ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน
Tags: ภูต
ตอน: บทที่ 5 การตรวจสอบ
บทที่ 5 การตรวจสอบ
เช้าวันใหม่พิมมาดาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปทำงานตามปรกติ ระหว่างที่กำลังปิดกุญแจรั้วหญิงสาวก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงความเย็นจากลมกลุ่มหนึ่งพัดวูบผ่านร่าง เธอรีบเงยหน้าขึ้นและหันมองไปรอบตัวโดยหยุดสายตาไว้ที่มะตูมต้นใหญ่ริมคลอง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดก้าวออกจากต้นไม้แล้วหญิงสาวจึงถอนใจพร้อมกับบ่นพึมพำ
“คิดไปได้นะเรา ภูตครามจะเข้าไปอยู่ในต้นมะตูมได้ยังไง”
พูดจบเธอก็หย่อนกุญแจลงกระเป๋าและเดินไปตามทางที่รกครึ้มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เมื่อเห็นรถจักยานยนต์รับจ้างคันหนึ่งวิ่งผ่านมาหญิงสาวจึงรีบร้องเรียกเพื่อโดยสารออกไปยังปากซอย เมื่อถึงถนนใหญ่แล้วจึงขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยังบริษัทของเธอ
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง พนักงานทุกคนต่างหันมามองพิมมาดาเป็นตาเดียว ฤทธิ์ซึ่งปรกติจะเป็นคนพูดจาสนุกสนานเฮฮาอยู่ตลอดเวลารีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“พี่พิมเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“อะไรนะ”พิมมาดาทำหน้างงและไล่สายตามองทุกคนในห้อง ฤทธิ์จึงพูดต่อ
“ก็ที่หกล้มเมื่อวานไงครับ”
“อ๋อ”คราวนี้หญิงสาวหันไปมองนิลเนตรที่กำลังจัดเอกสารลงแฟ้ม อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมา
“ฉันเล่าเรื่องที่เราเจอเมื่อวานให้ทุกคนฟังน่ะ”
เพื่อนสาวรีบบอก พิมมาดาถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะหันไปตอบพนักงานรุ่นน้อง
“แค่หัวเข่าถลอกนิดหน่อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
“แต่ก็โชคดีนะคะที่คุณพิมไม่ได้เป็นอะไร” ป้าแช่ม แม่บ้านผู้รับทำงานจิปาถะประจำบริษัทพูดขึ้นมาบ้าง หลายคนพยักหน้าเป็นทำนองเห็นด้วยในขณะที่สิทธิศักดิ์พูดเสียงเรียบ
“แต่ผมสะใจที่คนร้ายสองคนนั่นตาย”
“นั่นสิ แบบนี้เขาเรียกว่ากรรมทันตา คุณพิมเป็นคนดีผีสางเทวดาเลยลงมาช่วย หมดเคราะห์หมดโศกกันไปแล้วล่ะค่ะ”
ป้าแช่มพูดเสริมตามความเชื่อของตน ความรักนับถือในตัวพิมมาดา ทำให้เธอรีบพนมมือขึ้นและหันไปไหว้หิ้งพระที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องพร้อมกับกล่าวอะไรออกมาสองสามคำซึ่งหญิงสาวพอจะฟังออกว่ามันเป็นคำเรียกขวัญของชาวเหนือ คำพูดและความห่วงใยของพนักงานบริษัทที่มีต่อพิมมาดาสร้างความขัดใจให้นงนภัสที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าห้องนายองอาจเป็นอย่างมาก เธอแบะปากและสะบัดหน้าไปทางอื่นพร้อมกับพูด
“ฉันว่าเป็นตัวซวยมากกว่า”
นิลเนตรชะงักงานที่กำลังทำทันทีและหันไปถามเสียงกระด้าง
“หมายความว่ายังไงคุณนงนภัส”
นงนภัสมองเธอด้วยหางตาและปรายไปทางพิมมาดา
“แหม จะให้หมายความว่ายังไงล่ะคะคุณเลขาฯ ลองคิดดูให้ดีถ้าเจ้าผู้ร้ายสองคนนั้นไปวิ่งราวคนอื่นก็คงจะรอด แต่เพราะดวงซวย มากระชากกระเป๋าจากตัวซวย ความซวยมันก็เลยพุ่งเข้ามาหาจนตายคาที่ไปทั้งสองคน”
การพูดแบบลอยหน้าลอยตากับน้ำเสียงที่เน้นย้ำตรงคำว่า ซวย โดยเฉพาะทำให้นิลเนตรถึงกับเดือดขึ้นมา
“พูดแบบนี้ไม่สวยเลยนะคุณนงนภัส”
“ฉันแค่พูดความจริง จะสวยหรือไม่สวยก็แล้วแต่คนจะคิด” อีกฝ่ายทำเป็นเมินมองไปทางด้านอื่นเหมือนไม่ใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองพูดเท่าใดนัก นิลเนตรขยับเตรียมจะต่อว่าแต่พิมมาดากลับแตะแขนของเธอเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
“ช่างเขาเถอะ”
“แต่ยายนั่นกำลังว่าเธอ” เลขานุการสาวพูดด้วยความโมโห พิมมาดายิ้มอย่างใจเย็น
“ก็อย่างที่เขาบอก ทุกอย่างแล้วแต่คนคิด ถ้าเรารับเราก็เป็นอย่างที่เขาพูด แต่ถ้าไม่ใช่” หญิงสาวเลื่อนสายตาไปทางนงนภัสและกล่าวต่อด้วยเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงความคมเหมือนจะเชือดคนฟัง
“คนพูดนั่นแหละที่เป็น”
นงนภัสหันขวับมามองตาวาว ในขณะที่ฤทธิ์ทุบโต๊ะระรัวพร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“สุดยอดไปเลยพี่พิม”
พนักงานรุ่นน้องหัวเราะงอหายจนนิลเนตรกลัวว่าเขาจะขาดใจตายไปเสียก่อน โชคดีที่นายองอาจก้าวเข้ามาในห้อง ฤทธิ์จึงหยุดและรีบเดินไปทำหน้าที่ของตนส่วนพิมมาดายกมือไหว้เจ้าของบริษัทอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
นายองอาจพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึมและขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อนงนภัสโผเข้าไปกอดแขนพร้อมกับออดอ้อน
“มาช้าจังเลย รถติดเหรอคะ”
“พอดีผมแวะทำธุระอะไรนิดหน่อย” นายองอาจตอบและมองนิลเนตรที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดเรียงเอกสาร “เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะ คุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“เรื่องไร้สาระของพวกพนักงานน่ะค่ะ อย่าไปสนใจเลย” นงนภัสรีบพูดตัดบทและพยายามลากนายองอาจเข้าห้อง อีกฝ่ายฝืนตัวเล็กน้อยพร้อมกับพูด
“จะรีบไปไหนน่ะนง” น้ำเสียงเจือความรำคาญพลางดึงแขนออกจากการเกาะกุมของหญิงสาว “อ้อคุณนิล ผมอยากจะได้ผลประกอบการของเดือนนี้ ช่วยจัดการให้หน่อย แล้วโทร.ไปย้ำคุณเอกภพด้วยว่าเรามีนัดกันพรุ่งนี้บ่ายสาม”
“ค่ะ”นิลเนตรรับคำพร้อมกับบันทึกคำสั่งทั้งหมดลงสมุดและรีบเดินตรงไปที่ห้องของ
พิมมาดาเพื่อขอเอกสารตามที่เจ้านายต้องการ ทางด้านนายองอาจเมื่อสั่งงานเลขานุการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องโดยมีนงนภัสก้าวตามไปด้วยเหมือนเงาตามตัว ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง หญิงสาวจึงเริ่มออดอ้อนทันที
“คุณองอาจขา เมื่อกี้นิลเนตรกับพิมมาดาชวนพนักงานบริษัทคุยค่ะ”
“ไม่เห็นแปลก พวกเขาทำงานด้วยกัน ก็ต้องคุยกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา” นายองอาจพูดพลางดึงแฟ้มงานมาเปิด นงนภัสกระแทกลมหายใจออกมาค่อนข้างแรง
“แต่นี่มันเป็นเวลางานนะคะ ทำแบบนี้เหมือนหาเรื่องอู้กันชัดๆ”
“อย่าคิดมากไปหน่อยเลยนง”เสียงนายองอาจออกแนวเบื่อหน่ายมากกว่าความรำคาญขณะไล่สายตาดูเอกสารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ นงนภัสเม้มปากเล็กน้อยก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะ
“แต่พวกเขาว่านงด้วยนี่คะ”
“เขาว่าอะไรคุณ” อีกฝ่ายถามทั้งที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่ตัวเลขบนกระดาษ เมื่อเห็นหญิงสาวทำเป็นอิดเอื้อนเหมือนไม่อยากจะพูดนายองอาจจึงเงยหน้าขึ้น “ทำไมไม่พูดล่ะ”
“ก็นงไม่อยากบอก เดี๋ยวคุณองอาจจะโกรธ”
“ผมจะไปโกรธอะไรคุณ” นายองอาจปิดแฟ้มและเลื่อนไปกุมมือนงนภัสอย่างเอาใจ “นิลเนตรเขาพูดว่ายังไง”
“ช่างมันเถอะค่ะ”นงนภัสแสร้งทำเป็นไม่สนใจและย้ายสะโพกจากโต๊ะลงไปนั่งบนตักนายองอาจ”นงว่าเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า”
“งั้นคุยเรื่องอะไรดี” เจ้าของบริษัทถาม อีกฝ่ายเอียงหน้าเพื่อให้ดูน่ารักก่อนทำเสียงอ้อน
“เมื่อวานนงไปเดินห้าง เจอกระเป๋าใบนึงสวยถูกใจ” เธอเอนตัวลงซบอกนายองอาจ”ครั้นจะซื้อก็เงินไม่พอ นงงี้เสียดายแทบตาย”
“งั้นเย็นวันนี้เราไปซื้อด้วยกัน ว่าแต่กระเป๋านั่นมันใบละเท่าไหร่”
“สองหมื่นเองค่ะ” นงนภัสจีบปากจีบคอพูดแต่นายองอาจกลับทำตาโต
“สองหมื่น!” เขาทวนคำเสียงดังลั่น “กระเป๋าอะไรทำไมมันแพงขนาดนั้น”
“ก็มันเป็นของต่างประเทศนี่คะ แต่ถ้าคุณองอาจคิดว่ามันแพงก็ไม่เป็นไร นงไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ค่ะ”
พูดพลางทำเป็นลุกขึ้นเดินหนีอย่างเง้างอน นายองอาจส่ายหน้าพร้อมกับถอนใจ
“ในเมื่อคุณอยากได้ผมก็จะซื้อให้ แต่แค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้นนะ”
นงนภัสรีบถลาเข้าไปกอดเขาทันทีพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาข้างละหนึ่งฟอดเพื่อเป็นการเอาใจ
“แค่นั้นก็ได้ค่ะ แต่นงขออะไรอีกนิดได้ไหมคะ” เธอเอียงคอทำเสียงหวาน เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองด้วยสายตาเชิงถามจึงรีบพูด “เย็นนี้คุณต้องทานข้าวกับนง”
“อ๋อ ได้สิ” นายองอาจพูดอย่างอารมณ์ดี นงนภัสยิ้มกว้างและทำท่าจะซบเขาอีกครั้งแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เธอรีบขยับถอยออกไปนั่งที่เก้าอี้อย่างไม่ค่อยพอใจนักและยิ่งชักสีหน้าบูดบึ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นพิมมาดาก้าวเข้ามาในห้อง
“มีเรื่องด่วนค่ะ” เธอพูดแค่นั้นแล้วหยุดนิ่ง นายองอาจขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายปรายตาไปทางนงนภัสเขาจึงผงกศีรษะ
“ไปนั่งเล่นข้างนอกก่อนนะนง”
หญิงสาวทำท่าจะแย้งแต่เมื่อเห็นสีหน้าของนายองอาจแล้วเธอจึงลุกพรวดก้าวสะบัดออกจากห้องไปโดยไม่ลืมส่งสายตาอาฆาตมายังพิมมาดา เมื่อเห็นนงนภัสออกไปแล้วนายองอาจจึงชี้ไปที่เก้าอี้เชิญให้เธอนั่ง
“มีอะไรหรือคุณพิม”
“เมื่อครู่คุณกรเทพโทร.มาค่ะ”เธอรีบรายงาน”เขาปฏิเสธการชำระเงินงวดล่าสุดด้วยเหตุผลว่า ได้รับสินค้าไม่ครบตามจำนวน”
“เป็นไปได้ยังไง เราส่งของให้เขาครบตามที่สั่ง มีหลักฐานยืนยันทั้งใบส่งของและใบรับ คนของเขาก็ตรวจนับจำนวนสินค้าเองด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ดิฉันได้ชี้แจงไปตามที่ท่านพูด แต่ทางนั้นยืนยันมาว่า สินค้าไม่ครบ”
“บริษัทของเราไม่เคยบกพร่อง ผมไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” เขามองหญิงสาว
”คุณช่วยไปหาเอกสารยืนยันการรับสินค้าให้หน่อยว่าทางนั้นรับสินค้าเราไปครบทุกอย่าง และนำมาให้ผมดูด้วยจะได้โทร.ไปยืนยันกับคุณกรเทพอีกครั้ง”
“ดิฉันจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ”พิมมาดาพูดพลางวางแฟ้มเอกสารชุดหนึ่งลงบนโต๊ะ “ทุกอย่างถูกต้องครบตามจำนวน แต่พอแจ้งกลับไปทางนั้นก็ตอบมาว่า จำนวนกล่องครบ แต่ตัวยาข้างในหายไป”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณกรเทพจะใช้เหตุผลแบบนั้นมาเป็นข้ออ้าง”นายองอาจพูดพลางอ่านเอกสารตรงหน้า”จำนวนเงินไม่คุ้มกับชื่อเสียงของบริษัทเลยด้วยซ้ำ”
“ตอนแรกฉันก็คิดแบบเดียวกับคุณองอาจ แต่พอคุณกรเทพวางสายไปไม่นาน บริษัทอื่นก็โทร.เข้ามาขอระงับการชำระเงินด้วยเหตุผลเดียวกัน”
นายองอาจเลิกคิ้วทำตาโต
“นอกจากคุณกรเทพแล้วยังมีบริษัทอื่นอีกด้วยหรือ” คิ้วขมวดเข้าหากันก่อนจะถามประโยคต่อไป”ทั้งหมดกี่ราย”
“เฉพาะตอนนี้มีแจ้งเข้ามาแล้วแปดบริษัท ทุกบริษัทยืนยันเหมือนกันว่าได้รับยาไม่ครบ มีอยู่สองที่ระบุว่ากล่องบรรจุภัณฑ์ไม่เรียบร้อย มีร่องรอยเหมือนถูกงัดแงะ พอเปิดออกดูจึงพบว่ายาที่อยู่ในนั้นหายไป”
คราวนี้นายองอาจถึงกับนิ่ง นิ้วอูมเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด
“ยาหายไป”เขาทวนคำและยกมือขึ้นลูบคาง”จะบอกว่าเป็นการสร้างเรื่องเพื่อที่จะไม่ชำระเงินก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคุณกรเทพติดต่อค้าขายกับเรามานาน แถมยังเคยชำระเงินล่วงหน้าทั้งที่ของยังไม่เข้ามาด้วยซ้ำ ส่วนบริษัทอื่นก็ไม่เคยตุกติกเรื่องการชำระเงิน”
เขาพลิกกระดาษดูตัวเลขจำนวนเงินและพูดเบาๆ
“แค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรวมตัวกันเพื่อโกงบริษัทของเรา”
นายองอาจปิดแฟ้มและนิ่วหน้า
“หมายความว่ายาหายไปจริง แต่มันถูกดึงออกไปตอนไหนและใครเป็นคนทำ”เขามองหญิงสาว”แล้วพวกเขาบอกหรือเปล่าว่าเป็นยาชนิดไหน”
พิมมาดาส่งกระดาษอีกแผ่นให้กับเขา เมื่อเปิดออกอ่าน คิ้วของนายองอาจก็ขมวดเข้าหากันทันที
“เป็นยานำเข้าราคาแพงทั้งนั้น”
“ค่ะ และมีแค่สามชนิดนี่เท่านั้นที่หาย”
“แสดงว่าคนที่เอาไปต้องรู้จักยาดีพอสมควร และต้องรู้ด้วยว่าจะต้องเอาไปขายที่ไหน”นายองอาจพูดพลางพับกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อและพูดอย่างเคร่งขรึม”ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นฝีมือของคนในบริษัทเรา”
นายองอาจค่อยๆรวบรวมความคิด
“เอาอย่างนี้ คุณลงไปที่โกดังและลองสุ่มตรวจดูว่ามีอะไรหายไปบ้าง ผมรู้ว่ามันไม่ใช่หน้าที่แต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ผมไว้ใจ ถ้ายาในโกดังหายแสดงว่าเป็นฝีมือของพนักงานในบริษัท แต่ถ้าไม่ใช่ก็หมายความว่ามีการลักลอบขนย้ายกันระหว่างการขนส่งซึ่งผมจะจัดการในส่วนนั้นอีกที ตอนนี้ขอให้คุณยืนยันให้ได้ก่อนว่ายาหายไปจากเราหรือเปล่า”
“ค่ะ” พิมมาดารับคำสั้นๆ นายองอาจนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ยังไม่ต้องบอกเรื่องนี้ให้ใครฟังนะคุณพิม และระหว่างการตรวจพยายามใช้คนให้น้อยที่สุดคอยสังเกตให้ดีว่าคนที่มาช่วยแสดงอาการยังไง ทราบผลเมื่อไหร่รายงานผมได้ทันที”
“ค่ะ”
พิมมาดารับคำพร้อมกับพยักหน้า เสียงเคาะประตูห้องทำให้นายองอาจดันแฟ้มกลับไปทางหญิงสาวเหมือนจะบอกให้เธอนำไปเก็บจากนั้นจึงรีบเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับพูด
“เข้ามาได้”
นิลเนตรเปิดประตูอย่างระวังพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัยก่อนก้าวเข้ามาในห้อง พิมมาดาจึงลุกขึ้น
“งั้นฉันขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
นายองอาจพยักหน้ารับ หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้กับเพื่อนก่อนก้าวออกจากห้องในขณะที่
นิลเนตรวางแฟ้มอีกชุดลงบนโต๊ะ
“ผลประกอบการของเดือนนี้ค่ะ”เธอวางเอกสารลงบนโต๊ะและเปิดสมุดนัดรายงาน”คุณเอกภพ ขอเลื่อนนัดขึ้นมาเป็นบ่ายสองโมงครึ่ง สถานที่เดิม”
“ขอบคุณมาก” นายองอาจกล่าวพลางหยิบแฟ้มมาเปิดและร้องเรียกเลขานุการสาวซึ่งกำลังเดินออกจากห้อง”อ้อคุณนิล”
เธอหมุนตัวหันกลับมาแต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามเจ้านายก็เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน
“พยายามอย่าไปต่อปากต่อคำกับนงนภัสเขาให้มากนัก ผมขี้เกียจฟังแล้วก็ไม่อยากเสียเงินซื้อของแพงแบบไร้สาระ”
นิลเนตรยิ้มแหยและก้มศีรษะลง
“ค่ะคุณองอาจ ต่อไปดิฉันจะระวัง ต้องการอะไรอีกไหมคะ” ประโยคสุดท้ายเธอถามตามหน้าที่เลขานุการที่ดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าหญิงสาวจึงก้าวออกจากห้องและเดินตรงไปยังโต๊ะของเธอแต่แทนที่จะได้ทำงานนิลเนตรกลับพบว่านงนภัสกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ของเธอพร้อมกับเปิดสมุดบันทึกอ่านอย่างถือวิสาสะ แม้จะโกรธแต่คำเตือนของนายองอาจทำให้เลขาฯสาวจำต้องข่มใจระงับอารมณ์พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ขอโต๊ะคืนด้วยค่ะคุณนง”
อีกฝ่ายตวัดหางตาขึ้นมามองและลดกลับลงไปอ่านข้อความในบันทึกอย่างไม่สนใจ นิลเนตรถึงกับเดือดปุดๆเหมือนกาต้มน้ำบนเตา
“ดิฉันต้องรีบทำรายงานส่งคุณองอาจ กรุณาไปนั่งโต๊ะอื่นได้ไหมคะ”
น้ำเสียงสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ นงนภัสจึงปิดสมุดและแกล้งขยับย้ายไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ใกล้กันและยกขาขึ้นไขว้ในมาดคุณนายโดยเจตนาหันปลายเท้ามาทางนิลเนตร เธอพยายามนับถึงร้อยก่อนเปิดลิ้นชักหยิบงานขึ้นมาทำ
“คอแห้งจัง ขอกาแฟหน่อยสิ”
เสียงนงนภัสดังขึ้น นิลเนตรเหลือบตามองแต่ทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายจึงกอดอกพร้อมกับพูดเสียงดังมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ได้ยินหรือไง”
ทุกคนหันมามองนงนภัสเป็นตาเดียว นิลเนตรเม้มปากเล็กน้อยเพื่อข่มความโกรธก่อนเงยหน้าขึ้น
“ดิฉันกำลังทำงานอยู่ คงต้องรอสักครู่นะคะคุณนงนภัส”
“แต่ฉันอยากได้ตอนนี้” เสียงแว้ดขึ้นมาอย่างวางอำนาจและจ้องนิลเนตรอย่างเอาเรื่อง “เธอเป็นเลขาฯ มีหน้าที่ชงกาแฟอยู่แล้วนี่”
“คุณนงคงเข้าใจอะไรผิด เลขานุการมีหน้าที่จัดการงานด้านเอกสารและธุระการต่างๆให้กับเจ้านาย ไม่มีหน้าที่ชงกาแฟให้กับใคร หรือถ้าจะต้องบริการของว่างเคร่องดื่มก็คงต้องบริการให้กับเข้านายหรือแขกของเจ้านายเท่านั้น แล้วคุณนงละคะเป็นตัวอะไร อุ๊ย! ขอประทานโทษค่ะ คุณนงเป็นใครคะ”
นิลเนตรบรรยายตอบชัดถ้อยชัดคำ นงนภัสขยับนั่งตัวตรงและมองเธออย่างโกรธจัด
“เธอเป็นลูกจ้างของคุณองอาจ และฉันเป็นอันดับสองรองจากเขา ฉันมีสิทธิที่จะออกคำสั่งกับใครก็ได้”
“ในทางปฏิบัติ คุณไม่มีตำแหน่งอะไรในบริษัท ในเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวคุณอาจทำอย่างนั้นได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง เอาเป็นว่าถ้าตอนนี้คุณอยากดื่มกาแฟ ฉันจะหาคนจัดการให้”
เธอมองไปยังด้านหลังบริเวณทางไปห้องน้ำของพนักงานและร้องเรียก
“ป้าแช่ม”
“ขาคุณนิล” แม่บ้านขานรับพร้อมกับก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่มือข้างหนึ่งยังถือแปรงทำความสะอาดเอาไว้ “มีอะไรหรือคะ”
“คุณนงนภัสคอแห้งอยากได้กาแฟสักถ้วย”
“ได้เลยค่ะ แต่ขออิฉันล้างมือล้างไม้ให้เรียบร้อยก่อน”
“คุณนงเขาหิวมาก รีบมาจัดการเดี๋ยวนี้เลย” นิลเนตรพูด ป้าแช่มหยุดยืนนิ่งด้วยความงงงัน ส่วนนงนภัสลุกพรวดขึ้นและแผดเสียงลั่น
“จะมากไปแล้วนะ!”
“คะ”เธอเลิกคิ้วข้างหนึ่งเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆบรรจงตอบว่า”คุณนงอยากดื่มกาแฟฉันก็จัดให้ ยังไม่พอใจอะไรอีก”
นิลเนตรพูดอย่างใจเย็น นงนภัสแทบจะเต้นเร่าๆด้วยความโกรธแต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเถียงเสียงนายองอาจก็พูดขัดขึ้น
“ออกไปดื่มข้างนอกกับผมก็ได้”
นงนภัสหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยส่วนนิลเนตรซึ่งถือว่าตัวเองไม่มีความผิดและทำตามที่เจ้านายสั่งทุกประการยังคงนั่งนิ่ง นายองอาจจึงวางกระดาษแผ่นเล็กลงตรงหน้าเธอพร้อมกับสั่ง
“โทร.ไปบอกคุณนวลตามนี้ด้วย”
“ค่ะเจ้านาย”
หญิงสาวรับคำ นายองอาจจึงเดินตรงไปที่ประตู ระหว่างนั้นพิมมาดาเดินสวนออกมาจากห้องพอดี ผู้เป็นนายจึงกำชับเสียงเรียบ
“ได้เรื่องยังไงโทร.ไปบอกผมด้วย”
พิมมาดาก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวรับคำ
“ค่ะ”
สั่งเสร็จเจ้าของบริษัทเกียรติตระกูลเจริญจึงเดินออกจากห้องโดยไม่สนใจว่าใครจะตามทันหรือไม่ นงนภัสหันไปส่งสายตายะโสให้กับนิลเนตรก่อนคว้ากระเป๋าและรีบวิ่งตามออกไปพร้อมกับร้องเรียก
“คุณองอาจขารอด้วยค่ะ”
เสียงรองเท้าส้นสูงที่ห่างออกไปทำให้พนักงานทุกคนถอนใจเฮือกออกมาพร้อมกัน ฤทธิ์หันมายกนิ้วหัวแม่โป้งให้กับนิลเนตรอย่างชื่นชม
“สุดยอดครับคุณนิล”
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักพร้อมกับระบายลมหายใจออกมา พิมมาดาถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรกันเหรอ”
“คุณนิลชนะน็อคเอาท์จากศึกปะทะคารมกับคุณนงนภัสน่ะครับ” พนักงานรุ่นน้องรายงานเจื้อยแจ้วหน้าตาหมื่นทะเล้นจนนิลเนตรต้องหันไปถลึงตาใส่พร้อมกับพูดเสียงดุ
“มากไปนายฤทธิ์ ฉันแค่บอกปัดไม่ชงกาแฟให้เขาเท่านั้น”
ฤทธิ์พูดขัดขึ้น
“นี่ขนาดบอกปัดเรื่องกาแฟนะครับ”
“แล้วคุณนงนภัสไม่โกรธแย่เหรอ” พิมมาดาถาม เด็กหนุ่มจึงตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“จะเหลือหรือครับ โกรธจนแทบจะลงไปนอนดิ้น ดีว่าคุณองอาจออกมาห้ามศึกซะก่อนเรื่องเลยจบ แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายเหมือนกันเพราะมวยดีๆแบบนี้หาดูยาก”
ฤทธิ์ทำท่าจะสาธยายต่อแต่นิลเนตรรีบยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับออกคำสั่ง
“ไปทำงานของเธอได้แล้ว”
“ครับผม” พนักงานหนุ่มลากเสียงล้อเลียนและรีบเดินออกจากห้อง พิมมาดามองเพื่อนแล้วส่ายหน้า
“ถึงจะไม่ชอบแต่นงนภัสเขาเป็นคนของคุณองอาจ เธอไม่ควรไปต่อปากต่อคำกับเขา”
“ก็แค่กวนประสาทนิดหน่อยเท่านั้น” นิลเนตรตอบอย่างไม่สนใจและมองพิมมาดาที่กำลังเดินออกจากห้อง”นั่นเธอจะไปไหนอีกน่ะพิม”
“ไปทำธุระข้างล่างนิดหน่อย ไว้ค่อยคุยกันตอนเที่ยง”
หญิงสาวร้องบอกขณะก้าวลงไปตามขั้นบันได นิลเนตรขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของเจ้านายที่กล่าวกับพิมมาดาก่อนออกจากห้อง เธอจึงเข้าใจในทันทีว่าเขาคงมอบหมายให้เพื่อนของเธอทำงานบางอย่าง เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเลขานุการสาวจึงหยิบปากกาและเปิดแฟ้มเอกสารเพื่อทำงานในส่วนของเธอต่อ
ทางด้านพิมมาดาเมื่อลงมายังชั้นล่างแล้วจึงเดินตรงไปยังโกดังเก็บสินค้าซึ่งอยู่ทางด้านหลัง พนักงานที่กำลังตรวจนับกล่องยาหันมาเห็นเข้าจึงร้องทัก
“คุณพิม มีอะไรเหรอครับ”
หญิงสาวสั่นศีรษะและยังคงก้าวต่อไป สิทธิศักดิ์เห็นดังนั้นจึงรีบเดินมาหาพร้อมกับถาม
“มีอะไรหรือครับคุณพิม”
พิมมาดามองเขาอย่างชั่งใจก่อนพูดในสิ่งที่เตรียมมา
“ลูกค้าแจ้งมาว่าสินค้าชุดหลังมีปัญหาเล็กน้อย คุณองอาจเลยสั่งให้พิมลงมาดู”
คำพูดของเธอทำให้หัวหน้าฝ่ายสินค้านิ่วหน้าด้วยความสงสัยพร้อมกับถาม
“แล้วเขาบอกหรือเปล่าครับว่าเป็นปัญหาอะไร”
“ยาบางกล่องได้รับความชื้นจนเสียหาย ฉันเลยอยากลงมาตรวจดูให้แน่ใจว่ามาจากการเก็บของเราหรือเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง”
สิทธิศักดิ์นิ่งฟังอย่างตั้งใจและผงกศีรษะรับ เขาหมุนตัวเดินนำหญิงสาวเข้าไปด้านในโกดังพร้อมกับถาม
“ยาชุดไหนเหรอครับ”
พิมมาดาไม่ตอบแต่กลับไล่สายตาอ่านรายชื่อตัวยาที่ระบุอยู่บนกล่องกระทั่งถึงกลุ่มตัวยาที่ได้รับแจ้งเธอจึงหยุด
“ชุดนี้ค่ะ” พูดพลางแสร้งทำเป็นเงยหน้าขึ้นดูเพดาน “หลังคาก็ไม่มีรอยรั่ว ไม่เข้าใจเลยว่ามันชื้นได้ยังไง”
“นั่นสิครับ” สิทธิศักดิ์พูดพลางยกลังยาใบหนึ่งลงมาวางและพลิกดูอย่างละเอียด”ไม่มีร่องรอยอะไรสักนิด ผมว่าน่าจะเกิดจากทางลูกค้ามากกว่า”
“ฉันเองก็คิดแบบนั้น แต่เราต้องมีหลักฐานมายืนยันว่าไม่ใช่ความผิดจากทางบริษัทของเรา ไม่อย่างนั้นทางโน้นจะไม่ยอมจ่ายเงิน”
พิมมาดาพูดด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง สิทธิ์ศักดิ์ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น
“งั้นก็เรื่องใหญ่” เขาทำท่าคิด”เอาอย่างนี้ดีไหมครับ เพื่อความแน่นอนผมจะยกลังลงมาตรวจทุกใบ” เขาหยุดและยกมือขึ้นเพื่อเรียกลูกน้องที่อยู่แถวนั้นแต่พิมมาดารีบห้าม
“แค่ยาไม่กี่ลังเราทำกันเองก็ได้ อย่าไปกวนพวกเขาเลย”
สิทธิ์ศักดิ์มองเธออย่างแปลกใจแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ทั้งคู่ช่วยกันตรวจยาทีละลังอย่างละเอียดกระทั่งถึงใบที่อยู่เกือบล่างสุด หัวหน้าแผนกสินค้ายกมันขึ้นและขมวดคิ้ว
“แปลกแฮะ”
“อะไรหรือคะ”พิมมาดาถาม สิทธิศักดิ์เขย่าลังสองสามครั้งก่อนตอบ
“ยาลังนี้มันเบาผิดปรกติ” เขาวางมันลงและมองอย่างพิจารณา หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกับพูด
“คุณยกมาหลายลังแล้ว อาจจะคุ้นกับน้ำหนักของมันเลยทำให้คิดว่าพวกที่เหลือเบาขึ้นกว่าเดิม”
“ผมทำงานที่นี่มานานจำน้ำหนักของยาแต่ละชนิดได้ดี”สิทธิศักดิ์พูดพลางไล่มือไปบนกระดาษกาวที่ปิดฝาลัง หญิงสาวมองตามด้วยความสนใจ
“มีอะไรหรือคะ”
“กระดาษนี่เคยถูกเปิด” อีกฝ่ายพูดพลางใช้เล็บสะกิดกระดาษด้านหนึ่งเบาๆ มันหลุดออกมาอย่างง่ายดาย พิมมาดายืนนิ่งในทันทีขณะที่สีหน้าของสิทธิศักดิ์เคร่งเครียดขึ้น
“มีคนเปิดลังใบนี้และใช้กาวทาปิดทับเอาไว้อย่างเดิม” เขาพูดพลางลอกกระดาษออกและเปิดฝาลังดู สิ่งที่อยู่ภายในทำให้เขานิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเพราะแทนที่จะมีกล่องยาขนาดเล็กอัดแน่นอยู่เต็ม กลับมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง
“ยาหายไป”
สิทธิศักดิ์หลุดปากพูดออกมา พิมมาดารีบแตะมือของเขาเอาไว้
“อย่างพูดดังไปคุณสิทธิศักดิ์”เธอกวาดตามองรอบตัวอย่างระวังและปิดลังยาให้เรียบร้อยเหมือนเดิม หัวหน้าแผนกสินค้ามองหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไม”เขานิ่งไปเล็กน้อยและมองหน้าหญิงสาว ประกายตาของเธอทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ยาชื้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่เธอใช้เพื่อเข้ามาตรวจนับจำนวนของยา
”คุณรู้อยู่แล้ว”
พิมมาดาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมพลางลดสายตาลงมองลังยาที่พร่องไป
“ต้องขอโทษที่ไม่บอกความจริงกับคุณตั้งแต่ทีแรก มันเป็นคำสั่งของคุณองอาจ ท่านไม่อยากให้พนักงานรู้ตัวเพื่อความสะดวกในการสืบหาว่ายาถูกขโมยไปตอนไหน”
“แล้วทำไมคราวนี้คุณถึงยอมบอกผม”สิทธิศักดิ์ถาม หญิงสาวจึงมองหน้าเขา
“บอกตามตรงว่าครั้งแรกฉันก็ไม่ไว้ใจคุณเหมือนกัน แต่พอเห็นหน้าคุณตอนที่รู้ว่ายาในลังหายไป ฉันถึงแน่ใจว่าคุณไม่ได้เป็นคนขโมย”
เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“ต้องขอโทษด้วยที่สงสัยคุณในตอนแรก”
“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ” หัวหน้าแผนกสินค้าพูดพลางก้มหน้าลงมองต้นเหตุของปัญหา “แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
“เราคงต้องตรวจยาทั้งหมดดูว่าลังไหนถูกเจาะไปแล้วบ้าง” เธอหยุดพูดและหันไปมองคนงานคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถบรรทุกลังยาออกไป”ก่อนอื่นเราต้องสั่งให้พนักงานทุกคนออกจากโกดัง คุณคงจะพอหาข้ออ้างได้ใช่ไหมคะ”
ประโยคสุดท้ายเธอหันมาถามสิทธิศักดิ์ เขาผงกศีรษะรับและเดินหายไปราวสิบนาที
พิมมาดาได้ยินเสียงพนักงานร้องบอกต่อกันจากนั้นประตูเหล็กก็เลื่อนปิดลง หัวหน้าแผนกสินค้าเดินกลับเข้ามาพร้อมกับพูด
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ความที่ทำงานด้วยกันมานานทำให้พิมมาดาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามว่าสิทธิศักดิ์ใช้เหตุผลอะไรกับลูกน้อง เธอมองลังยาที่ตั้งเรียงซ้อนกันจนสูงเลยหัว
“จะเริ่มตรงไหนก่อนดีครับ” เสียงหัวหน้าแผนกสินค้าถาม หญิงสาวดึงรายชื่อยาออกมาจากกระเป๋า
“แค่ยาสามกลุ่มนี้เท่านั้น”
สิทธิศักดิ์รับมาอ่านและพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นทั้งสองจึงไล่ตรวจยาภายในโกดังไปทีละลัง กระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงห้าโมงเย็นทุกอย่างจึงเสร็จสิ้นลง พิมมาดามองลังยามีปัญหาที่ถูกแยกออกมาวางไว้ต่างหากด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหนักใจ
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมากขนาดนี้”
หญิงสาวพึมพำก่อนจะดึงโทรศัพท์มือถือมากดหมายเลข เมื่อปลายสายรับเธอจึงรีบรายงานให้นายองอาจฟัง เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะออกคำสั่งกลับมา พิมมาดารับคำพร้อมกับปิดโทรศัพท์และหันหน้ากลับมาทางสิทธิศักดิ์
“คุณองอาจสั่งให้แยกยากลุ่มนี้ไปไว้ด้านหลังหาผ้าใบมาคลุมให้มิดชิดและสั่งห้ามพนักงานทุกคนเข้าใกล้จนกว่าจะตรวจนับเสร็จว่ายาหายไปเท่าไหร่”
“แต่พรุ่งนี้เราต้องส่งยาไปที่บริษัท...”
“คุณองอาจบอกว่าให้ดำเนินการไปตามปรกติ เพราะคนร้ายยังชะล่าใจว่าไม่มีใครรู้ ระหว่างนี้ขอให้คุณคอยสังเกตพฤติกรรมของแต่ละคนเอาไว้ให้ดี จับตาดูคนที่น่าสงสัยเอาไว้และรายงานให้ฉันหรือคุณองอาจทราบโดยเร็ว”
“เข้าใจแล้วครับ” สิทธิศักดิ์รับคำและเริ่มขนย้ายลังตามคำสั่ง เขาร้องห้ามเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะช่วยขน “ไม่ต้องหรอกครับคุณพิม ยาไม่กี่ลังผมคนเดียวก็พอ”
พูดจบเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อจนเสร็จ เมื่อคลุมผ้าใบและตรวจจนแน่ใจดีแล้วว่าไม่มีใครสามารถเปิดดูได้ง่ายๆ ทั้งคู่จึงเดินออกจากโกดังโดยสิทธิศักดิ์ขอแยกไปสั่งงานกับลูกน้องที่ทำงานล่วงเวลา ส่วนพิมมาดากลับขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นบนซึ่งตอนนี้ทุกคนกลับบ้านไปจนหมดแล้ว ทั้งสำนักงานจึงเหลือแค่เธอเพียงคนเดียว หลังจากจัดการกับเอกสารกองโตจนเสร็จ หญิงสาวจึงออกจากบริษัท เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็นรถโดยสารประจำทางจึงแออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คน เธอต้องรอจนกระทั่งถึงรถคันที่สามจึงจะพอแทรกขึ้นไปได้ ระหว่างเดินทางอยู่บนรถโดยสารหญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอพยายามทบทวนพนักงานไล่ไปทีละคนและส่ายหน้าเพราะพวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรร้ายกาจอย่างขโมยยาของบริษัทเลย ระหว่างที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในหัว
“ระวัง!”
พิมมาดาสะดุ้งสุดตัวและหันมองไปรอบข้าง สายตาสะดุดที่วัยรุ่นคนหนึ่ง เขารีบก้มหน้าลงหลบพร้อมกับเดินเลี่ยงไปทางด้านหลัง สังหรณ์บางอย่างเตือนให้หญิงสาวสำรวจตัวเองเมื่อก้มลงมองกระเป๋าเธอจึงพบว่ามันถูกกรีดเป็นทางยาว
“ล้วงกระเป๋า!”
พิมมาดาพูดเสียงดังเป็นจังหวะที่รถประจำทางคันนั้นจอดป้ายพอดี วัยรุ่นที่เธอเห็นกระโดดลงจากรถและวิ่งหายไป ผู้โดยสารคนอื่นพากันมองด้วยความงุนงง พนักงานเก็บเงินจึงเข้ามาถาม
“มีอะไรหรือคุณ”
“ฉันถูกกรีดกระเป๋า” พิมมาดาตอบพร้อมกับรีบสำรวจสิ่งของภายในอย่างร้อนรน หลายคนมองดูด้วยความอยากรู้ หนึ่งในนั้นถาม
“มีอะไรหายไปหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวดึงกระเป๋าเงินออกมาพร้อมกับถอนใจอย่างโล่งอก
“เขาคงยังไม่ทันได้หยิบอะไรออกไป”เธอพูด พนักงานเก็บเงินจึงยักไหล่เหมือนเจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องชาชิน
“งั้นก็ดี” เขาหันไปทางหน้ารถพร้อมกับตะโกน”ไม่มีอะไรแล้วลูกพี่ ออกรถได้”
รถโดยสารแล่นออกจากป้ายอย่างปุบปับจนผู้โดยสารแทบจะหน้าคะมำ พิมมาดากำกระเป๋าสตางค์ในมือแน่น แม้จะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ้างแต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจมากกว่านั้นกลับเป็นคำเตือน แม้จะไม่ใช่เสียงดังอะไรมากนักแต่มันกลับแจ่มชัดเหมือนผู้พูดกำลังร้องกรอกอยู่ข้างหูของเธอ หญิงสาวแน่ใจว่าไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ด้านข้างและเธอก็ไม่ได้หูฝาดไป
เมื่อลงจากรถพิมมาดาแวะซื้อกับข้าวสำเร็จสองสามอย่างก่อนนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้าบ้าน ระหว่างที่วิ่งไปตามทาง หญิงสาวมองต้นไม้ที่เคลื่อนผ่านไปพลางคิดถึงเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นวนเวียนไปมา ช่วงที่นึกถึงคำเตือนในรถ สายตาก็เห็นเงาของอะไรบางอย่างไหววูบวาบไปตามต้นไม้ ตอนแรกพิมมาดาคิดว่ามันอาจจะเป็นเงาของเธอ แต่อาการวิ่งที่เคียงคู่ไปตลอดทางแม้จะเป็นในบริเวณที่ปราศจากแสงไฟทำให้หญิงสาวต้องจ้องด้วยความแปลกใจ เธอเพ่งสายตาเพื่อจะมองให้ชัดแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวเพราะจู่ๆมันก็หายวับไป
“อะไรน่ะ”
พิมมาดาพึมพำเป็นจังหวะเดียวกับที่รถที่เธอนั่งจอดตรงหน้าบ้านพอดี เมื่อชำระค่าโดยสารแล้วหญิงสาวจึงเดินเข้าบ้าน หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดการกับมื้อเย็นจนเสร็จเรียบร้อยเธอจึงเดินเข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ จากนั้นจึงกลับลงมาชั้นล่างและหยิบงานขึ้นมาทำ เวลาผ่านไปจนเธอเริ่มง่วงจึงปิดไฟเดินขึ้นห้องเพื่อเข้านอน เมื่อหญิงสาวหลับสนิทร่างสูงกำยำของภูธราก็ปรากฏขึ้น เขายืนมองใบหน้ายามหลับของพิมมาดาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ภูธราเฝ้าดูหญิงสาวอยู่เช่นนั้นกระทั่งแสงสีทองของอรุณรุ่งฉาบบนขอบฟ้า ร่างของภูตหนุ่มจึงจางหายไป
*/*/*/*/*/*
หนูพิมเริ่มพบกับปัญหาภายในบริษัทแล้ว ส่วนภูตสุดหล่อยังคงทำตัวแวบมาแวบไป แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันเนี่ย(อันนี้ผู้อ่านเขย่าคอมูนนี่ถาม)
มาคุยกันค่า ^0^/
คุณดารานิล - น่าจะเรียกว่าเข้าข่ายรักแรกพบนะคะ ^____^
คุณอสิตา – จำต้องยั้งใจค่ะเพราะภูตครามโดนตัวมนุษย์ไม่ได้ T.T
คุณหนอนฮับ – สมัยเด็กมูนนี่อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับผีป่ามาเยอะค่ะ เลยได้ไอเดียบางอย่าง ส่วนภูตครามนี่ลองคิดขึ้นมาเองค่ะ ^^
คุณpulala – ตอนนี้คงพอจะรู้แล้วนะคะ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามงานของมูนนี่ค่ะ
เช้าวันใหม่พิมมาดาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปทำงานตามปรกติ ระหว่างที่กำลังปิดกุญแจรั้วหญิงสาวก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงความเย็นจากลมกลุ่มหนึ่งพัดวูบผ่านร่าง เธอรีบเงยหน้าขึ้นและหันมองไปรอบตัวโดยหยุดสายตาไว้ที่มะตูมต้นใหญ่ริมคลอง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดก้าวออกจากต้นไม้แล้วหญิงสาวจึงถอนใจพร้อมกับบ่นพึมพำ
“คิดไปได้นะเรา ภูตครามจะเข้าไปอยู่ในต้นมะตูมได้ยังไง”
พูดจบเธอก็หย่อนกุญแจลงกระเป๋าและเดินไปตามทางที่รกครึ้มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เมื่อเห็นรถจักยานยนต์รับจ้างคันหนึ่งวิ่งผ่านมาหญิงสาวจึงรีบร้องเรียกเพื่อโดยสารออกไปยังปากซอย เมื่อถึงถนนใหญ่แล้วจึงขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยังบริษัทของเธอ
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง พนักงานทุกคนต่างหันมามองพิมมาดาเป็นตาเดียว ฤทธิ์ซึ่งปรกติจะเป็นคนพูดจาสนุกสนานเฮฮาอยู่ตลอดเวลารีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“พี่พิมเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“อะไรนะ”พิมมาดาทำหน้างงและไล่สายตามองทุกคนในห้อง ฤทธิ์จึงพูดต่อ
“ก็ที่หกล้มเมื่อวานไงครับ”
“อ๋อ”คราวนี้หญิงสาวหันไปมองนิลเนตรที่กำลังจัดเอกสารลงแฟ้ม อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมา
“ฉันเล่าเรื่องที่เราเจอเมื่อวานให้ทุกคนฟังน่ะ”
เพื่อนสาวรีบบอก พิมมาดาถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะหันไปตอบพนักงานรุ่นน้อง
“แค่หัวเข่าถลอกนิดหน่อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
“แต่ก็โชคดีนะคะที่คุณพิมไม่ได้เป็นอะไร” ป้าแช่ม แม่บ้านผู้รับทำงานจิปาถะประจำบริษัทพูดขึ้นมาบ้าง หลายคนพยักหน้าเป็นทำนองเห็นด้วยในขณะที่สิทธิศักดิ์พูดเสียงเรียบ
“แต่ผมสะใจที่คนร้ายสองคนนั่นตาย”
“นั่นสิ แบบนี้เขาเรียกว่ากรรมทันตา คุณพิมเป็นคนดีผีสางเทวดาเลยลงมาช่วย หมดเคราะห์หมดโศกกันไปแล้วล่ะค่ะ”
ป้าแช่มพูดเสริมตามความเชื่อของตน ความรักนับถือในตัวพิมมาดา ทำให้เธอรีบพนมมือขึ้นและหันไปไหว้หิ้งพระที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องพร้อมกับกล่าวอะไรออกมาสองสามคำซึ่งหญิงสาวพอจะฟังออกว่ามันเป็นคำเรียกขวัญของชาวเหนือ คำพูดและความห่วงใยของพนักงานบริษัทที่มีต่อพิมมาดาสร้างความขัดใจให้นงนภัสที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่หน้าห้องนายองอาจเป็นอย่างมาก เธอแบะปากและสะบัดหน้าไปทางอื่นพร้อมกับพูด
“ฉันว่าเป็นตัวซวยมากกว่า”
นิลเนตรชะงักงานที่กำลังทำทันทีและหันไปถามเสียงกระด้าง
“หมายความว่ายังไงคุณนงนภัส”
นงนภัสมองเธอด้วยหางตาและปรายไปทางพิมมาดา
“แหม จะให้หมายความว่ายังไงล่ะคะคุณเลขาฯ ลองคิดดูให้ดีถ้าเจ้าผู้ร้ายสองคนนั้นไปวิ่งราวคนอื่นก็คงจะรอด แต่เพราะดวงซวย มากระชากกระเป๋าจากตัวซวย ความซวยมันก็เลยพุ่งเข้ามาหาจนตายคาที่ไปทั้งสองคน”
การพูดแบบลอยหน้าลอยตากับน้ำเสียงที่เน้นย้ำตรงคำว่า ซวย โดยเฉพาะทำให้นิลเนตรถึงกับเดือดขึ้นมา
“พูดแบบนี้ไม่สวยเลยนะคุณนงนภัส”
“ฉันแค่พูดความจริง จะสวยหรือไม่สวยก็แล้วแต่คนจะคิด” อีกฝ่ายทำเป็นเมินมองไปทางด้านอื่นเหมือนไม่ใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองพูดเท่าใดนัก นิลเนตรขยับเตรียมจะต่อว่าแต่พิมมาดากลับแตะแขนของเธอเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
“ช่างเขาเถอะ”
“แต่ยายนั่นกำลังว่าเธอ” เลขานุการสาวพูดด้วยความโมโห พิมมาดายิ้มอย่างใจเย็น
“ก็อย่างที่เขาบอก ทุกอย่างแล้วแต่คนคิด ถ้าเรารับเราก็เป็นอย่างที่เขาพูด แต่ถ้าไม่ใช่” หญิงสาวเลื่อนสายตาไปทางนงนภัสและกล่าวต่อด้วยเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงความคมเหมือนจะเชือดคนฟัง
“คนพูดนั่นแหละที่เป็น”
นงนภัสหันขวับมามองตาวาว ในขณะที่ฤทธิ์ทุบโต๊ะระรัวพร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“สุดยอดไปเลยพี่พิม”
พนักงานรุ่นน้องหัวเราะงอหายจนนิลเนตรกลัวว่าเขาจะขาดใจตายไปเสียก่อน โชคดีที่นายองอาจก้าวเข้ามาในห้อง ฤทธิ์จึงหยุดและรีบเดินไปทำหน้าที่ของตนส่วนพิมมาดายกมือไหว้เจ้าของบริษัทอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
นายองอาจพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึมและขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อนงนภัสโผเข้าไปกอดแขนพร้อมกับออดอ้อน
“มาช้าจังเลย รถติดเหรอคะ”
“พอดีผมแวะทำธุระอะไรนิดหน่อย” นายองอาจตอบและมองนิลเนตรที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดเรียงเอกสาร “เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะ คุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“เรื่องไร้สาระของพวกพนักงานน่ะค่ะ อย่าไปสนใจเลย” นงนภัสรีบพูดตัดบทและพยายามลากนายองอาจเข้าห้อง อีกฝ่ายฝืนตัวเล็กน้อยพร้อมกับพูด
“จะรีบไปไหนน่ะนง” น้ำเสียงเจือความรำคาญพลางดึงแขนออกจากการเกาะกุมของหญิงสาว “อ้อคุณนิล ผมอยากจะได้ผลประกอบการของเดือนนี้ ช่วยจัดการให้หน่อย แล้วโทร.ไปย้ำคุณเอกภพด้วยว่าเรามีนัดกันพรุ่งนี้บ่ายสาม”
“ค่ะ”นิลเนตรรับคำพร้อมกับบันทึกคำสั่งทั้งหมดลงสมุดและรีบเดินตรงไปที่ห้องของ
พิมมาดาเพื่อขอเอกสารตามที่เจ้านายต้องการ ทางด้านนายองอาจเมื่อสั่งงานเลขานุการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องโดยมีนงนภัสก้าวตามไปด้วยเหมือนเงาตามตัว ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง หญิงสาวจึงเริ่มออดอ้อนทันที
“คุณองอาจขา เมื่อกี้นิลเนตรกับพิมมาดาชวนพนักงานบริษัทคุยค่ะ”
“ไม่เห็นแปลก พวกเขาทำงานด้วยกัน ก็ต้องคุยกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา” นายองอาจพูดพลางดึงแฟ้มงานมาเปิด นงนภัสกระแทกลมหายใจออกมาค่อนข้างแรง
“แต่นี่มันเป็นเวลางานนะคะ ทำแบบนี้เหมือนหาเรื่องอู้กันชัดๆ”
“อย่าคิดมากไปหน่อยเลยนง”เสียงนายองอาจออกแนวเบื่อหน่ายมากกว่าความรำคาญขณะไล่สายตาดูเอกสารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ นงนภัสเม้มปากเล็กน้อยก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะ
“แต่พวกเขาว่านงด้วยนี่คะ”
“เขาว่าอะไรคุณ” อีกฝ่ายถามทั้งที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่ตัวเลขบนกระดาษ เมื่อเห็นหญิงสาวทำเป็นอิดเอื้อนเหมือนไม่อยากจะพูดนายองอาจจึงเงยหน้าขึ้น “ทำไมไม่พูดล่ะ”
“ก็นงไม่อยากบอก เดี๋ยวคุณองอาจจะโกรธ”
“ผมจะไปโกรธอะไรคุณ” นายองอาจปิดแฟ้มและเลื่อนไปกุมมือนงนภัสอย่างเอาใจ “นิลเนตรเขาพูดว่ายังไง”
“ช่างมันเถอะค่ะ”นงนภัสแสร้งทำเป็นไม่สนใจและย้ายสะโพกจากโต๊ะลงไปนั่งบนตักนายองอาจ”นงว่าเราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า”
“งั้นคุยเรื่องอะไรดี” เจ้าของบริษัทถาม อีกฝ่ายเอียงหน้าเพื่อให้ดูน่ารักก่อนทำเสียงอ้อน
“เมื่อวานนงไปเดินห้าง เจอกระเป๋าใบนึงสวยถูกใจ” เธอเอนตัวลงซบอกนายองอาจ”ครั้นจะซื้อก็เงินไม่พอ นงงี้เสียดายแทบตาย”
“งั้นเย็นวันนี้เราไปซื้อด้วยกัน ว่าแต่กระเป๋านั่นมันใบละเท่าไหร่”
“สองหมื่นเองค่ะ” นงนภัสจีบปากจีบคอพูดแต่นายองอาจกลับทำตาโต
“สองหมื่น!” เขาทวนคำเสียงดังลั่น “กระเป๋าอะไรทำไมมันแพงขนาดนั้น”
“ก็มันเป็นของต่างประเทศนี่คะ แต่ถ้าคุณองอาจคิดว่ามันแพงก็ไม่เป็นไร นงไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ค่ะ”
พูดพลางทำเป็นลุกขึ้นเดินหนีอย่างเง้างอน นายองอาจส่ายหน้าพร้อมกับถอนใจ
“ในเมื่อคุณอยากได้ผมก็จะซื้อให้ แต่แค่กระเป๋าใบเดียวเท่านั้นนะ”
นงนภัสรีบถลาเข้าไปกอดเขาทันทีพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาข้างละหนึ่งฟอดเพื่อเป็นการเอาใจ
“แค่นั้นก็ได้ค่ะ แต่นงขออะไรอีกนิดได้ไหมคะ” เธอเอียงคอทำเสียงหวาน เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองด้วยสายตาเชิงถามจึงรีบพูด “เย็นนี้คุณต้องทานข้าวกับนง”
“อ๋อ ได้สิ” นายองอาจพูดอย่างอารมณ์ดี นงนภัสยิ้มกว้างและทำท่าจะซบเขาอีกครั้งแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เธอรีบขยับถอยออกไปนั่งที่เก้าอี้อย่างไม่ค่อยพอใจนักและยิ่งชักสีหน้าบูดบึ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นพิมมาดาก้าวเข้ามาในห้อง
“มีเรื่องด่วนค่ะ” เธอพูดแค่นั้นแล้วหยุดนิ่ง นายองอาจขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายปรายตาไปทางนงนภัสเขาจึงผงกศีรษะ
“ไปนั่งเล่นข้างนอกก่อนนะนง”
หญิงสาวทำท่าจะแย้งแต่เมื่อเห็นสีหน้าของนายองอาจแล้วเธอจึงลุกพรวดก้าวสะบัดออกจากห้องไปโดยไม่ลืมส่งสายตาอาฆาตมายังพิมมาดา เมื่อเห็นนงนภัสออกไปแล้วนายองอาจจึงชี้ไปที่เก้าอี้เชิญให้เธอนั่ง
“มีอะไรหรือคุณพิม”
“เมื่อครู่คุณกรเทพโทร.มาค่ะ”เธอรีบรายงาน”เขาปฏิเสธการชำระเงินงวดล่าสุดด้วยเหตุผลว่า ได้รับสินค้าไม่ครบตามจำนวน”
“เป็นไปได้ยังไง เราส่งของให้เขาครบตามที่สั่ง มีหลักฐานยืนยันทั้งใบส่งของและใบรับ คนของเขาก็ตรวจนับจำนวนสินค้าเองด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ดิฉันได้ชี้แจงไปตามที่ท่านพูด แต่ทางนั้นยืนยันมาว่า สินค้าไม่ครบ”
“บริษัทของเราไม่เคยบกพร่อง ผมไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” เขามองหญิงสาว
”คุณช่วยไปหาเอกสารยืนยันการรับสินค้าให้หน่อยว่าทางนั้นรับสินค้าเราไปครบทุกอย่าง และนำมาให้ผมดูด้วยจะได้โทร.ไปยืนยันกับคุณกรเทพอีกครั้ง”
“ดิฉันจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ”พิมมาดาพูดพลางวางแฟ้มเอกสารชุดหนึ่งลงบนโต๊ะ “ทุกอย่างถูกต้องครบตามจำนวน แต่พอแจ้งกลับไปทางนั้นก็ตอบมาว่า จำนวนกล่องครบ แต่ตัวยาข้างในหายไป”
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณกรเทพจะใช้เหตุผลแบบนั้นมาเป็นข้ออ้าง”นายองอาจพูดพลางอ่านเอกสารตรงหน้า”จำนวนเงินไม่คุ้มกับชื่อเสียงของบริษัทเลยด้วยซ้ำ”
“ตอนแรกฉันก็คิดแบบเดียวกับคุณองอาจ แต่พอคุณกรเทพวางสายไปไม่นาน บริษัทอื่นก็โทร.เข้ามาขอระงับการชำระเงินด้วยเหตุผลเดียวกัน”
นายองอาจเลิกคิ้วทำตาโต
“นอกจากคุณกรเทพแล้วยังมีบริษัทอื่นอีกด้วยหรือ” คิ้วขมวดเข้าหากันก่อนจะถามประโยคต่อไป”ทั้งหมดกี่ราย”
“เฉพาะตอนนี้มีแจ้งเข้ามาแล้วแปดบริษัท ทุกบริษัทยืนยันเหมือนกันว่าได้รับยาไม่ครบ มีอยู่สองที่ระบุว่ากล่องบรรจุภัณฑ์ไม่เรียบร้อย มีร่องรอยเหมือนถูกงัดแงะ พอเปิดออกดูจึงพบว่ายาที่อยู่ในนั้นหายไป”
คราวนี้นายองอาจถึงกับนิ่ง นิ้วอูมเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด
“ยาหายไป”เขาทวนคำและยกมือขึ้นลูบคาง”จะบอกว่าเป็นการสร้างเรื่องเพื่อที่จะไม่ชำระเงินก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคุณกรเทพติดต่อค้าขายกับเรามานาน แถมยังเคยชำระเงินล่วงหน้าทั้งที่ของยังไม่เข้ามาด้วยซ้ำ ส่วนบริษัทอื่นก็ไม่เคยตุกติกเรื่องการชำระเงิน”
เขาพลิกกระดาษดูตัวเลขจำนวนเงินและพูดเบาๆ
“แค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรวมตัวกันเพื่อโกงบริษัทของเรา”
นายองอาจปิดแฟ้มและนิ่วหน้า
“หมายความว่ายาหายไปจริง แต่มันถูกดึงออกไปตอนไหนและใครเป็นคนทำ”เขามองหญิงสาว”แล้วพวกเขาบอกหรือเปล่าว่าเป็นยาชนิดไหน”
พิมมาดาส่งกระดาษอีกแผ่นให้กับเขา เมื่อเปิดออกอ่าน คิ้วของนายองอาจก็ขมวดเข้าหากันทันที
“เป็นยานำเข้าราคาแพงทั้งนั้น”
“ค่ะ และมีแค่สามชนิดนี่เท่านั้นที่หาย”
“แสดงว่าคนที่เอาไปต้องรู้จักยาดีพอสมควร และต้องรู้ด้วยว่าจะต้องเอาไปขายที่ไหน”นายองอาจพูดพลางพับกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อและพูดอย่างเคร่งขรึม”ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นฝีมือของคนในบริษัทเรา”
นายองอาจค่อยๆรวบรวมความคิด
“เอาอย่างนี้ คุณลงไปที่โกดังและลองสุ่มตรวจดูว่ามีอะไรหายไปบ้าง ผมรู้ว่ามันไม่ใช่หน้าที่แต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ผมไว้ใจ ถ้ายาในโกดังหายแสดงว่าเป็นฝีมือของพนักงานในบริษัท แต่ถ้าไม่ใช่ก็หมายความว่ามีการลักลอบขนย้ายกันระหว่างการขนส่งซึ่งผมจะจัดการในส่วนนั้นอีกที ตอนนี้ขอให้คุณยืนยันให้ได้ก่อนว่ายาหายไปจากเราหรือเปล่า”
“ค่ะ” พิมมาดารับคำสั้นๆ นายองอาจนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ยังไม่ต้องบอกเรื่องนี้ให้ใครฟังนะคุณพิม และระหว่างการตรวจพยายามใช้คนให้น้อยที่สุดคอยสังเกตให้ดีว่าคนที่มาช่วยแสดงอาการยังไง ทราบผลเมื่อไหร่รายงานผมได้ทันที”
“ค่ะ”
พิมมาดารับคำพร้อมกับพยักหน้า เสียงเคาะประตูห้องทำให้นายองอาจดันแฟ้มกลับไปทางหญิงสาวเหมือนจะบอกให้เธอนำไปเก็บจากนั้นจึงรีบเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับพูด
“เข้ามาได้”
นิลเนตรเปิดประตูอย่างระวังพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัยก่อนก้าวเข้ามาในห้อง พิมมาดาจึงลุกขึ้น
“งั้นฉันขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
นายองอาจพยักหน้ารับ หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้กับเพื่อนก่อนก้าวออกจากห้องในขณะที่
นิลเนตรวางแฟ้มอีกชุดลงบนโต๊ะ
“ผลประกอบการของเดือนนี้ค่ะ”เธอวางเอกสารลงบนโต๊ะและเปิดสมุดนัดรายงาน”คุณเอกภพ ขอเลื่อนนัดขึ้นมาเป็นบ่ายสองโมงครึ่ง สถานที่เดิม”
“ขอบคุณมาก” นายองอาจกล่าวพลางหยิบแฟ้มมาเปิดและร้องเรียกเลขานุการสาวซึ่งกำลังเดินออกจากห้อง”อ้อคุณนิล”
เธอหมุนตัวหันกลับมาแต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามเจ้านายก็เป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน
“พยายามอย่าไปต่อปากต่อคำกับนงนภัสเขาให้มากนัก ผมขี้เกียจฟังแล้วก็ไม่อยากเสียเงินซื้อของแพงแบบไร้สาระ”
นิลเนตรยิ้มแหยและก้มศีรษะลง
“ค่ะคุณองอาจ ต่อไปดิฉันจะระวัง ต้องการอะไรอีกไหมคะ” ประโยคสุดท้ายเธอถามตามหน้าที่เลขานุการที่ดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าหญิงสาวจึงก้าวออกจากห้องและเดินตรงไปยังโต๊ะของเธอแต่แทนที่จะได้ทำงานนิลเนตรกลับพบว่านงนภัสกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ของเธอพร้อมกับเปิดสมุดบันทึกอ่านอย่างถือวิสาสะ แม้จะโกรธแต่คำเตือนของนายองอาจทำให้เลขาฯสาวจำต้องข่มใจระงับอารมณ์พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ขอโต๊ะคืนด้วยค่ะคุณนง”
อีกฝ่ายตวัดหางตาขึ้นมามองและลดกลับลงไปอ่านข้อความในบันทึกอย่างไม่สนใจ นิลเนตรถึงกับเดือดปุดๆเหมือนกาต้มน้ำบนเตา
“ดิฉันต้องรีบทำรายงานส่งคุณองอาจ กรุณาไปนั่งโต๊ะอื่นได้ไหมคะ”
น้ำเสียงสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ นงนภัสจึงปิดสมุดและแกล้งขยับย้ายไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ใกล้กันและยกขาขึ้นไขว้ในมาดคุณนายโดยเจตนาหันปลายเท้ามาทางนิลเนตร เธอพยายามนับถึงร้อยก่อนเปิดลิ้นชักหยิบงานขึ้นมาทำ
“คอแห้งจัง ขอกาแฟหน่อยสิ”
เสียงนงนภัสดังขึ้น นิลเนตรเหลือบตามองแต่ทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายจึงกอดอกพร้อมกับพูดเสียงดังมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ได้ยินหรือไง”
ทุกคนหันมามองนงนภัสเป็นตาเดียว นิลเนตรเม้มปากเล็กน้อยเพื่อข่มความโกรธก่อนเงยหน้าขึ้น
“ดิฉันกำลังทำงานอยู่ คงต้องรอสักครู่นะคะคุณนงนภัส”
“แต่ฉันอยากได้ตอนนี้” เสียงแว้ดขึ้นมาอย่างวางอำนาจและจ้องนิลเนตรอย่างเอาเรื่อง “เธอเป็นเลขาฯ มีหน้าที่ชงกาแฟอยู่แล้วนี่”
“คุณนงคงเข้าใจอะไรผิด เลขานุการมีหน้าที่จัดการงานด้านเอกสารและธุระการต่างๆให้กับเจ้านาย ไม่มีหน้าที่ชงกาแฟให้กับใคร หรือถ้าจะต้องบริการของว่างเคร่องดื่มก็คงต้องบริการให้กับเข้านายหรือแขกของเจ้านายเท่านั้น แล้วคุณนงละคะเป็นตัวอะไร อุ๊ย! ขอประทานโทษค่ะ คุณนงเป็นใครคะ”
นิลเนตรบรรยายตอบชัดถ้อยชัดคำ นงนภัสขยับนั่งตัวตรงและมองเธออย่างโกรธจัด
“เธอเป็นลูกจ้างของคุณองอาจ และฉันเป็นอันดับสองรองจากเขา ฉันมีสิทธิที่จะออกคำสั่งกับใครก็ได้”
“ในทางปฏิบัติ คุณไม่มีตำแหน่งอะไรในบริษัท ในเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวคุณอาจทำอย่างนั้นได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง เอาเป็นว่าถ้าตอนนี้คุณอยากดื่มกาแฟ ฉันจะหาคนจัดการให้”
เธอมองไปยังด้านหลังบริเวณทางไปห้องน้ำของพนักงานและร้องเรียก
“ป้าแช่ม”
“ขาคุณนิล” แม่บ้านขานรับพร้อมกับก้าวออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่มือข้างหนึ่งยังถือแปรงทำความสะอาดเอาไว้ “มีอะไรหรือคะ”
“คุณนงนภัสคอแห้งอยากได้กาแฟสักถ้วย”
“ได้เลยค่ะ แต่ขออิฉันล้างมือล้างไม้ให้เรียบร้อยก่อน”
“คุณนงเขาหิวมาก รีบมาจัดการเดี๋ยวนี้เลย” นิลเนตรพูด ป้าแช่มหยุดยืนนิ่งด้วยความงงงัน ส่วนนงนภัสลุกพรวดขึ้นและแผดเสียงลั่น
“จะมากไปแล้วนะ!”
“คะ”เธอเลิกคิ้วข้างหนึ่งเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆบรรจงตอบว่า”คุณนงอยากดื่มกาแฟฉันก็จัดให้ ยังไม่พอใจอะไรอีก”
นิลเนตรพูดอย่างใจเย็น นงนภัสแทบจะเต้นเร่าๆด้วยความโกรธแต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเถียงเสียงนายองอาจก็พูดขัดขึ้น
“ออกไปดื่มข้างนอกกับผมก็ได้”
นงนภัสหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยส่วนนิลเนตรซึ่งถือว่าตัวเองไม่มีความผิดและทำตามที่เจ้านายสั่งทุกประการยังคงนั่งนิ่ง นายองอาจจึงวางกระดาษแผ่นเล็กลงตรงหน้าเธอพร้อมกับสั่ง
“โทร.ไปบอกคุณนวลตามนี้ด้วย”
“ค่ะเจ้านาย”
หญิงสาวรับคำ นายองอาจจึงเดินตรงไปที่ประตู ระหว่างนั้นพิมมาดาเดินสวนออกมาจากห้องพอดี ผู้เป็นนายจึงกำชับเสียงเรียบ
“ได้เรื่องยังไงโทร.ไปบอกผมด้วย”
พิมมาดาก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวรับคำ
“ค่ะ”
สั่งเสร็จเจ้าของบริษัทเกียรติตระกูลเจริญจึงเดินออกจากห้องโดยไม่สนใจว่าใครจะตามทันหรือไม่ นงนภัสหันไปส่งสายตายะโสให้กับนิลเนตรก่อนคว้ากระเป๋าและรีบวิ่งตามออกไปพร้อมกับร้องเรียก
“คุณองอาจขารอด้วยค่ะ”
เสียงรองเท้าส้นสูงที่ห่างออกไปทำให้พนักงานทุกคนถอนใจเฮือกออกมาพร้อมกัน ฤทธิ์หันมายกนิ้วหัวแม่โป้งให้กับนิลเนตรอย่างชื่นชม
“สุดยอดครับคุณนิล”
หญิงสาวเอนตัวพิงพนักพร้อมกับระบายลมหายใจออกมา พิมมาดาถามด้วยความสงสัย
“มีอะไรกันเหรอ”
“คุณนิลชนะน็อคเอาท์จากศึกปะทะคารมกับคุณนงนภัสน่ะครับ” พนักงานรุ่นน้องรายงานเจื้อยแจ้วหน้าตาหมื่นทะเล้นจนนิลเนตรต้องหันไปถลึงตาใส่พร้อมกับพูดเสียงดุ
“มากไปนายฤทธิ์ ฉันแค่บอกปัดไม่ชงกาแฟให้เขาเท่านั้น”
ฤทธิ์พูดขัดขึ้น
“นี่ขนาดบอกปัดเรื่องกาแฟนะครับ”
“แล้วคุณนงนภัสไม่โกรธแย่เหรอ” พิมมาดาถาม เด็กหนุ่มจึงตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“จะเหลือหรือครับ โกรธจนแทบจะลงไปนอนดิ้น ดีว่าคุณองอาจออกมาห้ามศึกซะก่อนเรื่องเลยจบ แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายเหมือนกันเพราะมวยดีๆแบบนี้หาดูยาก”
ฤทธิ์ทำท่าจะสาธยายต่อแต่นิลเนตรรีบยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับออกคำสั่ง
“ไปทำงานของเธอได้แล้ว”
“ครับผม” พนักงานหนุ่มลากเสียงล้อเลียนและรีบเดินออกจากห้อง พิมมาดามองเพื่อนแล้วส่ายหน้า
“ถึงจะไม่ชอบแต่นงนภัสเขาเป็นคนของคุณองอาจ เธอไม่ควรไปต่อปากต่อคำกับเขา”
“ก็แค่กวนประสาทนิดหน่อยเท่านั้น” นิลเนตรตอบอย่างไม่สนใจและมองพิมมาดาที่กำลังเดินออกจากห้อง”นั่นเธอจะไปไหนอีกน่ะพิม”
“ไปทำธุระข้างล่างนิดหน่อย ไว้ค่อยคุยกันตอนเที่ยง”
หญิงสาวร้องบอกขณะก้าวลงไปตามขั้นบันได นิลเนตรขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของเจ้านายที่กล่าวกับพิมมาดาก่อนออกจากห้อง เธอจึงเข้าใจในทันทีว่าเขาคงมอบหมายให้เพื่อนของเธอทำงานบางอย่าง เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเลขานุการสาวจึงหยิบปากกาและเปิดแฟ้มเอกสารเพื่อทำงานในส่วนของเธอต่อ
ทางด้านพิมมาดาเมื่อลงมายังชั้นล่างแล้วจึงเดินตรงไปยังโกดังเก็บสินค้าซึ่งอยู่ทางด้านหลัง พนักงานที่กำลังตรวจนับกล่องยาหันมาเห็นเข้าจึงร้องทัก
“คุณพิม มีอะไรเหรอครับ”
หญิงสาวสั่นศีรษะและยังคงก้าวต่อไป สิทธิศักดิ์เห็นดังนั้นจึงรีบเดินมาหาพร้อมกับถาม
“มีอะไรหรือครับคุณพิม”
พิมมาดามองเขาอย่างชั่งใจก่อนพูดในสิ่งที่เตรียมมา
“ลูกค้าแจ้งมาว่าสินค้าชุดหลังมีปัญหาเล็กน้อย คุณองอาจเลยสั่งให้พิมลงมาดู”
คำพูดของเธอทำให้หัวหน้าฝ่ายสินค้านิ่วหน้าด้วยความสงสัยพร้อมกับถาม
“แล้วเขาบอกหรือเปล่าครับว่าเป็นปัญหาอะไร”
“ยาบางกล่องได้รับความชื้นจนเสียหาย ฉันเลยอยากลงมาตรวจดูให้แน่ใจว่ามาจากการเก็บของเราหรือเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง”
สิทธิศักดิ์นิ่งฟังอย่างตั้งใจและผงกศีรษะรับ เขาหมุนตัวเดินนำหญิงสาวเข้าไปด้านในโกดังพร้อมกับถาม
“ยาชุดไหนเหรอครับ”
พิมมาดาไม่ตอบแต่กลับไล่สายตาอ่านรายชื่อตัวยาที่ระบุอยู่บนกล่องกระทั่งถึงกลุ่มตัวยาที่ได้รับแจ้งเธอจึงหยุด
“ชุดนี้ค่ะ” พูดพลางแสร้งทำเป็นเงยหน้าขึ้นดูเพดาน “หลังคาก็ไม่มีรอยรั่ว ไม่เข้าใจเลยว่ามันชื้นได้ยังไง”
“นั่นสิครับ” สิทธิศักดิ์พูดพลางยกลังยาใบหนึ่งลงมาวางและพลิกดูอย่างละเอียด”ไม่มีร่องรอยอะไรสักนิด ผมว่าน่าจะเกิดจากทางลูกค้ามากกว่า”
“ฉันเองก็คิดแบบนั้น แต่เราต้องมีหลักฐานมายืนยันว่าไม่ใช่ความผิดจากทางบริษัทของเรา ไม่อย่างนั้นทางโน้นจะไม่ยอมจ่ายเงิน”
พิมมาดาพูดด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง สิทธิ์ศักดิ์ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น
“งั้นก็เรื่องใหญ่” เขาทำท่าคิด”เอาอย่างนี้ดีไหมครับ เพื่อความแน่นอนผมจะยกลังลงมาตรวจทุกใบ” เขาหยุดและยกมือขึ้นเพื่อเรียกลูกน้องที่อยู่แถวนั้นแต่พิมมาดารีบห้าม
“แค่ยาไม่กี่ลังเราทำกันเองก็ได้ อย่าไปกวนพวกเขาเลย”
สิทธิ์ศักดิ์มองเธออย่างแปลกใจแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ทั้งคู่ช่วยกันตรวจยาทีละลังอย่างละเอียดกระทั่งถึงใบที่อยู่เกือบล่างสุด หัวหน้าแผนกสินค้ายกมันขึ้นและขมวดคิ้ว
“แปลกแฮะ”
“อะไรหรือคะ”พิมมาดาถาม สิทธิศักดิ์เขย่าลังสองสามครั้งก่อนตอบ
“ยาลังนี้มันเบาผิดปรกติ” เขาวางมันลงและมองอย่างพิจารณา หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกับพูด
“คุณยกมาหลายลังแล้ว อาจจะคุ้นกับน้ำหนักของมันเลยทำให้คิดว่าพวกที่เหลือเบาขึ้นกว่าเดิม”
“ผมทำงานที่นี่มานานจำน้ำหนักของยาแต่ละชนิดได้ดี”สิทธิศักดิ์พูดพลางไล่มือไปบนกระดาษกาวที่ปิดฝาลัง หญิงสาวมองตามด้วยความสนใจ
“มีอะไรหรือคะ”
“กระดาษนี่เคยถูกเปิด” อีกฝ่ายพูดพลางใช้เล็บสะกิดกระดาษด้านหนึ่งเบาๆ มันหลุดออกมาอย่างง่ายดาย พิมมาดายืนนิ่งในทันทีขณะที่สีหน้าของสิทธิศักดิ์เคร่งเครียดขึ้น
“มีคนเปิดลังใบนี้และใช้กาวทาปิดทับเอาไว้อย่างเดิม” เขาพูดพลางลอกกระดาษออกและเปิดฝาลังดู สิ่งที่อยู่ภายในทำให้เขานิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเพราะแทนที่จะมีกล่องยาขนาดเล็กอัดแน่นอยู่เต็ม กลับมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง
“ยาหายไป”
สิทธิศักดิ์หลุดปากพูดออกมา พิมมาดารีบแตะมือของเขาเอาไว้
“อย่างพูดดังไปคุณสิทธิศักดิ์”เธอกวาดตามองรอบตัวอย่างระวังและปิดลังยาให้เรียบร้อยเหมือนเดิม หัวหน้าแผนกสินค้ามองหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไม”เขานิ่งไปเล็กน้อยและมองหน้าหญิงสาว ประกายตาของเธอทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ยาชื้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่เธอใช้เพื่อเข้ามาตรวจนับจำนวนของยา
”คุณรู้อยู่แล้ว”
พิมมาดาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมพลางลดสายตาลงมองลังยาที่พร่องไป
“ต้องขอโทษที่ไม่บอกความจริงกับคุณตั้งแต่ทีแรก มันเป็นคำสั่งของคุณองอาจ ท่านไม่อยากให้พนักงานรู้ตัวเพื่อความสะดวกในการสืบหาว่ายาถูกขโมยไปตอนไหน”
“แล้วทำไมคราวนี้คุณถึงยอมบอกผม”สิทธิศักดิ์ถาม หญิงสาวจึงมองหน้าเขา
“บอกตามตรงว่าครั้งแรกฉันก็ไม่ไว้ใจคุณเหมือนกัน แต่พอเห็นหน้าคุณตอนที่รู้ว่ายาในลังหายไป ฉันถึงแน่ใจว่าคุณไม่ได้เป็นคนขโมย”
เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“ต้องขอโทษด้วยที่สงสัยคุณในตอนแรก”
“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ” หัวหน้าแผนกสินค้าพูดพลางก้มหน้าลงมองต้นเหตุของปัญหา “แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
“เราคงต้องตรวจยาทั้งหมดดูว่าลังไหนถูกเจาะไปแล้วบ้าง” เธอหยุดพูดและหันไปมองคนงานคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถบรรทุกลังยาออกไป”ก่อนอื่นเราต้องสั่งให้พนักงานทุกคนออกจากโกดัง คุณคงจะพอหาข้ออ้างได้ใช่ไหมคะ”
ประโยคสุดท้ายเธอหันมาถามสิทธิศักดิ์ เขาผงกศีรษะรับและเดินหายไปราวสิบนาที
พิมมาดาได้ยินเสียงพนักงานร้องบอกต่อกันจากนั้นประตูเหล็กก็เลื่อนปิดลง หัวหน้าแผนกสินค้าเดินกลับเข้ามาพร้อมกับพูด
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ความที่ทำงานด้วยกันมานานทำให้พิมมาดาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามว่าสิทธิศักดิ์ใช้เหตุผลอะไรกับลูกน้อง เธอมองลังยาที่ตั้งเรียงซ้อนกันจนสูงเลยหัว
“จะเริ่มตรงไหนก่อนดีครับ” เสียงหัวหน้าแผนกสินค้าถาม หญิงสาวดึงรายชื่อยาออกมาจากกระเป๋า
“แค่ยาสามกลุ่มนี้เท่านั้น”
สิทธิศักดิ์รับมาอ่านและพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นทั้งสองจึงไล่ตรวจยาภายในโกดังไปทีละลัง กระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงห้าโมงเย็นทุกอย่างจึงเสร็จสิ้นลง พิมมาดามองลังยามีปัญหาที่ถูกแยกออกมาวางไว้ต่างหากด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหนักใจ
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมากขนาดนี้”
หญิงสาวพึมพำก่อนจะดึงโทรศัพท์มือถือมากดหมายเลข เมื่อปลายสายรับเธอจึงรีบรายงานให้นายองอาจฟัง เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะออกคำสั่งกลับมา พิมมาดารับคำพร้อมกับปิดโทรศัพท์และหันหน้ากลับมาทางสิทธิศักดิ์
“คุณองอาจสั่งให้แยกยากลุ่มนี้ไปไว้ด้านหลังหาผ้าใบมาคลุมให้มิดชิดและสั่งห้ามพนักงานทุกคนเข้าใกล้จนกว่าจะตรวจนับเสร็จว่ายาหายไปเท่าไหร่”
“แต่พรุ่งนี้เราต้องส่งยาไปที่บริษัท...”
“คุณองอาจบอกว่าให้ดำเนินการไปตามปรกติ เพราะคนร้ายยังชะล่าใจว่าไม่มีใครรู้ ระหว่างนี้ขอให้คุณคอยสังเกตพฤติกรรมของแต่ละคนเอาไว้ให้ดี จับตาดูคนที่น่าสงสัยเอาไว้และรายงานให้ฉันหรือคุณองอาจทราบโดยเร็ว”
“เข้าใจแล้วครับ” สิทธิศักดิ์รับคำและเริ่มขนย้ายลังตามคำสั่ง เขาร้องห้ามเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะช่วยขน “ไม่ต้องหรอกครับคุณพิม ยาไม่กี่ลังผมคนเดียวก็พอ”
พูดจบเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อจนเสร็จ เมื่อคลุมผ้าใบและตรวจจนแน่ใจดีแล้วว่าไม่มีใครสามารถเปิดดูได้ง่ายๆ ทั้งคู่จึงเดินออกจากโกดังโดยสิทธิศักดิ์ขอแยกไปสั่งงานกับลูกน้องที่ทำงานล่วงเวลา ส่วนพิมมาดากลับขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นบนซึ่งตอนนี้ทุกคนกลับบ้านไปจนหมดแล้ว ทั้งสำนักงานจึงเหลือแค่เธอเพียงคนเดียว หลังจากจัดการกับเอกสารกองโตจนเสร็จ หญิงสาวจึงออกจากบริษัท เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็นรถโดยสารประจำทางจึงแออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คน เธอต้องรอจนกระทั่งถึงรถคันที่สามจึงจะพอแทรกขึ้นไปได้ ระหว่างเดินทางอยู่บนรถโดยสารหญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอพยายามทบทวนพนักงานไล่ไปทีละคนและส่ายหน้าเพราะพวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรร้ายกาจอย่างขโมยยาของบริษัทเลย ระหว่างที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในหัว
“ระวัง!”
พิมมาดาสะดุ้งสุดตัวและหันมองไปรอบข้าง สายตาสะดุดที่วัยรุ่นคนหนึ่ง เขารีบก้มหน้าลงหลบพร้อมกับเดินเลี่ยงไปทางด้านหลัง สังหรณ์บางอย่างเตือนให้หญิงสาวสำรวจตัวเองเมื่อก้มลงมองกระเป๋าเธอจึงพบว่ามันถูกกรีดเป็นทางยาว
“ล้วงกระเป๋า!”
พิมมาดาพูดเสียงดังเป็นจังหวะที่รถประจำทางคันนั้นจอดป้ายพอดี วัยรุ่นที่เธอเห็นกระโดดลงจากรถและวิ่งหายไป ผู้โดยสารคนอื่นพากันมองด้วยความงุนงง พนักงานเก็บเงินจึงเข้ามาถาม
“มีอะไรหรือคุณ”
“ฉันถูกกรีดกระเป๋า” พิมมาดาตอบพร้อมกับรีบสำรวจสิ่งของภายในอย่างร้อนรน หลายคนมองดูด้วยความอยากรู้ หนึ่งในนั้นถาม
“มีอะไรหายไปหรือเปล่าครับ”
หญิงสาวดึงกระเป๋าเงินออกมาพร้อมกับถอนใจอย่างโล่งอก
“เขาคงยังไม่ทันได้หยิบอะไรออกไป”เธอพูด พนักงานเก็บเงินจึงยักไหล่เหมือนเจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องชาชิน
“งั้นก็ดี” เขาหันไปทางหน้ารถพร้อมกับตะโกน”ไม่มีอะไรแล้วลูกพี่ ออกรถได้”
รถโดยสารแล่นออกจากป้ายอย่างปุบปับจนผู้โดยสารแทบจะหน้าคะมำ พิมมาดากำกระเป๋าสตางค์ในมือแน่น แม้จะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ้างแต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจมากกว่านั้นกลับเป็นคำเตือน แม้จะไม่ใช่เสียงดังอะไรมากนักแต่มันกลับแจ่มชัดเหมือนผู้พูดกำลังร้องกรอกอยู่ข้างหูของเธอ หญิงสาวแน่ใจว่าไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ด้านข้างและเธอก็ไม่ได้หูฝาดไป
เมื่อลงจากรถพิมมาดาแวะซื้อกับข้าวสำเร็จสองสามอย่างก่อนนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้าบ้าน ระหว่างที่วิ่งไปตามทาง หญิงสาวมองต้นไม้ที่เคลื่อนผ่านไปพลางคิดถึงเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นวนเวียนไปมา ช่วงที่นึกถึงคำเตือนในรถ สายตาก็เห็นเงาของอะไรบางอย่างไหววูบวาบไปตามต้นไม้ ตอนแรกพิมมาดาคิดว่ามันอาจจะเป็นเงาของเธอ แต่อาการวิ่งที่เคียงคู่ไปตลอดทางแม้จะเป็นในบริเวณที่ปราศจากแสงไฟทำให้หญิงสาวต้องจ้องด้วยความแปลกใจ เธอเพ่งสายตาเพื่อจะมองให้ชัดแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวเพราะจู่ๆมันก็หายวับไป
“อะไรน่ะ”
พิมมาดาพึมพำเป็นจังหวะเดียวกับที่รถที่เธอนั่งจอดตรงหน้าบ้านพอดี เมื่อชำระค่าโดยสารแล้วหญิงสาวจึงเดินเข้าบ้าน หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดการกับมื้อเย็นจนเสร็จเรียบร้อยเธอจึงเดินเข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ จากนั้นจึงกลับลงมาชั้นล่างและหยิบงานขึ้นมาทำ เวลาผ่านไปจนเธอเริ่มง่วงจึงปิดไฟเดินขึ้นห้องเพื่อเข้านอน เมื่อหญิงสาวหลับสนิทร่างสูงกำยำของภูธราก็ปรากฏขึ้น เขายืนมองใบหน้ายามหลับของพิมมาดาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ภูธราเฝ้าดูหญิงสาวอยู่เช่นนั้นกระทั่งแสงสีทองของอรุณรุ่งฉาบบนขอบฟ้า ร่างของภูตหนุ่มจึงจางหายไป
*/*/*/*/*/*
หนูพิมเริ่มพบกับปัญหาภายในบริษัทแล้ว ส่วนภูตสุดหล่อยังคงทำตัวแวบมาแวบไป แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันเนี่ย(อันนี้ผู้อ่านเขย่าคอมูนนี่ถาม)
มาคุยกันค่า ^0^/
คุณดารานิล - น่าจะเรียกว่าเข้าข่ายรักแรกพบนะคะ ^____^
คุณอสิตา – จำต้องยั้งใจค่ะเพราะภูตครามโดนตัวมนุษย์ไม่ได้ T.T
คุณหนอนฮับ – สมัยเด็กมูนนี่อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับผีป่ามาเยอะค่ะ เลยได้ไอเดียบางอย่าง ส่วนภูตครามนี่ลองคิดขึ้นมาเองค่ะ ^^
คุณpulala – ตอนนี้คงพอจะรู้แล้วนะคะ
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามงานของมูนนี่ค่ะ
![](/images/icons/guest.jpg)
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ย. 2555, 13:32:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ย. 2555, 13:32:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 1324
<< บทที่ 4 เงา | บทที่ 6 กลิ่นดอกมณฑา >> |
![](/images/icons/414.jpg)
![](/images/icons/916.jpg)
ดารานิล 9 ก.ย. 2555, 23:01:26 น.
เข้ามารอเวลาที่ท่านภูตจะจับตัวนางเอกได้ อิอิ
เข้ามารอเวลาที่ท่านภูตจะจับตัวนางเอกได้ อิอิ