รังรัก (จบแล้วค่ะ)
เมื่อวันนึงต้องตื่นมาพบว่า
ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้กระทั่งตัวของเราเอง
คุณจะทำอย่างไร เมื่อรู้ว่า
ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม อยู่ตรงหน้า
แต่ไม่สามารถเอื้อมคว้าหรือสัมผัสได้...


Tags: ดราม่า อากิโกะ เหยี่ยว ฑยาวีย์ นายรัก

ตอน: บทที่ 39 น้ำตาทะเล (นามิ นามิดะ)


ตอบคุณ Pookza...อย่าเพิ่งหมั่นไส้นายรักเค้าเลยค่ะ...เค้าน่าสงสารออก
ไม่เชื่อก็ลองอ่านตอนข้างล่างดูสิคะ...โยนะ แอบเห็นใจนายรักนิดๆ...
แต่ก็มีที่หมั่นไส้หน่อยๆ...อิอิอิ...ต้องขอโทษด้วยนะตัวเองที่ทำให้ต้องเศร้าก
ก่อนนอน...หวังว่าเมื่อคืนคงหลับฝันดีใช่มั้ยคะ...เฮะๆๆ
และก็ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...
ถ้าอยากรู้ว่าหมอรังกับพี่ลมจะน่ารักขนาดไหน...ต้องมาติดตามกันในภาคต่อ
ซึ่งมีชื่อว่า "หัวใจไร้ที่อยู่"กันค่ะ(ขอโฆษณานิดนึง)...อิอิ

ตอบคุณmallow...โยเองก็เหมือนกันค่ะ...โพสต์กี่ทีก็เศร้าทุกที...
แบบว่าตอนเขียนมันอินจัดไปหน่อย...เฮะๆ...ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจดีๆ
ที่มีให้เต่าโยเสมอมา...

ตอบตุณบัวขาว...โยนำสองยก(เกือบสุดท้าย)มาให้แล้วนะคะ...
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจน่ารักๆและการติดตามอ่าน...
อย่าลืมมาติดตามอ่านภาคต่อและเป้นกำลังใจให้โยกับเป็ดวานาโนกันนะคะ...
ปล.เค้าเอามาฝากให้แล้วนะตัวเอง...

ตอบน้องหนอน...ขอบคุณน้องหนอนมากมายเลยจ๊ะ...โดโมะ อาริกาโตะ...
พี่เองก็จำได้ว่าน้องหนอนไม่ชอบเสพแนวดราม่า...เพราะเราสองคนเจอกันครั้งแรก
ในเรื่อง "หัวใจไร้ที่อยู่" เพราะเรื่องนั้นมันค่อนไปทางฮามากกว่าจะดราม่า....
แบบว่านางเอกอย่างเป็ดวานาโนเค้าหลุดคาแรกเตอร์ของนางเอกที่ควรจะเป็นไปนิดนึง...อิอิอิ...
แต่คุณเธอกำลังจะกลับมาเขย่าขากรรไกรคนอ่านกันอีกแล้วนะ...
ไม่อยากบอกเลยว่าพี่กลับมาอ่านเรื่อง"หัวใจไร้ที่อยู่"อีกรอบก่อนโพสต์ มันยิ่งทำให้
หลงรัก "พี่ลม"มากเลยอ่ะ...แบบว่า คนอะไร "น่ารักอ่ะ" อิอิอิ...
แต่เรื่องหลังสุดอย่างคานน้อยคอยรัก พี่ยกให้หมอรังหมดทั้งใจเลย...เฮะๆๆ...
เพราะนี่แหล่ะ พระเอกตัวจริงของพี่...ฮี่ๆ...ว่าแล้วก็อิจฉาเป็ดวานาโนเค้า...

ตอบคุณPat...โยก็อยากให้เป็นอย่างนั้นค่ะ...เพราะทุกตัวละครนั้นมีหัวใจ
รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่เกาะกินใจมนุษย์เรา...อยู่ที่ใครจะควบคุมอารมณ์เหล่านั้น
ได้ดีแค่ไหนเท่านั้นเองค่ะ...ซึ่งคงไม่มีใครที่จะเลวโดยไร้เหตุผลเสียทีเดียว...
คนเรามีทั้งดีและชั่ว...ไม่มีใครที่ขาวบริสุทธิ์ และก็ไม่มีใครที่จะดำสนิท...
คนๆนึง ต้องมีดีบ้าง...ว่ามั้ยคะ...ขอบคุณนะคะที่ส่งกำลังใจมาให้โย หายเหนื่อยจากงานเลยค่ะ

ตอบตุณตามหาฝัน....ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...
โยเองก็อยากให้นักอ่านได้อะไรกลับไปบ้างหลังจากได้อ่านนิยายเรื่องที่โยเขียน...
เพราะก่อนเขียน โยก็นึกแล้วนึกอีกว่าเราจะฝากอะไรให้นักอ่านบ้าง...
ดีใจค่ะที่ได้ยินนักอ่านบอกว่าชอบ...

ตอบคุณ sai...โถ...โยก็น้ำท่วมจอก่อนโพสต์เหมือนกันค่ะ...
ทิชชูหมดไปเกือบครึ่งกล่องแหน่ะ...ขอบคุณนะคะที่ส่งแรงใจมาให้โย
ทำให้วันนี้กลับจากงานมาเจอคอมเม้นของนักอ่าน จากที่เหนื่อยก็หายเหนื่อยเลย...

ตอบคุณMDDC...โยก็มองๆดูว่าคุณMDDC หายไปไหนนาาาาา...
นึกว่าจะหนีโยไปเพราะโยเขียนนิยายเศร้าไปเสียแล้ว...เฮะๆ...
ดีใจจังค่ะกลับมาได้เห็นว่าคุณMDDC ยังไม่ได้หนีเต่าโยไปไหน...อิอิอิ...
ขอบคุณค่ะที่ยังอยู่เป็นกำลังใจให้เต่าโย...

ตอบคุณgoldensun...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม
ใช่แล้วค่ะ...สิ่งที่เหยี่ยวตั้งหวังไว้ไม่เป็นดั่งใจเลยสักอย่าง...
เพราะบางครั้ง แผนที่เราวางไว้ มันก็ไม่อาจเป็นตามที่วางไว้เสมอไป...
อะไรที่เราคาดหวังไว้ บางทีผลลัพธ์ที่ออกมาก็อาจไม่เป็นดังที่คาดคิด...หรือเกินจากที่คาดคิดไว้
แต่เธอไม่ได้ประมาทหรอกค่ะที่ไปคนเดียว เพียงเพราะไม่ต้องการ
ให้ใครต้องมาเสี่ยงกับตัวเองเพิ่มอีก...ประมาณว่านางเอ้กนางเอกน่ะค่ะ....อิอิ
ส่วนพี่ลมเราก็รับบท อัศวินขี่ม้าขาวไปตามระเบียบ...เรื่องหน้าพี่ลมเค้าน่ารักกว่านี่เยอะค่ะ
(ขอโม้และโฆษณานิดนึงค่ะ)อิอิอิ...


สุดท้าย...ขอบคุณทุกไลค์ ทุกความเห็น ทุกๆกำลังใจ ทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนะคะ...
ไม่ว่าจะขาประจำหรือขาจร...โยก็ขอขอบคุณค่ะที่คลิกเข้ามาอ่าน...

...มาติดตามกันต่อแบบสองตอนรวดอย่างเคยค่ะ...






บทที่ 39 น้ำตาทะเล (นามิ นามิดะ)


ถ้าคลื่นคือน้ำตาของทะเล คงไม่มีวันใดที่ทะเลจะไร้น้ำตา

มรสุมได้พัดพาหลายๆสิ่งหลายๆอย่างมาพร้อมกับคลื่น
เมื่อลูกเก่าผ่านไป ลูกใหม่ก็พร้อมจะเข้ามา…
กระทบฝั่ง…ครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…ไม่รู้เบื่อ…

แต่ถ้าไม่มีคลื่น…ทะเลคงไม่สวยงาม…ไม่น่ามอง…

และเพราะทะเลคือจุดหมายปลายทางของสายน้ำ
ทะเลจึงเปรียบได้ดั่งแม่ของสายน้ำทั้งมวลที่ไหลมารวมกัน
สายน้ำจากภูผาสูงไหลพัดพาสิ่งต่างๆบนผืนแผ่นดินมารวมเอาไว้ที่ทะเล…
รวมทั้งสายน้ำจากดวงตาของมนุษย์ที่ไหลพัดพาความรู้สึกต่างๆในจิตใจ
ที่ใครๆต่างหอบเอามาทิ้งเอาไว้ให้ไหลลงสู่ทะเล…แล้วทิ้งทุกอย่างเอาไว้ที่นั่น…

ทะเลจึงก่อเป็นคลื่น เพื่อซัดกระทบฝั่ง…กลั่นน้ำตาเป็นเกลียวคลื่น
พร้อมเสียงร้องไห้ที่คอยขับกล่อมทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้…
ทั้งวัน…ทั้งคืน…ไม่เคยหลับไหล…ไม่เคยหยุดนิ่ง…
ยังคงซัดกระทบฝั่งอยู่อย่างนั้น…ทะเลจึงไม่มีวัน…ไร้คลื่น…

และหากมนุษย์คนใดได้ลิ้มรสของน้ำตา…
จะรู้ว่า…ทำไม…น้ำทะเลถึงเค็ม…
เหมือนหญิงสาวคนนี้ที่คงเข้าใจได้ดีถึงรสชาติของมัน

“อากิ…อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ การสูญเสียไม่ได้น่ากลัวเลยลูก
แต่มันจะทำให้หนูกล้าที่จะอยู่ต่อ โอบ้าซังจะคอยอยู่เคียงข้างหนูตลอดไป
จำไว้ ว่าโอบ้าซังจะอยู่กับหนู”หญิงสาวกอดคนเป็นย่าแน่น

ค่อนปีที่เธอไม่ได้พบ ไม่ได้เจอหน้า วันนี้เธออ้างว้างเหลือเกิน
และก็ดีใจเหลือเกินที่ย่ามาหา ย่าคงรู้ว่าเธอต้องการอ้อมกอดนี้มากแค่ไหน

“ขอบคุณค่ะโอบ้าซัง หนูรักโอบ้าซังนะ รักมากด้วย…”
คนเป็นย่ามองหน้าหลานสาวด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
ก่อนจะกอดและลูบผมแนบหน้ากับศีรษะทุยนั่นเนิ่นนาน
แล้วผละออกมา หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมส่งยิ้มบางๆไปให้หลานสาวที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า

“ปล่อยวางทุกอย่างนะลูก แล้วหนูจะพบกับความสุข”

แล้วภาพของคนเป็นย่าก็เหมือนจะห่างเธอออกไปเรื่อยๆ
แต่ใบหน้านั้นยังคงส่งยิ้มมาให้เธอตลอดเวลา

หญิงสาวลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาเพื่อจะคว้าคนเป็นย่าเข้ามากอดอีกครั้ง
แต่เหมือนคนเป็นย่าจะค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ
หญิงสาวร้องไห้ พร้อมกับร้องเรียกให้คนเป็นย่ารอ

“โอบ้าซัง รอหนูด้วย รอหนูด้วยสิคะ…”แต่ไม่ว่าจะวิ่งตามยังไงก็ไปไม่ถึงสักที
พร้อมกับร้องตะโกนสุดเสียงเมื่อภาพรอยยิ้มอันแสนใจดีนั้นหายไปต่อหน้าต่อตา

“โอบ้าซัง”

หญิงสาวผุดลุกพร้อมเสียงตะโกนเรียกก่อนจะกะพริบตาแล้วมองไปรอบๆกาย

…นี่เธอฝันไปหรอกเหรอ…

แต่ก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าใครบางคนที่แสนคุ้นเคยกับสีหน้าตื่นเต้น
พร้อมมือที่กุมมือเธอเอาไว้แน่น

“อากิ”หญิงสาวโผเข้าหาอ้อมกอดนั้นแน่นด้วยความคิดถึง

“พะพาย”ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ตื่นสักทีนะแก ฉันล่ะรอแกจนหลับไปไม่รู้กี่รอบแล้วรู้มั้ย
ให้ตายเถอะ แกทำฉันเมื่อยไปหมด”

เสี่ยงบ่นปอดแปดนั้นไม่ได้ทำให้หญิงสาวหุบยิ้มลงได้เลย

ในที่สุดเธอก็ได้เพื่อนคนเดิมกลับมาขอบคุณสวรรค์ที่ยังเมตตา

“นี่แกจริงๆใช่มั้ยพะพาย”หญิงสาวที่ตอนนี้ลงไปนั่งคุกเข่ากอดเพื่อนรักตรงพื้นห้อง
จ้องหน้าเพื่อนรักนิ่งก่อนจะจับใบหน้าและก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน

“ก็เออนะสิ แกนี่ท่่าจะเพี้ยน รึว่าฉันไม่หล่อเท่าเดิม แกถึงทำหน้าเหมือนจำกันไม่ได้”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาด้วยท่าทางกวนๆ
หญิงสาวเลยหัวเราะออกมาด้วยความดีใจก่อนจะกอดแน่นเข้าไปอีก
ก่อนจะหันมาถามเพื่อนรัก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอพะพาย ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ที่นี่ที่เธอหมายถึงคือโรงพยาบาลนั่นเอง

“แกหลับไปตั้งเจ็ดวันเต็มๆเลยล่ะ พอฉันตื่นแกก็ดันมาหลับซะงั้น”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเรียกรอยยิ้มหญิงสาวได้ทันที

“เจ็ดวันเลยเหรอ”หญิงสาวเปรยออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่”

“แล้วแกล่ะ”หญิงสาวมองหน้าเพื่อนด้วยแววตาสงสัย

“ฉันฟื้นตั้งแต่วันที่แกมาขอกำลังใจแล้วล่ะ แต่แกมันใจร้อน ถ้าแกหันมามองสักนิด
ฉันคงห้ามแกทันแล้วล่ะ แต่พอดีตอนนั้นมันไม่มีแรงเลยว่ะ
รู้แค่ว่าทนเสียงบ่นแกไม่ไหวจริงๆเลยกะว่่า จะลุกมาด่าสักหน่อย แต่แกดันหุนหันออกไปซะก่อน”

ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าเซ็งๆทั้งที่ใจจริงเขากลุ้มใจไม่น้อยเลย
ตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเขาได้แต่ภาวนาตลอดเวลาว่าให้เพื่อนรักกลับมาหาเขาอย่างปลอดภัย
แต่ตอนนี้โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก คิดว่าต้องเสียเพื่อนไปเสียแล้วจริงๆ

“ฉันดีใจนะ ที่แกกลับมาหาฉัน ต่อไปฉันจะไม่ดื้อกับแกแล้วนะพะพาย”
หญิงสาวส่งยิ้มบางๆไปให้ จนเพื่อนชายอดโยกหัวไม่ได้

“แกก็อย่างนี้ทุกทีสิหน่า”

“ฉันรักแกนะพะพาย”

“ฉันก็รักแก”แล้วทั้งสองก็ยิ้มให้กัน ก่อนที่หญิงสาวจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“พะพาย ฉันขอโทรศัพท์หน่อยสิ”

“แกจะเอาไปทำไมเหรอ”

“ฉันจะโทรไปหาโอบ้าซังหน่อย อยากได้ยินเสียงท่าน”
คำตอบนั้นทำเอาคนฟังหน้าถอดสีทันที

“แกเพิ่งหาย ฉันว่าอย่าเพิ่งดีกว่า รู้เปล่าว่าที่นี่เขาห้ามโทรศัพท์”
ชายหนุ่มพยายามหาข้ออ้าง แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าไม่ยอม

“ขอเถอะนะพะพาย ฉันไม่ได้โทรหาท่านหลายวันแล้ว นะแก”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือก

“เชื่อฉันเถอะหน่า อย่าเพิ่งโทรไปตอนนี้เลย”

“โธ่ แค่โทรศัพท์แกจะงกทำไม เดี๋ยวฉันออกไปโทรข้างนอกก็ได้”
หญิงสาวลุกขึ้นทันทีพร้อมตั้งท่าจะเดิน แต่ถูกขัดเสียก่อน

“ไหนแกบอกว่าจะเชื่อฉัน จะไม่ดื้อไงอากิ”

“โธ่ พะพาย ฉันขอร้องล่ะ นะ ฉันรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้”
หญิงสาวมีสีหน้ากังวลจนคนฟังเองเริ่มใจอ่อนก่อนจะขับรถเข็นมาหาเพื่อน
แล้วกุมมือนั้นแน่น

“ฉันขออะไรแกอย่างได้มั้ยอากิ”หญิงสาวมองหน้าเพื่อนรัก
ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม

“แกต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แกสัญญากับฉันว่าแกจะอดทน ได้มั้ย”
ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวด้วยแววตาจริงจัง
จนคนฟังเริ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเข้าไปอีก

“มีอะไรเหรอพะพาย เกิดอะไรขึ้น”หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หัวใจเริ่มสั่นไหว

“โอบ้าซังท่านจากพวกเราไปแล้ว”คำพูดราบเรียบนั้นทำให้คนฟัง
ที่ยืนอยู่เข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้นทันทีที่ได้ยิน

แล้วภาพบิดา มารดา น้องสาวทั้งสองของเธอก็หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ

…ใช่ เมื่อครู่เธอดีใจที่ได้เจอเพื่อนจนลืมไปสนิท ลืมความจริงข้อนี้ไปสนิทใจ
ว่าตอนนี้ใครได้จากเธอไปบ้าง

ก่อนที่ฟันจะกระทบกันพร้อมเสียงร้องไห้และหยาดน้ำตาที่พร่างพรูลงมาราวทำนบแตก

“ไม่ ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ยพะพาย”หญิงสาวก้มหน้าร้องไห้ตัวโยนกับพื้นห้อง

ชายหนุ่มจึงเข็นรถเข็นมาหยุดอยู่ใกล้ๆแล้วก้มลงแตะบ่่าเพื่อนรัก
หญิงสาวจึงโผเข้าหาอ้อมกอดเพื่อนอีกครั้งก่อนจะร้องไห้ออกมา
ชายหนุ่มเองทำได้แค่ลูบหลังเบาๆ

“ไม่จริง ก็เมื่อวันก่อนฉันยังคุยกับท่านอยู่เลย ท่านยังแข็งแรงอยู่เลย แล้วทำไม อยู่ๆ….”

“ท่านป่วยเป็นโรคมะเร็งตั้งแต่ครั้งที่ฉันกลับไปเยี่ยมคุณหญิงแม่ในครั้งนั้นแล้วล่ะอากิ
เพียงแต่ท่่านไม่อยากให้แกเป็นกังวล ห่วงหน้าพะวงหลัง ท่านเลยขอร้องให้ฉันปิดเรื่องนี้ ไม่ให้แกรู้”

“แกใจร้าย ทำไมแกไม่บอกฉัน ทำไมพะพาย ทำไม”
หญิงสาวต่อว่าเพื่อนชายทั้งๆที่ยังเกาะบ่านั้นแน่น

“ฉันบอกไม่ได้ เพราะฉันได้ให้สัญญากับท่านไว้ ฉันเลยอยากให้แกกลับไปญี่ปุ่นไงอากิ
กลับไปหาท่าน”หญิงสาวยิ่งร้องไห้เข้าไปอีกเมื่อได้ยินอย่างนี้
เพราะก่อนหน้านี้เพื่อนรักพยายามส่งสัญญาณเพื่อบอกเธอตั้งหลายครั้ง
เพียงแต่เธอยังยึดมั่นถือมั่น อยากจะเอาชนะกับทางนี้ให้ได้
แถมยังมั่นใจว่่าท่านยังแข็งแรง ไม่เคยเอะใจเลยว่าพักหลังๆที่ได้คุยกัน
ท่านเปรยออกมาตลอดว่าอยากเจอเธอ อยากกอดเธอ เธอน่าจะรู้

“ฉันผิดเอง ฉันมันดื้อ”หญิงสาวร้องโทษตัวเอง ตะโกนด่าตัวเอง
จนคนที่กอดอยู่ต้องจับบ่าเพื่อนก่อนจะมองเข้าไปดวงตานั้น

“แกฟังฉันนะอากิ ทุกคนไม่ได้จากแกไปไหน เขายังอยู่กับแกอยู่ในใจแก
แกลองหลับตาดูสิ แล้วแกจะรู้ว่าพวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย
ความรักของพวกเขาก็ยังคงอยู่ไม่ใช่เหรอ”หญิงสาวยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

ใช่ พวกเขายังอยู่ แต่เธอล่ะจะอยู่ยังไง

“ฉันไม่ไหวแล้วพะพาย ฉันเจ็บ ฉันเหนื่อย ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว
แกพาฉันกลับไปที พาฉันกลับไปที”หญิงสาวร้องไห้ก่อนจะพร่ำรำพันขอร้องเพื่อน
ชายหนุ่มเลยดึงเพื่อนรักเข้ามากอดอีกครั้ง หญิงสาวเองก็กระชับอ้อมกอดนั้นแน่น
ราวกับต้องการที่ยึดเหนี่ยว

“ฉันพาแกกลับไปแน่ แต่รอให้ฉันเดินได้ก่อนนะ
เพราะจะให้ฉันนั่งรถเข็นขึ้นเครื่องบินท่าจะไม่ไหว”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงขำขันในที หญิงสาวได้ยินก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

“แกอย่ากอดฉันแน่นนักสิอากิ เดี๋ยวลูกชายฉันก็ตื่นกันพอดีหรอก”
หญิงสาวยิ้มออกมาก่อนจะตีเพื่อนรักเข้าให้หนึ่งที

“ไอ้บ้า”ชายหนุ่มหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นหน้าแดงๆนั่น

“ยอมบ้าก็ได้วะ ถ้ามันจะทำให้แกยิ้มได้”

“ว่าแต่แกจะร้องไห้ไปอีกนานมั้ย ฉันจะได้ถอดเสื้อซับน้ำตาให้แกซะเลย
ดูสิ เล่นซะเปียกไปหมดแล้วเนี่ย มีน้ำมูกปนมาด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ เห้อ…แกนี่สกปรกจริงๆ”
ชายหนุ่มแสร้งบ่นพร้อมกับจับเสื้อตัวเองขึ้นมาดูแล้วส่ายหน้าเหยเก
จนหญิงสาวทนไม่ไหวเลยก้มหน้าพร้อมกับเช็ดเอาเช็ดเอาทั้งน้ำมูกน้ำตา
ที่เสื้อของเพื่อนชายก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาอาบแก้ม
ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า ให้มันได้อย่างนี้สิ…

“อากิ แกเลิกร้องไห้เถอะนะ เพราะมันดูไม่ได้เลยจริงๆ”

ชายหนุ่มยังไม่หยุด ยังคงหาเรื่องเพื่อนรักต่อ เขารู้ดีว่ายัยเพื่อนคนนี้เป็นคนยังไง

“ยังมีอีกคนที่รอแกอยู่ รอให้แกไปปลดปล่อย”
ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตากลับหม่นเศร้า ก่อนจะถอนใจยาว

“เขารอแกมาเจ็ดวันเต็มๆ วันนี้แกควรไปหาเขา ปลดปล่อยเขานะอากิ
แล้วแกจะมีความสุข”หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ใครเหรอพะพาย”

ชายหนุ่มไม่พูดอะไรนอกจากจะเข็นรถนำออกไปจากห้อง

นอกห้องที่มีทุกคนรอเธออยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแต่เหมือนจะขาดไปคนเดียวเท่านั้น
หญิงสาวหัวใจกระตุกขึ้นมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ เขาอยู่ไหน เขาหายไปไหน…

หญิงสาวยกมือขึ้นมากุมที่หัวใจ รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจ แล้วเธอก็เห็นทุกคนส่งยิ้มมาให้
หญิงสาวทำได้แค่พยายามฝืนยิ้มออกไปโดยไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เพราะหัวใจเริ่มตีบตัน

คุณหมอที่แสนดียังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม พี่ๆน้องๆคงรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วสินะ
หญิงสาวยิ้มตอบก่อนจะเดินตามเพื่อนรักไป

ก่อนจะมาหยุดที่ห้องๆหนึ่ง แล้วพยาบาลสาวก็เปิดประตูให้ทั้งสองก้าวเข้าไปในห้อง
โดยที่เพื่อนของเธอเลือกจะหยุดรถเข็นเอาไว้หน้าประตูทางเข้า

หญิงสาวไม่พูดอะไรก่อนจะเดินไปยังเตียงคนป่วยที่ตอนนี้มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด
แล้วภาพตรงหน้าที่เธอเห็นทำเอาหัวใจของเธอกระตุก
หญิงสาวยืนมือไปหาคนตรงหน้าที่ตอนนี้หลับตาโดยมีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่
แล้วเสียงเพื่อนรักของเธอแว่วดังมา

“เขานอนอยู่อย่างนี้มาพร้อมๆกับแกนั่นแหล่ะ อาการเกินจะเยียวยา
แต่เขาก็ยังไม่ยอมจากไป เหมือนกำลังรอใครอยู่”

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา”หญิงสาวถามออกมาด้วยเสียงราบเรียบจ้องมองคนตรงหน้านิ่ง
สภาพของเขาใบหน้ามีแต่ผ้าพันแผลเต็มไปหมด แต่เธอก็ยังจำเขาได้เสมอ

“วันที่เกิดเหตุ ตอนที่เขาวิ่งหนีออกไป พอดีไม่รู้ว่ามีรถมาจากที่ไหนพุ่งเข้าชนเขาอย่างจัง
ก่อนจะกระเด็นเข้าหารถเข็นที่ทอดปาท่องโขขายอยู่แถวนั้นพอดี
น้ำมันร้อนๆในกระทะเลยคว่ำลงคลอกเขาไปทั้งตัว
แถมรถเข็นคันนั้นยังทับเขาเข้าให้อีก จะว่าเป็นกฎแห่งกรรมก็คงไม่ผิดนัก
เพราะแถวนั้นปกติแทบจะไม่มีแม่ค้ารถเข็นเลยด้วยซ้ำ เพราะอยู่เขตชานเมืองออกไป
แต่วันนั้นดันมีตลาดนัดของคนแถวนั้น แล้วพอดีเขาก็ลนลานวิ่งออกไปทางนั้นเข้า
สภาพเลยออกมาอย่างที่แกเห็น”

หญิงสาวมองสำรวจไปทั่วร่างกายของคนป่วยทั้งเนื้อทั้งตัวที่มีแต่ผ้าพันแผล ไม่เว้นแม้แต่ดวงหน้า
ก่อนจะถอนใจยาว

สุดท้ายฟ้าดินก็เป็นผู้ลงทัณฑ์เขาเองใช่มั้ย

แล้วที่ผ่านมา ที่เธอต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ เธอสู้ไปทำไมกัน

ในเมื่อสุดท้าย เธอเองก็แทบจะไม่เหลืออะไรเลย

หญิงสาวถอนใจยาว แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ดีๆคนที่นอนนิ่งกลับกระดิกนิ้ว
แล้วสิ่งที่ทำให้หญิงสาวตาค้างก็คือคนป่วยตรงหน้าพยายามยกมือขึ้น
ก่อนดึงเครื่องครอบหายใจออกแล้วมองหน้าเธอนิ่ง
ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา จนหญิงสาวต้องก้มลงไปเอาหูแนบกับริมฝีปากนั่น

“ฉัน ขอ โทษ”

หญิงสาวน้ำตาเอ่อคลอทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
คำพูดที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากของเขา

“ฉันทรมาน เหลือเกิน”

“ฉัน ไม่ ได้ ขอ ให้ เธอให้ อภัย ฉัน”
เสียงนั้นยังคงพูดออกมาอย่างคนที่พยายามอย่างสุดความสามารถ
หญิงสาวจึงเอื้อมไปจับมือเขาเอาไว้ ก่อนจะบีบมันแน่น

“ฉัน แค่ อยากจะ ขอโทษ”หญิงสาวส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยออกมา

“ฉันเองก็มีอะไรบางอย่างจะบอกคุณ แม่บอกฉันว่า
คุณปู่เองก็ต้องการให้คุณยกโทษให้ท่าน แต่ท่านกลับมาจากไปซะก่อน”

คนที่นอนนิ่งพยักหน้าเบาๆ หญิงสาวจึงยิ้มออกมา

“ส่วนพ่อหิน คุณรู้มั้ย ว่าพ่อหินพูดอะไรกับฉันก่อนที่ท่านจะจากไป”
หญิงสาวหยุดนิดนึงก่อนพูดต่อ

“ท่านบอกฉันว่า ให้ฉันอดทน อย่าได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก
คุณคงรู้ดีใช่มั้ย ว่าท่านพูดอย่างนั้นเพื่ออะไร”คนป่วยพยักหน้า

“เพราะท่านเชื่อ เชื่อในตัวพี่ชายอย่างคุณ ท่านบอกฉันว่า
คุณคือพี่ชายที่แสนดีของท่่านเสมอมา ท่านจึงขอให้ฉันสัญญา
ว่าอย่าได้ทำร้ายคุณ เพราะคุณคือพี่น้องคนเดียวที่ท่านมี...
และเราคือสายเลือดเดียวกัน”

แล้วคำพูดของบิดาที่จากไปก็แว่วดังในแก้วหูของหญิงสาว

'เหยี่ยว ลูกอย่ากลับไปที่นั่น ปล่อยเขาไป เขาคือพี่ชายของพ่อ คือพี่น้องคนเดียวที่พ่อมี
คือคนที่เสียสละให้พ่อได้หายใจก่อน และเขาจะไม่ทำอะไรพี่ๆน้องๆของหนูแน่ๆ
หนูอย่าทำร้ายเขานะลูก เขาแค่หลงผิดไป…สัญญากับพ่อว่าหนูจะไม่กลับไปที่นั่นอีก…
หนูจะอดทนเพื่อพ่อ...ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว...แต่เขาคือลุงของลูก
เราคือสายเลือดเดียวกัน...จำไว้ว่าเราคือสายเลือดเดียวกัน'
หญิงสาวร้องไห้ออกมาเมื่อนึกถึงคำพูดนั้น

…ใช่ ถ้าเธอเชื่อพ่อ แม่กับน้องสาวทั้งสองของเธอก็คงยังอยู่ เธอเองก็คงยังอยู่กับโอบ้าซังที่โน่น…

หญิงสาวปาดน้ำตาก่อนจะรับรู้ถึงมือหนาที่กระชับมือเธอแน่น
หญิงสาวมองคนตรงหน้าที่ตอนนี้มีน้ำตาไหลลงมาทางหางตา

“ฉันเสียใจ ฉัน ขอโทษ”

หญิงสาวเบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้า

ยังไงเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ เธอรู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอกกับชีวิตสุกๆดิบๆที่เป็นอยู่

เพราะความยึดมั่นถือมั่น ถึงทำให้คนเราเดินหลงทาง ทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า
คิดมาถึงตรงนี้ ก็ทำให้นึกไปถึงคำพูดของคนเป็นย่าที่เธอได้ยินในภาพฝัน
ก่อนจะตื่นขึ้นมาเมื่อครู่...

“หลับให้สบายนะคะ เหยี่ยวเชื่อว่าทุกคนต้องให้อภัยคุณอย่างที่เหยี่ยวให้
เพราะยังไงเราก็สายเลือดเดียวกัน...คุณคือพี่ชายของพ่อ คือคุณลุงของพวกเรา
เหยี่ยวเองก็ผิด...เหยี่ยวขอโทษที่ก่อนหน้านี้ได้ล่วงเกินลุงไป...
และขอบคุณนะคะที่สอนให้เหยี่ยวได้รู้จักการให้อภัยเสียที...”

"เธอสมควร...ได้อยู่...ในรังรัก...ของเธอ...นะเหยี่ยว...ลุง...ยินดี...ด้วย..."

คนเป็นลุงระบายยิ้มขณะพยักหน้าพร้อมกับบีบมือเธอแน่น
แล้วเธอก็ได้เห็นหยาดน้ำตาพร้อมรอยยิ้มนั่นของเขา

เธอรู้แล้วว่าการให้อภัยมันยิ่งใหญ่แค่ไหน เพราะเธอไม่เคยรู้สึกโล่ง ปลอดโปร่งได้เท่านี้มาก่อน
มันไม่ใช่แค่ได้ปลดปล่อยเขา แต่มันยังเป็นการปล่อยปล่อยตัวเธอเองด้วย

หญิงสาวจึงยิ้มออกมาแล้วสัญญาณบอกเวลาชีวิตก็ดังกังวานก้อง
พร้อมกับมือหนาที่ร่วงตกลงสู่พื้นพร้อมรอยยิ้ม

หญิงสาวยิ้มออกมาแล้วรวบมือทั้งสองของคนเป็นลุงมาวางเอาไว้บนหน้าอกนั่น

"ขอบคุณนะคะที่สอนให้เหยี่ยวเข้าใจคุณค่าของชีวิตมากขึ้น...ขอบคุณจริงๆ..."

อากิโกะหรือเหยี่ยวระบายยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปยังเพื่อนรักพร้อมกับจับรถเข็นของเพื่อน
แล้วเข็นออกไปจากห้องนั้นก่อนที่จะสวนกับหมอและพยาบาล




หนึ่งเดือนผ่านไป

หลังจากพีธีฝังศพมารดาและน้องสาว เธอก็ยังไม่เห็นหน้าเขาอีกเลย เขาหายไปตั้งแต่วันนั้น

หญิงสาวนั่งมองเกลียวคลื่นจากผาหินที่ที่เธอกับบิดาเคยนั่งด้วยกัน
และยังเป็นที่ที่เธอเคยสารภาพเรื่องราวเมื่อครั้งก่อนให้เขาฟัง
เธอยังจำใบหน้าของเขาในวันนั้นได้ดี
เธอรู้ว่าตอนนี้เขาเองคงรู้สึกผิดไม่น้อยเหมือนกัน ถึงได้หลบหน้าเธออย่างนี้
แม้แต่วันสุดท้ายที่เจอเขา เขายังคงหลบหน้าเธอเช่นเดิม
แต่ก็ดีแล้ว อะไรๆมันก็คงจะง่ายขึ้น เธอกับเขามันก็เหมือนผืนน้ำกับท้องฟ้า
ที่เหมือนใกล้กัน แต่จริงๆกลับห่างไกลกันเหลือเกิน ไกลเกินจะสัมผัสกันถึง

“มานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้ล่ะคุณ ใกล้ค่ำแล้วนะ เดี๋ยวยุงก็หามลงทะเลไปหรอก”
เสียงนั่นเรียกให้หญิงสาวหันมามองยังด้านหลังก่อนจะส่งยิ้มไปให้คุณหมอ
ที่ตอนนี้นั่งลงข้างๆเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองนิ่งเงียบไปนานก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน

“แปลกนะคะ ถึงเขาจะเคยทำร้ายฉันแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่เคยเลิกรักเขาได้เลยสักที”
คนฟังถอนใจออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น คำพูดที่เป็นเหมือนเข็มคอยทิ่มแทงใจ

“เป็นเพราะคุณไม่ยอมมองใครรึเปล่่าครับ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ ตาฉันสามารถมองเห็นความรักของคนอื่นเสมอ
แต่เป็นเพราะว่่าหัวใจมันไม่ได้อยู่ที่ฉันแล้ว ฉันยกให้เขาไปแล้วทั้งใจ
เขาจะรับหรือไม่รับ มันก็คงไม่กลับมาหาฉันแล้วล่ะค่ะ
แล้วต่อให้เขาบีบให้มันแหลกสลายคามือ ฉันก็ไม่เจ็บไปกว่าที่เจ็บอยู่แล้วล่ะค่ะ”
หญิงสาวเปรยออกมาในขณะที่สายตายังคงมองไปยังเกลียวคลื่น

“แล้วคุณรู้มั้ยครับ ว่่าหัวใจของผมอยู่ที่ใคร”ชายหนุ่มเอ่ยออกมา
ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หญิงสาวกลับได้ยินมันชัดเจนก่อนจะหันมายิ้มให้เขา

“รู้สิคะ…เพราะที่ฉันหายใจอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เป็นเพราะหัวใจของคุณหมอนั่นแหล่ะค่ะ…”
ชายหนุ่มยิ้มให้กับคำพูดนั้น

“ฉันจะเก็บรักษามันเอาไว้ให้อย่างดีเลยนะคะ เมื่อวันใดที่ฉันสามารถอยู่ได้โดยไร้หัวใจ
ฉันจะเอามันมาคืนให้คุณหมอนะคะ”
เสียงใสนั่นทำเอาชายหนุ่มยิ้มขัน

“แต่ผมคิดว่า อะไรที่ผมให้ไปแล้ว ก็ไม่คิดจะเอาคืนกลับ”

แม้น้ำเสียงจะดูเล่นๆแต่แววตาคู่นั้นมันจริงจังจนคนฟัง
ต้องส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มจริงใจ

“งั้นจะเป็นไรมั้ยคะ ถ้าฉันจะเห็นแก่ตัวยึดมันเอาไว้ เพราะยังไงๆ
คุณหมอก็มีหัวใจจากสาวๆทั้งพยาบาลเอย ทั้งคนป่วยเอย เยอะแยะมากมาย
คุณหมอก็รับหัวใจของใครสักคนมาดูแลอย่างฉันสิคะ
รับรองว่าคุณหมอเองก็จะสามารถหายใจต่อไปได้อย่างฉัน
เพียงแต่เปลี่ยนความรู้สึกที่เราได้รับจากหัวใจให้เป็นมิตรภาพ มันคงไม่ยากใช่มั้ยคะ”
หญิงสาวเลิกคิ้ว

“เอาเป็นว่า วันใดที่คุณหมอเกิดอยากจะมาทวงหัวใจคืน ฉันก็จะคืนมันให้คุณหมอค่ะ
รับรองว่ามันจะยังคงบริสุทธิ์เหมือนเดิม พร้อมที่จะให้กับเจ้าของของมันจริงๆ”
คนฟังพ่นลมหายใจออกมาก่อนพูดด้วยรอยยิ้มขัน

“น้องชายผมนี่มันโง่จริงๆ ที่ไม่ตอบรับรักคุณ มัวแต่พร่ำอยู่กับอดีตที่ไม่มีวันกลับมา”
หญิงสาวได้ยินก็ส่ายหน้า

“ความรักไม่มีคำว่าโง่หรอกค่ะ เพราะรักมาจากใจ ไม่ใช่สมองสั่ง
ถ้าคุณหมอใช้สมองตัดสิน คุณหมอก็จะมองว่ามันโง่สิ้นดี
แต่ถ้าคุณหมอใช้หัวใจตัดสิน มันไม่โง่หรอกค่ะ เพราะถึงสมองจะบอกว่าโง่ จะบอกให้เลิก
แต่หัวใจก็ยังจะรักไม่ใช่เหรอคะ”
ชายหนุ่มสะอึกกับคำพูดนั้นทันที ใช่ ทุกคำที่เธอพูดมันโดนใจเขาอย่างจัง
เพราะเขาเองก็ไม่ต่างจากเธอนัก

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะวันนี้ฉันมีความสุขที่ได้รักแล้ว
ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ที่จะต้องรอให้ใครเขามารักตอบ
เพราะถ้าเราคาดหวัง เราอาจผิดหวัง แต่ถ้าเราไม่คาดหวัง แล้วมีแต่ให้
ความสุขของการให้ยิ่งใหญ่กว่าการรับนะคะ และฉันก็รู้ว่าคุณหมอเองก็เข้าใจดี”
หญิงสาวยิ้มบางๆก่อนจะมองออกไปยังผืนน้ำอีกครั้ง

“เพราะฉันรอแต่จะให้ใครๆหันมารัก ฉันถึงต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า…”
หญิงสาวพูดเอาไว้แค่นั้นทั้งสองก็เงียบกันไปพักนึง
ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือมาให้หญิงสาว

“ตอนนี้ทุกคนเขาเตรียมพร้อมแล้วนะครับ ผมว่าเรากลับกันดีกว่า
คุณเองก็ควรทิ้งทุกอย่างให้ไหลลงสู่ทะเลไปนะครับ
เพราะยังไงทะเลก็คงยินดีและก็เต็มใจที่จะรับมัน ถ้ามันจะทำให้คุณกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
เพราะคงไม่มีแม่ที่ไหนจะอยากเห็นลูกร้องไห้ใช่มั้ยครับ
ดังนั้นให้ความทุกข์ที่ผ่านมาไหลไปพร้อมกับหยดน้ำตาให้แม่ของสายน้ำทั้งมวลได้พัดพาไปนะครับ”

หญิงสาวส่งมือไปให้ชายหนุ่มก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วทั้งสองก็เดินลงจากผาหิน
เพื่อกลับไปยังบ้านรังรักที่ตอนนี้กำลังมีงานเลี้ยงส่งเธอและน้องชายที่กำลังจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น

โดยที่มีสายตาคู่หนึ่งมองตามทั้งสองไปด้วยแววตาหม่นเศร้า

หลายครั้งที่เขาอยากจะเข้าไปกอดเธอ ขอโทษในสิ่งที่เคยทำกับเธอเอาไว้ทั้งหมด
แต่เขากลับไม่กล้าพอได้แค่มองเธออยู่ไกลๆ

เพราะเธอเองคงไม่มีวันยกโทษให้เขาเป็นแน่
และคงไม่ได้รักเขาจริงๆอย่างที่เธอเคยพูดเอาไว้
และเขาก็เดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปยังจุดเดิมๆได้อีก

หรือเขาควรจะหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นี้
ในเมื่อวันพรุ่งนี้เขาและเธอคงต้องจากกันแล้ว
ในเมื่อไม่ได้รักกันจะยื้อไว้ก็มีแต่เจ็บปวด สู้ปล่อยมันไปดีกว่า…

ชายหนุ่มนั่งลงบนผืนทรายละเอียดมองดูทะเลในยามใกล้ค่ำ
ทำไมเสียงคลื่นยามนี้ถึงให้ความรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยวอย่างนี้
หรือนี่คือเสียงร้องไห้ของท้องทะเล…




ณสนามบินสวรรณภูมิที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมสมาชิกทุกคนของบ้านอาทิตยะเอาไว้ด้วย

ทั้งหมดเดินทางมาส่งน้องสาวที่เพิ่งคืนสู่รังได้ไม่นานแต่กลับขอโบยบิน
เพื่อขอเวลายาใจให้กับรอยร้าวต่างๆกับน้องชายคนเล็กที่ขอไปเรียนต่อที่โน่น
พร้อมทั้งครอบครัวทาเคซาวา ที่มีกันสามคนโดยที่ลูกชายหายดีเดินได้เป็นปกติแล้ว
กำลังยืนรอน้องสาวและน้องชายของพวกเขาอยู่หน้าเกท

“ดูแลตัวเองดีๆนะเหยี่ยว พี่ดีใจที่ได้น้องสาวคนนี้คืนมา”
ตะวันกอดน้องสาวแน่นก่อนจะลูบหัวด้วยความรักและเอ็นดู
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อแรกเจอถึงได้รู้สึกเอ็นดูเธอนัก

หญิงสาวกอดเอวพี่ชายแน่น พร้อมรอยยิ้มเต็มดวงหน้า

“พี่ๆจะรอนะเหยี่ยว บ้านอาทิตยะยินดีต้อนรับเหยี่ยวเสมอจ้ะ”
หญิงสาวหันมากอดพี่สาวแน่นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ

“เหยี่ยวขอโทษนะคะ ที่อาจจะไม่ได้มาร่วมงานแต่งของพี่น้ำกับพี่กฤษ”
หญิงสาวพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองว่าที่พี่เขยแล้วยิ้มให้

“ฝากพี่น้ำด้วยนะคะพี่กฤษ”ว่าที่พี่เขยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“แล้วพี่จะพาพี่น้ำของเราไปฮันนีมูนที่โน่นนะ”
คนฟังยิ้มออกมาทันทีก่อนจะหันไปหาพี่ชายที่ซี้ที่สุดแล้วโผเข้ากอด

“ยังไงสายลมก็ยังจะคอยส่งแรงใจให้น้องสาวคนนี้เสมอนะ
เหยี่ยวตัวนี้ไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว เข้าใจมั้ย”

“ขอบคุณคะ ขอบคุณสายลมที่ยังพัด”

หญิงสาวมองหน้าพี่ชายด้วยความซึ้งใจ

เพราะตะวัน สายน้ำ สายลมและผืนดินที่ยังคงอยู่เคียงข้าง แค่นี้เธอก็มีแรงพอที่จะบินต่อได้แล้ว
เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เธอก็ไม่ไร้รังไร้ที่พักพิงอีกต่อไป

“เห้อ ไม่มีใครสนใจเราเล้ย”เสียงนั้นดังมาจากน้องชายคนเล็กของบ้าน

“เรามันก็แค่เศษดิน ไร้ค่า ไม่มีใครสนใจ”
ทุกคนที่ได้ยินหันไปมองยังเจ้าน้องชายตัวดีที่แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
แต่แววตากลับมีแต่รอยขัน

“แกนี่มันเหลือเกินนะเจ้าดิน ไปอยู่ที่โน่นก็ดูแลตัวเองและก็ดูแลพี่สาวดีๆล่ะ
ไม่งั้นกลับมาฉันส่งแกลงไปเป็นเด็กเก็บขยะของบริษัทแทนตำแหน่งประธานสาขาใหม่แน่”
ตะวันตบบ่าน้องชายก่อนจะขู่ออกมาด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังมากนัก

“คร้าบคุณพี่ชาย กลัวเหลือเกิน กลัวจริงๆ ว่าแต่ถ้าผมจบกลับมา
ผมหวังว่าพี่เองคงจะปลดตำแหน่งคานทองของตัวเองลงมาสักทีนะครับ
เพราะผมว่าบนนั้นลมมันคงโกรกกันโชกน่าดู ใช่มั้ยครับพี่ลม”

ชายหนุ่มพูดกับพี่ชายคนโตก่อนจะหันมาพยักพเยิดให้กับพี่ชายอีกคนด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ

“เห้ย ใครว่า พี่ยังไม่ได้ขึ้นไปโกรกใครเขาบนนั้นนะโว้ยเจ้าดิน เขาขึ้นไปเอง พี่ไม่ได้ยุ”
วายุพูดด้วยน้ำเสียงขำขัน คนโดนถล่ม เลยได้แต่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ

อย่างนี้ทุกที เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ไปกันเถอะพี่สาว ได้เวลาบินแล้ว”

พสุธหันมาจับมือพี่สาวแล้วเดินเคียงกันไป
แต่หญิงสาวต้องหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง

“เดี๋ยวครับ”หญิงสาวยิ้มให้กับท่าทางกระหอบกระหืดของคุณหมอ

“คิดว่าคุณหมอจะไม่มาส่งซะแล้วสิคะ”

“ใครว่า นี่ผมรีบแทบตาย นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว”
ชายหนุ่มยังคงหอบหายใจด้วยสีหน้าแดงก่ำเพราะวิ่งหาเธอไปทั่ว

“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”

“แล้วอย่าไปนานนะครับ เพราะมีคนทางนี้เขาคิดถึง”

หญิงสาวได้ยินแค่นั้นก็มองหาอีกคนแต่กลับไม่พบ
ก่อนจะตัดใจว่ายังไงๆเธอกับเขาก็ควรจะจบเรื่องราวต่างๆลงสักที
แต่มีหรือที่จิตแพทย์หนุ่มคนนี้จะดูไม่ออก

“ปล่อยให้เขาอยู่ในโลกของเขาเถอะครับ ว่าแต่คุณจะว่าอะไรมั้ย
ถ้าเจ้าหนามจะขอกอดดอกกุหลาบดอกนี้สักครั้งก่อนจาก”

หญิงสาวยิ้มก่อนจะพยักหน้าแล้วโผเข้ากอดชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า

การกลับไปครั้งนี้ไม่โดดเดี่ยวเลยจริงๆ

แต่ภาพนั้นกลับทำให้คนที่แอบมองอยู่รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วทั้งใจ
แต่ก็ทำได้แค่มองเท่านั้น แค่จะเดินเข้าไปหาเขาก็ยังไม่กล้า…

เพราะความรู้สึกผิดบาปต่อเธอและครอบครัวของเธอถึงทำให้เขา
ไม่สามารถมองหน้าทุกคนได้อย่างสนิทใจ




บนเครื่อง

หญิงสาวนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีปุยเมฆสีขาวรูปร่างต่างๆ

…แปลก…วันนี้เมฆดูสวยเหลือเกิน ทุุกอย่างดูปลอดโปร่ง ท้องฟ้าดูสดใส
ราวกับว่าเธอกำลังมองออกไปยังวิมาน วิมานเมฆ

สามารถมองเห็นภูผาที่ทอดตัวอยู่ยังผืนดินด้านล่างได้อย่างชัดเจน
ไม่มีเมฆดำคอยบดบังอีกต่อไป

มีแต่ปุยเมฆสีขาวกับท้องฟ้าสดใสและดวงตะวันที่คอยส่องแสงนำทางไปยังทุกที่…

หญิงสาวรู้สึกราวกับว่่าตัวเองกำลังโบยบินอยู่บนวิมานเมฆ…วิมานรัก

…หงส์…ฉันหวังว่าเธอคงรู้สึกเหมือนฉัน…


...โปรดติดตามตอนต่อไป.......









yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2555, 22:53:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2555, 22:53:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2620





<< บทที่ 38 เห่กล่อม   บทที่ 40 ฝนครั้งสุดท้าย >>
pookza 18 ก.ย. 2555, 13:54:01 น.
เมื่อคืนก็เข้ามารอนะคะ แต่ออกไปตอน 4 ทุ่ม รู้งี้รออีกหน่อยดีกว่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account