไม่หิวหรือภูธรา”

ผู้ถูกเรียกว่าภูธรามิได้ตอบคำ เขาหมุนตัวเหมือนต้องการจะไปให้พ้นจากที่นั่นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น

“เจ้าเห็นใจมนุษย์อย่างนั้นหรือ”

“ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น อย่าได้กล่าวหาความกันแบบนี้มฤต” ภูธราตอบพร้อมกับหันไปมองผู้ร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกัน มฤตกระตุกยิ้ม

“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงปล่อยนางไป”

“ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่า ข้ายังไม่หิว”

ภูธราตอบเสียงเข้มขึ้น เสียงสวบสาบทำให้ทั้งคู่หยุดสนทนาและหันไปมองพร้อมกันจึงพบว่าผู้ที่เข้ามาขัดการสนทนาของพวกเขาคือกวางตัวหนึ่ง ทันทีที่เห็นภูตทั้งสองสัญชาตญาณระแวงภัยก็กระตุ้นเตือน ดวงตาของมันก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก ขาทั้งสี่ขยับเตรียมจะหนีแต่ก็ช้าเกินไปเมื่อมฤตวางมือลงบนหลังของมัน พลังชีวิตทั้งหมดก็ไหลพร่างพรูออกจากร่าง ชั่วพริบตาเจ้ากวางเคราะห์ร้ายก็ล้มลงขาดใจตาย

“พวกเราดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของสรรพสัตว์”มฤตพูดพลางมองภูธราแน่วนิ่ง”รวมทั้งมนุษย์ด้วยฉะนั้นข้าจึงไม่อยากให้เจ้าเห็นใจบรรดาอาหารพวกนี้”

“ข้าไม่ได้เห็นใจ”

“งั้นทำไมเจ้าไม่สูบพลังชีวิตของนาง” มฤตถามน้ำเสียงเชิงคาดคั้น ด้วยนิสัยไม่ยอมรามือต่อสิ่งใดทำให้ภูธราจำต้องยอมตอบในที่สุด

“เพราะข้าเห็นบางอย่างในตัวของนาง”

“บางอย่างที่เจ้าว่านั่นคืออะไร” มฤตซักพร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายขมวดคิ้วพยายามหาคำตอบแต่คิดทบทวนอยู่หลายรอบก็ยังนึกไม่ออกเพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า สิ่งนั้นคืออะไร

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

คำตอบที่หลุดออกมาทำให้มฤตส่ายหน้า

“เป็นคำตอบที่ไม่สมกับผู้ที่ถูกเลือกให้ชิงตำแหน่งหัวหน้า”

“ข้าไม่สนใจเรื่องแบบนั้น เชิญเจ้ารับตำแหน่งที่ว่านั่นไปเถอะ”

ภูธรากล่าวอย่างรำคาญและทำท่าจะเดินจากไป มฤตเคลื่อนตัวเข้าไปขวางและจ้องมองเขาด้วยดวงตาดุดัน

“อย่ามาแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ข้ารู้ดีว่าแท้จริงแล้วเจ้าเองก็ปรารถนาในตำแหน่งนี้เช่นกัน”

“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”ภูธราพูดและขยับจะเดินแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับเขาจึงเบือนหน้าประสานสายตาแข็งกร้าว

“หลีก”

มฤตยังคงยืนนิ่งขวางทางเหมือนต้องการจะลองดีแต่เมื่อเห็นดวงตาของอีกฝ่ายทอแสงลุกวาวด้วยความไม่พอใจกายของเขาก็บังเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว มฤตเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้กับภูธราด้วยความหวาดผวาในคลื่นพลังแห่งความดุดันเพราะแม้จะเป็นภูตที่มีนิสัยเงียบขรึมไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ในยามบันดาลโทสะ ต่อให้ภูตรวมกันสามตนก็ยังไม่สามารถทำอะไรภูธราได้

ฝ่ายภูธราเมื่อมฤตยอมหลีกทางให้แล้วเขาจึงเดินผ่านไปโดยไม่สนใจที่จะกล่าวอะไร ส่วนมฤตยเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทางหรือพูดจาโต้ตอบก็บังเกิดความโกรธจึงเผลอหลุดปากถาม

“เจ้าจะหนีหรือภูธรา”

ภูตหนุ่มหยุดชะงักและมองมฤตด้วยหางตาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้าจะไปพบท่านวิษธร”

พูดจบร่างสูงกำยำก็ก้าวหายเข้าไปในต้นไม้ มฤตกำหมัดแน่นและบดกรามด้วยความโกรธ

“ข้าไม่ยอมให้เจ้าสอพลอท่านวิษธรได้อย่างสบายใจหรอกภูธรา”

พูดจบเขาก็หมุนตัวหายเข้าไปในต้นมะค่าลิ้นทางด้านหลัง เสียงซู่ซ่าของใบไม้ดังสนั่นเมื่อมีสายลมแห่งขุนเขาพัดผ่านเข้ามาหอบใหญ่ เมื่อทุกอย่างสงบลงบริเวณนั้นก็เหลือเพียงซากของกวางเคราะห์ร้ายที่นอนตายเพียงลำพัง ไม่มีวี่แววของภูตตนใดอีกลย

หลังได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อุทยานจนสามารถกลับไปหาเพื่อนที่รอกันอยู่บริเวณที่พักแถวน้ำตกเหวนรกแล้ว พิมมาดาจึงกล่าวขออภัยกับทุกคน นายองอาจมิได้ตำหนิเธอแม้แต่คำเดียวเช่นเดียวกันกับนิลเนตรที่โผข้ากอดเพื่อนด้วยความดีใจ มีเพียงนงนภัสคนเดียวเท่านั้นที่ค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างไม่พอใจ

“ไม่รู้รอดกลับมาได้ยังไง”

เจ้าหล่อนเปรยด้วยเสียงที่ไม่ดังนักก่อนจะสะบัดหน้ามองไปทางด้านอื่นด้วยความหมั่นไส้ที่ทุกคนพากันรายล้อมและผลัดกันซักถามพิมมาดาด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าทุกคนหายจากอาการตื่นตระหนก
แล้วนายองอาจจึงปรบมือสองสามครั้งพร้อมกับร้องบอก

“เอ้า เมื่อทุกคนสบายใจกันแล้วผมก็มีข่าวดีจะบอก คุณนวลศรีโทร.มาว่าได้ซื้อปลาสดกับกุ้งแม่น้ำจากชาวบ้านมาหลายกิโล พวกเราควรจะรีบกลับที่พัก เย็นนึ้เราจะปิ้งปลาย่างกุ้งปิดท้ายวันพักร้อนและฉลองที่คุณพิมกลับมาอย่างปลอดภัย”

เสียงพนักงานทุกคนร้องเฮกันดังลั่นยกเว้นนงนภัสที่เบ้หน้าใส่ จากนั้นทั้งหมดจึงเดินกลับขึ้นรถที่มาจอดรออยู่เมื่อนั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้วทั้งหมดจึงเดินทางกลับสู่ผากล้วยไม้ ระหว่างที่นั่งรอยู่บนรถพิมมาดามองต้นไม้ซึ่งเคลื่อนที่ผ่านไปทางด้านหลังพลางนึกถึงคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่อุทยาน

‘คุณโชคดีมากที่รอดจากภูตครามมาได้ แต่เพื่อความปลอดภัยคุณกับเพื่อนควรรีบเดินทางออกจากป่า เพราะภูตพวกนั้นไม่เคยปล่อยเหยื่อให้มีชีวิตรอด’

“ภูตคราม”หญิงสาวพึมพำด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธอได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีป่ามามากมายไม่ว่าจะป็นผีโป่ง ผีป่าหรือผีกองกอย จะแปลกหน่อยก็ตรงผีโพรงแต่ไม่มีใครเคยเล่าถึงภูตครามเลยสักครั้ง มันคือปิศาจชนิดใดกันแน่

“คงต้องไปถามลุงคนนั้นอีกครั้ง”

พิมมาดาคิดพลางเอนกายพิงเก้าอี้และระบายลมหายใจออกมา นิลเนตรซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างเห็นท่าทางของเพื่อนจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่ายายพิม”

“หือ”หญิงสาวทำเสียงในลำคอและยิ้มน้อยๆ”แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”

“แน่ใจนะ” นิลเนตรถามย้ำ หญิงสาวผงกศีรษะแต่ไม่ได้ตอบอะไร เมื่อเห็นพิมมาดาทำท่าเหมือนไม่อยากพูดเธอจึงตีความหมายไปว่าเพื่อนต้องการจะพักผ่อน ทั้งสองต่างนั่งนิ่งเงียบไม่พูดจากันจนกระทั่งถึงที่พักทุกคนจึงทยอยลงจากรถและตรงไปหาคุณนวลศรีที่กำลังนั่งอยู่หน้าเต้นท์อย่างสบายใจ

“เป็นไง เดินป่าสนุกมั้ย” นายหญิงของบริษัทเอ่ยถาม ฤทธิ์ซึ่งเดินตามหลังนายองอาจรีบตอบ

“สนุกครับ เราเจอต้นไม้แปลกๆตั้งหลายอย่าง แถมยังได้เจอเรื่องตื่นเต้นอีกด้วย”

ทุกคนหันไปมองเด็กหนุ่มปากไวเป็นตาเดียว นิลเนตรแอบหยิกเขาเป็นเชิงตำหนิแต่ดูเหมือนคุณนวลศรีจะไม่ทันเห็นเพราะเธอเลิกคิ้วสูงพร้อมกับหันไปถามนายองอาจ

“ไปเจออะไรมาเหรอคะ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม”

นายองอาจหันไปส่งสายตาดุใส่ฤทธิ์ก่อนจะหันหน้ากลับไปที่ภรรยาและตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปรกติธรรมดา

“ก็ไม่มีอะไร แค่คุณพิมแกชมป่าเพลินไปหน่อยเลยเผลอเดินออกนอกเส้นทาง”

“พูดง่ายๆก็คือเดินออกนอกกลุ่มจนหลงเข้าไปในป่าน่ะแหละค่ะ” นงนภัสพูดแทรกขึ้นมาและสะบัดหน้าหนีสาย
ตาตำหนิของนายองอาจทันที คุณนายนวลศรีทำตาโต

“หลงป่า ตายจริง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้คะหนูพิม แล้วนี่ได้รับบาดเจ็บอะไรตรงไหนบ้างหรือเปล่า”

ไม่พูดเปล่าแต่คุณนวลศรียังเดินมาสำรวจพิมมาดาจนทั่วทั้งตัว หญิงสาวรีบส่ายหน้าพร้อมกับตอบ

“หนูแค่เข้าไปช่วยเม่นแต่หาทางออกไม่เจอเท่านั้นแหละค่ะ”เธอคว้ามือของนายหญิงที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการหาบาดแผลบนตัวและบีบเบาๆ”หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณนวล”

“แน่ใจนะ” อีกฝ่ายถามด้วยความเป็นห่วงจนนงนภัสแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ พิมมาดายิ้มอย่างอ่อนโยนตามนิสัย

“ค่ะ”เธอเลื่อนสายตาไปยังโฟมกล่องใหญ่ที่วางไว้หน้าเต้นท์”ได้ยินคุณองอาจบอกว่าคุณนวลได้กุ้งกับปลาสดมา”

“จ้ะ พอดีมีคนเอามาขายน่ะ เห็นว่าได้มาจากอ่างเก็บน้ำแต่ฉันจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ตอนแรกก็ว่าจะไปให้ทางร้านอาหารทำให้แต่เจ้าหน้าที่บอกว่ามีจุดสำหรับทำอาหารอยู่ทางด้านนั้นและทางอุทยานก็มีอุปกรณ์สำหรับปิ้งย่างเลยว่าจะทำกินกันเอง”

“เดี๋ยวหนูจะติดเตาให้” พิมมาดาพูด นิลเนตรซึ่งเดินไปเปิดกล่องโฟมหันมายิ้ม

“งั้นฉันขอเป็นคนปิ้ง”

“ส่วนผมจะเป็นคนรอกิน”ฤทธิ์เสริมทันควัน เพื่อนพนักงานทุกคนจึงพร้อมใจกันบรรจงกำปั้นลงบนหัวเขาไม่แรงนัก

“ยังมีหน้ามาพูดอีก ตะกละจริงๆเลย”

เสียงพนักงานหญิงคนหนึ่งพูดไม่ดังนัก ฤทธิ์ยกมือขึ้นคลำหัวป้อยพร้อมกับบ่น

“ก็แหม ถ้ามีแต่คนทำไม่มีคนกินของมันก็เสียหมดสิครับ”

ทุกคนเงื้อมะเหงกขึ้นอีกครั้ง ฤทธิ์เด้งพรวดออกไปยืนจนไกล นายองอาจซึ่งกำลังยืนยิ้มด้วยความขบขันจึงยกมือขึ้นปราม

“เอาล่ะพอกันได้แล้ว ไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน ใครจะอยู่ช่วยคุณพิมก็ตามใจ ตอนค่ำค่อยมากินเลี้ยงกัน”

บรรดาพนักงานต่างแยกกันไปเข้าห้องอาบน้ำชำระล้างดินโคลนจากการเดินทางไกล ส่วนพิมมาดายกโฟมทั้งกล่องไปตั้งหน้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดกุ้งปลาจากนั้นจึงนำน้ำแข็งซึ่งฤทธิ์วิ่งไปขอซื้อมาจากร้านค้ามาโรยทับและปิดฝากล่อง หลังจากนำไปวางไว้ยังเต้นท์ที่พักแล้วเธอจึงคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำจนร่างกายสดชื่น แต่แทนที่จะนอนพักผ่อน หญิงสาวกลับเดินไปยังที่ทำการอุทยานเพื่อสอบถามชื่อลุงเจ้าหน้าที่ที่ช่วยเหลือเธอ หลังจากบอกรายละเอียดรูปร่างหน้าตาให้กับคนที่อยู่ในที่ทำการแล้วเขาก็หัวเราะ

“อ๋อ คงเป็นลุงแคล้ว”

“แน่ใจเหรอคะ” พิมมาดาย้ำเพื่อความมั่นใจ อีกฝ่ายพยักหน้าพร้อมกับชี้ไปที่ผังรูปพร้อมรายชื่อเจ้าหน้าที่ของอุทยาน

“คนที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่มีแค่ลุงแคล้วคนเดียวเท่านั้นแหละครับ ครอบครัวของแกดูแลเขาใหญ่มาตั้งแต่รุ่นปู่ทวด ตระกูลของแกเป็นพรานป่าที่เก่งที่สุดในแถบนี้”

“แล้วจะเจอแกได้ที่ไหนคะ”พิมมาดาถามและอธิบายเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่มองมาด้วยสายตาแสดงความสงสัย”คือดิฉันอยากจะมอบอะไรเล็กน้อยให้กับแกและจะขอบคุณอีกครั้งน่ะค่ะ”

“ลุงแคล้วไม่เคยรับของจากใครหรอกครับ” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดแทรกขึ้น เขาหันไปเก็บเอกสารลงลิ้นชักก่อนจะหมุนกลับมาพูดต่อ”แต่ถ้าแค่คำขอบคุณก็คงจะพอคุยกันได้”

“ทำไมล่ะคะ”

“แกถือว่าเป็นหน้าที่น่ะครับ แค่คุณไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อธรรมชาติและสัตว์ป่าแล้วแกยินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ”เจ้าหน้าที่คนแรกตอบพลางใช้ปากกาชี้ไปยังอีกด้านหนึ่งของที่ทำการหน่วย “ลุงแคล้วแกอยู่กับครอบครัวในบ้านพักเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าจะไปหาตอนนี้คงยังไม่เจอ”

เขาพูดพลางหันหน้ามาทางพิมมาดา หญิงสาวผงกศีรษะ

“งั้นดิฉันควรไปหาแกกี่โมงดีคะ”

“ซักสองทุ่ม แกจะกลับมากินข้าวและนอนพักสองสามชั่วโมงก่อนออกตรวจตราบริเวณรอบผากล้วยไม้นี่อีกครั้ง เอาเป็นว่าคุณมาหาแกซักสองทุ่มครึ่งจะดีที่สุด”

เจ้าหน้าที่ตอบ พิมมาดาส่งยิ้มอย่างสุภาพให้กับเขาและก้มศีรษะลงน้อยๆพร้อมกับพูด

“ขอบคุณมากค่ะ”

“ด้วยความยินดีครับ” อีกฝ่ายตอบ เมื่อสอบถามรายละเอียดจนเป็นที่เข้าใจแล้วพิมมาดาจึงเดินกลับที่พัก ระหว่างนั้นเธอหวนนึกถึงเหตุการณ์อันแสนตื่นเต้นที่เพิ่งประสบมาอีกครั้ง ถึงจะไม่รู้ว่าภูตครามคืออะไรแต่สัมผัสที่ไล้ไปบนตัวของเธอในตอนนั้นบ่งบอกถึงเจตนาบางอย่างซึ่งหญิงสาวแน่ใจว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน แต่นั่นก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่า แม้จะถูกรุกรานจากมนุษย์แต่ผืนป่าในเขาใหญ่ยังคงมีสิ่งเร้นลับอยู่ ถึงจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า ผีป่ามีจริง มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังค้างคาอยู่ในใจของหญิงสาวก็คือช่วงเวลา เพราะเท่าที่ได้ฟังประสบการณ์ของคนที่เคยพบหรือเรื่องเล่าปากต่อปากของคนเฒ่าคนแก่ บรรดาผีป่าทุกชนิดมักจะบุกเข้าทำร้ายมนุษย์ในยามค่ำคืนเท่านั้น

“แสดงว่าภูตครามต้องเป็นผีป่าที่ร้ายกาจมาก”

พิมมาดาพูดกับตัวเองขณะเดินไปยืนที่จุดชมวิว ดวงตาทอดมองผ่านขุนเขาที่สลับซับซ้อนไปไกลแสนไกลขณะที่ความคิดล่องลอยไปกับกลุ่มเมฆที่ล่องลอยไปตามสายลม หญิงสาวจมอยู่กับคำถามของตัวเองโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกเฝ้ามองจากใครบางคนซึ่งเร้นกายอยู่ภายใต้กระเบากลักต้นสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลทองคล้ายตาไม้จับจ้องการเคลื่อนไหวของหญิงสาวทุกอิริยาบถจนเมื่อนิลเนครเพื่อนของเธอร้องเรียก เงาเลือนลางของคนผู้นั้นจึงจางหายไป

“ทำอะไรอยู่น่ะพิม”

ผู้ถูกเรียกหันหน้าไปมองพร้อมรอยยิ้ม

“ยืนคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”

“ยืนคิดอะไรกันนักกันหนา เรามาเที่ยวไม่ได้นั่งประชุม โยนเรื่องงานทิ้งลงเหวไปซะแล้วไปสนุกกันดีกว่า”

ไม่พูดเปล่านิลเนตรยังดึงแขนเพื่อนให้เดินตามไปด้วย พิมมาดาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเตรียมจะอ้าปากถามแต่พอได้ยินเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมงานที่ดังมาจากลานหญ้าบริเวณหน้าเต้นท์แล้วหญิงสาวจึงยอมหุบปากเงียบและเดินตามเพื่อนไปอย่างว่าง่าย

“เล่นอะไรกันน่ะ” พิมมาดาถามเมื่อเห็นทุกคนนั่งล้อมเป็นวงโดยมีฤทธิ์เดินวนอยู่รอบนอก นิลเนตรยิ้มกว้าง

“มอญซ่อนผ้า”

“โตป่านนี้แล้วเล่นอะไรเป็นเด็ก ใครเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้กันน่ะ” พิมมาดาถามด้วยความสงสัยขณะมองฤทธิ์ที่ค่อยๆหย่อนผ้าขนหนูผืนเล็กไว้ข้างหลังสิทธิศักดิ์จากนั้นจึงทำเป็นเดินตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อ นิลเนตรอมยิ้มพร้อมกับกระซิบตอบ

“คุณองอาจ”

ชื่อของคนต้นคิดทำเอาคนถามต้องอ้าปากค้างเพราะนึกไม่ถึงว่าเจ้านายที่มักจะมีสีหน้าเคร่งเครียดและทำงานอย่างจริงจังอยู่เสมอจะรู้จักสรรหาวิธีเล่นสนุกแบบนี้ ถึงมันจะเป็นการเล่นที่ออกจะโบราณไปหน่อยก็เถอะ พิมมาดาอมยิ้มขณะมองสิทธิศักดิ์ที่กำลังใช้มือกวาดหาทางด้านหลัง เมื่อพบผ้าผืนนั้นเขาจึงคว้ามันและวิ่งไล่คนวางไปรอบวงแต่ฤทธิ์กลับวิ่งหนีได้ทันและกระโดดลงไปนั่งแทนที่อย่างว่องไว สิทธิศักดิ์จึงต้องรับหน้าที่เป็นคนเดินรอบวงแทน เสียงหัวเราะด้วยความสนุกสนานดังไม่ขาดระยะ นายองอาจหันมาเห็นหญิงสาวจึงร้องเรียก

“อ้าวคุณพิมมัวยืนอยู่ทำไม มาเล่นด้วยกันเร็ว”

พิมมาดาเดินไปร่วมวงตามคำร้องเรียก หลังจากเล่นมอญซ่อนผ้าจนเบื่อแล้วทุกคนจึงเปลี่ยนมาเล่นงูกินหางตามคำแนะนำของคุณนวลศรี นายองอาจซึ่งเล่นเป็นพ่องูวิ่งไล่จับพนักงานที่เล่นเป็นลูกงูอยู่ไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องยอมแพ้ ทั้งเขาและภรรยาต่างขอตัวไปนั่งพักปล่อยให้ลูกน้องเล่นเกมส์ทายปัญหากันจนถึงเวลาบ่ายจัดๆฤทธิ์และสิทธิศักดิ์จึงหอบเตาปิ้งบาบีคิวของเจ้าหน้าที่อุทยานมาตั้งที่กลางลาน กลิ่นกุ้งเผาปลาย่างหอมกรุ่นไปจนถึงที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าที่แวะมาดูสองสามครั้งเพื่อต้องการให้แน่ใจว่าไฟจะไม่ลุกลามเข้าไปในป่า นายองอาจจึงชวนพวกเขาร่วมวงรับประทานอาหารด้วย เวลาแห่งความสนุกผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อความมืดโรยตัวลงมาคลุมผืนป่า งานเลี้ยงจึงจบลง เมื่อช่วยกันดับฟืนไฟและเก็บข้าวของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วนายองอาจและพนักงานทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับเข้าไปพักผ่อนในเต้นท์ของตัวเองเพราะต้องออกเดินทางกลับในตอนเช้า มีเพียงพิมมาดาเท่านั้นที่ยังคงนั่งมองความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนเพียงลำพัง พอใกล้เวลาสองทุ่มเธอจึงเริ่มเดินตรงไปยังบ้านพักเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ห่างจากจุดตั้งเต้นท์พอสมควร

แม้จะไม่ใช่คืนวันเพ็ญ แต่พระจันทร์เกือบค่อนดวงก็ส่องแสงสีนวลสว่างลงมายังผืนป่าช่วยให้พิมมาดาสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ไม่ยากนัก หญิงสาวเดินเรื่อยไปจนกระทั่งถึงบ้านของเจ้าหน้าที่อุทยาน ประตูหน้าต่างที่ถูกปิดกับความเงียบสงัดแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้านอนกันจนหมดแล้ว หลังจากยืนรีรออยู่สักพักหญิงสาวจึงตัดสินใจหมุนตัวเตรียมจะเดินกลับ แต่แสงไฟสีแดงที่สว่างวาบมาจากบ้านหลังหนึ่งทำให้เธอต้องหยุดและมองเงาตะคุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ หญิงสาวยืนลังเลอยู่นิดหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียก

“ลุงแคล้วใช่ไหมคะ”

“ครับ”

เสียงตอบดังกลับมาขณะที่อีกฝ่ายโยนก้นยาสูบลงบนพื้นและใช้เท้าขยี้จนมันดับสนิทจากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินตรงเข้ามาหาพิมมาดา

“คุณพิมมาดา” ลุงแคล้วกล่าวทักพร้อมกับเปิดรอยยิ้ม”ผมกำลังรอคุณอยู่”

“กำลังรอ” หญิงสาวทวนคำด้วยความแปลกใจ “รู้ได้ยังไงคะว่าฉันจะมาหาลุง”

“ดูจากนิสัยน่ะครับ”อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบเย็น”เท่าที่ผ่านมาผู้หญิงที่หลงป่าถ้าไม่นั่งร้องไห้ฟูมฟายก็ตกใจกลัวจนสติแตก แต่คุณกลับควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดีทั้งที่เพิ่งได้พบกับสิ่งน่ากลัวที่สุดในชีวิต”

คำพูดของเจ้าหน้าที่สูงวัยทำให้พิมมาดาขมวดคิ้วด้วยความฉงน

“ลุงกำลังพูดถึงเรื่องอะไรหรือคะ”

“เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณมาหาผม”ลุงแคล้วตอบพลางผายมือไปด้านหน้า “ยืนพูดตรงนี้ไม่เหมาะ เราเดินไปคุยไปดีกว่าครับ”

เขาเว้นระยะคำพูดเล็กน้อยและยิ้มเมื่อเห็นแววตาสงสัยของหญิงสาว

“ทากไม่ถูกกับถนนยางมะตอยน่ะครับ”

คำอธิบายของเจ้าหน้าที่ชราทำให้พิมมาดาเข้าใจในทันที เธอรีบเดินขึ้นจากพื้นหญ้าและก้มลงปัดทากสองสามตัวที่กำลังคลานอยู่บนขาเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพยักหน้าให้กับลุงแคล้ว เขายิ้มและเริ่มต้นออกเดิน

“คุณเชื่อเรื่องภูตผีปิศาจหรือเปล่า”

เจ้าหน้าที่ชราถาม พิมมาดานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

“ถ้าเป็นเรื่องของวิญญาณ ฉันพอจะเชื่ออยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องผีบอกตามตรงว่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นักเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล่าจากความกลัวของคนมากกว่า”

“บางอย่างมันก็ใช่ แต่บางอย่างมันเร้นลับมากกว่านั้น สำหรับคนเมืองอย่างคุณ เรื่องผีป่าอาจจะเป็นแค่เรื่องเล่าน่าตื่นเต้น แต่สำหรับพรานอย่างพวกผมมันคือเรื่องจริง และสิ่งพวกนี้น่ากลัวชนิดที่พวกคุณเองไม่มีทางคาดถึง”

“ฉันไม่เข้าใจ” พิมมาดาขมวดคิ้ว “แล้วผีป่าเกี่ยวข้องอะไรกับการที่ฉันหลงอยู่ในป่าวันนี้”

“คุณเองก็น่าจะรู้”ลุงแคล้วตอบ หญิงสาวนิ่งและระบายลมหายใจออกมา

“ก่อนที่ลุงจะเข้าไปช่วยฉันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แต่พอมองหาก็ไม่เห็นมีอะไรซักอย่าง ตอนแรกฉันก็คิดว่าความกลัวเลยทำให้เกิดภาพหลอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมันไม่ใช่”

พิมมาดาหยุดพูดพลางคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สัมผัสของลมที่ลูบไล้ไปบนลำตัวยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ หญิงสาวกอดแขนของตัวเองเบาๆ

“ทั้งที่ไม่มีลมแต่ฉันกลับรู้สึกถึงอากาศที่กำลังเคลื่อนที่ มันไม่ใช่การโบกพัดแต่เป็นการหมุนวนไล่จากข้อเท้า ลำตัวเรื่อยไปจนถึงคอ”

หญิงสาวแตะลำคอของตนเองอย่างลืมตัว

“จากนั้นก็มีเสียงเหมือนใครบางคนกำลังถอนใจและทุกอย่างก็หยุดกระทั่งลุงเข้ามา”

ลุงแคล้วฟังพิมมาดาเล่าด้วยอาการสงบนิ่ง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ฉายความหวาดกลัวออกมาจางๆ แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ทันได้สังเกตเพราะเธอยังคงเล่าเรื่องราวต่ออีกสองสามคำก่อนจะหันมาถาม

“ลุงเห็นสิ่งนั้นใช่ไหมคะ”

ลุงแคล้วสูดลมหายใจเข้าและระบายออกมาค่อนข้างแรง

“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะครับ”

“ระหว่างออกจากป่าอยู่ๆลุงก็หยุดและเดินเลี่ยงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถึงฉันจะไม่ใช่คนชำนาญการเดินป่าแต่ก็พอจะดูออกว่าลุงเดินอ้อมจากเส้นทางที่ใช้ประจำ”

เธอมองหน้าอีกฝ่าย

“ก่อนออกจากน้ำตกลุงพูดถึงภูตคราม พอจะบอกได้ไหมคะว่ามันคืออะไร”

ลุงแคล้วอึ้งเล็กน้อยเหมือนหนักใจในสิ่งที่ถูกถาม แกล้วงมือลงไปในกระเป๋าและหยิบยาเส้นออกมาทำท่าจะจุดแต่ก็เปลี่ยนใจยัดมันกลับเข้ากระเป๋าตามเดิม

“ภูตครามไม่ใช่ผีป่า สาง สมิงหรือปิศาจ แต่เป็นสิ่งเร้นลับที่เกิดจากต้นไม้ของผืนป่า พวกเขาจะไม่ย่องเข้าไปดูดเลือดหรือกินตับไตไส้พุงเหยื่อในตอนกลางคืนเหมือนพวกผีกองกอยหรือผีโขมด”

ลุงแคล้วพูดและหันมาจ้องหน้าพิมมาดาก่อนจะพูดต่อเสียงหนัก

“การบังชีพของภูตครามก็คือการดูดกลืนวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเพียงแค่สัมผัส พวกเขาสามารถกินได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ตั้งแต่ผมจำความได้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครรอดชีวิตจากเงื้อมมือของภูตคราม ตอนที่เห็นคุณในป่าผมเองยังแปลกใจที่เขาไม่ทำร้ายคุณ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ภูตครามไม่เคยปล่อยเหยื่อให้หลุดมืออีกเป็นครั้งที่สอง”

*/*/*/*/*

















มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ย. 2555, 08:27:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ย. 2555, 08:27:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1199





<< บทที่ 1 พิมมาดา   บทที่ 3 ความปรารถนาของภูธรา >>
หนอนฮับ 8 ก.ย. 2555, 16:36:03 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account