ความทรงจำในผืนทราย(My Last Memory)
บทสวดแห่งความตายนำวิญญาณของฟาโรห์หนุ่มให้คืนชีพ
ทว่า แผ่นดินที่เขายืนอยู่หลังจากมีชีวิตอีกครั้ง กลับไม่ใช่อาณาจักรของตน
หากเป็นห้องพักของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
ความอลเวง วุ่นวายและภยันตราย
สร้างรักแท้ร้อยรัดมัดคุณหนูผู้เอาแต่ใจและฟาโรห์หนุ่มไว้ด้วยกัน
แต่เมื่อความทรงจำเริ่มเรียกหาบุรุษจากอดีตกาล
เธอจะทำเช่นไรเพื่อรักษาความรักนี้ไว้
ไม่ให้หายไปกับ....ผืนทราย
ทว่า แผ่นดินที่เขายืนอยู่หลังจากมีชีวิตอีกครั้ง กลับไม่ใช่อาณาจักรของตน
หากเป็นห้องพักของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
ความอลเวง วุ่นวายและภยันตราย
สร้างรักแท้ร้อยรัดมัดคุณหนูผู้เอาแต่ใจและฟาโรห์หนุ่มไว้ด้วยกัน
แต่เมื่อความทรงจำเริ่มเรียกหาบุรุษจากอดีตกาล
เธอจะทำเช่นไรเพื่อรักษาความรักนี้ไว้
ไม่ให้หายไปกับ....ผืนทราย
Tags: รัก,ฟาโรหื
ตอน: บทที่ 6 กาลเวลาที่ผันผ่าน (ท้ายบทมีการเล่นเกมส์เพื่อชิงหนังสือด้วยค่ะ)
บทที่ 6
กาลเวลาที่ผันผ่าน
“การรับน้องปีนี้จะไม่มีการออกไปนอกสถานที่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คณะของเราจะจัดกิจกรรมกระชับความสามัคคีระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องภายในมหาวิทยาลัย และต้องเลิกก่อนหนึ่งทุ่มทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของนักศึกษาทุกคน”
อาจารย์ประจำคณะโบราณคดีกล่าวเสียงเข้มและกวาดสายตามองหน้านักศึกษาของเขาคล้ายจะถามว่ามีผู้ใดข้องใจสงสัยในคำสั่งของตน เขาพยักหน้าเมื่อเห็นว่านักศึกษาทุกคนยังคงนั่งนิ่งคล้ายยอมรับในกฏข้อบังคับที่ได้กล่าวมา
“อาจารย์เข้าใจดีว่าการรับน้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักศึกษาอย่างพวกเธอ ความจริงอาจารย์เองก็ไม่อยากจะขัดขวางหรือห้ามกิจกรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานาน แต่อยากจะให้ทุกคนเข้าใจว่าน้องใหม่ทุกคนมาเข้าเรียนที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้และจบออกไปพร้อมกับอนาคต ลองคิดดูว่าผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นจะรู้สึกอย่างไรหากลูกของพวกเขาประสบเหตุการณ์อันไม่คาดฝันตั้งแต่วันแรกของการเข้ามาเรียน จริงอยู่ที่ทุกคนระมัดระวัง แต่อุบัติเหตุคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน พวกเธอทุกคนคงไม่อยากสำนึกเสียใจในภายหลังหากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับน้องๆใช่ไหม”
นักศึกษาที่นั่งฟังผงกศีรษะพร้อมกัน อาจารย์ของพวกเขาจึงกล่าวต่อไป
“อาจารย์ดีใจมากที่พวกเธอเข้าใจ และอาจารย์สัญญาว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องของพวกเธอตราบใดที่ทุกคนปฏิบัติตามกฏของมหาวิทยาลัย จงจำไว้ให้ดีว่าพวกเธอทุกคนคือปัจจุบันและอนาคตที่สำคัญ อย่าทำให้ชีวิตของทั้งพวกเธอและน้องใหม่กลายเป็นอดีตเพียงเพราะความรู้สึกสนุกชั่วแล่นเท่านั้น เลิกประชุมและแยกย้ายกันไปเรียนได้แล้ว”
อาจารย์ประจำคณะกล่าวสรุปก่อนจะเดินออกจากห้องประชุม นักศึกษาชั้นปีที่สามและสี่ต่างรวบรวมตำราเรียนและทะยอยออกจากห้องไปจนหมดเหลือไว้แต่เพียงนักศึกษาชั้นปีที่สองอย่างแป้งที่ยังคงนั่งรวมกลุ่มพูดคุยปรึกษากันต่อ
“นึกอยู่แล้วเชียวว่าอาจารย์ต้องไม่อนุญาตให้พวกเราออกไปรับน้องนอกสถานที่” ดาว นักศึกษาสาวที่มักจะคิดว่าตัวเองสวยที่สุดในคณะพูดขึ้น แก้วพยักหน้า
“ก็แน่ล่ะ ข่าวรับน้องสยองขวัญเยอะเหลือเกินนี่นา” เธอหันไปทางนักศึกษาชายที่ชื่อ
ธวัชชัยซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุดพลางเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกสงสัย
“นั่งเขียนอะไรนักหนานะติ่ง” แก้วบ่นพลางชะโงกหน้าไปมอง เพื่อนของเธอชะงักและขยับแว่นตา
“แผนงานการรับน้องไง” เขาชี้นิ้วไล่ไปบนสมุด “ไม่จำเป็นต้องออกนอกสถานที่ให้ลำบาก เรารับน้องกันในมหาวิทยาลัยนี่แถมยังมีกิจกรรมเพื่อสังคมอีกด้วย”
“กิจกรรมอะไรของนาย” ดาวถามเสียงห้วนเล็กน้อย ธวัชชัยกระตุกยิ้ม
“รอให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อนแล้วจะเรียกประชุม” เขาเก็บสมุดใส่กระเป๋าสะพายและเหวี่ยงมันพาดบ่า “ขอตัวกลับไปนอนคิดที่บ้านต่อนะ”
นักศึกษาหนุ่มก้าวยาวๆออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบโดยไม่สนใจเพื่อนที่กำลังมองหน้ากันไปมา แก้วบ่นด้วยความรู้สึกรำคาญแกมหมั่นไส้
“แผนการลับมากมายเหลือเกินนะท่านเจ้าคณะ” เธอประชดเสียงดัง เพื่อนๆต่างพากันหัวเราะและกล่าวคำอำลาก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน แป้งจัดแจงเก็บข้าวของของเธอใส่กระเป๋าและทำท่าจะลุกขึ้น
“วันนี้ก็รีบกลับเหรอปาน”
“อื้อ” แป้งตอบ “มีรายงานต้องรีบทำส่งอาจารย์นี่นา”
“รายงานเรื่องวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยน่ะเหรอ อีกตั้งสองวันถึงส่งจะรีบทำไปทำไมกันนักหนา ฉันว่าวันนี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่าเพราะยายแก้วบอกว่าจะเป็นเจ้ามือ”
“ฉันพูดเมื่อไหร่กันยะยายมน” เสียงแก้วแหวขึ้นมาแทบจะทันที เพื่อนของเธอยักไหล่พร้อมกับหลิ่วตา
“ตอนไหนก็ตอนนั้น”
“ก็ได้” แก้วแยกเขี้ยว “ฉันเลี้ยงไอศครีมส่วนเธอเลี้ยงส้มตำก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงนี่นา” มนเถียง แก้วหัวเราะแล้วหันไปทางแป้งที่กำลังยืนขึ้น
“เธอออกค่าเรือข้ามฟากให้พวกเราก็แล้วกันนะยายปาน”
แป้งอมยิ้มให้กับความขี้เล่นของเพื่อนทั้งสอง และพยักหน้าแทนการตอบ ทั้งสามเดินออกจากมหาวิทยาลัยและนั่งเรือข้ามฟากไปยังอีกฝั่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในตรอกชุมชนเก่าซึ่งบัดนี้กลายเป็นสถานที่ขายของชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เสียงคนขายของร้องเรียกลูกค้าเพื่อให้เข้าไปเลือกชมสินค้าของตนดังสับสนวุ่นวายจนแป้งรู้สึกปวดหัว แก้วและมนหยุดยืนที่ร้านขายสร้อยถักและเลือกซื้อสายสร้อยข้อมือที่มีกระพรวนสีทองขนาดเล็กคนละอัน แป้งมองเพื่อนทั้งสองแล้วถามด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ซื้อไปทำไมกันน่ะ ฉันไม่เคยเห็นเธอสองคนใส่ของแบบนี้เลยนี่”
“แหม ก็เก็บเอาไว้ให้น้องรหัสของเราไงล่ะ” แก้วตอบพลางเขย่ากระพรวนดังกรุ๋งกริ๋ง แป้งส่ายหน้า
“แล้วถ้าเธอได้น้องรหัสที่เป็นผู้ชายล่ะ เขาจะกล้าใส่ของแบบนี้เหรอ”
“รุ่นพี่ให้อะไรรุ่นน้องก็ต้องรับ ห้ามปฏิเสธโดยเด็ดขาด” มนตอบด้วยสีหน้าและท่าทางขึงขัง แป้งถึงกับถอนหายใจ
“ฉันชักเริ่มสงสารน้องรหัสของเธอสองคนเสียแล้วสิ”
แก้วยักไหล่และหันไปสั่งน้ำผลไม้ปั่นที่ตั้งอยู่ด้านข้าง มนรีบร้องสั่งตาม แป้งมองเพื่อนทั้งสองด้วยความรู้สึกสงสัย
“ดูเหมือนเธอสองคนจะชอบน้ำปั่นร้านนี้มากเลยนะ เห็นผ่านมาทีไรก็ต้องแวะทุกครั้ง”
“ก็น้ำปั่นร้านนี้มันอร่อยดีนี่นา” มนตอบ “แถมได้ออกรายการโทรทัศน์ด้วย”
“แต่ฉันชอบเพราะร้านนี้ไม่หวงของ” แก้วพูดขณะยื่นมือไปรับถ้วยน้ำผลไม้จากคนขายก่อนจะเดินเข้าไปในร้านส้มตำซึ่งอยู่ข้างๆ เธอร้องสั่งเมนูอาหารทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้
“ส้มตำปูม้าหนึ่ง ลาบ ไก่ย่างน้ำตกข้าวเหนียวสามกระติ๊บ”
“วันนี้ไม่รับตำปูปลาร้าด้วยหรือพี่” เสียงลูกสาวเจ้าของร้านที่ยืนหน้าครกตะโกนถาม มนส่ายหน้าทันที
“วันนี้ไม่เอา” มนตอบแทนก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูดน้ำผลไม้ปั่นอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเด็ดแล้วทั้งหมดจึงออกจากร้านโดยแป้งขอซื้อส้มตำไทยแบบไม่เผ็ดกับลาบไก่ไม่ใส่ตับไปอย่างละถุง เพื่อนของเธอมองหน้า
“อย่าบอกนะว่าเธอจะกลับไปกินต่อที่บ้านน่ะ”
“อื้อ” แป้งตอบเสียงไม่ดังนักขณะชำระค่าอาหารในส่วนของเธอ “เอาไว้กินตอนทำรายงาน
น่ะ ฉันชอบหิวตอนดึก”
“ระวังอ้วนนะ” มนสัพยอกขณะที่เดินออกจากร้านไปยังกลางซอย แก้วแวะซื้อไอศครีมกะทิสดแจกเพื่อนคนละถ้วยโดยทำทีไม่ได้ยินเสียงมนบ่น
“ฉันจ่ายค่าส้มตำตั้งเกือบร้อย แต่เธอเลี้ยงไอศครีมแค่ถ้วยละสิบ ไม่ลงทุนเลยนะยายแก้ว”
“ร้านนี้สูตรโบราณนะ” เพื่อนของเธอตอบพลางตักไอศครีมเข้าปาก มนเบ้หน้า
“ของแบบนี้เพิ่งเข้ามาขายในไทยยังไม่ถึงร้อยปี จะเป็นของโบราณได้ยังไง”
“ก็ดูหน้าคนขายสิ” แก้วกระซิบและบุ้ยใบ้ไปทางอาซิ้มเจ้าของร้าน “โบราณไหม”
มนปิดปากหัวเราะในขณะที่แป้งอมยิ้มและตีแขนเพื่อนของเธอ
“คิดไปได้นะยายแก้ว”
ทั้งสามเดินดูสินค้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงถนนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แป้งโบกมือให้กับมนที่ขึ้นไปนั่งรถประจำทางเรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงเรียกแท็กซี่เพื่อจะกลับไปยังคอนโด หญิงสาวส่งถุงลาบไก่กับข้าวเหนียวให้กับลุงผันยามรักษาความปลอดภัยก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟท์ และกดขึ้นไปยังห้องของเธอ
คาเฟรลดหนังสืออารยธรรมของอียิปต์โบราณที่เขากำลังดูอยู่ลงและมองแป้งที่วางถุงสิ่งของต่างๆลงบนโต๊ะ หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นตำราในมือของอีกฝ่าย
“นายอ่านออกด้วยหรือ”
“ไม่” ฟาโรห์จากอดีตตอบและชี้นิ้วไปบนรูป “ฉันดูภาพ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะที่เขาเคาะหนังสือเบาๆ แป้งมองกิริยาของคาเฟรด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคาเฟร”
“ฉันไม่เข้าใจ” ชายหนุ่มมองภาพวิหารคาร์นัค “ทำไมรูปวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเมืองจึงดูเก่าแบบนี้”
“เพราะยุคสมัยของนายมันผ่านเลยมานานนับพันปีแล้ว” แป้งตอบและเดินไปนั่งข้างเขาจากนั้นจึงดึงหนังสือมาเปิดทีละหน้า
“เสาโอบิลิสท์ วิหารคาร์นัค ปิระมิดกีซ่า วิหารลักซอร์” เธอพูดไปพลางเปิดหน้าหนังสือไปพลาง “คิดว่านายคงรู้จักสถานที่เหล่านี้ดี”
“ฉันรู้ และจำได้ว่าทุกแห่งที่เธอพูดถึงนั้นงดงามมาก” คาเฟรมองภาพตรงหน้า “พวกที่อยู่ในภาพนี่ไม่ใช่วิหารที่ฉันรู้จักแน่”
“ต้องขอโทษด้วยถ้าฉันจะบอกว่ามันเป็นสถานที่เดียวกัน” แป้งพูดช้าๆและมองหน้าฟาโรห์แห่งอดีตกาล “ไม่แปลกหรอกที่มันจะเก่าและทรุดโทรมขนาดนั้น เพราะวันเวลาแห่งยุคสมัยของอาณาจักรไอยคุปต์ของนายมันผ่านล่วงเลยมานานมากแล้ว”
“แต่....” คาเฟรมองหน้าแป้ง “จะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อฉันยังมีชีวิตอยู่”
เสียงถอนหายใจของหญิงสาวทำให้กษัตริย์หนุ่มชะงัก เขามองสีหน้าที่กำลังแสดงความลำบากใจของแป้ง
“พูดตามความจริงนายเองก็ไม่น่าที่จะยังมีชีวิตอยู่” หญิงสาวหยุดเล็กน้อยคล้ายต้องการเรียบเรียงคำพูด “นายออกมาจากโถศิลาอลาบาสเตอร์นั่น” แป้งชี้นิ้วไปยังโถคาโนปิคที่ตั้งไว้บนชั้น คาเฟรเบ้หน้า
“เป็นไปไม่ได้ ฉันจะออกมาจากโถเล็กแค่นั้นได้ยังไงกันอย่ามาพูดจาไร้สาระแบบนี้ ฉันไม่ชอบ”
“ฉันไม่ได้พูดไร้สาระและไม่ชอบโกหกใครด้วย” แป้งตอบเสียงกระด้าง “นายออกมาจากโถ
คาโนปิคในวันที่ฉันบังเอิญทำแก้วบาดมือและเลือดหยดลงไปโดน” เธอขมวดคิ้ว “บางทีอาจจะเป็นเพราะบทสวดแห่งความตายนั่นด้วยกระมังถึงทำให้เธอปรากฏตัวขึ้นมา”
“บทสวดนั้นมีไว้เพื่อให้คนตายกล่าวต่อเทพโอซิริส”
“ฉันพอจะรู้” แป้งสวนทันควัน “แต่ไม่ว่าจะเพื่ออะไรบทสวดนั่นก็ส่งผลให้นายมาอยู่ที่นี่ ในโลกปัจจุบันแห่งนี้ไมใช่ยุคอียิปต์โบราณของนาย”
คาเฟรอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ความจริงแล้วฉันอยู่ในยุคสมัยใด และห่างจากแผ่นดินที่ฉันอยู่แค่ไหน”
“ไกลมาก” แป้งตอบพลางเดินไปหยิบแผนที่โลกออกมากาง “ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นพันไมล์ ถ้าใช้วิธีเดินทางในแบบของพวกนายก็คงกินเวลานานเป็นปี” เธอมองฟาโรห์หนุ่มที่กำลังจ้องแผนที่โลกเขม็ง
“ส่วนคำถามที่ว่านายกำลังอยู่ในยุคสมัยไหนนั้น ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้เข้าใจได้ยังไงนอกจากจะบอกว่านี่คือยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นยุคสมัยที่เกิดหลังอาณาจักรของนายล่มสลายไปแล้วราวสามพันกว่าปี”
“สามพันกว่าปี” เสียงคาเฟรคราง “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แผ่นดินของฉันก็คง....”
“ไม่มีอีกต่อไปแล้ว” แป้งต่อคำตอบให้กับเขาและมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสงสารเมื่อเห็นชายหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“ฉันคงไม่มีวันได้กลับไปยังแผ่นดินเกิดอีกแล้วใช่ไหม”
คาเฟรถามและมองแป้งที่กำลังส่ายหน้าอย่างช้าๆ ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ทั้งคู่ต่างนั่งนิ่งไม่พูดจาต่อกันอยู่ชั่วระยะหนึ่งหญิงสาวจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก
“นายจำได้หรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหนก่อนจะมาที่นี่”
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ” ฟาโรห์หนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิด “มันเหมือนมีหมอกควันสีเทาลอยอยู่รอบตัว ฉันพยายามร้องเรียกหาทหารคนสนิทแต่ไม่มีใครขานตอบจนกระทั่งได้ยินเสียงบทสวดศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับมีแสงสว่างจ้าบาดตาจนลืมแทบไม่ขึ้น มารู้ตัวอีกทีก็เห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้า”
“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ” แป้งซักด้วยความรู้สึกอยากรู้ “ก่อนหน้าที่นายจะอยู่ในกลุ่มควันน่ะเธอจำอะไรได้บ้าง”
คราวนี้คาเฟรถึงกับนิ่ง เขาขบกรามตนเองเบาๆก่อนตอบ
“ฉันจำแผ่นดินของฉันได้” เขาเลื่อนสายตามองเพดาน “ราชวังอันแสนโอ่อ่า ข้าราชบริพารที่มีทั้งความซื่อสัตย์ภักดีและคนที่คอยหาโอกาสจะฆ่าฉันเพื่อชิงบัลลังก์ ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอันอุดมไปด้วยสัตว์ป่ากับทุ่งข้าวสีทองอร่าม”
“แล้วเธอจำได้ไหมว่าตายเพราะอะไร” แป้งถามทันที ชายหนุ่มมองหน้าเธอ
“อะไรนะ”
“ฉันขอโทษที่ถามไม่สุภาพ” หญิงสาวรีบพูดเมื่อเห็นสายตาแสดงความไม่พอใจของอีกฝ่าย “คือฉันคิดว่าถ้ารู้ว่านายตายเพราะอะไรบางทีอาจจะมีวิธีนำนายกลับไปยังที่ที่นายจากมา”
สีหน้าของคาเฟรเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนัก เขายกมือขึ้นกุมศีรษะของตนเองและตอบเสียงแผ่ว
“ฉันจำไม่ได้” เขาสั่นหน้า “ฉันจำทุกอย่างที่ผ่านมาได้ทั้งหมดแต่จำไม่ได้ว่าเป็นอะไรตาย”
“นั่นอาจจะเป็นกุญแจสำคัญ” แป้งพูดอย่างเร็ว “บางทีนายอาจจะได้กลับไปยังโลกแห่งความตายถ้านึกออก”
ฟาโรห์หนุ่มพยายามนึกถึงสาเหตุการตายของตนตามคำแนะนำของแป้ง เขานิ่วหน้าและเลื่อนมือไปกุมหัวใจของตนและเริ่มต้นหอบ
“เป็นอะไรไป” เสียงหญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง คาเฟรกัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวดก่อนตอบ
“ไม่รู้” ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น “พอกำลังจะคิดว่าทำไมฉันถึงตาย ร่างกายมันก็เจ็บจนแทบจะทนไม่ได้ขึ้นมาทันที”
ร่างสูงแข็งแรงคู้ตัวลงและตกจากเก้าอี้ แป้งอุทานด้วยความตกใจขณะที่เข้าไปประคอง
“ไม่ไหว” ฟาโรห์หนุ่มพูด “ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ”
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปคิด” แป้งพยุงเขาให้กลับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ “ถึงเวลานายคงนึกออกเอง”
“คิดว่าเธอเร่งจะให้ฉันไป” คาเฟรมองหน้าแป้ง
“ฉันแค่อยากช่วยเธอให้กลับไปในสถานที่อันควรเท่านั้น” หญิงสาวรีบพูดเธอรู้สึกแปลกใจที่ใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวขณะสบตากับอีกฝ่ายโดยตรง “ไม่ได้คิดจะไล่นายออกไปเลยสักนิด”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น” ฟาโรห์หนุ่มลดมือลงและผ่อนลมหายใจช้าๆ “แปลกจริงฉันรู้สึกสบายขึ้นพอไม่ได้นึกถึงมัน”
แป้งทำท่าจะตอบแต่ต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น คาเฟรมองหญิงสาวหยิบวัตถุสีชมพูหวานขนาดเล็กกว่าฝ่ามือออกจากกระเป๋าและเปิดฝาพับออกพร้อมกับยกมันขึ้นแนบหู
“นั่นอะไรน่ะ”
แป้งรีบยกนิ้วขึ้นวางจรดริมฝีปากเพื่อห้ามไม่ให้เขาส่งเสียง
“เงียบหน่อย แม่ฉันโทรมา” เธอสูดลมหายใจเข้าและกรอกคำพูดเสียงใส “สวัสดีค่ะแม่”
“สวัสดีจ้ะลูกรัก” เสียงอีกฝ่ายดังตอบกลับมา “ทำไมหนูเงียบหายไปตั้งหลายวันไม่โทรมาคุยกับแม่บ้างเลย”
“พอดีหนูยุ่งกับการรับน้องค่ะ” แป้งตอบ “แถมยังมีรายงานกองเท่าภูเขาที่ต้องทำด้วย”
“อะไรกันเพิ่งเปิดเรียนไม่ใช่เหรอลูก ทำไมอาจารย์ให้ทำการบ้านแล้วล่ะคะ”
“แหมก็สาขาที่หนูเรียนมันยากนี่คะ แถมรายละเอียดเยอะด้วย ไม่ทำรายงานก็ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ”
“หักโหมแบบนี้มีหวังลูกสาวคนสวยของแม่ผอมตายแน่” เสียงคุณนายวิไลลักษณ์เงียบไปเล็กน้อย “โชคดีจริงที่แม่เตรียมของกินมาให้ลูกด้วย”
“คะ” แป้งยืนนิ่ง “คุณแม่ว่าอะไรนะคะ”
“แม่บอกว่าโชคดีที่เตรียมของกินมาให้ลูกเยอะแยะ มียาบำรุงกับขนมอร่อยที่ป้าทัดซื้อมาจากญี่ปุ่นด้วยนะคะ”
“อ่ะ...เอ่อ อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่จะมาหาหนูวันนี้น่ะค่ะ”
“ใช่แล้วค่ะลูก ตอนนี้แม่มาถึงคอนโดแล้วและกำลังเดินมาขึ้นลิฟท์จ้ะ” คุณนายวิไลลักษณ์พูดเสียงหวาน “แม่วางสายก่อนนะลูก เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
แป้งปิดมือถือและหันขวับไปทางคาเฟรทันที สีหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความตกใจ
“แม่กำลังจะขึ้นมาที่ห้อง” หญิงสาวพูดเสียงดัง “นายต้องหาที่ซ่อนเดี๋ยวนี้คาเฟร!”
*/*/*/*/*
สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน วันนี้มูนนี่มีเกมส์สนุกมาฝาก เล่นกันง่ายๆแค่เข้าไปกดไลค์และบอกว่านิยายให้อะไรกับเรา ของรางวัลคือนิยายเรื่อง ความทรงจำในผืนทราย คนละหนึ่งเล่มค่ะ
เข้าไปเล่นกันได้ที่นี่เลยนะคะ
http://www.facebook.com/suewannagum
กาลเวลาที่ผันผ่าน
“การรับน้องปีนี้จะไม่มีการออกไปนอกสถานที่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คณะของเราจะจัดกิจกรรมกระชับความสามัคคีระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้องภายในมหาวิทยาลัย และต้องเลิกก่อนหนึ่งทุ่มทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของนักศึกษาทุกคน”
อาจารย์ประจำคณะโบราณคดีกล่าวเสียงเข้มและกวาดสายตามองหน้านักศึกษาของเขาคล้ายจะถามว่ามีผู้ใดข้องใจสงสัยในคำสั่งของตน เขาพยักหน้าเมื่อเห็นว่านักศึกษาทุกคนยังคงนั่งนิ่งคล้ายยอมรับในกฏข้อบังคับที่ได้กล่าวมา
“อาจารย์เข้าใจดีว่าการรับน้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักศึกษาอย่างพวกเธอ ความจริงอาจารย์เองก็ไม่อยากจะขัดขวางหรือห้ามกิจกรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานาน แต่อยากจะให้ทุกคนเข้าใจว่าน้องใหม่ทุกคนมาเข้าเรียนที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้และจบออกไปพร้อมกับอนาคต ลองคิดดูว่าผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้นจะรู้สึกอย่างไรหากลูกของพวกเขาประสบเหตุการณ์อันไม่คาดฝันตั้งแต่วันแรกของการเข้ามาเรียน จริงอยู่ที่ทุกคนระมัดระวัง แต่อุบัติเหตุคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน พวกเธอทุกคนคงไม่อยากสำนึกเสียใจในภายหลังหากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับน้องๆใช่ไหม”
นักศึกษาที่นั่งฟังผงกศีรษะพร้อมกัน อาจารย์ของพวกเขาจึงกล่าวต่อไป
“อาจารย์ดีใจมากที่พวกเธอเข้าใจ และอาจารย์สัญญาว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องของพวกเธอตราบใดที่ทุกคนปฏิบัติตามกฏของมหาวิทยาลัย จงจำไว้ให้ดีว่าพวกเธอทุกคนคือปัจจุบันและอนาคตที่สำคัญ อย่าทำให้ชีวิตของทั้งพวกเธอและน้องใหม่กลายเป็นอดีตเพียงเพราะความรู้สึกสนุกชั่วแล่นเท่านั้น เลิกประชุมและแยกย้ายกันไปเรียนได้แล้ว”
อาจารย์ประจำคณะกล่าวสรุปก่อนจะเดินออกจากห้องประชุม นักศึกษาชั้นปีที่สามและสี่ต่างรวบรวมตำราเรียนและทะยอยออกจากห้องไปจนหมดเหลือไว้แต่เพียงนักศึกษาชั้นปีที่สองอย่างแป้งที่ยังคงนั่งรวมกลุ่มพูดคุยปรึกษากันต่อ
“นึกอยู่แล้วเชียวว่าอาจารย์ต้องไม่อนุญาตให้พวกเราออกไปรับน้องนอกสถานที่” ดาว นักศึกษาสาวที่มักจะคิดว่าตัวเองสวยที่สุดในคณะพูดขึ้น แก้วพยักหน้า
“ก็แน่ล่ะ ข่าวรับน้องสยองขวัญเยอะเหลือเกินนี่นา” เธอหันไปทางนักศึกษาชายที่ชื่อ
ธวัชชัยซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างลงบนสมุดพลางเลิกคิ้วด้วยความรู้สึกสงสัย
“นั่งเขียนอะไรนักหนานะติ่ง” แก้วบ่นพลางชะโงกหน้าไปมอง เพื่อนของเธอชะงักและขยับแว่นตา
“แผนงานการรับน้องไง” เขาชี้นิ้วไล่ไปบนสมุด “ไม่จำเป็นต้องออกนอกสถานที่ให้ลำบาก เรารับน้องกันในมหาวิทยาลัยนี่แถมยังมีกิจกรรมเพื่อสังคมอีกด้วย”
“กิจกรรมอะไรของนาย” ดาวถามเสียงห้วนเล็กน้อย ธวัชชัยกระตุกยิ้ม
“รอให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อนแล้วจะเรียกประชุม” เขาเก็บสมุดใส่กระเป๋าสะพายและเหวี่ยงมันพาดบ่า “ขอตัวกลับไปนอนคิดที่บ้านต่อนะ”
นักศึกษาหนุ่มก้าวยาวๆออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบโดยไม่สนใจเพื่อนที่กำลังมองหน้ากันไปมา แก้วบ่นด้วยความรู้สึกรำคาญแกมหมั่นไส้
“แผนการลับมากมายเหลือเกินนะท่านเจ้าคณะ” เธอประชดเสียงดัง เพื่อนๆต่างพากันหัวเราะและกล่าวคำอำลาก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน แป้งจัดแจงเก็บข้าวของของเธอใส่กระเป๋าและทำท่าจะลุกขึ้น
“วันนี้ก็รีบกลับเหรอปาน”
“อื้อ” แป้งตอบ “มีรายงานต้องรีบทำส่งอาจารย์นี่นา”
“รายงานเรื่องวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยน่ะเหรอ อีกตั้งสองวันถึงส่งจะรีบทำไปทำไมกันนักหนา ฉันว่าวันนี้เราไปหาอะไรกินกันดีกว่าเพราะยายแก้วบอกว่าจะเป็นเจ้ามือ”
“ฉันพูดเมื่อไหร่กันยะยายมน” เสียงแก้วแหวขึ้นมาแทบจะทันที เพื่อนของเธอยักไหล่พร้อมกับหลิ่วตา
“ตอนไหนก็ตอนนั้น”
“ก็ได้” แก้วแยกเขี้ยว “ฉันเลี้ยงไอศครีมส่วนเธอเลี้ยงส้มตำก็แล้วกัน”
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงนี่นา” มนเถียง แก้วหัวเราะแล้วหันไปทางแป้งที่กำลังยืนขึ้น
“เธอออกค่าเรือข้ามฟากให้พวกเราก็แล้วกันนะยายปาน”
แป้งอมยิ้มให้กับความขี้เล่นของเพื่อนทั้งสอง และพยักหน้าแทนการตอบ ทั้งสามเดินออกจากมหาวิทยาลัยและนั่งเรือข้ามฟากไปยังอีกฝั่ง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในตรอกชุมชนเก่าซึ่งบัดนี้กลายเป็นสถานที่ขายของชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เสียงคนขายของร้องเรียกลูกค้าเพื่อให้เข้าไปเลือกชมสินค้าของตนดังสับสนวุ่นวายจนแป้งรู้สึกปวดหัว แก้วและมนหยุดยืนที่ร้านขายสร้อยถักและเลือกซื้อสายสร้อยข้อมือที่มีกระพรวนสีทองขนาดเล็กคนละอัน แป้งมองเพื่อนทั้งสองแล้วถามด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ซื้อไปทำไมกันน่ะ ฉันไม่เคยเห็นเธอสองคนใส่ของแบบนี้เลยนี่”
“แหม ก็เก็บเอาไว้ให้น้องรหัสของเราไงล่ะ” แก้วตอบพลางเขย่ากระพรวนดังกรุ๋งกริ๋ง แป้งส่ายหน้า
“แล้วถ้าเธอได้น้องรหัสที่เป็นผู้ชายล่ะ เขาจะกล้าใส่ของแบบนี้เหรอ”
“รุ่นพี่ให้อะไรรุ่นน้องก็ต้องรับ ห้ามปฏิเสธโดยเด็ดขาด” มนตอบด้วยสีหน้าและท่าทางขึงขัง แป้งถึงกับถอนหายใจ
“ฉันชักเริ่มสงสารน้องรหัสของเธอสองคนเสียแล้วสิ”
แก้วยักไหล่และหันไปสั่งน้ำผลไม้ปั่นที่ตั้งอยู่ด้านข้าง มนรีบร้องสั่งตาม แป้งมองเพื่อนทั้งสองด้วยความรู้สึกสงสัย
“ดูเหมือนเธอสองคนจะชอบน้ำปั่นร้านนี้มากเลยนะ เห็นผ่านมาทีไรก็ต้องแวะทุกครั้ง”
“ก็น้ำปั่นร้านนี้มันอร่อยดีนี่นา” มนตอบ “แถมได้ออกรายการโทรทัศน์ด้วย”
“แต่ฉันชอบเพราะร้านนี้ไม่หวงของ” แก้วพูดขณะยื่นมือไปรับถ้วยน้ำผลไม้จากคนขายก่อนจะเดินเข้าไปในร้านส้มตำซึ่งอยู่ข้างๆ เธอร้องสั่งเมนูอาหารทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้
“ส้มตำปูม้าหนึ่ง ลาบ ไก่ย่างน้ำตกข้าวเหนียวสามกระติ๊บ”
“วันนี้ไม่รับตำปูปลาร้าด้วยหรือพี่” เสียงลูกสาวเจ้าของร้านที่ยืนหน้าครกตะโกนถาม มนส่ายหน้าทันที
“วันนี้ไม่เอา” มนตอบแทนก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูดน้ำผลไม้ปั่นอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเด็ดแล้วทั้งหมดจึงออกจากร้านโดยแป้งขอซื้อส้มตำไทยแบบไม่เผ็ดกับลาบไก่ไม่ใส่ตับไปอย่างละถุง เพื่อนของเธอมองหน้า
“อย่าบอกนะว่าเธอจะกลับไปกินต่อที่บ้านน่ะ”
“อื้อ” แป้งตอบเสียงไม่ดังนักขณะชำระค่าอาหารในส่วนของเธอ “เอาไว้กินตอนทำรายงาน
น่ะ ฉันชอบหิวตอนดึก”
“ระวังอ้วนนะ” มนสัพยอกขณะที่เดินออกจากร้านไปยังกลางซอย แก้วแวะซื้อไอศครีมกะทิสดแจกเพื่อนคนละถ้วยโดยทำทีไม่ได้ยินเสียงมนบ่น
“ฉันจ่ายค่าส้มตำตั้งเกือบร้อย แต่เธอเลี้ยงไอศครีมแค่ถ้วยละสิบ ไม่ลงทุนเลยนะยายแก้ว”
“ร้านนี้สูตรโบราณนะ” เพื่อนของเธอตอบพลางตักไอศครีมเข้าปาก มนเบ้หน้า
“ของแบบนี้เพิ่งเข้ามาขายในไทยยังไม่ถึงร้อยปี จะเป็นของโบราณได้ยังไง”
“ก็ดูหน้าคนขายสิ” แก้วกระซิบและบุ้ยใบ้ไปทางอาซิ้มเจ้าของร้าน “โบราณไหม”
มนปิดปากหัวเราะในขณะที่แป้งอมยิ้มและตีแขนเพื่อนของเธอ
“คิดไปได้นะยายแก้ว”
ทั้งสามเดินดูสินค้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงถนนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แป้งโบกมือให้กับมนที่ขึ้นไปนั่งรถประจำทางเรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงเรียกแท็กซี่เพื่อจะกลับไปยังคอนโด หญิงสาวส่งถุงลาบไก่กับข้าวเหนียวให้กับลุงผันยามรักษาความปลอดภัยก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟท์ และกดขึ้นไปยังห้องของเธอ
คาเฟรลดหนังสืออารยธรรมของอียิปต์โบราณที่เขากำลังดูอยู่ลงและมองแป้งที่วางถุงสิ่งของต่างๆลงบนโต๊ะ หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นตำราในมือของอีกฝ่าย
“นายอ่านออกด้วยหรือ”
“ไม่” ฟาโรห์จากอดีตตอบและชี้นิ้วไปบนรูป “ฉันดูภาพ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะที่เขาเคาะหนังสือเบาๆ แป้งมองกิริยาของคาเฟรด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“มีอะไรเหรอคาเฟร”
“ฉันไม่เข้าใจ” ชายหนุ่มมองภาพวิหารคาร์นัค “ทำไมรูปวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเมืองจึงดูเก่าแบบนี้”
“เพราะยุคสมัยของนายมันผ่านเลยมานานนับพันปีแล้ว” แป้งตอบและเดินไปนั่งข้างเขาจากนั้นจึงดึงหนังสือมาเปิดทีละหน้า
“เสาโอบิลิสท์ วิหารคาร์นัค ปิระมิดกีซ่า วิหารลักซอร์” เธอพูดไปพลางเปิดหน้าหนังสือไปพลาง “คิดว่านายคงรู้จักสถานที่เหล่านี้ดี”
“ฉันรู้ และจำได้ว่าทุกแห่งที่เธอพูดถึงนั้นงดงามมาก” คาเฟรมองภาพตรงหน้า “พวกที่อยู่ในภาพนี่ไม่ใช่วิหารที่ฉันรู้จักแน่”
“ต้องขอโทษด้วยถ้าฉันจะบอกว่ามันเป็นสถานที่เดียวกัน” แป้งพูดช้าๆและมองหน้าฟาโรห์แห่งอดีตกาล “ไม่แปลกหรอกที่มันจะเก่าและทรุดโทรมขนาดนั้น เพราะวันเวลาแห่งยุคสมัยของอาณาจักรไอยคุปต์ของนายมันผ่านล่วงเลยมานานมากแล้ว”
“แต่....” คาเฟรมองหน้าแป้ง “จะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อฉันยังมีชีวิตอยู่”
เสียงถอนหายใจของหญิงสาวทำให้กษัตริย์หนุ่มชะงัก เขามองสีหน้าที่กำลังแสดงความลำบากใจของแป้ง
“พูดตามความจริงนายเองก็ไม่น่าที่จะยังมีชีวิตอยู่” หญิงสาวหยุดเล็กน้อยคล้ายต้องการเรียบเรียงคำพูด “นายออกมาจากโถศิลาอลาบาสเตอร์นั่น” แป้งชี้นิ้วไปยังโถคาโนปิคที่ตั้งไว้บนชั้น คาเฟรเบ้หน้า
“เป็นไปไม่ได้ ฉันจะออกมาจากโถเล็กแค่นั้นได้ยังไงกันอย่ามาพูดจาไร้สาระแบบนี้ ฉันไม่ชอบ”
“ฉันไม่ได้พูดไร้สาระและไม่ชอบโกหกใครด้วย” แป้งตอบเสียงกระด้าง “นายออกมาจากโถ
คาโนปิคในวันที่ฉันบังเอิญทำแก้วบาดมือและเลือดหยดลงไปโดน” เธอขมวดคิ้ว “บางทีอาจจะเป็นเพราะบทสวดแห่งความตายนั่นด้วยกระมังถึงทำให้เธอปรากฏตัวขึ้นมา”
“บทสวดนั้นมีไว้เพื่อให้คนตายกล่าวต่อเทพโอซิริส”
“ฉันพอจะรู้” แป้งสวนทันควัน “แต่ไม่ว่าจะเพื่ออะไรบทสวดนั่นก็ส่งผลให้นายมาอยู่ที่นี่ ในโลกปัจจุบันแห่งนี้ไมใช่ยุคอียิปต์โบราณของนาย”
คาเฟรอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ความจริงแล้วฉันอยู่ในยุคสมัยใด และห่างจากแผ่นดินที่ฉันอยู่แค่ไหน”
“ไกลมาก” แป้งตอบพลางเดินไปหยิบแผนที่โลกออกมากาง “ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นพันไมล์ ถ้าใช้วิธีเดินทางในแบบของพวกนายก็คงกินเวลานานเป็นปี” เธอมองฟาโรห์หนุ่มที่กำลังจ้องแผนที่โลกเขม็ง
“ส่วนคำถามที่ว่านายกำลังอยู่ในยุคสมัยไหนนั้น ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้เข้าใจได้ยังไงนอกจากจะบอกว่านี่คือยุคกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นยุคสมัยที่เกิดหลังอาณาจักรของนายล่มสลายไปแล้วราวสามพันกว่าปี”
“สามพันกว่าปี” เสียงคาเฟรคราง “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แผ่นดินของฉันก็คง....”
“ไม่มีอีกต่อไปแล้ว” แป้งต่อคำตอบให้กับเขาและมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสงสารเมื่อเห็นชายหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“ฉันคงไม่มีวันได้กลับไปยังแผ่นดินเกิดอีกแล้วใช่ไหม”
คาเฟรถามและมองแป้งที่กำลังส่ายหน้าอย่างช้าๆ ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ทั้งคู่ต่างนั่งนิ่งไม่พูดจาต่อกันอยู่ชั่วระยะหนึ่งหญิงสาวจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก
“นายจำได้หรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหนก่อนจะมาที่นี่”
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ” ฟาโรห์หนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิด “มันเหมือนมีหมอกควันสีเทาลอยอยู่รอบตัว ฉันพยายามร้องเรียกหาทหารคนสนิทแต่ไม่มีใครขานตอบจนกระทั่งได้ยินเสียงบทสวดศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับมีแสงสว่างจ้าบาดตาจนลืมแทบไม่ขึ้น มารู้ตัวอีกทีก็เห็นเธอยืนอยู่ตรงหน้า”
“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ” แป้งซักด้วยความรู้สึกอยากรู้ “ก่อนหน้าที่นายจะอยู่ในกลุ่มควันน่ะเธอจำอะไรได้บ้าง”
คราวนี้คาเฟรถึงกับนิ่ง เขาขบกรามตนเองเบาๆก่อนตอบ
“ฉันจำแผ่นดินของฉันได้” เขาเลื่อนสายตามองเพดาน “ราชวังอันแสนโอ่อ่า ข้าราชบริพารที่มีทั้งความซื่อสัตย์ภักดีและคนที่คอยหาโอกาสจะฆ่าฉันเพื่อชิงบัลลังก์ ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีอันอุดมไปด้วยสัตว์ป่ากับทุ่งข้าวสีทองอร่าม”
“แล้วเธอจำได้ไหมว่าตายเพราะอะไร” แป้งถามทันที ชายหนุ่มมองหน้าเธอ
“อะไรนะ”
“ฉันขอโทษที่ถามไม่สุภาพ” หญิงสาวรีบพูดเมื่อเห็นสายตาแสดงความไม่พอใจของอีกฝ่าย “คือฉันคิดว่าถ้ารู้ว่านายตายเพราะอะไรบางทีอาจจะมีวิธีนำนายกลับไปยังที่ที่นายจากมา”
สีหน้าของคาเฟรเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนัก เขายกมือขึ้นกุมศีรษะของตนเองและตอบเสียงแผ่ว
“ฉันจำไม่ได้” เขาสั่นหน้า “ฉันจำทุกอย่างที่ผ่านมาได้ทั้งหมดแต่จำไม่ได้ว่าเป็นอะไรตาย”
“นั่นอาจจะเป็นกุญแจสำคัญ” แป้งพูดอย่างเร็ว “บางทีนายอาจจะได้กลับไปยังโลกแห่งความตายถ้านึกออก”
ฟาโรห์หนุ่มพยายามนึกถึงสาเหตุการตายของตนตามคำแนะนำของแป้ง เขานิ่วหน้าและเลื่อนมือไปกุมหัวใจของตนและเริ่มต้นหอบ
“เป็นอะไรไป” เสียงหญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง คาเฟรกัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวดก่อนตอบ
“ไม่รู้” ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น “พอกำลังจะคิดว่าทำไมฉันถึงตาย ร่างกายมันก็เจ็บจนแทบจะทนไม่ได้ขึ้นมาทันที”
ร่างสูงแข็งแรงคู้ตัวลงและตกจากเก้าอี้ แป้งอุทานด้วยความตกใจขณะที่เข้าไปประคอง
“ไม่ไหว” ฟาโรห์หนุ่มพูด “ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ”
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปคิด” แป้งพยุงเขาให้กลับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ “ถึงเวลานายคงนึกออกเอง”
“คิดว่าเธอเร่งจะให้ฉันไป” คาเฟรมองหน้าแป้ง
“ฉันแค่อยากช่วยเธอให้กลับไปในสถานที่อันควรเท่านั้น” หญิงสาวรีบพูดเธอรู้สึกแปลกใจที่ใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวขณะสบตากับอีกฝ่ายโดยตรง “ไม่ได้คิดจะไล่นายออกไปเลยสักนิด”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น” ฟาโรห์หนุ่มลดมือลงและผ่อนลมหายใจช้าๆ “แปลกจริงฉันรู้สึกสบายขึ้นพอไม่ได้นึกถึงมัน”
แป้งทำท่าจะตอบแต่ต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น คาเฟรมองหญิงสาวหยิบวัตถุสีชมพูหวานขนาดเล็กกว่าฝ่ามือออกจากกระเป๋าและเปิดฝาพับออกพร้อมกับยกมันขึ้นแนบหู
“นั่นอะไรน่ะ”
แป้งรีบยกนิ้วขึ้นวางจรดริมฝีปากเพื่อห้ามไม่ให้เขาส่งเสียง
“เงียบหน่อย แม่ฉันโทรมา” เธอสูดลมหายใจเข้าและกรอกคำพูดเสียงใส “สวัสดีค่ะแม่”
“สวัสดีจ้ะลูกรัก” เสียงอีกฝ่ายดังตอบกลับมา “ทำไมหนูเงียบหายไปตั้งหลายวันไม่โทรมาคุยกับแม่บ้างเลย”
“พอดีหนูยุ่งกับการรับน้องค่ะ” แป้งตอบ “แถมยังมีรายงานกองเท่าภูเขาที่ต้องทำด้วย”
“อะไรกันเพิ่งเปิดเรียนไม่ใช่เหรอลูก ทำไมอาจารย์ให้ทำการบ้านแล้วล่ะคะ”
“แหมก็สาขาที่หนูเรียนมันยากนี่คะ แถมรายละเอียดเยอะด้วย ไม่ทำรายงานก็ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ”
“หักโหมแบบนี้มีหวังลูกสาวคนสวยของแม่ผอมตายแน่” เสียงคุณนายวิไลลักษณ์เงียบไปเล็กน้อย “โชคดีจริงที่แม่เตรียมของกินมาให้ลูกด้วย”
“คะ” แป้งยืนนิ่ง “คุณแม่ว่าอะไรนะคะ”
“แม่บอกว่าโชคดีที่เตรียมของกินมาให้ลูกเยอะแยะ มียาบำรุงกับขนมอร่อยที่ป้าทัดซื้อมาจากญี่ปุ่นด้วยนะคะ”
“อ่ะ...เอ่อ อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่จะมาหาหนูวันนี้น่ะค่ะ”
“ใช่แล้วค่ะลูก ตอนนี้แม่มาถึงคอนโดแล้วและกำลังเดินมาขึ้นลิฟท์จ้ะ” คุณนายวิไลลักษณ์พูดเสียงหวาน “แม่วางสายก่อนนะลูก เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
แป้งปิดมือถือและหันขวับไปทางคาเฟรทันที สีหน้าของเธอซีดเผือดด้วยความตกใจ
“แม่กำลังจะขึ้นมาที่ห้อง” หญิงสาวพูดเสียงดัง “นายต้องหาที่ซ่อนเดี๋ยวนี้คาเฟร!”
*/*/*/*/*
สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน วันนี้มูนนี่มีเกมส์สนุกมาฝาก เล่นกันง่ายๆแค่เข้าไปกดไลค์และบอกว่านิยายให้อะไรกับเรา ของรางวัลคือนิยายเรื่อง ความทรงจำในผืนทราย คนละหนึ่งเล่มค่ะ
เข้าไปเล่นกันได้ที่นี่เลยนะคะ
http://www.facebook.com/suewannagum
มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ย. 2555, 10:20:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2555, 10:20:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 1444
<< บทที่ 5 มัจฉาแห่งเจ้าพระยา | ความทรงจำในผืนทราย บทที่ 7 ความวุ่นวาย >> |