โฮ่งเหมียวเกี่ยวรัก (จบแล้วค่ะ)
ท่ามกลางความต่างและเกลียดชัง...อาจพบความหวานที่เติมเต็มหัวใจ
เมื่อคนรักหมาต้องมาเลี้ยงแมว...และคนรักแมวต้องมาเลี้ยงมา เพื่อ
ชิงแชมป์ตำแหน่งสุดยอดครูฝึกสัตว์เลี้ยง คู่อริตลอดกาลต้องมาเป็นคู่แข่ง
จะน่ารัก อลหม่าน แมวๆโฮ่งๆ ขนาดไหนต้องติดตามค่ะ
เมื่อคนรักหมาต้องมาเลี้ยงแมว...และคนรักแมวต้องมาเลี้ยงมา เพื่อ
ชิงแชมป์ตำแหน่งสุดยอดครูฝึกสัตว์เลี้ยง คู่อริตลอดกาลต้องมาเป็นคู่แข่ง
จะน่ารัก อลหม่าน แมวๆโฮ่งๆ ขนาดไหนต้องติดตามค่ะ
Tags: แมว,หมา,รักหวานแหวว,สัตว์เลี้ยง
ตอน: 2 :: ซินเดอเรลลาก้นครัว
เวลาประมาณหกโมงเย็นจนถึงสี่ทุ่มเป็นเวลาที่กันธิชาแทบจะไม่มีเวลาได้หายใจหายคอเลยแม้แต่น้อย เพราะช่วงเวลานี้เป็นเวลาอาหารค่ำที่มีลูกค้าแน่นร้าน ร้านอาหารเกาหลีซัมวอนเป็นร้านเนื้อย่างเกาหลีที่มีชื่อเสียงในย่านพัทยาเหนือมากว่ายี่สิบปี เจ้าของร้านคือชาวเกาหลีที่ย้ายมาตั้งรกรากที่พัทยานามว่า คิม จินโฮ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นผู้ที่เก็บกันธิชามาเลี้ยงดู หญิงสาวจึงเติบโตมาพร้อมกับร้านเนื้อย่างแห่งนี้
ทุกวัน จินโฮจะทำหน้าที่แล่เนื้อและจัดอาหารต่างๆใส่จานตามรายการอาหารซึ่งกันธิชาส่งให้ในครัว ส่วนนัมจา ผู้เป็นภรรยาของจินโฮจะนั่งเก็บเงินและคอยสั่งการให้กันธิชาและจุนซาลูกชายคนโตเสิร์ฟอาหารและบริการเครื่องดื่มให้แก่ลูกค้า แต่ที่น่าเจ็บใจคือโฮยอนผู้เป็นลูกสาวนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับอภิสิทธิ์ไม่ต้องช่วยงานที่ร้านฯ เนื่องจากนัมจาไม่ต้องการให้โฮยอนถูกลูกค้าขี้เมาแทะโลม
ถึงร้านอาหารแห่งนี้จะเป็นร้านที่ไม่ใหญ่นัก เพราะเป็นเพียงตึกแถวสองคูหา จำนวนโต๊ะที่ให้บริการจึงมีอยู่เพียงแค่สิบกว่าโต๊ะและโดยมากมักเป็นโต๊ะใหญ่ แต่ภาระในการบริการดูแลลูกค้ากลับตกเป็นหน้าที่ของกันธิชาเพียงผู้เดียว เพราะหลังจากจุนซาประสบอุบัติเหตุ นัมจาไม่ยอมจ้างลูกจ้างให้มาช่วยเสิร์ฟเพิ่มโดยอ้างกับจินโฮว่าตอนกลางวัน ตัวนางซึ่งรับหน้าที่ทั้งเสิร์ฟและเก็บเงินคนเดียวก็ยังทำไหว กันธิชาที่ยังเป็นเด็กสาวมีเรี่ยวมีแรงก็ต้องทำได้เช่นกัน แล้วนางก็ยังหาข้ออ้างบ่นอีกสารพัดว่าไม่อยากสิ้นเปลืองจ้างลูกจ้างที่ไม่รู้ว่าจะไว้ใจได้หรือเปล่า ดีไม่ดีอาจจะปล้นจี้เงินที่ร้าน แถมตอนนี้ยังมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลของจุนซาเพิ่มขึ้นมาอีก กันธิชาก็ควรที่จะช่วยตอบแทนเพื่อแบ่งเบาภาระเพื่อให้สมกับที่นางต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูกินอยู่มาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
แม้จินโฮจะไม่เห็นด้วยและแย้งว่าร้านอาหารในช่วงเย็นจะมีลูกค้ามากเป็นสามเท่าจากช่วงกลางวันและหนักเกินกว่าที่กันธิชาจะทำไหว ซ้ำยังพูดเป็นนัยๆว่าให้โฮยอนที่นั่งๆนอนๆทั้งวันช่วยงานบ้าง แต่ความพยายามของจินโฮที่ต้องการช่วยเหลือหล่อนกลับยิ่งสร้างความขุ่นเคืองให้นัมจามากกว่าเดิมเพราะนางไม่พอใจที่สามีคิดจะให้โฮยอนลูกสาวที่นางเลี้ยงอย่างทะนุถนอมราวกับเจ้าหญิงต้องมาลำบากเพื่อช่วยงานเด็กที่เก็บมาเลี้ยงอย่างกันธิชา
ด้วยความรู้สึกชิงชัง นัมจาจึงเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายในบ้านจากกันธิชามากขึ้น ซ้ำยังใช้งานหล่อนหนักกว่าเดิม แต่กันธิชาก็ไม่เคยปริปากบ่นทั้งที่เหนื่อยแสนเหนื่อย เพราะในเมื่อหล่อนมีฐานะเป็นเพียงผู้อาศัย ได้มีบ้านซุกหัวนอนและอยู่รอดปลอดภัยก็นับว่าเป็นบุญมากพอแล้ว
เกิดมาเป็นคนต้องรู้จักกตัญญู
จินโฮและนัมจามีบุญคุณกับหล่อนอย่างเหลือล้น ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กันธิชาจึงพยายามเตือนตัวเองให้ระลึกถึงคุณธรรมข้อนี้ให้ขึ้นใจ ไม่ว่าหล่อนจะถูกเอาเปรียบก็ต้องอดทนเข้าไว้
“แฮซู เนื้อของชั้นได้หรือยังย่ะ” โฮยอนตะโกนถามกันธิชาด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
วันนี้โฮยอนพาเพื่อนๆมากินเลี้ยงจึงทำตัวเป็นเจ้าของร้านเต็มที่ ลูกค้าหนุ่มๆในร้านต่างจ้องมองโฮยอนและเพื่อนสาวตาเป็นมันเพราะพวกเธอแต่งกายด้วยเสื้อสายเดี่ยวกางเกงขาสั้นโชว์รูปร่างสะโอดสะอง แต่โฮยอนสวยสะดุดตากว่าใคร เพราะเธอมีผิวขาวผ่องละเอียดอย่างคนเกาหลี ผมดำเหยียดตรง ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ความสวยของโฮยอนทำให้เธอได้งานเป็นพริตตี้งานเปิดตัวสินค้าแบรนด์ต่างๆมากมาย
“นังแฮซู แกยังไม่เอาเนื้อมาให้โฮยอนอีก จะต้องให้ตะโกนจนคอแตกหรือไง”
นัมจาเริ่มออกฤทธิ์ สำหรับนัมจาแล้ว โฮยอนเปรียบเสมือนนางฟ้าตัวน้อยที่นางรักและเทิดทูน นอกจากจะทั้งตามใจและเอาใจแล้ว นัมจายังไม่ต้องการให้ใครขัดใจลูกสาวสุดที่รัก ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
กันธิชาถอนใจ อะไรๆก็เรียกใช้แต่ แฮซู
แฮซูคือชื่อเกาหลีของหล่อนที่จินโฮตั้งให้ มีความหมายว่า ‘น้ำทะเล’ ซึ่งพ้องกับ ‘กันธิชา’ ชื่อไทยของหล่อนที่แปลว่า ‘เกิดใกล้ทะเล’ จินโฮตั้งชื่อให้หล่อนเช่นนี้เนื่องจากเขาพบหล่อนที่เรือโดยสารข้ามฟากริมทะเลแถวศรีราชา ทุกครั้งที่กันธิชาได้ยินชื่อนี้ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นลูกกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง หล่อนเคยร้องไห้ด้วยความน้อยใจ และขอร้องให้จินโฮเปลี่ยนชื่อใหม่ให้หล่อน
“อาปา เปลี่ยนชื่อให้หนูได้ไหมคะ เวลาหนูได้ยินชื่อนี้ทีไรหนูเศร้าทุกที” หล่อนเรียกจินโฮว่า ‘อาปา’ ซึ่งเป็นชื่อเรียก ‘พ่อ’ ในภาษาเกาหลี
“แฮซู แปลว่า ‘ทะเล’ มันเป็นชื่อที่มีความหมายดีมากนะ ตอนที่พ่อตั้งชื่อนี้ให้หนู พ่อไม่ได้ต้องการทำให้หนูนึกถึงอดีตที่ขมขื่น แต่อยากให้มีชีวิตที่สุขุมหนักแน่นและยิ่งใหญ่เหมือนกับน้ำทะเล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แฮซูของพ่อจะต้องเติบโตอย่างเข้มแข็ง”
นับตั้งแต่วันนั้น หล่อนคือแฮซูที่แข็งแกร่ง กันธิชารีบเก็บจานอาหารที่ลูกค้าเพิ่งกินเสร็จนำไปใส่ในกาละมังเพื่อเตรียมล้าง ก่อนจะยกจานเนื้อที่จินโซแล่เตรียมไว้ให้แล้วมาตั้งไว้ที่โต๊ะอาหารของโฮยอนที่นั่งหน้าหงิกอยู่กับเพื่อนสาวอีกสี่ห้าคน
“รินโซจู ให้ฉันและเพื่อนๆด้วยนะ” โฮยอนยื่นขวดเหล้าให้หล่อนด้วยท่าทางกรีดกรายประหนึ่งนางพญา
“พี่โฮยอน รินเองไม่ได้เหรอ ฉันยังเคลียร์โต๊ะอาหารไม่เรียบร้อยเลย ลูกค้ายังรออยู่อีกหลายโต๊ะ” กันธิชาไม่อยากจะขัดใจหญิงสาวให้มีเรื่องผิดใจ แต่งานของหล่อนก็ล้นมือเสียจนไม่มีเวลาที่จะบริการได้ทันใจ
“ฉันไม่รับรู้หรอกนะว่าแกยุ่งแค่ไหน บอกให้รินก็ต้องรินเดี๋ยวนี้ รู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันอาละวาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น”
โฮยอนพูดพลางยื่นขวดเหล้าให้แก่หล่อนอีกครั้ง กันธิชาจำต้องรินโซจูให้แก่หญิงสาวและเพื่อนๆอย่างเสียไม่ได้ หล่อนไม่ได้กลัวโฮยอนจะอาละวาดเพราะชินเสียแล้ว ไม่มีวันไหนที่โฮยอนจะไม่โวยวายหรืออาละวาดยามไม่ได้อะไรดั่งใจ ผลของการอาละวาดนั้นไม่ได้เพียงแต่สร้างความรำคาญ แต่ยังนำความลำบากมาสู้หล่อนไม่เว้นแต่ละวัน และนัมจามักจะใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างเพื่อลงโทษหล่อนให้ทำงานหนักขึ้น
อย่างเดือนก่อนที่ครีมล้างเครื่องสำอางของโฮยอนหมด หญิงสาวสั่งให้หล่อนไปซื้อครีมขวดใหม่ให้ที่กรุงเทพฯ แต่กันธิชาก็ปฏิเสธว่าไปไม่ได้เพราะต้องฝึกสุนัขแต่โฮยอนก็ไม่ยอมฟังเหตุผล ยังคงยืนกรานที่จะให้หล่อนไปซื้อครีมล้างหน้านั้นให้ได้จนเกิดเรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นที่นัมจายื่นคำขาดว่า ถ้าหล่อนไม่ยอมลางานไปซื้อครีมล้างหน้าให้โฮยอน นางก็จะไม่อนุญาตให้กันธิชาทำงานที่ฟาร์มซูพีเรียอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ทำให้กันธิชาต้องลางานกับคงซู ผู้เป็นนาย หล่อนบอกคงซูว่าต้องไปทำธุระด่วนที่กรุงเทพฯให้นัมจา คงซูอนุญาตแต่มีเงื่อนไขคือหล่อนจะต้องให้เขาไปด้วย ทำให้คงซูได้รู้ความจริงที่น่าอายว่าธุระของหล่อนคือซื้อครีมล้างหน้าให้โฮยอน เมื่อจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย คงซูก็มาส่งหล่อนที่บ้าน
“โอปา มาที่นี่ได้ยังไงคะ” โฮยอนทอดเสียงถามอย่างอ่อนหวานเมื่อเห็นหน้าคงซู หล่อนเรียกคงซูว่า โอปา ที่แปลว่าพี่ชายในภาษาเกาหลี
“พี่ขับรถพาน้ำไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ก็เลยพามาส่งที่บ้าน” คงซูเอ่ยยิ้มๆ คำตอบของคงซูทำให้สีหน้าของโฮยอนแสดงออกว่าไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม
“ตายจริง แฮซู เรื่องแค่นี้ทำไมเธอถึงนั่งรถตู้ไปไม่ได้ แล้วยังหาเรื่องเดือดร้อนให้พี่คงซูขับรถไปให้อีก ” โฮยอนตำหนิกันธิชา ก่อนจะหันมาชม้อยตามองคงซู “ฉันต้องขอโทษโอปาแทนแฮซูด้วย อันที่จริงฉันบอกให้แฮซูไปซื้อของให้วันหยุด แต่นี่คงขี้เกียจอยากหยุดงานเลยเอาเรื่องที่ฉันสั่งซื้อของเป็นข้ออ้างล่ะสิ”
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อยที่โฮยอนจะสร้างเรื่องที่ทำให้ตัวเองดูดีและให้ร้ายหล่อนแทน โดยเฉพาะยิ่งหากชายหนุ่มผู้นั้นคือคงซู คนที่โฮยอนแอบหลงรักมาตั้งแต่เด็ก หญิงสาวจึงพยายามหาโอกาสสร้างความสนิทสนมกับชายหนุ่มมาโดยตลอด แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้คืบหน้าอย่างที่หญิงสาวหวังไว้เลยแม้แต่น้อย
“โฮยอน พี่ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ดีเสียอีก วันนี้เลยมีโอกาสเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพฯด้วย ตอนนี้ก็ดึกแล้ว พี่คงต้องขอตัวกลับก่อน”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ ไหนๆโอปาก็มาถึงที่นี่แล้ว ไม่แวะเยี่ยมพี่จุนซาหน่อยเหรอ” โฮยอนพยายามหาข้ออ้างเพื่อยืดเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดชายหนุ่ม
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน” คงซูไม่ยอมเข้าบ้านตามคำเชื้อเชิญ เขากล่าวคำลาสั้นๆแล้วขับรถออกไป
หลังจากที่รถของคงซูลับตาไปได้ไม่นาน โฮยอนก็ฟาดหัวฟาดหางใส่กันธิชาทันที
“นังเด็กหน้าด้าน แกกล้าดียังไงถึงได้ออดอ้อนให้พี่คงซูขับรถพาแกไปกรุงเทพฯ แล้วนี่เขาจะคิดยังไงที่รู้ว่าแกลางานเพื่อไปซื้อครีมล้างหน้าให้ฉัน”
“พี่โฮยอน ฉันไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลยจริงๆ พี่คงซูบอกว่าถ้าฉันไม่ยอมให้เขาขับรถให้ เขาก็จะไม่ยอมให้ฉันลางาน”
“ไม่ต้องแก้ตัวเลย ถ้าแกยืนกรานไม่ให้พี่คงซูไปด้วย เขาจะห้ามอะไรแกได้ อย่าคิดนะว่าฉันรู้ไม่เท่าทันว่าที่แกไปทำงานเป็นครูฝึกหมาที่ฟาร์มฯก็เพราะต้องการจะจับพี่คงซู แต่ฉันขอบอกแกไว้เลยว่า คนอย่างพี่คงซูเขาไม่มีทางจะจริงจังกับเด็กกำพร้าไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างแกหรอก”
“พี่คงซูจะคิดยังไง ฉันไม่สนใจหรอกนะ เพราะฉันไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับพี่คงซูมากกว่านายจ้าง ที่ทำงานนี้ก็เพราะว่าฉันรักหมา และอยากจะช่วยดูแลฟาร์มฯที่พี่จุนซาเคยร่วมสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง นี่ครีมล้างหน้าที่พี่สั่งซื้อ ถ้าหมดธุระแล้ว ฉันขอตัว”
กันธิชารู้ดีว่าที่โฮยอนระเบิดอารมณ์ใส่หล่อนเป็นเพราะหึงและไม่พอใจที่คงซูอาสาขับรถพาหล่อนไปกรุงเทพฯด้วยตัวเอง แต่กันธิชาก็ชินกับการโวยวายของโฮซอนทุกวันอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนหรือเก็บคำพูดของหญิงสาวมาคิดให้รกสมอง การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือหาทางเลี่ยงและหลบหน้าโฮยอนให้ได้เร็วที่สุด
ในขณะที่กันธิชากำลังก้มหยิบกระเป๋าและของใช้ส่วนตัวก็มีน้ำเหนียวๆไหลย้อยลงมาจากศีรษะที่บริเวณข้างแก้มและหน้าผาก
“พรุ่งนี้แกต้องไปซื้อครีมล้างหน้าให้ฉันใหม่ ขวดนี้แกใช้ล้างตัวแกเองเถอะ แล้วจำให้ขึ้นใจว่าแกไม่ควรที่จะยุ่งกับพี่คงซูของฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน เพราะคราวหน้าสิ่งที่ฉันจะราดแกมันจะไม่ใช่แค่ครีม ” โฮยอนพูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกที่สะท้านไปถึงหัวใจ
โฮซอนไม่ได้พูดเล่น หญิงสาวพูดอย่างที่หมายความเช่นนั้นจริงๆ กันธิชาจึงได้เตือนตัวเองว่าต่อไปหล่อนควรจะอยู่ห่างจากคงซูให้มากที่สุดเพื่อชีวิตที่สงบสุขและความปลอดภัยของตัวหล่อนเอง อย่างไรเสียกันธิชาก็ยังคงต้องอาศัยบ้านของตระกูลคิมเป็นที่พักพิงอีกนาน...อย่างน้อยก็จนกว่าจุนซาจะหายดีเสียก่อนถึงจะไปจากที่นี่ได้อย่างสบายใจ
“แฮซู มาปิ้งเนื้อย่างให้ฉันด้วย อย่าให้เกรียมล่ะ” เสียงโฮยอนที่ดังขึ้นอย่างวางอำนาจ ทำให้กันธิชาเร่งมือย่างเนื้อ ไม่มีประโยชน์อะไรที่หล่อนคิดจะปฏิเสธโฮยอนในเมื่อหญิงสาวคือนางพญาในบ้านหลังนี้ที่หล่อนต้องยอมสิโรราบ
แม้มือของหล่อนจะย่างเนื้อมือเป็นระวิง แต่ใจของหล่อนกลับลอยไปยังชั้นบนของตัวบ้านซึ่งเป็นที่พำนักของจุนซา พี่จุนซาที่น่าสงสาร หากไม่มีหล่อน ก็คงไม่มีใครคอยเอาใจใส่ดูแลคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ป่านนี้เขาจะได้กินข้าวหรือยังหนอ หญิงสาวเป็นห่วงจุนซายิ่งนัก
++++++++++++++++++++
กันธิชาแง้มประตูเข้าไปในห้องที่มีโคมไฟเพียงดวงเดียวเปิดอยู่ท่ามกลางความสลัว แม้ภายในห้องจะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เพื่อให้เกิดเสียงและความเคลื่อนไหว แต่ชายหนุ่มเจ้าของห้องหาได้สนใจไม่ แม้สายตาของเขาจะมองตรงไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพยนตร์แอคชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่แววตาไร้อารมณ์ราวกับว่าเขาไม่รับรู้ต่อสิ่งใดๆที่ปรากฏตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งตัวหล่อนเองที่เป็นน้องสาวที่เขารักและไว้ใจที่สุด จุนซาก็ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยพูดอะไรกับหล่อนแม้แต่คำเดียว
“กินข้าวหรือยังคะ” กันธิชาคุกเข่าลงนั่งข้างเก้าอี้รถเข็น ไม่มีเสียงตอบหรือการแสดงออกใดๆที่ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มกินข้าวแล้วหรือยัง จุนซาเพียงแต่หันหน้ามามองหล่อนนิ่งๆ
นับตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุ จุนซาก็กลายเป็นอัมพาตครึ่งร่าง หมอบอกว่าอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากอาการบาดเจ็บทางร่างกายหรือสมอง แต่เป็นเพราะสภาพทางจิตใจที่อาจจะมีเรื่องบางอย่างกระทบกระเทือนความรู้สึกอย่างรุนแรงก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ
ดังนั้นหลังจากที่เขาฟื้นจากอาการสลบ จุนซาจึงมีอาการต่อต้านไม่รับรู้สิ่งใด สิ่งที่จะช่วยรักษาอาการทางร่างกายของชายหนุ่มให้สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง จึงต้องเริ่มจากการเยียวยาปัญหาทางจิตใจให้หายเสียก่อน ส่วนจะจุนซาหายได้เป็นปกติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของครอบครัวเป็นสำคัญ
สองสามเดือนแรกทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะพูดคุยกับจุนซาตามคำแนะนำของหมอ แต่เมื่อจุนซานิ่งเงียบไม่พูดจาตอบโต้ หรือแสดงปฏิกิริยาใดๆตอบสนอง เพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมเยียนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้จะช่วยเหลือจุนซาอย่างไรดี เพราะไม่ว่าจะพยายามช่วยด้วยวิธีก็ตาม เช่น นำวิดีโอสมัยเรียนมาเปิดให้ดู ซื้ออาหารโปรดมาฝาก จุนซาก็ยังคงนิ่งเฉยไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้น จนแม้แต่นัมจาผู้เป็นแม่ยังถอดใจและออกปากว่าเวลาที่นางต้องอยู่กับลูกชายนานๆ จะรู้สึกหดหู่ เช่นเดียวกับโฮยอนที่เป็นน้องสาวแท้ๆที่บอกว่าเธอไม่ชอบอยู่กับคนป่วยเพราะจะพลอยทำให้รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย
ดังนั้นจึงมีเพียงแค่จินโฮกับหล่อนที่หมั่นมาดูแลจุนซาเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจงานในแต่ละวัน อย่างวันนี้ กว่าหล่อนจะเก็บกวาดร้านและล้างจานเสร็จก็ปาเข้าไปราวเที่ยงคืนถึงจะมาดูแลจุนซาได้
หญิงสาวกวาดตามองรอบจานอาหารที่มีข้าวพร่องเพียงเล็กน้อยวางอยู่บนโต๊ะข้างโทรทัศน์พลางถอนใจอย่างเซ็งๆ นัมจาคงแวะมาป้อนข้าวให้กับจุนซาแล้ว แต่คงไม่มีความอดทนพอที่จะป้อนข้าวได้นานๆ จุนซากินได้แค่ไหน นางก็ให้กินแค่นั้นและไม่คิดจะคะยั้นคะยอให้ลูกชายรับประทานเพิ่ม จุนซาจึงมีร่างกายที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
กันธิชาลูบแขนที่ผอมแห้งของพี่ชายที่แต่ก่อนเคยแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อเป็นรูปสวยจากการออกกำลังกายด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ใครจะเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นอนนิ่งเบื้องหน้าหล่อนเวลานี้ ครั้งหนึ่งเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความสดใส เกิดอะไรขึ้นก่อนที่จุนซาจะประสบอุบัติเหตุกันแน่ อุบัติเหตุที่ทำให้พี่ชายที่หล่อนรักประหนึ่งว่าเป็นพี่น้องคลานตามมาต้องมีสภาพเหมือนตายทั้งเป็นเช่นนี้
น้ำตาไหลรินอาบแก้มของกันธิชา หล่อนรู้สึกสงสารจุนซายิ่งนัก แต่เมื่อได้สติ กันธิชาก็ใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาออกจากแก้มทันทีเพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าพี่ชาย
“พี่จุนซา ได้เวลานอนแล้วนะคะ” กันธิชาเข็นรถของจุนซาไปข้างเตียงนอน และออกแรงพยุงร่างของจุนซาให้เอนกายลงบนเตียง จัดแจงห่มผ้าห่ม ก่อนจะปิดโทรทัศน์เพื่อให้ชายหนุ่มได้พักผ่อน กันธิชาหวังว่านัมจาจะเปลี่ยนผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้กับจุนซาแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้นัมจาจะต้องบ่นตลอดทั้งเช้าว่านางเหนื่อยและมีกรรมที่ต้องดูแลลูกชายพิการ
กันธิชาไม่ต้องการได้ยินใครพูดว่า จุนซาเป็นคนพิการ เพราะในความคิดของหล่อน จุนซาเพียงแค่ป่วยเท่านั้นและอีกไม่นานเขาจะต้องกลับมาแข็งแรงเดินได้เหมือนเดิม
“วันนี้น้ำมีข่าวดีจะบอกพี่ อาทิตย์หน้าน้ำจะได้นำทีมสุนัขไปแข่งแล้วนะคะ โพล่าก็ได้ลงแข่งด้วยล่ะอาทิตย์นี้คงจะต้องฝึกหนักหน่อย พี่จำโพล่าได้ใช่ไหมคะ หมาของน้ำที่พี่คงซูให้เป็นของขวัญวันเกิดยังไงล่ะตอนที่น้ำพามันมาให้พี่ดูมันยังตัวเล็กๆขนฟูสีขาว ตอนนี้โพล่าอายุใกล้จะครบสี่ขวบแล้ว ตัวใหญ่เหมือนหมีขาว น้ำก็เลยไม่ได้พาขึ้นมาด้วยเพราะเดี๋ยวแม่จะเอ็ดเอา พี่ดีใจกับน้ำใช่ไหมเอ่ย อย่างน้อยความฝันของน้ำก็กำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว และอีกไม่นานหรอกค่ะ น้ำจะต้องจัดการคนที่ทำร้ายพี่คงซูได้อย่างแน่นอน”
กันธิชาพูดด้วยน้ำเสียงมาดมั่น หล่อนเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ ‘น้ำ’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่จุนซาเคยตั้งให้เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ตัวหล่อนมีจิตใจที่สุขุมนิ่งเย็นเหมือนสายน้ำ
ไม่รู้ว่าหล่อนตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นมุมปากของจุนซาคลี่ยิ้มน้อยๆให้กับหล่อนเพื่อแสดงความยินดี ไม่ว่าหล่อนจะตาฝาดหรือคิดไปเอง กันธิชาก็แน่ใจว่าคงซูจะต้องดีใจและภูมิใจกับความสำเร็จที่เขามีส่วนผลักดันหล่อนอย่างแน่นอน เพราะจุนซาคือครูคนแรกที่สอนให้หล่อนเรียนรู้เกี่ยวกับฝึกสุนัข ทำให้ได้รู้จักกับคำว่า ‘อดทน’ และได้เรียนรู้ว่าความสำเร็จใดๆล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเวลาและความพากเพียรเป็นที่ตั้ง
“หลับฝันดีนะคะพี่จุนซา พี่ต้องช่วยอวยพรให้โพล่าชนะการประกวดด้วยนะคะ” กันธิชาอยากจะเห็นหน้าของนายศรัณย์นักว่าจะเป็นยังไง เมื่อเห็นว่าเด็กกำพร้าที่เขาเคยปรามาสว่าเป็นเพียงแค่เห็บหมัดที่ไม่มีวันก้าวหน้าจะได้เป็นผู้ชนะสุดยอดครูฝึกสัตว์เลี้ยงในครั้งนี้
ทุกวัน จินโฮจะทำหน้าที่แล่เนื้อและจัดอาหารต่างๆใส่จานตามรายการอาหารซึ่งกันธิชาส่งให้ในครัว ส่วนนัมจา ผู้เป็นภรรยาของจินโฮจะนั่งเก็บเงินและคอยสั่งการให้กันธิชาและจุนซาลูกชายคนโตเสิร์ฟอาหารและบริการเครื่องดื่มให้แก่ลูกค้า แต่ที่น่าเจ็บใจคือโฮยอนผู้เป็นลูกสาวนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับอภิสิทธิ์ไม่ต้องช่วยงานที่ร้านฯ เนื่องจากนัมจาไม่ต้องการให้โฮยอนถูกลูกค้าขี้เมาแทะโลม
ถึงร้านอาหารแห่งนี้จะเป็นร้านที่ไม่ใหญ่นัก เพราะเป็นเพียงตึกแถวสองคูหา จำนวนโต๊ะที่ให้บริการจึงมีอยู่เพียงแค่สิบกว่าโต๊ะและโดยมากมักเป็นโต๊ะใหญ่ แต่ภาระในการบริการดูแลลูกค้ากลับตกเป็นหน้าที่ของกันธิชาเพียงผู้เดียว เพราะหลังจากจุนซาประสบอุบัติเหตุ นัมจาไม่ยอมจ้างลูกจ้างให้มาช่วยเสิร์ฟเพิ่มโดยอ้างกับจินโฮว่าตอนกลางวัน ตัวนางซึ่งรับหน้าที่ทั้งเสิร์ฟและเก็บเงินคนเดียวก็ยังทำไหว กันธิชาที่ยังเป็นเด็กสาวมีเรี่ยวมีแรงก็ต้องทำได้เช่นกัน แล้วนางก็ยังหาข้ออ้างบ่นอีกสารพัดว่าไม่อยากสิ้นเปลืองจ้างลูกจ้างที่ไม่รู้ว่าจะไว้ใจได้หรือเปล่า ดีไม่ดีอาจจะปล้นจี้เงินที่ร้าน แถมตอนนี้ยังมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลของจุนซาเพิ่มขึ้นมาอีก กันธิชาก็ควรที่จะช่วยตอบแทนเพื่อแบ่งเบาภาระเพื่อให้สมกับที่นางต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูกินอยู่มาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
แม้จินโฮจะไม่เห็นด้วยและแย้งว่าร้านอาหารในช่วงเย็นจะมีลูกค้ามากเป็นสามเท่าจากช่วงกลางวันและหนักเกินกว่าที่กันธิชาจะทำไหว ซ้ำยังพูดเป็นนัยๆว่าให้โฮยอนที่นั่งๆนอนๆทั้งวันช่วยงานบ้าง แต่ความพยายามของจินโฮที่ต้องการช่วยเหลือหล่อนกลับยิ่งสร้างความขุ่นเคืองให้นัมจามากกว่าเดิมเพราะนางไม่พอใจที่สามีคิดจะให้โฮยอนลูกสาวที่นางเลี้ยงอย่างทะนุถนอมราวกับเจ้าหญิงต้องมาลำบากเพื่อช่วยงานเด็กที่เก็บมาเลี้ยงอย่างกันธิชา
ด้วยความรู้สึกชิงชัง นัมจาจึงเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายในบ้านจากกันธิชามากขึ้น ซ้ำยังใช้งานหล่อนหนักกว่าเดิม แต่กันธิชาก็ไม่เคยปริปากบ่นทั้งที่เหนื่อยแสนเหนื่อย เพราะในเมื่อหล่อนมีฐานะเป็นเพียงผู้อาศัย ได้มีบ้านซุกหัวนอนและอยู่รอดปลอดภัยก็นับว่าเป็นบุญมากพอแล้ว
เกิดมาเป็นคนต้องรู้จักกตัญญู
จินโฮและนัมจามีบุญคุณกับหล่อนอย่างเหลือล้น ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กันธิชาจึงพยายามเตือนตัวเองให้ระลึกถึงคุณธรรมข้อนี้ให้ขึ้นใจ ไม่ว่าหล่อนจะถูกเอาเปรียบก็ต้องอดทนเข้าไว้
“แฮซู เนื้อของชั้นได้หรือยังย่ะ” โฮยอนตะโกนถามกันธิชาด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
วันนี้โฮยอนพาเพื่อนๆมากินเลี้ยงจึงทำตัวเป็นเจ้าของร้านเต็มที่ ลูกค้าหนุ่มๆในร้านต่างจ้องมองโฮยอนและเพื่อนสาวตาเป็นมันเพราะพวกเธอแต่งกายด้วยเสื้อสายเดี่ยวกางเกงขาสั้นโชว์รูปร่างสะโอดสะอง แต่โฮยอนสวยสะดุดตากว่าใคร เพราะเธอมีผิวขาวผ่องละเอียดอย่างคนเกาหลี ผมดำเหยียดตรง ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ความสวยของโฮยอนทำให้เธอได้งานเป็นพริตตี้งานเปิดตัวสินค้าแบรนด์ต่างๆมากมาย
“นังแฮซู แกยังไม่เอาเนื้อมาให้โฮยอนอีก จะต้องให้ตะโกนจนคอแตกหรือไง”
นัมจาเริ่มออกฤทธิ์ สำหรับนัมจาแล้ว โฮยอนเปรียบเสมือนนางฟ้าตัวน้อยที่นางรักและเทิดทูน นอกจากจะทั้งตามใจและเอาใจแล้ว นัมจายังไม่ต้องการให้ใครขัดใจลูกสาวสุดที่รัก ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม
กันธิชาถอนใจ อะไรๆก็เรียกใช้แต่ แฮซู
แฮซูคือชื่อเกาหลีของหล่อนที่จินโฮตั้งให้ มีความหมายว่า ‘น้ำทะเล’ ซึ่งพ้องกับ ‘กันธิชา’ ชื่อไทยของหล่อนที่แปลว่า ‘เกิดใกล้ทะเล’ จินโฮตั้งชื่อให้หล่อนเช่นนี้เนื่องจากเขาพบหล่อนที่เรือโดยสารข้ามฟากริมทะเลแถวศรีราชา ทุกครั้งที่กันธิชาได้ยินชื่อนี้ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นลูกกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทิ้งขว้าง หล่อนเคยร้องไห้ด้วยความน้อยใจ และขอร้องให้จินโฮเปลี่ยนชื่อใหม่ให้หล่อน
“อาปา เปลี่ยนชื่อให้หนูได้ไหมคะ เวลาหนูได้ยินชื่อนี้ทีไรหนูเศร้าทุกที” หล่อนเรียกจินโฮว่า ‘อาปา’ ซึ่งเป็นชื่อเรียก ‘พ่อ’ ในภาษาเกาหลี
“แฮซู แปลว่า ‘ทะเล’ มันเป็นชื่อที่มีความหมายดีมากนะ ตอนที่พ่อตั้งชื่อนี้ให้หนู พ่อไม่ได้ต้องการทำให้หนูนึกถึงอดีตที่ขมขื่น แต่อยากให้มีชีวิตที่สุขุมหนักแน่นและยิ่งใหญ่เหมือนกับน้ำทะเล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แฮซูของพ่อจะต้องเติบโตอย่างเข้มแข็ง”
นับตั้งแต่วันนั้น หล่อนคือแฮซูที่แข็งแกร่ง กันธิชารีบเก็บจานอาหารที่ลูกค้าเพิ่งกินเสร็จนำไปใส่ในกาละมังเพื่อเตรียมล้าง ก่อนจะยกจานเนื้อที่จินโซแล่เตรียมไว้ให้แล้วมาตั้งไว้ที่โต๊ะอาหารของโฮยอนที่นั่งหน้าหงิกอยู่กับเพื่อนสาวอีกสี่ห้าคน
“รินโซจู ให้ฉันและเพื่อนๆด้วยนะ” โฮยอนยื่นขวดเหล้าให้หล่อนด้วยท่าทางกรีดกรายประหนึ่งนางพญา
“พี่โฮยอน รินเองไม่ได้เหรอ ฉันยังเคลียร์โต๊ะอาหารไม่เรียบร้อยเลย ลูกค้ายังรออยู่อีกหลายโต๊ะ” กันธิชาไม่อยากจะขัดใจหญิงสาวให้มีเรื่องผิดใจ แต่งานของหล่อนก็ล้นมือเสียจนไม่มีเวลาที่จะบริการได้ทันใจ
“ฉันไม่รับรู้หรอกนะว่าแกยุ่งแค่ไหน บอกให้รินก็ต้องรินเดี๋ยวนี้ รู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันอาละวาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น”
โฮยอนพูดพลางยื่นขวดเหล้าให้แก่หล่อนอีกครั้ง กันธิชาจำต้องรินโซจูให้แก่หญิงสาวและเพื่อนๆอย่างเสียไม่ได้ หล่อนไม่ได้กลัวโฮยอนจะอาละวาดเพราะชินเสียแล้ว ไม่มีวันไหนที่โฮยอนจะไม่โวยวายหรืออาละวาดยามไม่ได้อะไรดั่งใจ ผลของการอาละวาดนั้นไม่ได้เพียงแต่สร้างความรำคาญ แต่ยังนำความลำบากมาสู้หล่อนไม่เว้นแต่ละวัน และนัมจามักจะใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างเพื่อลงโทษหล่อนให้ทำงานหนักขึ้น
อย่างเดือนก่อนที่ครีมล้างเครื่องสำอางของโฮยอนหมด หญิงสาวสั่งให้หล่อนไปซื้อครีมขวดใหม่ให้ที่กรุงเทพฯ แต่กันธิชาก็ปฏิเสธว่าไปไม่ได้เพราะต้องฝึกสุนัขแต่โฮยอนก็ไม่ยอมฟังเหตุผล ยังคงยืนกรานที่จะให้หล่อนไปซื้อครีมล้างหน้านั้นให้ได้จนเกิดเรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นที่นัมจายื่นคำขาดว่า ถ้าหล่อนไม่ยอมลางานไปซื้อครีมล้างหน้าให้โฮยอน นางก็จะไม่อนุญาตให้กันธิชาทำงานที่ฟาร์มซูพีเรียอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ทำให้กันธิชาต้องลางานกับคงซู ผู้เป็นนาย หล่อนบอกคงซูว่าต้องไปทำธุระด่วนที่กรุงเทพฯให้นัมจา คงซูอนุญาตแต่มีเงื่อนไขคือหล่อนจะต้องให้เขาไปด้วย ทำให้คงซูได้รู้ความจริงที่น่าอายว่าธุระของหล่อนคือซื้อครีมล้างหน้าให้โฮยอน เมื่อจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย คงซูก็มาส่งหล่อนที่บ้าน
“โอปา มาที่นี่ได้ยังไงคะ” โฮยอนทอดเสียงถามอย่างอ่อนหวานเมื่อเห็นหน้าคงซู หล่อนเรียกคงซูว่า โอปา ที่แปลว่าพี่ชายในภาษาเกาหลี
“พี่ขับรถพาน้ำไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ก็เลยพามาส่งที่บ้าน” คงซูเอ่ยยิ้มๆ คำตอบของคงซูทำให้สีหน้าของโฮยอนแสดงออกว่าไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม
“ตายจริง แฮซู เรื่องแค่นี้ทำไมเธอถึงนั่งรถตู้ไปไม่ได้ แล้วยังหาเรื่องเดือดร้อนให้พี่คงซูขับรถไปให้อีก ” โฮยอนตำหนิกันธิชา ก่อนจะหันมาชม้อยตามองคงซู “ฉันต้องขอโทษโอปาแทนแฮซูด้วย อันที่จริงฉันบอกให้แฮซูไปซื้อของให้วันหยุด แต่นี่คงขี้เกียจอยากหยุดงานเลยเอาเรื่องที่ฉันสั่งซื้อของเป็นข้ออ้างล่ะสิ”
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อยที่โฮยอนจะสร้างเรื่องที่ทำให้ตัวเองดูดีและให้ร้ายหล่อนแทน โดยเฉพาะยิ่งหากชายหนุ่มผู้นั้นคือคงซู คนที่โฮยอนแอบหลงรักมาตั้งแต่เด็ก หญิงสาวจึงพยายามหาโอกาสสร้างความสนิทสนมกับชายหนุ่มมาโดยตลอด แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่ได้คืบหน้าอย่างที่หญิงสาวหวังไว้เลยแม้แต่น้อย
“โฮยอน พี่ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ดีเสียอีก วันนี้เลยมีโอกาสเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพฯด้วย ตอนนี้ก็ดึกแล้ว พี่คงต้องขอตัวกลับก่อน”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ ไหนๆโอปาก็มาถึงที่นี่แล้ว ไม่แวะเยี่ยมพี่จุนซาหน่อยเหรอ” โฮยอนพยายามหาข้ออ้างเพื่อยืดเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดชายหนุ่ม
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน” คงซูไม่ยอมเข้าบ้านตามคำเชื้อเชิญ เขากล่าวคำลาสั้นๆแล้วขับรถออกไป
หลังจากที่รถของคงซูลับตาไปได้ไม่นาน โฮยอนก็ฟาดหัวฟาดหางใส่กันธิชาทันที
“นังเด็กหน้าด้าน แกกล้าดียังไงถึงได้ออดอ้อนให้พี่คงซูขับรถพาแกไปกรุงเทพฯ แล้วนี่เขาจะคิดยังไงที่รู้ว่าแกลางานเพื่อไปซื้อครีมล้างหน้าให้ฉัน”
“พี่โฮยอน ฉันไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเลยจริงๆ พี่คงซูบอกว่าถ้าฉันไม่ยอมให้เขาขับรถให้ เขาก็จะไม่ยอมให้ฉันลางาน”
“ไม่ต้องแก้ตัวเลย ถ้าแกยืนกรานไม่ให้พี่คงซูไปด้วย เขาจะห้ามอะไรแกได้ อย่าคิดนะว่าฉันรู้ไม่เท่าทันว่าที่แกไปทำงานเป็นครูฝึกหมาที่ฟาร์มฯก็เพราะต้องการจะจับพี่คงซู แต่ฉันขอบอกแกไว้เลยว่า คนอย่างพี่คงซูเขาไม่มีทางจะจริงจังกับเด็กกำพร้าไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างแกหรอก”
“พี่คงซูจะคิดยังไง ฉันไม่สนใจหรอกนะ เพราะฉันไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับพี่คงซูมากกว่านายจ้าง ที่ทำงานนี้ก็เพราะว่าฉันรักหมา และอยากจะช่วยดูแลฟาร์มฯที่พี่จุนซาเคยร่วมสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง นี่ครีมล้างหน้าที่พี่สั่งซื้อ ถ้าหมดธุระแล้ว ฉันขอตัว”
กันธิชารู้ดีว่าที่โฮยอนระเบิดอารมณ์ใส่หล่อนเป็นเพราะหึงและไม่พอใจที่คงซูอาสาขับรถพาหล่อนไปกรุงเทพฯด้วยตัวเอง แต่กันธิชาก็ชินกับการโวยวายของโฮซอนทุกวันอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนหรือเก็บคำพูดของหญิงสาวมาคิดให้รกสมอง การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือหาทางเลี่ยงและหลบหน้าโฮยอนให้ได้เร็วที่สุด
ในขณะที่กันธิชากำลังก้มหยิบกระเป๋าและของใช้ส่วนตัวก็มีน้ำเหนียวๆไหลย้อยลงมาจากศีรษะที่บริเวณข้างแก้มและหน้าผาก
“พรุ่งนี้แกต้องไปซื้อครีมล้างหน้าให้ฉันใหม่ ขวดนี้แกใช้ล้างตัวแกเองเถอะ แล้วจำให้ขึ้นใจว่าแกไม่ควรที่จะยุ่งกับพี่คงซูของฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน เพราะคราวหน้าสิ่งที่ฉันจะราดแกมันจะไม่ใช่แค่ครีม ” โฮยอนพูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกที่สะท้านไปถึงหัวใจ
โฮซอนไม่ได้พูดเล่น หญิงสาวพูดอย่างที่หมายความเช่นนั้นจริงๆ กันธิชาจึงได้เตือนตัวเองว่าต่อไปหล่อนควรจะอยู่ห่างจากคงซูให้มากที่สุดเพื่อชีวิตที่สงบสุขและความปลอดภัยของตัวหล่อนเอง อย่างไรเสียกันธิชาก็ยังคงต้องอาศัยบ้านของตระกูลคิมเป็นที่พักพิงอีกนาน...อย่างน้อยก็จนกว่าจุนซาจะหายดีเสียก่อนถึงจะไปจากที่นี่ได้อย่างสบายใจ
“แฮซู มาปิ้งเนื้อย่างให้ฉันด้วย อย่าให้เกรียมล่ะ” เสียงโฮยอนที่ดังขึ้นอย่างวางอำนาจ ทำให้กันธิชาเร่งมือย่างเนื้อ ไม่มีประโยชน์อะไรที่หล่อนคิดจะปฏิเสธโฮยอนในเมื่อหญิงสาวคือนางพญาในบ้านหลังนี้ที่หล่อนต้องยอมสิโรราบ
แม้มือของหล่อนจะย่างเนื้อมือเป็นระวิง แต่ใจของหล่อนกลับลอยไปยังชั้นบนของตัวบ้านซึ่งเป็นที่พำนักของจุนซา พี่จุนซาที่น่าสงสาร หากไม่มีหล่อน ก็คงไม่มีใครคอยเอาใจใส่ดูแลคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ป่านนี้เขาจะได้กินข้าวหรือยังหนอ หญิงสาวเป็นห่วงจุนซายิ่งนัก
++++++++++++++++++++
กันธิชาแง้มประตูเข้าไปในห้องที่มีโคมไฟเพียงดวงเดียวเปิดอยู่ท่ามกลางความสลัว แม้ภายในห้องจะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เพื่อให้เกิดเสียงและความเคลื่อนไหว แต่ชายหนุ่มเจ้าของห้องหาได้สนใจไม่ แม้สายตาของเขาจะมองตรงไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพยนตร์แอคชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่แววตาไร้อารมณ์ราวกับว่าเขาไม่รับรู้ต่อสิ่งใดๆที่ปรากฏตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งตัวหล่อนเองที่เป็นน้องสาวที่เขารักและไว้ใจที่สุด จุนซาก็ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยพูดอะไรกับหล่อนแม้แต่คำเดียว
“กินข้าวหรือยังคะ” กันธิชาคุกเข่าลงนั่งข้างเก้าอี้รถเข็น ไม่มีเสียงตอบหรือการแสดงออกใดๆที่ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มกินข้าวแล้วหรือยัง จุนซาเพียงแต่หันหน้ามามองหล่อนนิ่งๆ
นับตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุ จุนซาก็กลายเป็นอัมพาตครึ่งร่าง หมอบอกว่าอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากอาการบาดเจ็บทางร่างกายหรือสมอง แต่เป็นเพราะสภาพทางจิตใจที่อาจจะมีเรื่องบางอย่างกระทบกระเทือนความรู้สึกอย่างรุนแรงก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ
ดังนั้นหลังจากที่เขาฟื้นจากอาการสลบ จุนซาจึงมีอาการต่อต้านไม่รับรู้สิ่งใด สิ่งที่จะช่วยรักษาอาการทางร่างกายของชายหนุ่มให้สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง จึงต้องเริ่มจากการเยียวยาปัญหาทางจิตใจให้หายเสียก่อน ส่วนจะจุนซาหายได้เป็นปกติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของครอบครัวเป็นสำคัญ
สองสามเดือนแรกทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะพูดคุยกับจุนซาตามคำแนะนำของหมอ แต่เมื่อจุนซานิ่งเงียบไม่พูดจาตอบโต้ หรือแสดงปฏิกิริยาใดๆตอบสนอง เพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมเยียนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่รู้จะช่วยเหลือจุนซาอย่างไรดี เพราะไม่ว่าจะพยายามช่วยด้วยวิธีก็ตาม เช่น นำวิดีโอสมัยเรียนมาเปิดให้ดู ซื้ออาหารโปรดมาฝาก จุนซาก็ยังคงนิ่งเฉยไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้น จนแม้แต่นัมจาผู้เป็นแม่ยังถอดใจและออกปากว่าเวลาที่นางต้องอยู่กับลูกชายนานๆ จะรู้สึกหดหู่ เช่นเดียวกับโฮยอนที่เป็นน้องสาวแท้ๆที่บอกว่าเธอไม่ชอบอยู่กับคนป่วยเพราะจะพลอยทำให้รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย
ดังนั้นจึงมีเพียงแค่จินโฮกับหล่อนที่หมั่นมาดูแลจุนซาเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจงานในแต่ละวัน อย่างวันนี้ กว่าหล่อนจะเก็บกวาดร้านและล้างจานเสร็จก็ปาเข้าไปราวเที่ยงคืนถึงจะมาดูแลจุนซาได้
หญิงสาวกวาดตามองรอบจานอาหารที่มีข้าวพร่องเพียงเล็กน้อยวางอยู่บนโต๊ะข้างโทรทัศน์พลางถอนใจอย่างเซ็งๆ นัมจาคงแวะมาป้อนข้าวให้กับจุนซาแล้ว แต่คงไม่มีความอดทนพอที่จะป้อนข้าวได้นานๆ จุนซากินได้แค่ไหน นางก็ให้กินแค่นั้นและไม่คิดจะคะยั้นคะยอให้ลูกชายรับประทานเพิ่ม จุนซาจึงมีร่างกายที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
กันธิชาลูบแขนที่ผอมแห้งของพี่ชายที่แต่ก่อนเคยแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อเป็นรูปสวยจากการออกกำลังกายด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ใครจะเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นอนนิ่งเบื้องหน้าหล่อนเวลานี้ ครั้งหนึ่งเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความสดใส เกิดอะไรขึ้นก่อนที่จุนซาจะประสบอุบัติเหตุกันแน่ อุบัติเหตุที่ทำให้พี่ชายที่หล่อนรักประหนึ่งว่าเป็นพี่น้องคลานตามมาต้องมีสภาพเหมือนตายทั้งเป็นเช่นนี้
น้ำตาไหลรินอาบแก้มของกันธิชา หล่อนรู้สึกสงสารจุนซายิ่งนัก แต่เมื่อได้สติ กันธิชาก็ใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาออกจากแก้มทันทีเพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าพี่ชาย
“พี่จุนซา ได้เวลานอนแล้วนะคะ” กันธิชาเข็นรถของจุนซาไปข้างเตียงนอน และออกแรงพยุงร่างของจุนซาให้เอนกายลงบนเตียง จัดแจงห่มผ้าห่ม ก่อนจะปิดโทรทัศน์เพื่อให้ชายหนุ่มได้พักผ่อน กันธิชาหวังว่านัมจาจะเปลี่ยนผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้กับจุนซาแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้นัมจาจะต้องบ่นตลอดทั้งเช้าว่านางเหนื่อยและมีกรรมที่ต้องดูแลลูกชายพิการ
กันธิชาไม่ต้องการได้ยินใครพูดว่า จุนซาเป็นคนพิการ เพราะในความคิดของหล่อน จุนซาเพียงแค่ป่วยเท่านั้นและอีกไม่นานเขาจะต้องกลับมาแข็งแรงเดินได้เหมือนเดิม
“วันนี้น้ำมีข่าวดีจะบอกพี่ อาทิตย์หน้าน้ำจะได้นำทีมสุนัขไปแข่งแล้วนะคะ โพล่าก็ได้ลงแข่งด้วยล่ะอาทิตย์นี้คงจะต้องฝึกหนักหน่อย พี่จำโพล่าได้ใช่ไหมคะ หมาของน้ำที่พี่คงซูให้เป็นของขวัญวันเกิดยังไงล่ะตอนที่น้ำพามันมาให้พี่ดูมันยังตัวเล็กๆขนฟูสีขาว ตอนนี้โพล่าอายุใกล้จะครบสี่ขวบแล้ว ตัวใหญ่เหมือนหมีขาว น้ำก็เลยไม่ได้พาขึ้นมาด้วยเพราะเดี๋ยวแม่จะเอ็ดเอา พี่ดีใจกับน้ำใช่ไหมเอ่ย อย่างน้อยความฝันของน้ำก็กำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว และอีกไม่นานหรอกค่ะ น้ำจะต้องจัดการคนที่ทำร้ายพี่คงซูได้อย่างแน่นอน”
กันธิชาพูดด้วยน้ำเสียงมาดมั่น หล่อนเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ ‘น้ำ’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่จุนซาเคยตั้งให้เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ตัวหล่อนมีจิตใจที่สุขุมนิ่งเย็นเหมือนสายน้ำ
ไม่รู้ว่าหล่อนตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นมุมปากของจุนซาคลี่ยิ้มน้อยๆให้กับหล่อนเพื่อแสดงความยินดี ไม่ว่าหล่อนจะตาฝาดหรือคิดไปเอง กันธิชาก็แน่ใจว่าคงซูจะต้องดีใจและภูมิใจกับความสำเร็จที่เขามีส่วนผลักดันหล่อนอย่างแน่นอน เพราะจุนซาคือครูคนแรกที่สอนให้หล่อนเรียนรู้เกี่ยวกับฝึกสุนัข ทำให้ได้รู้จักกับคำว่า ‘อดทน’ และได้เรียนรู้ว่าความสำเร็จใดๆล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเวลาและความพากเพียรเป็นที่ตั้ง
“หลับฝันดีนะคะพี่จุนซา พี่ต้องช่วยอวยพรให้โพล่าชนะการประกวดด้วยนะคะ” กันธิชาอยากจะเห็นหน้าของนายศรัณย์นักว่าจะเป็นยังไง เมื่อเห็นว่าเด็กกำพร้าที่เขาเคยปรามาสว่าเป็นเพียงแค่เห็บหมัดที่ไม่มีวันก้าวหน้าจะได้เป็นผู้ชนะสุดยอดครูฝึกสัตว์เลี้ยงในครั้งนี้
นภาสรร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ย. 2555, 09:56:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2555, 09:04:57 น.
จำนวนการเข้าชม : 1768
<< 1 :: เมื่อโฮ่งเหมียวประจันหน้า | 3 :: เจ้าแมวแสนงอน >> |
ดารานิล 6 ก.ย. 2555, 21:30:50 น.
ยัยโฮซอนนิสัยแย่มวากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ค่ะ 555
ยัยโฮซอนนิสัยแย่มวากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ค่ะ 555
นภาสรร 7 ก.ย. 2555, 12:53:17 น.
นางร้ายยยจัดจ้านค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา 55555 คุณดารานิล
นางร้ายยยจัดจ้านค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา 55555 คุณดารานิล
กุ๊กๆ 8 ก.ย. 2555, 12:49:17 น.
มาอ่านค่ะ สนุกดี ชอบแนวน่ารักๆแบบนี้
อ้อ..รู้สึกว่าชื่อจะสับสนกันนิดหน่อยนะคะ เห็นตั้งแต่ช่วงบทที่แล้วๆค่ะ บทนี้ก็ยังมีอยู่ช่วงท้ายๆบท
รออ่านอยู่นะคะ
มาอ่านค่ะ สนุกดี ชอบแนวน่ารักๆแบบนี้
อ้อ..รู้สึกว่าชื่อจะสับสนกันนิดหน่อยนะคะ เห็นตั้งแต่ช่วงบทที่แล้วๆค่ะ บทนี้ก็ยังมีอยู่ช่วงท้ายๆบท
รออ่านอยู่นะคะ